“อืม...”
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา มองเห็นทุกอย่างเป็นสีขาวโพลนไปหมด รู้สึกได้ว่าตัวเองนอนอยู่บนอะไรสักอย่างที่นุ่มสบาย สบายเสียจนผมอยากจะหลับตาลงไปอีกรอบ
อารมณ์ประมาณตอนที่พยายามจะตื่นไปโรงเรียนในเช้าวันจันทร์ ใครเคยอยู่ในสถานการณ์นั้นคงจะเข้าใจว่ามันรู้สึกอยากจะนอนอยู่บนเตียงไปตลอดกาลอะไรแบบนั้นเลย
ผมยังจำได้ว่าผมพลัดตกจากหน้าต่างของตึกแห่งหนึ่ง ผมยังจำความรู้สึกเจ็บปวดนั้นได้ สูงขนาดนั้นไม่น่าจะรอด แสดงว่าตอนนี้ผมคงตายไปแล้วสินะ
ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน? สวรรค์หรอ? ไม่น่าจะใช่หรอก เพราะผมรู้ตัวดีว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนดีนักเท่าไหร่ แต่จะว่าไปก็ยังไม่มีหลักฐานใดๆบ่งบอกแน่ชัดว่าคนที่ตายไปแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ หรือผมจะยังไม่ตายกันนะ?
ผมได้กลิ่นเหมือนยาหรือสารเคมีบางอย่างคละคลุ้งไปทั่ว สายตาของผมเริ่มมองเห็นตามปกติ ที่แท้ผมก็นอนอยู่บนเตียงภายในห้องที่เป็นสีขาวแทบทั้งหมด มีตู้ที่บรรจุยาปฏิชีวนะมากมายภายในนั้นวางเรียงราย หรือว่าที่นี่จะเป็นโรงพยาบาล?
ผมลองคิดดูเล่นๆว่าบางทีอาจจะมีคนเห็นผมตกตึกแล้วพามาส่งโรงพยาบาล จากนั้นหมอก็รักษาผมจนหายดี แต่จำได้ว่าสภาพผมนี่เละเป็นโจ๊กเลยนะ รักษาจนหายดีขนาดนี้เลยหรอ? ผมรู้สึกเลยว่าร่างกายผมแข็งแรงสมบูรณ์เอามากๆ ถึงจะรู้สึกหนักๆตรงหน้าอกนิดหน่อยก็เถอะ บางทีอาจจะเพราะแผลยังไม่หายดีหรือเปล่านะ
ระหว่างที่คิดไปคิดมาอยู่นั้นประตูห้องก็เปิดออก หญิงสาวในชุดสีขาวเดินเข้ามา ถ้าที่นี่เป็นโรงพยาบาล เธอก็คงเป็นหมอ เธอมีผมสีม่วงอ่อนๆรวบเป็นหางม้าด้านข้าง สวมแว่นตา โดยรวมแล้วเป็นสาวสวยเลยล่ะ ติดอยู่ที่ขอบตาเธอคล้ำมาก ยังกับไม่ได้นอนมาเป็นปีๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความสวยของเธอลดลงเท่าไหร่
“ฟื้นแล้วหรอคะ?”
น้ำเสียงของคุณหมอ (ผมขอเรียกแบบนี้เลยแล้วกัน) ฟังดูเรียบๆไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง
“เอ่อ...”
“อืม... ท่าทางจะได้ผลแฮะ”
ขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากพูด คุณหมอสาวก็พูดอะไรบางอย่างแทรกขึ้นมาที่ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ ผมค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง ให้ตายสิตรงหน้าอกนี่มันหนักสุดๆไปเลย สงสัยคงจะมีผ้าพันแผลพันไว้หนาๆเลยล่ะมั้ง เพราะจำได้ว่าตอนผมตกลงมา อวัยวะที่กระแทกพื้นเป็นอันดับแรกคือหน้าอกของผม
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าผมอยู่ที่ไหน?”
ผมถามออกไป ถึงในใจจะรู้ดีว่าที่นี่น่าจะเป็นโรงพยาบาลนั่นแหละ คุณหมอสาวมองหน้าผมด้วยแววตาว่างเปล่า ดูเหมือนไม่ได้ฟังผมด้วยซ้ำ แต่เธอก็ตอบคำถามผม
“เธออยู่ที่คลินิกทาจิบานะ ฉันชื่อด็อกเตอร์ทาจิบานะ อาโออิ เป็นเจ้าของคลินิกแห่งนี้”
โอเค... ที่ผมเดาไว้ถูกนิดหน่อย ถึงโรงพยาบาลกับคลินิกจะต่างกันแต่ก็คล้ายๆกันอยู่บ้าง เพียงแต่โรงพยาบาลจะใหญ่กว่าและมีบุคลากรมากกว่า เครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ก็จะมีมากกว่า จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บร้ายแรง เอ่อ... ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่พูดมากเกินความจำเป็น
“เอ่อ... คุณหมอช่วยผมไว้สินะครับ ขอบคุณมากนะครับ ผมคิดว่าผมจะไม่รอดซะแล้ว ว่าแต่คุณหมอนี่เก่งจังนะครับ สภาพแบบนั้นยังรักษาซะจนหายดีได้ขนาดนี้ เก่งจริงๆ...”
ในขณะที่ผมกล่าวขอบคุณคุณหมอผู้มีพระคุณอยู่นั้น ผมก็หยุดชะงักเมื่อผมลุกจากเตียงแล้วเห็นเงาของตัวเองในกระจกบานเท่าตัวที่อยู่ใกล้ๆ
“นะ... นี่มันอะไรกันวะเนี่ยยยยยยย!!!!!!”
คงจะสงสัยว่าสินะครับว่าทำไมผมถึงร้องลั่นออกมาแบบนั้น แม้กระทั่งคุณหมอเองก็มองผมอย่างสงสัย แต่ถึงกระนั้นสีหน้าและท่าทางของเธอก็จะคงดูนิ่งเฉยเหมือนเดิม
ในกระจกสะท้อนภาพของสาวน้อยคนหนึ่ง เธอมีผมสั้นประบ่าสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาสีแดงทับทิม ใบหน้าเรียวได้รูปพร้อมมีไฝเสน่ห์บริเวณใต้ตาข้างขวา เธออยู่ในชุดคนไข้สีเขียวอ่อนหลวมๆ คอเสื้อนั้นกว้างเสียจนผลไม้ขนาดกำลังดีสองลูกแทบจะล้นทะลักออกมา
และเงาสะท้อนนั้นมันเป็นของผม...
ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน
ผมชื่อซากุราอิ อิคุสะ นักเรียนมัธยมปลายปีหนึ่ง
และผมก็เป็นผู้ชาย...
ใช่... ใบหน้าในกระจกน่ะเป็นใบหน้าของผมจริงๆ ซึ่งอย่าเพิ่งแปลกใจครับ ผมเป็นผู้ชายหน้าสวยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ใครๆก็มักเข้าใจผิดเสมอว่าผมเป็นผู้หญิง จะว่าได้แม่มาเต็มๆก็ไม่ผิดนัก เพราะแม่ผมก็เป็นคนสวยเหมือนกัน
แต่ถึงจะหน้าสวยแต่ยังไงผมก็เป็นผู้ชายทั้งแท่ง มีหลายครั้งที่ผมโดนเรียกว่าเป็นตุ๊ดแต๋วหรืออะไรแบบนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะเข้าสู่เส้นทางการต่อสู้ ผมมีเรื่องทะเลาะวิวาทอยู่หลายครั้ง ที่ต้องทำแบบนั้นก็เพื่อหวังว่าคนอื่นจะได้มองผมว่าเป็นผู้ชายคนนึงเสียที
ใบหน้าเป็นของผม แต่ร่างกายที่เห็นในกระจกนั้นมันไม่ใช่ร่างกายของผม ทั้งหน้าอกที่ยื่นออกมา สะโพกที่ผายออก พอเอามารวมกับหน้าสวยๆตามปกติของผมแล้ว ดูยังไงนี่มันก็ผู้หญิงชัดๆ ที่หน้าอกมันหนักๆก็เพราะแบบนี้เองสินะ
ยังไม่รวมเสียงของผมที่ค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับผู้ชายด้วยกัน ถ้าดัดเสียงดีๆนี่เสียงหวานยิ่งกว่าผู้หญิงจริงๆซะอีก
แล้วทำไมตรูถึงกลายเป็นผู้หญิงไปได้วะเนี่ย!!
ผมกะพริบตาถี่ๆหลายครั้งเพราะคิดว่าตาฝาด แต่เงาสะท้อนตรงหน้ายังคงเหมือนเดิม และยังกระพริบตาถี่ๆตามผมเพื่อตอกย้ำว่านั่นคือเงาสะท้อนของผมจริงๆ
ผมไม่รอช้ารีบเลื่อนมือไปสัมผัสที่หว่างขาของตัวเองทันที
“มะ... มันไม่อยู่แล้ว!!”
ผมโวยวายลั่นเหมือนคนเสียสติ ไอ้ที่ผู้ชายทุกคนต้องมีมันไม่อยู่แล้ว
“อะไรไม่อยู่หรอคะ?”
คุณหมอถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโดยที่ไม่รู้เลยว่าผมจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ผมจึงตะคอกเธอกลับไป
“ถามมามาได้!! ก็กระจ-”
ฉ่า
จู่ๆผมก็หน้าแดงแป๊ดพร้อมเอามือปิดปากโดยอัตโนมัติ ก่อนที่จะทรุดลงไปนั่งเขินม้วนต้วนอยู่บนเตียง ท่าทางของผมแบบนี้มันเหมือนผู้หญิงไร้เดียงสาที่เพิ่งพูดอะไรน่าอายๆออกมาชัดๆ อย่าบอกนะว่านอกจากร่างกายของผมจะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว ความคิดส่วนหนึ่งของผมก็กลายเป็นผู้หญิงไปด้วย!?
ว๊ากกกกก!! อีนังหมอทำอะไรกับตรูกันแน่ว้า!!
ความรู้สึกขอบคุณคุณหมอในตอนแรกหายไปทันที ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วใครเป็นคนทำให้ผมเป็นแบบนี้ แต่ในเมื่อตอนนี้มีผมกับคุณหมอแค่สองคน ผมจึงสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือเธอไว้ก่อน อีกทั้งเธอบอกว่าเป็นเจ้าของคลินิกแห่งนี้ คงมีแต่เธอนั่นแหละที่เป็นคนทำ
“เดี๋ยวนะคะ เธอเป็นอะไรไปน่ะ? จู่ๆก็โวยวายแบบนี้ ฉันตกใจหมดเลยนะคะ”
ถึงปากบอกว่าตกใจ แต่สีหน้าหมอก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
“จะไม่ให้โวยวายได้ไงกันครับ คุณหมอทำอะไรกับร่างกายผม!!”
“ร่างกายของเธอมันเป็นอะไรงั้นหรอ? ฉันเห็นแล้วก็ปกติดี”
“ปกติตรงไหนวะครับ!! ผมเป็นผู้ชายนะ แล้วนี่ทำไมผมกลายเป็นผู้หญิงไปได้!!!”
“เอ๋?? ผู้ชายหรอคะ?”
“ก็ใช่น่ะสิครับ!! อย่าบอกนะว่า... คุณหมอเห็นหน้าผมเป็นแบบนี้เลยคิดว่าผมเป็นผู้หญิง??”
“อืม... แสดงว่ายังไม่สมบูรณ์จริงๆด้วยสินะ”
“หา??”
คุณหมอพูดในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจอีกครั้ง เธอกระแอมไอเพื่อให้เสียงชัดแล้วจึงเริ่มอธิบาย
“ก่อนอื่นเลยนะ ฉันเห็นเธอตกลงมาจากตึกที่อยู่ใกล้ๆกับคลินิกของฉัน สภาพอย่างเธอน่ะจริงๆไม่ควรจะรอดด้วยซ้ำไป แต่ทว่าตอนนี้ฉันกำลังคิดค้นยาตัวหนึ่งอยู่ มันเป็นยาที่จะช่วยรักษาอาการป่วยหรืออาการบาดเจ็บทุกอย่างให้หายเป็นปลิตทิ้งได้ในเวลาอันรวดเร็ว”
ฟังดูเวอร์ชะมัดเลยแฮะ...
“แน่นอนว่ายาตัวนี้อยู่ในขั้นทดลอง ฉันก็ยังไม่เคยลองใช้กับใครซะด้วย พอดีเธอเองก็บาดเจ็บสาหัสมาก อวัยวะภายในเสียหายแทบทั้งหมด กระดูกก็หักแทบทั้งตัว ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างเธอคงตายไปแล้ว ฉันจึงเสี่ยงใช้ยาตัวนี้กับเธอดู เพราะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
แสดงว่าตรูเป็นหนูทดลองสินะ...
“ฉันเห็นว่าร่างกายของเธอฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์เร็วมาก ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ฉันก็ดีใจที่เห็นยาตัวนี้ประสบความสำเร็จ จริงๆฉันก็เห็นแล้วล่ะว่าร่างกายที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่นั้นเป็นร่างกายของผู้หญิง แต่ตอนนั้นฉันคิดไม่ถึงว่าคนหน้าสวยอย่างเธอจะเป็นผู้ชายซะได้ แสดงว่ายาตัวนี้ยังไม่สมบูรณ์แต่มีผลข้างเคียงแบบนี้นี่เองสินะ...”
“นี่แสดงว่าคุณหมอใช้ผมเป็นหนูลองยาหรอครับ!! ทำแบบนี้มันผิดจรรยาบรรณนะ!!”
“ถ้าฉันไม่ทำเธอคงตายไปแล้วนะ”
“อึก...”
ผมสะอึกเลย... ก็จริงนะ เธอช่วยชีวิตผมไว้ ถึงจะทำให้ร่างกายของผมเป็นแบบนี้ แต่ผมก็กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เธอทำไปเพราะความหวังดีนี่นะ
“คนเป็นหมอน่ะ ถ้าเพื่อจะให้คนไข้มีชีวิตรอดต่อไป จะทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น”
แม้ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของเธอจะยังเรียบเฉย แต่ผมรู้สึกได้ถึงความจริงจังในคำพูดเหล่านั้น
“แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ร่างกายเธอเป็นแบบนี้”
จู่ๆคุณหมอก็โค้งตัวให้จนผมลนลานทำอะไรไม่ถูก คุณหมออุตส่าห์ช่วยเหลือผมไว้ แต่กลับต้องมาก้มหัวขอโทษให้ผมแบบนี้ บอกตรงๆเลยว่ารู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ยังไงคุณหมอก็ตั้งใจจะช่วยชีวิตผมไว้ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงให้ฉันรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะคะ ฉันจะรีบคิดค้นยาตัวใหม่ที่ทำให้เธอเป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด ระหว่างนั้นก็ขอให้ฉันช่วยเหลือในเรื่องต่างๆด้วยนะคะ”
“อ่า...”
ผมก็ไม่อยากปฏิเสธ จริงๆไม่ควรปฏิเสธเลยล่ะ แน่ล่ะว่าพอร่างกายเป็นแบบนี้ ชีวิตประจำวันผมต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ ตั้งแต่ตื่นเช้า ล้างหน้า แปรงฟัน กินข้าว ไปโรงเรียน...
เฮ้ย!! โรงเรียน!!!!
“หมอครับ!! นี่กี่โมงแล้ว??
“หืม? อืม... ประมาณแปดโมงเช้าได้แล้วมั้ง”
สายแล้วนี่หว่า!!!
เหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นก่อนที่จะถึงเวลาเรียน ต้องรีบไปโรงเรียนแล้ว เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
“ผมต้องไปโรงเรียนแล้วครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
ผมมองซ้ายมองขวา เห็นทั้งชุดนักเรียนและกระเป๋าเป้ของผมวางอยู่เรียบร้อยบนโต๊ะ ผมไม่รอช้ารีบถอดเสื้อผ้าแล้วคว้าชุดนักเรียนมาใส่ โดยไม่สนว่าคุณหมอจะมองผมอยู่ ไม่นานผมก็ใส่เสื้อผ้าเสร็จแบบลวกๆ แล้วกำลังจะวิ่งออกจากห้อง
“เธอจะไปทั้งแบบนั้นหรอ?”
คุณหมอร้องทักขณะที่ผมจะเดินออกไป
“ทำไมหรอครับ? ผมมีอะไรแปลก??”
“ลองส่องกระจกดูสิ”
ผมทำหน้าฉงน แต่ก็เดินไปที่กระจกบานเดิม
ถึงแม้จะใส่ทั้งเสื้อเชิ้ตและเสื้อนอกทับไว้ แต่ทว่าลูกแตงโมขนาดย่อมๆสองลูกก็เห็นเด่นชัดจนสะดุดตา ชุดนักเรียนของผมเป็นชุดผู้ชายก็จริงอยู่ แต่ถ้าหน้าอกมันยื่นออกมาซะขนาดนี้ยังไงๆมันก็ผู้หญิงชัดๆ
“จะว่าไป... หน้าอกใหญ่กว่าฉันอีกนะเนี่ย...”
หนุบ
“อร๊างงง~!”
จู่ๆคุณหมอก็เข้ามาจับหน้าอกของผมจากข้างหลังแล้วคลึงไปมา ผมสะดุ้งตัวโยน หน้าแดงก่ำ ความรู้สึกนี้มัน... ว่าแต่ตะกี้ตรูร้องอะไรออกมาฟระ!!
หลังจากที่คลึงได้สักพักคุณหมอก็ปล่อยมือออก ผมทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมหอบแฮ่ก
“โทษทีจับเพลินไปหน่อย เอาล่ะฉันจะพันผ้าให้ก่อนแล้วกัน ทนอึดอัดหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันจะหาวิธีช่วยทีหลัง”
จากนั้นคุณหมอก็ใช้ผ้าพันหน้าอกของผมเพื่อให้มันแบนราบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าสังเกตดีๆมันก็นูนอยู่บ้างนิดหน่อย แต่คงไม่มีใครมาจ้องหน้าอกของผมหรอกมั้ง นับว่าโชคดีที่ใบหน้าของผมยังดูเหมือนเดิม ก็คงจะพอเนียนๆไปได้
“ขอบคุณมากครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
ผมกล่าวลาคุณหมอแล้วรีบออกจากห้องไป
เพราะความรีบร้อน ผมจึงไม่คิดเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นตามมาเลยแม้แต่น้อย
เรื่องอะไรน่ะหรอ??
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนเอกชนชิบาซากิ เป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าชิบาซากิ จึงเป็นที่มาของชื่อโรงเรียน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เรื่องสำคัญกว่าก็คือ โรงเรียนชิบาซากิเป็นโรงเรียน... ชายล้วน
ณ ตอนนี้ ผมก็เป็นผู้หญิงดีๆนี่เอง ดังนั้นผมก็ไม่ต่างอะไรกับกระดูกในฝูงสุนัขที่จ้องจะเข้ามางาบเลยแม้แต่น้อย
ที่คุณจะได้อ่านหลังจากนี้ คือเรื่องราวของผม ซากุราอิ อิคุสะ
เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่กลายเป็นเด็กสาวในโรงเรียนชายล้วนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น...