Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Rumble School : The story you don't know about “Hasegawa Fuji”

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
PazzRazzGUN
Mid Card
Mid Card
PazzRazzGUN


จำนวนข้อความ : 209
Join date : 29/05/2013
Age : 25
ที่อยู่ : 72/281 Suratthani , Thailand

Rumble School : The story you don't know about “Hasegawa Fuji” Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Rumble School : The story you don't know about “Hasegawa Fuji”   Rumble School : The story you don't know about “Hasegawa Fuji” EmptyFri Oct 16, 2015 11:09 pm

ลำดับเหตุการณ์

เกือบ 17 ปีก่อน
-ฮาเซกาวะ ฟูจิ ลืมตาดูโลก

3 ปีก่อน
-ฮาเซกาวะ ฟูจิ เข้าร่วมแข่งขันยูโด ม.ต้น ระดับเขต
-ฮาเซกาวะ ฟูจิ แพ้ในนัดชิงชนะเลิศ

2ปีก่อน
-ฮาเซกาวะ ฟูจิ ถูกโรงเรียนเอกชนเซนไดปฏิเสธรับเข้าศึกษาต่อ ในโควต้าทุนสำหรับนักกีฬา
-ฮาเซกาวะ ฟูจิ เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเอกชนฮิริว และเข้าร่วมชมรมยูโด

เกือบ 1 ปีก่อน
-ฮาเซกาวะ ฟูจิ เอาชนะนักเรียนจากโรงเรียนเซนได คว้าเหรียญทองการแข่งขันยูโด มัธยมปลายระดับประเทศ
-ฮาเซกาวะ ฟูจิ กลายเป็น "ชื่อ" ที่ถูกพูดถึงไปทั่ว

1 วันก่อน
-ฮาเซกาวะ ฟูจิ ถูกกลุ่มคู่อริจากโรงเรียนเซนได รุมทำร้าย
-ฮาเซกาวะ ฟูจิ ได้พบกับรุ่นน้องทั้งสองคน ไซโต้ นางิสะ และ โทโมโนริ ชินสุเกะ

------------------------------------------------------

             สวัสดีครับ อ่า... ฮาเซกาวะ ฟูจิ ปัจจุบัน เอ่อ ปี 2 ชมรมยูโด โรงเรียนเอกชนฮิริว สิ่งที่ชอบก็ยูโด เป็นแฟนเพลง Imagine Dragons อาหารที่ชอบคืออะไรก็ได้ที่แกล้มกับน้ำชาร้อนๆได้ งานอดิเรกเมื่อก่อนก็ไม่มี แต่ปัจจุบันคือทำความสะอาด เรียกได้ว่าผมสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มียูโดให้ดู น้ำชาร้อนๆ กับห้องรกๆ สักห้องพร้อมไม้กวาดให้ผมทำแก้เบื่อ นั่นแหละคือสวรรค์ของผม

             ผมเกิดและเติบโตที่โตเกียวนี่ละ อ้อ ถ้าคุณคิดว่าเด็กในเมืองหลวงจะเป็นพวกไฮโซ หน้าตาคาวาอี้เหมือนพวกเน็ตไอดอลละก็ พวกคุณอาจจะคิดถูกนะ แต่ไม่ทั้งหมด อย่างน้อยก็ยกเว้นผม ชื่อฟูจิเนี่ย แน่นอนว่าพ่อกับแม่เป็นคนตั้งให้นะ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นชื่อนี้ ลองจิตนาการว่าชื่อของคุณถูกตั้งมาจากของมีชื่อเสียงดูสิ นายชินจูกุ นายชิงคันเซ็ง หรือนายราเม็ง ตลกดีไหมละ? แต่สำหรับผมไม่เลย มันไม่น่าขำสักนิดเวลามีคนมาเรียกผมว่าภูเขาไฟซัง

             ที่อยู่ปัจจุบันผมคือหอพักชายใกล้ๆ โรงเรียนนั่นละ มันไม่ใหญ่มาก ไม่ใช่ที่ที่คนสัญจรผ่าน นั้นแหละคือข้อดีของมัน ที่บ้านจริงๆ ของผมคือร้านยากิโซบะของพ่อกับแม่

             สมัยตอนที่ผมตอน ม.ต้น หน้าที่ของผมคือช่วยงานที่ร้าน จะเรียกว่าช่วยก็ไม่เชิง ผมคือพ่อครัวตัวหลักที่จะโผล่ที่ร้านช่วงค่ำหลังซ้อมยูโดเสร็จ ผมฝึกยูโดมาตั้งแต่ ม.ต้น และจริงจังกับมันมาก ในที่สุดผมก็ได้รับโอกาสเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งระดับเขตในปีสุดท้ายของผมกับโรงเรียนนี้ ซึ่งผมก็พอจะรู้ว่าทำไมโค้ชถึงเลือกผม นั้นก็เพราะมือหนึ่งของโรงเรียนบาดเจ็บระหว่างซ้อม มันเป็นเรื่องที่แย่และกดดัน แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่มีผลต่อการแข่งของผม ผมสร้างเซอร์ไพรส์ด้วลการทะลุถึงรอบชิงอย่างทุลักทุเลราวกับคนพิการที่ข้ามถนนที่เต็มไปด้วยรถราได้สำเร็จ แต่ผมไม่ใช่พระเอกนิยายที่จบฉากการแข่งแบบ Happy Ending ผมแพ้ในนัดชิง อ้อ ขาดลอยซะด้วย

             ม.ต้นของผมจบลงพร้อมกับความผิดหวัง แต่บางทีผมก็คิดว่าแบบนี้มันก็ดีแล้วละ ผมลืมมันไปและคิดเรื่องศึกษาต่อ ม.ปลาย พ่อกับแม่คะยั้นคะยอให้ผมเข้าเรียนเอกชน พวกท่านมองว่าผมเป็นพวกไร้รสนิยม ทำตัวเหมือนคนแก่ ไม่เข้ากับเด็กสมัยนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรคือค่านิยมที่คิดว่าโรงเรียนเอกชนคือส่วนรวมของวัยรุ่นมากมายหลายแบบ โดยเฉพาะพวกไฮโซ ผมไม่ใช่พวกเรียนเก่ง หรือครอบครัวฐานะร่ำรวย หนทางที่จะเพิ่มโอกาสให้ผมได้เข้าเรียนเอกชนคือใช้ทุนนักกีฬา ถ้าพูดถึงในญี่ปุ่นแล้ว โรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงมันมีประมาณ 4 แห่ง แต่ผมไม่จำเป็นต้องตัดสินใจ หัวใจของผมเรียกร้องเซนได ผมตรงดิ่งไปขอคว้าสิทธิ์นั้น แต่แน่นอนมันไม่ง่าย มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยต้องการเข้าเรียนที่นี่โดยใช้ทุนเหมือนกับผม หนึ่งในนั้นคือ “หมอนั่น” ใช่ ไอหัวโจกที่มาทำร้ายผมเมื่อวานนี้ และเป็นคนที่ตบผมในนัดชิงชนะเลิศระดับ ม.ต้น ชื่อของผมถูกตัดออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกเจ้านั่นตบหน้าพลางพูดว่า “ไอโง่ ฉันชนะแกอีกแล้ว” ความผิดหวังเปรียบเสมือนลมที่หอบผมออกมาจากสถานที่แห่งนั้น มันเจ็บปวดเหมือนกับคุณจะไปบอกรักเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เธอกลับเปิดตัวแฟนของเธอต่อหน้า ผมไม่ใช่คนที่ยอมอะไรง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก ผมอยากจะตบหน้าเซนไดและหมอนั่นคืน ในเมื่อเข้าร่วมกับพวกเขาไม่ได้ ก็หันหลังไปหาอริเขาซะเลย นั้นคือสาเหตุที่ทำไมผมถึงกลายเป็นนักเรียนของเอกชนฮิริว
“ยินดีด้วยฮาเซกาวะคุง คิดว่าเราจะไม่มีนักกีฬาที่มีดีกรีมาซะแล้ว” ผมหรี่ตาลงหลังได้ยินคำพูดนั้นของ ผอ. ด้วยเจตนาสำนึกผิดที่ในตอนแรกกะจะใช้โรงเรียนแห่งนี้เป็นทางผ่านในการเอาชนะเซนได คำพูดของ ผอ. ทำให้ผมรู้ว่าการเอาคืนไม่ใช่ทุกอย่าง ผมยิ้มตอบรับอย่างตื้นตัน ก่อนลงลายเซ็นเพื่อยืนยันสิทธิ์นั้น มันคือจุดเริ่มต้นหลายๆ อย่างของผมกับโรงเรียนแห่งนี้ รวมถึงชมรมที่ผมรักที่สุด กับเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้

             ผมคือสมาชิกใหม่คนแรกของชมรมยูโดในเทอมนั้น พร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคน แน่นอนว่าผมโดดเด่นกว่าพวกเขาในด้านฝีมือยูโด แต่ถ้านับเรื่องอื่นละก็ ผมก็แค่เด็ก ม.ปลาย ธรรมดา ผมชอบความสงบ เกลียดความวุ่นวาย นั่นคือสาเหตุว่าทำไมผมถึงเอาแต่อยู่ใน “โดโจ” ของชมรม มันสงบ เงียบ และห่างจากที่นักเรียนทั่วไปจะสันจรผ่านและไม่ได้เลวร้ายนัก เหมาะกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของนักเรียน ม.ปลาย แน่นอนว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนที่เข้ามาใหม่ที่นี่ ส่วนใหญ่มาเพื่อเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ มาเพื่อเรียน เพื่อสร้างชื่อ หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ผมก็เช่นกัน ทว่า.....
“ไอบ้าเอ้ย” ชื่อของผมถูกชมรมเสนอเพื่อเข้าแข่งขันยูโด ชิงแชมป์ ม.ปลาย ระดับประเทศ ผมรีบตรงไปหาพวกประธานชมรม เพื่อจะปฏิเสธ ผมไม่อยากจะหวนกลับไปเจอเรื่องซ้ำๆ น่ารำคาญ กลับไปสู่ฝันร้ายที่ผมตั้งใจจะฝังมัน แต่ชมรมยูโดโรงเรียนฮิริวที่ไม่มีผลงานอะไรเลยสวนทางกับชมรมยูโดของเซนไดที่มียอดฝีมือเพิ่มขึ้นทุกปี แน่นอนว่าผมรู้ ”ชื่อเสีย” ของทั้ง 2 โรงเรียนดี มันเหมือนคุณกำลังดูการแข่งขันระหว่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด และเมื่อไร้ผลงานก็อาจจะถูกพิจารณายุบ ความกดดันถาโถมเข้ามาหาผม ผลงานเก่าของผมขุดผมขึ้นมาจากหลุม พร้อมทั้งความกดดันที่เหมือนเศษดิ้นที่เปื้อนติดตัวผมตามมา ชมรมนี้มีพระคุณกับผม เพราะมีชมรมยูโด ผมจึงได้ทุนเข้ามาเรียน ถ้าผมจะตอบแทนอะไรได้ก็มีเพียงแค่เรื่องนี้ ผมต้องกู้ศรัทธาของชมรมกลับมา ผมเหมือนลูกมดที่กำลังจะเข้าไปยังสนามรบของมนุษย์และยักษ์ ถึงมันจะน่ารำคาญ และน่าอายที่ต้องมาเป็นตัวแทนอะไรแบบนี้อีกครั้ง แต่เชื่อเถอะว่าถ้าคุณเป็นผมก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ลงหรอก มีเวลาให้เตรียมตัวก่อนแข่งหนึ่งสัปดาห์ มันคือสัปดาห์นรก ผมซ้อมหนักอย่างเอาเป็นเอาตาย
ผมทุ่มเททุกอย่างสุดหัวใจให้กับการแข่งขัน มันไม่ใช่เพียงแค่การสู้เพื่อตัวเองเท่านั้น ผมฝ่าฟันไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และตามสูตรราวกับฟ้าเล่นตลกพลางลงมายิ้มให้ผมแล้วพูดว่า
“อุ๊ย! บังเอิญจังเลยนะ”

“หมอนั่น” มาในนามตัวแทนของเซนได

“หมอนั่น” คนที่เอาชนะผมในหน้าร้อนของปีที่แล้ว

“หมอนั่น” ที่ผลักผมตกลงไปในหลุม

“หมอนั่น” กลับมาเจอกับผมอีกครั้ง

             แต่คราวนี้มันต่างกัน! ผมไม่ได้เป็นตัวสำรอง...ผมคือตัวจริง! ผมพัฒนาขึ้น! ผมไม่ได้ทำเพียงเพื่อตัวเองอย่างเดียว ผมทำเพื่อชมรมยูโด ให้ถูกถือผมจะตบเซนไดให้ร่วงในนามของนักเรียนโรงเรียนฮิริว คว่ำมันสิ ฟูจิ! เสียงกระซิบข้างหูของผม ทำให้ผมจ้องตาหมอนั่นเขม็ง

------------------------------------------------------

             จบดาร์บี้แมทช์นัดนั้น ตามที่เป็นข่าว ผมคือผู้ชนะ ผมปราบหมอนั่นพร้อมกับหุบปากกองเชียร์ของเซนได คนพวกนั้นเงียบกริบ ผมหันไปนยิ้มเขินๆ ให้กองเชียร์โรงเรียนเรา ก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนและโล่งใจ เท่านี้ปัญหาและเรื่องน่ารำคาญควรจะจบลง ผมอยากไปใช้ชีวิตสงบๆ ตามประสาเด็ก ม.ปลาย โค้ชและพวกประธานเข้ามายินดีและชื่นชมผม ที่ติเดียวของพวกเขาคืออยากให้ผมยิ้มให้มากขึ้น แน่นอนผมไม่ทำมันหรอก น่าอายจะตาย

             ผมยกเหรียญทองของผมให้กับชมรม พวกเขาสมควรได้รับมัน เพียงเท่านี้ชมรมยูโดก็จะไม่ถูกยุบ พวกคนในชมรมบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นรอยยิ้มของผม ถึงจะยิ้มอ่อนๆ ไม่เห็นฟันก็เถอะ ชีวิตของผมควรจะกลับสู่ความสงบ...
แต่ยังเฟ้ย! ชมรมยูโดถูกคนในโรงเรียนพูดถึงอย่างมาก ผมเองก็เช่นกัน ผมไม่รู้ว่าชื่อของผมกลายเป็นที่รู้จักมากขนาดไหน ผมหนีการขึ้นไปโชว์ตัวหน้าเสาธง เดชะบุญที่การแข่งเป็นของมัธยมปลาย มันไม่มีการถ่ายทอดสด พวกนอกโรงเรียนที่ไม่ได้อยู่ในสนามไม่เคยเห็นหน้าผม ไม่งั้นมันต้องวุ่นวายมากแน่ๆ พวกนักเรียนฮิริวก็อยากเจอผมกันซะเหลือเกิน สำหรับคนอื่นอาจจะดีที่มีคนชื่นชอบ แต่สำหรับผมไม่เลยสักนิด ผมโคตรไม่อยากเด่น! ผมไม่ชอบความวุ่นวาย! นั่นไม่แปลกที่คุณจะเห็นผมขลุกตัวอยู่แต่ในโดโจของชมรม นั่นคือที่มาว่าทำไมผมถึงเอาแต่กวาดขยะ ทำอาหาร ชงชา ให้สมาชิกชมรม ว่าก็ว่าเถอะ ในโดโจแล้วนอกจากการฝึกก็แทบจะไม่มีอะไรเลย ผมไม่ชอบออกไปเตะบอลในสนามโรงเรียน หรือเที่ยวไปทะเลาะวิวาทกับโรงเรียนอื่นโดยเฉพาะพวกเซนได ซึ่งเป็นงานอดิเรกนิยมของนักเรียนโรงเรียนนี้ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่คุณจะเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ได้แทบจะทุกวัน เห็นจนคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ราวกับคุณเห็นร้านสะดวกซื้อที่มีเต็มบ้านเต็มเมือง แต่บางทีก็สนุกดี ผมชอบหามุมสูงๆ ของตึกเรียนที่พอจะมองเห็นคนพวกนั้นซัดกัน พลางซดชาร้อนๆ เสพความสุนทรีย์ของความเจ็บปวดของมนุษย์ บางทีมันก็เพลิน แต่บางทีก็หนักไปจนรสชากร่อยไปเลย ซัดกันเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง แต่เชื่อไหม ผมเคยเข้าไปร่วมด้วยแค่ 5-6 ครั้งเอง จะเรียกว่าร่วมก็ไม่เชิงหรอก เรียกว่าไปช่วยคนในชมรมออกมามากกว่า มันคือหน้าที่อีกอย่างของผมในชมรม ซึ่งมีแต่ผมที่ทำได้ บางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นผม มันน่ารำคาญชะมัด แต่ก็ต้องทำ อ้อ! นอกจากนี้ผมยังได้ชื่อเรียกใหม่ด้วย แต่ผมเกลียดมัน พวกเขาบอกชื่อนี้มันหมายความว่าผมมีความสามารถที่ซ่อนไว้ ถ้าคุณกำลังคิดว่ามันคือเสือซ่อนเล็บอะไรนั่นละก็ คุณคิดผิดถนัด...
“ภูเขาไฟแห่งฮิริว” ตลกไหมละ? พวกนั้นกำลังล้อเลียนชื่อของผมสินะ น่ารำคาญชะมัด!

------------------------------------------------------

             ปี 1 ที่วุ่นวายผ่านไป ผมขึ้นปีที่ 2 ด้วยความปรารถนาจะกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง อย่างเดียวที่จะทำคือเข้าป้องกันแชมป์ยูโด นอกนั้นก็อยากจะอยู่สบายๆ ใช้ชีวิตรอจบปี 3 ไปเลย ผมแทบจะขลุกตัวอยู่ในห้องชมรม กวาดขยะไปมา ดื่มชาเป็นตาแก่ ความคาดหวังของพ่อกับแม่ที่อย่างให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ วันเปิดรับสมัครชมรมประธานอยากให้ผมไปโชว์ตัว ผมปฏิเสธไปด้วยข้ออ้างเดิมๆ ว่าจะทำความสะอาดชมรมและชงชาให้ ใจนึงก็อยากไปดูรุ่นน้องที่มีฝีมือยูโดว่าดีพอจะแบ่งเบาภาระหนักอึ้งของผมได้หรือเปล่า แต่ดูท่าคงจะไม่สวยแน่ๆ คนที่แออัดทั้งปี1 ถึงปี3 ผมไม่ได้แวะไปที่ซุ้มรับสมัครของชมรม ขออยู่แบบสงบๆ แบบนี้ละ ดีแล้ว แต่ทว่า…

“ฮาเซกาวะ ฟูจิ เจอกันอีกแล้ว” เสียงที่เหมือนจะคุ้นเคยดังขึ้น ผมหันไปมอง เห็นกลุ่มนักเรียนชายในชุดนักเรียนสีแดงกลุ่มหนึ่งกำลังเรียกชื่อผม ผมจำหมอนั่นได้ ใช่ “หมอนั่นนั่นละ” ไอศัตรูคู่อาฆาตของผม  มันคือช่วงเวลาที่ผมเซ็งโลกแล้วอยากตายที่สุด ทำไมผมกับช่วงเวลาที่สงบมันต้องมีอะไรมาแทรกกลางระหว่างเราเสมอ ผมพยายามตัดบทด้วยความเซ็ง และยังเหลือพื้นที่หลังโดโจต้องกวาดซ้ำ ผมคิดว่ามันน่าจะยังไม่สะอาดดีนะ

“เห๊ะ...ใครฟะ?” ผมหรี่ตาลงตอบด้วยหน้านิ่งเกรียนๆ

“อะไรกันวะ!? จำพวกฉันไม่ได้หรือไง?” หมอนั่นสวนกลับอย่างหงุดหงิด
ผมถอนหายใจรู้ว่าหมดหนทางก่อนตอบไปด้วยน้ำเสียงที่จะสื่อให้พวกนั้นได้รู้ก่อนจะจ้องขู่พวกมันอย่างกินเลือดกินเนื้อ“พวกสวะเซนไดเองหรอ?” ผมตอบเสียงเรียบสวนกับสายตาก่อนจะก้มลงไปกวาดขยะตามเดิม

“พูดแค่ว่าจำได้เฉยๆไม่ได้หรือไงนะ? ฮาเซกาวะ ฟูจิ” หมอนั่นถามซ้ำ ผมยังเงียบ

“แต่ก็เอาเถอะ... ขอพูดตรงๆเลยนะ แกยังจำตอนแข่งยูโดครั้งที่แล้วได้สินะ ตอนนั้นแกทำกับฉันไว้แสบมาก... ตอนนี้ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวล่ะก็ เอาเหรียญทองที่แกได้มาให้ฉัน ฉันจะเอาประดับชมรมยูโดของเซนไดสักหน่อย แล้วพวกฉันจะไม่ทำอะไรแก แล้วก็อย่าได้คิดสู้เชียวนะ ดูให้ดีๆว่าพวกเรามากี่คน” หมอนั่นย้ำจนผมรำคาญ ถ้าพวกประธานพารุ่นน้องสมาชิกใหม่กลับมามันต้องวุ่ยวานกว่าเดิมแน่ๆ ผมเหลือบตาขึ้นมองนิดหน่อยแล้วกวาดใบไม้แห้งต่อ พลางหาวิธีที่ผมจะไม่ต้องสู้ มันน่ารำคาญ จะจัดการกับ 4 คนนี้มันต้องใช้เวลานานมากแน่ๆ คนพวกนี้ไม่ธรรมดา ผมรู้อยู่แก่ใจ ดีไม่ดีผมอาจะแพ้ แต่ผมคงไม่มอบเหรียญทองให้แน่ๆ มันคือสมบัติของชมรม มันคือความภาคภูมิใจของพวกเขาและตัวผมเอง

“เงียบแบบนี้คิดจะกวนประสาทกันหรือไง” หมอนั่นพูดคนเดียวอีกครั้ง

ผมโยนไม้กวาดในมือลงพื้น คนพวกนั้นที่รุมล้อมต่างถอยหนีและเริ่มตั้งการ์ดขึ้นมา ผมแค่เสยผมสีดำที่ปรกหน้าอยู่ ผมรู้แล้วว่าจะทำยังไง ถึงจะหนีสถานการณ์ที่น่ารำคาญนี้ได้
“ถ้าแกอยากได้นักก็ต้องผ่านฉันไปก่อน แต่ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะสู้กับพวกแ- อุ๊บ!” ผมยืนให้หมอนั่นเอาไม้กวาดฟาดผม ให้ตายสิ มันเจ็บเหมือนกันนะ กะให้ตายกันเลยรึไง ผมคิดในใจก่อนที่จะตัดบทหลับตานาทีนั้นมันแยกไม่ออกหรอก ตอนแรกผมกะจะแกล้งหลับ แต่ฟาดซะขนาดนี้ ผมอาจจะได้แสดงบทสมจริงเลยก็ได้ ใช่! นี่แหละแผนของผม ฉลาดมากฟูจิ! แต่มันเสี่ยงตายเกินไปนิดหน่อย

             ผมเหลือบดูรอพวกมันไป พวกมันทั้ง 4 คน เดินออกไปแล้ว แต่ไม่ใช่ทางออก พวกนั้นเดินไปที่มุมอาคาร พวกบ้านั่นคิดว่าผมซ้อนเหรียญทองไว้ตรงนั้นงั้นหรอ ทว่า....
เวรแล้วไง! พวกมันไม่ได้ไปหาเหรียญทอง เด็กผู้หญิงที่ผมไม่คุ้นหน้า น่าจะอยู่ปี1 อันตรายแน่ๆ พวกบ้านั้นมีกัน 4 คน กำลังจะได้หลับสบายๆแล้วแท้ๆ ไม่ได้ยินหรอกว่าพวกบ้านั้นคุยอะไรเธอ ไม่รู้เพราะอยู่ไกลหรือสติของผมกำลังจะหมด ผมกำลังจะไปช่วย แต่มันลุกไม่ไหว ผมจะหลับแล้ว แต่ผมคงไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะผม โดยเฉพาะผู้หญิงท่าทางอ่อนแอแบบ....
เฮ้ย! ผมอุทานในใจ ไม่แน่ใจว่ามันคือภาพหลอนเพราะสติกำลังปลิวหรือเรื่องจริง ผมเห็นพวกนั้นโดนอัดจนน่วม อยากจะดูให้ชัดๆ กว่านี้ เธอเป็นใคร? เด็กใหม่ในชมรมหรอ? ผมเคยเห็นสไตล์การต่อสู้นั้นที่ไหนนะ แต่ไม่ไหวแล้ว ในที่สุดผมก็หลับไป...

------------------------------------------------------

             ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องพยาบาล มันยังมึนหัวอยู่นิดหน่อย แต่จำได้ว่าตอนโดนตีมันไม่น่าจะเจ็บขนาดนี้  ผมนึกถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น ใช่ เหมือนเคยเห็นเธอชก MMA หรือว่าผมคิดไปเอง ผมยังนอนอยู่ หรี่ตาลงจะหลับต่อ เวลาพักผ่อนของผมจริงๆ มันมาแล้ว ทว่า...
เสียงเปิดม่านดังขึ้น! ให้ตายสิ หลับเป็นชั่วโมงไม่เคยมีใครมาเยี่ยม พอกำลังจะได้พัก ผมหันไปเพื่อจะมองว่าเป็นใคร ประธานหรอ

“เอ่อคือ... ขอโทษที่รบกวนนะคะ” เสียงของเด็กสาวคนนั้น ผมจำได้ เธอมากับเจ้าหนุ่มหัวแดง แฟนหรอ? ถึงมีหลายเรื่องที่ฉันอยากจะถาม แต่ไม่ใช่ตอนนี้ได้ไหมนะ

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้หลับ” ผมโกหกตามมารยาท

“เราสองคนเจอคุณสลบที่หลังโรงฝึกยูโดน่ะค่ะเลยพามาส่งห้องพยาบาล แล้วก็...” เธอพูดขึ้น

“ฉันรู้ ไม่ต้องเล่าก็ได้ ขอบใจเธอมากนะที่จัดการเจ้าพวกเซนไดจนหมอบกันหมด” ผมตัดบทด้วยคำขอบคุณ

“เอ๋? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ” เธอเป็นคนที่โกหกได้ไม่เนียนชะมัด

“ไม่ต้องปิดบังหรอก ตอนฉันโดนเล่นงานฉันยังพอมีสติอยู่บ้างเลยเห็นเธอซัดพวกมันซะกระจุยเลย แอบทึ่งเหมือนกันนะ”

“แง... ความลับแตกอีกแล้ว” ผมมองด้วยความงุนงง โจ้งแจ้งขนาดนั้นแต่เธอกลับเรียกมันว่าความลับ

“ฉันไม่แคร์หรอก และไม่คิดจะไปบอกใครแน่นอนวางใจได้” ผมตอบเสียงแห้ง
เธอกับเด็กหนุ่มหัวแดงแนะนำตัวกับผม มารู้ว่าเป็นเด็กปี1 ชื่อ ไซโต้ นางิสะ ส่วนคนผู้ชายชื่อ โทโมโนริ ชินสุเกะ ผมเริ่มสนใจ เด็กปี1 มีความสามารถถึงขนาดนี้ ผมถามเธอว่ามีอะไรจะคุยกับผม คำตอบของเธอทำให้ผมตัดสินลุกขึ้นมานั่ง

“เซนไดคืออะไร แล้วทำไมต้องมีเรื่องกันแบบนั้นด้วย” คำถามนั้นแหละ ผมบรรจงอธิบายทุกรายละเอียดที่ผมรู้ หลางคิดว่าเด็ก 2 คนนี้น่าสนใจมากๆ มันนานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกสนใจใครมากเท่าไหร่

“ฉันขอโทษนะที่ต้องพูดแบบนี้ แต่บางที.. การมาเรียนที่นี่ อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเธอก็ได้”

             คำบอกของผมก่อนจากกับทั้ง 2 คนมันไม่ใช่คำขู่แน่นอน พวกเราทั้ง 3 คนอาจจะเหมือนกัน ผมเข้าใจ 2 คนนี้ดี โดยเฉพาะเด็กที่ชื่อ ไซโต้ นางิสะ เธอเหมือนกับผมอย่างน่าประหลาด การรู้สึกว่าความสามารถของตัวเองคือปมที่ผูกมัดชีวิตเอาไว้ การที่อยากจะเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่อย่างสงบในโรงเรียนแห่งนี้ ผมสงสารพวกเธอจับใจ ทำไมปัญหาที่พวกผู้ใหญ่ในอดีตก่อเอาไว้ถึงถูกปล่อยให้เด็กพวกนี้แบกรับ ผมไม่เคยเข้าใจคำตอบนี้ นั้นคือสาเหตุที่ผมไม่ออกไปสู้ ถึงจะโดนตราหน้าว่าพวกขี้ขลาด แต่จะให้ไปซัดกับใครหน้าไหนก็ไม่รู้ เดิมทีหมอนั่นอาจจะเป็นคนดี แต่สภาพแวดล้อมทำให้นิสัยเปลี่ยนไปก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อา...ผมเจอเด็กที่น่าสนใจทั้ง 2 คนแล้ว มันเหมือนผมได้ย้อนกลับไปมองตัวเองในอดีต คนนึงเข้าโรงเรียนนี้ด้วยเหตุผลที่คล้ายกับผม อีกคนเข้าชมรมที่ตัวเองรักเล่นกีฬาที่คลั่งไคล้ มันเหมือนกับผมมากๆ ผมอยากจะดูว่าพวกเขาจะโตไปในทิศทางไหนในโรงเรียนแห่งนี้ การจับตาดู 2 คนนี้อาจจะเป็นเรื่องแก้เบื่อวิธีใหม่ของผมก็ได้ หวังว่าพวกเขาจะทำให้ผมสนุกได้ไม่มากก็น้อย...

“ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนเอกชนฮิริว”

------------------------------------------------------

             สุดท้าย ผมนะไม่ใช่คนที่เอาแต่เซ็งโลกแล้วใช้ชีวิตสังกะตายไปวันๆ หรอก ผมก็มีเป้าหมายของผม การหาคำตอบของชีวิตในรั้วโรงเรียนที่น่าเบื่อนี้ การทำเพื่อชมรม เพื่อน โรงเรียน คนเราสู้กันเพื่ออะไร? ศักดิ์ศรี? สิทธิ? อำนาจ? ชื่อเสียง? ความฝัน? เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอก แต่ผมก็อยากเก่งขึ้นเหมือนกัน นักเรียนทุกคนที่เข้าเรียนที่นี้มีตราบาปติดตัวให้ต้องสู้ อยู่ที่ว่าจะสู้เพื่ออะไร ตอนเข้ามาที่นี่ใหม่ๆ ผมอยากจะฝึกยูโดให้เก่งขึ้น อยากติดทีมชาติญี่ปุ่นไปคว้าเหรียญทองโอลิมปิก แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจ ว่าผมต้องการอะไร.....
ขึ้นไปข้างบน Go down
 
Rumble School : The story you don't know about “Hasegawa Fuji”
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» [Side Story] Rumble School :: My name is Hayate
» Rumble School : 12
» Rumble School : 1
» Rumble School : 13
» Rumble School : 2

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: