Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire VIII

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire VIII Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire VIII   Cataclysm: The Endless Hellfire VIII EmptyWed Aug 31, 2016 11:46 pm

Cataclysm: Endless Hellfire
Act VIII

------------

  เครื่องดื่มสีอำพันไหลรินจากกาน้ำสู่แก้วเซรามิคชั้นดีที่มีแต่พวกชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีกัน หญิงสาวผมแดงใช้มือจับแก้วใบนั้นรับชาร้อนก่อนจะสูดถึงกลิ่นที่อยู่ตามไอร้อนที่ระเหยขึ้น เมื่อนั้นเธอจึงดื่มด่ำไปกับรสชาติของเครื่องดื่ม ก่อนที่องค์กษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มจะวางกาน้ำนั้นลง หยิบแก้วน้ำชาของตนขึ้น มองที่มันเหมือนกับกำลังเหม่อลอยไปตามความคิดที่วนอยู่ในหัว ณ ตอนนี้สตรีผมแดงนามชารอน ผู้ซึ่งเป็นแขกรับเชิญสู่พระราชวังแห่งเมืองหลวงกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกพร้อมกับโครนอสผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่ส่องเข้ามายังกระจกสะท้อนเข้าสู่กำแพงของห้องที่มีสีสว่างจนทำให้ห้องดูปลอดโปร่ง ทำให้บรรยากาศของห้องที่ดูเงียบงันไม่ดูมืดครึ้ม เมื่อนั้นชารอนก็วางแก้วของตนลงบนจานรอง หันไปมององค์ราชาที่ยกกาขึ้นเตรียมที่จะเสิร์ฟน้ำชาแก้วต่อไป เธอส่ายหน้า บ่งบอกว่าแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว โครนอสที่เห็นการกระทำนั้นก็วางกาน้ำลงเช่นเดียวกับแก้วน้ำชาของเขา

“จะว่าไป... ตอนนี้ท่านก็ดูเปลี่ยนไปมากเลยนะโครนอส” ชารอนกล่าว “ไม่สิ! องค์ฝ่าบาท”
“องค์ฝ่าบาท?” โครนอสขานตอบ “ท่านไม่จำเป็นต้องเรียกข้าด้วยนามแบบนั้นหรอก”
“เพราะยังไงเสียข้าก็ยังเป็นแค่นักรบที่รับใช้ท่านอยู่ดี”

ชารอนมองด้วยหางตาของหล่อน ก่อนที่เธอจะครุ่นคิดถึงอะไรสักอย่าง

“นี่หาใช่ยุคนั้นแล้วนะโครนอส” เธอเอ่ยขึ้น “และข้าก็หาใช่ผู้ดีมีศักดิ์เหมือนครั้งครานั้น”
“เครื่องแต่งกายที่สูงศักดิ์ ชื่อเสียงอันมากโขที่ท่านได้รับมา..”
“ประสบการณ์ที่ท่านอยู่มานาน รับรู้ถึงกาลอันใดยิ่งกว่าตัวข้า”
“ตอนนี้ข้าเป็นแค่หญิงสาวผู้หนึ่งต่อโลกที่กว้างใหญ่นี้แล้ว”

  สิ้นสุดวาจาเหล่านั้นของหญิงสาวผมทับทิม เธอหันสายตาไปมองชายผู้เป็นองค์กษัตริย์ สายตาที่แสดงถึงความเคารพ มันดูจริงจังจนทำให้คำพูดของเธอดูมีน้ำหนักขึ้นอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่เธอพูดเหล่านั้นมันก็ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น การแต่งตัวของหญิงสาวที่ดูเป็นปกติกับผู้เป็นเจ้าแผ่นดินที่เต็มไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ เครื่องเพชรเหรียญตาและอะไรต่างๆ อีกทั้งตัวเธอนั้นเหมือนกับเป็นหญิงที่ไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นใดๆ ณ ปัจจุบัน ท่าทางการแสดงออกที่งุนงงถึงอะไรต่างๆ จนราวกับว่าตนเองไม่ได้มาจากยุคนี้ เธอไม่รู้ถึงอะไรทั้งสิ้นต่างจากที่โครนอสรู้เห็นอยู่มาเป็นเวลานาน ยิ่งด้วยความที่ตัวเขาเป็นผู้นำทวีปแห่งนี้ยิ่งทำให้ตัวเขาเองรู้ถึงข่าวสารความเป็นมาทั่วดินแดนด้วย คำพูดเหล่านั้นทำให้โครนอสยิ้มอ่อนๆ ราวกับว่าทั้งดีใจไปกับมันและรู้สึกแปลกๆ ไปด้วยเช่นกัน รอยยิ้มที่ดูเหมือนกับว่ามันจะไม่ได้ออกมาอย่างเป็นสุขโดยแท้จริง เมื่อนั้นโครนอสก็หันไปหาเธอเช่นกัน ก่อนที่จะเปล่งวาจาของตนขึ้น

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีวันที่มือขวาแห่งโคลริม นักรบเกรียงไกรเช่นท่านจะน้อมรับต่อข้า”
“แต่ช่างเถอะ...” เขากล่าวต่อ “ข้าสงสัยเสียมากกว่าว่าท่านหายไปไหน และทำไมท่านจึงอยู่ในสภาพนี้?”

  คำถามที่เปล่งออกมาจากปากขององค์ราชาทำให้หญิงสาวนิ่งไป ราวกับว่าเธอกำลังพยายามที่จะหาคำตอบที่ดูเหมาะสมที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตอบอะไรแบบนั้นไป เพราะมันอาจจะทำให้ผู้รับฟังไม่เชื่อและกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปเลยก็ได้ การที่จะครุ่นคิดเรียบเรียงคำพูดก็น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด หากจะเงียบไปเลยก็คงจะกระไรอยู่ นั่นเพราะผู้ตั้งคำถามเป็นถึงองค์กษัตริย์อีกทั้งยังเป็นอดีตผู้ร่วมสงครามเมื่อคราก่อน มันออกจะเสียมารยาทไปหน่อยหากจะไม่ตอบคำถามจากบุคคลนี้ ทางด้านของโครนอสก็เห็นทีท่าว่าเธอนั้นเงียบไป เขาไม่แน่ใจว่าเธอพยายามเลี่ยงที่จะไม่ตอบมันด้วยความเงียบหรือว่าครุ่นคิดอยู่ ถึงกระนั้นโครนอสก็ไม่ได้แสดงท่าทางใดๆ ออกมาราวกับรอให้เธอแสดงอาการออกมาก่อนเขาจึงจะคล้อยตามการกระทำนั้นๆ

  ท่าทางที่นิ่งไปราวกับถูกสะกลจนกลายเป็นหินกล้าของหญิงสาว มือที่หล่อนยกขึ้นมาหน้าริวฝีปาก สันหลังที่โค้งไปข้างหน้าทั้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สามารถพิงได้สบาย มันเป็นท่าทางการคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ผู้เป็นเจ้าของสถานที่หาได้เอ่ยวาจาใดๆ กับการกระทำเหล่านั้น

“หากท่านไม่ประสงค์ที่จะกล่าวอันใด ข้าก็ไม่บังคับท่านหรอกนะ”
“ข้าเพียงแค่กำลังคิดน่ะ” เธอกล่าวตอบ “ท่านพอจะเคยได้ยินเรื่องผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยนหรือเปล่า?”

โครนอสแสดงถึงความงุนงงกับคำถามที่จู่ๆ ก็ถูกแทรกขึ้นมาระหว่างกลางคำถามของเขาเอง

“ข้าพอจะเคยได้ยินนะ” เขาตอบ “แล้วมันมีอะไรเกี่ยวข้องกับคำถามของข้างั้นหรือ?”

  หญิงสาวผมแดงจ้องมองไปทางองค์ราชาอย่างชัดเจน มิทันไรเธอก็หยิบแก้วน้ำชาขึ้น ยกมันขึ้นเหนือผิวโต๊ะก่อนที่องค์ราชาจะรินเครื่องดื่มให้แก่หล่อนอีกครั้ง ชานั้นมันหาได้ร้อนเหมือนเมื่อครู่นี้ แต่มันก็ยังมากพอที่จะทำให้ผู้ดื่มรู้สึกดื่มด่ำไปกับรสชาติของเครื่องดื่มนี้ เมื่อนั้นเธอก็จิบของเหลวสีน้ำตาลในแก้วน้ำของหล่อนและก็วางมันลงไปบนจานรองนั้นอีกครั้ง

“เท่าที่ข้าพอจำได้ ครั้งสุดท้ายที่ข้าคุยกับนายท่านโคลริม...” จู่ๆ เธอก็กล่าวขึ้น
“ท่านบอกข้าท่านคือผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยน”
“แล้วยังไงต่อ?” โครนอสเอ่ยถาม

  หญิงสาวก้มลงไปดูสร้อยคอของตน ถอดมันออกมา มันเป็นสร้อยคอที่คุ้นเคยถ้าหากว่าบุคคลนั้นๆ เป็นหนึ่งในผู้ที่สนิทสนมกับเทพแห่งสงครามเมื่อครั้งนั้น อย่างที่ทราบกันว่าผู้ที่เคยเป็นเจ้าของสร้อยคอเส้นนั้นคือโคลริมเอง และเขาก็มอบมันให้กับชารอนในการสนทนาครั้งสุดท้ายของพวกเขา มันคือสร้อยเดียวกันกับสิ่งที่เนลเรี่ยนเคยพูดถึงว่าเป็นสร้อยคอในตำนานที่แทบไม่รู้อยู่ว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่ เธอยื่นมันให้องค์กษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มได้ประจักษ์ เขาตรวจสอบสร้อยคอนั้นสักพัก มือที่ลูบคลำผิวทองของสร้อย สีเครื่องเพชรที่สะท้อนจากแสงอาทิตย์สว่างไสวแลดูสวยงาม ก่อนที่จะหันไปมองชารอนด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เป็นสีหน้าที่จริงจังกว่าเมื่อตอนที่เขาตั้งคำถามไปเมื่อครู่ สีหน้าที่ราบกับว่าเขาประจักษ์ถึงสิ่งที่เธอพยายามจะสื่อ การกระทำนี้มันอาจจะเป็นคำตอบแทนคำพูดที่องค์ราชาต้องการก็เป็นได้

“เขาส่งมอบหน้าที่นั้นให้แก่ท่าน?” โครนอสกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่บรรลุถึงความจริง

  เธอพยักหน้าตอบกลับ ไร้ซึ่งวาจาใดๆ ที่แผ่วออกมาจากปากของชารอน เมื่อนั้นโครนอสจึงส่งยื่นสร้อยคอแห่งคาดาลเส้นนั้นกลับคืนไปให้หล่อน เธอหยิบมันก่อนที่จะวางลงไปบนโต๊ะ

“เหตุที่ข้ายังหาได้แก่เฒ่าไปแม้แต่น้อยเลยนั่นเป็นเพราะเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ท่านโคลริมให้ข้าใช้งาน” เธอกล่าว
“มันเหมือนจะเป็นเครื่องมือในการจำศีลโดยที่ไม่ทำให้ผู้ใช้งานแก่เฒ่าไปตามกาลเวลา”
“แต่ถึงกระนั้น ในช่วงเวลาการใช้งานนั่นเองข้าจะสูญเสียความนึกคิด ตกอยู่ในภวังค์จนกว่าจะถูกปลุกขึ้น”

“ปลุกขึ้น?” โครนอสกล่าวถาม “จากอะไร?”

“ข้าก็ไม่แน่ใจว่าข้าจะถูกปลุกขึ้นได้จากอะไร” เธอเอ่ย
“แต่ตัวข้าจำได้เพียงแค่ว่าท่านโคลริมเคยกล่าวไว้ว่าเหตุผลที่ข้าได้รับหน้าที่นั่นเป็นเพราะ..”
“ไซอาลอท ไฟร์วอร์คเกอร์”

  นามที่หลุดออกมาจากหญิงผมแดงทำให้โครนอสตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินอะไรแบบนั้น อะไรมันจะมาบังเอิญแบบนี้ ทั้งเรื่องดาบของเขาที่ก่อปราณสีแดงอีกทั้งยังส่องแสงเตือนภัยอยู่บ่อยครั้ง ทั้งปราณของมารเพลิงที่แกร่งขึ้นทุกวี่ทุกวันจากดาบแห่งโครนอส ไหนจะเรื่องของหล่อนอีก ทุกอย่างนี้มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน มันไม่เหมือนเรื่องที่จะอยู่ๆ จะเกิดขึ้นได้เลย มันราวกับว่ามันถูกกำหนดให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่ต้น หรือว่าคำพยากรณ์ที่ชายชราเฒ่าเคยว่าไว้แก่หญิงสาวผู้เป็นมือขวาของเธอจะเป็นจริงขึ้นมา วันที่มารเพลิงแห่งความตายจะตื่นขึ้นมาจากพันธนาการ ลุกขึ้นมาเพื่อจะบรรลุสิ่งที่เขาต้องการ ชายผู้เป็นองค์กษัตริย์แสดงปฏิกริยาตอบรับคำพูดของหล่อนด้วยสีหน้าที่จริงจัง เขาครุ่นคิดไปเรื่อย ถ้าหากสิ่งเหล่านี้มันเป็นสัญญาณล่ะ สัญญาณที่ว่าทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการให้มันเป็นก็ตามที

  ความเป็นกังวลอยู่ตลอด มันทำให้เขานอนไม่หลับมาหลายวัน ทุกวันเขาต้องภาวนาว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นเหล่านั้นมันเป็นแค่ความคิดไปเอง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ทุกอย่างมันชัดเจน เหลือเพียงแค่เวลาและแผนการณ์ที่เขาจะสามารถคิดได้เพื่อยับยั้งไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ สายตาของชายผู้เป็นใหญ่แห่งดินแดงสตอร์มโฮล์มหันไปมองสร้อยคอของชารอนที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนที่จะหันไปมองอาวุธของตน

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” หญิงสาวผมแดงถาม
“ข้า...” เสียงของโครนอสดูตะกุกตะกัก “ทุกอย่างมันกำลังจะเกิดขึ้น”
“ท่านหมายความว่าอะไรหรอคะ?”
“ข้าพอที่จะเข้าใจแล้ว... ว่าทำไมท่านถึงถูกปลุกขึ้นมา”

  เมื่อโครนอสกล่าวประโยคนั้น มันกลายเป็นจุดสร้างความสนใจให้แก่สตรีผู้นี้ เธอมองโครนอสที่ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ เดินไปหยิบดาบของตนที่พิงอยู่กับมุมห้องใกล้หน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นแหลมมรกตแห่งดินแดนเบรสซิ่ง สปริงได้ เขามองไปยังแหลมนั้น มันดูราวกับเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นแล้วและวนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้ง ทุกครั้งที่มีการพูดคุยเกี่ยวกับมารเพลิง องค์ราชามักจะหันไปมองแหลมนั่นพร้อมกับความคิดที่ตื่นกลัวถึงมันอยู่ตลอด ครั้งแรกกับข้ารับใช้ของเขา ครั้งต่อมาก็เป็นบุตรบุญธรรมของเขาเอง และในครั้งนี้ก็เป็นกับหญิงสาวที่รู้จักกันมานาน ชารอนสามารถสังเกตถึงการกระทำของโครนอส เธอเริ่มหันไปมองหินแหลมเดียวกับที่เขากำลังมองมันอยู่ เธอลุกตัวขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปใกล้ทิวทัศน์เพื่อที่จะสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“ท่านสัมผัสมันได้สินะ?” โครนอสกล่าวถาม
“ใช่” เธอตอบ “ข้าเกรงว่ามารตนนั้นจะกลับมาในไม่ช้านี้”
“แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมนายท่านถึงเลือกข้าให้เป็นผู้พิทักษ์คนนั้น”
“เพราะท่านคือผู้ที่เก่งที่สุดในหมู่เราทั้งหมดน่ะสิ” เขาตอบ

“แล้วเราจะทำยังไงต่อไป?” โครนอสถาม
“ข้าไม่รู้สิ..” เธอตอบ
“แต่ข้าต้องไปที่หินแหลมนั่นเพื่อให้มั่นใจว่ามารเพลิงตนนั้นจะไม่ผุดไม่เกิดขึ้นมาอีก”

------------

  ชายผมขาวผู้เป็นแม่ทัพแห่งสตอร์มโฮล์มกำลังแบกร่างของหญิงสาวผมน้ำตาลผู้ที่ไร้ปราณไปตามทางถนนในดินแดนมรกต ด้วยร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยของเขาจึงทำให้ชายผมขาวผู้นี้ขยับตัวอย่างลำบาก โบล์ทใช้มืออีกข้างหนึ่งนาฬิกาของเขาขึ้นมา ดูเวลาอีกครั้ง ณ ตอนนี้มันห่างจากครั้งแรกที่เขาดูมันได้ประมาณสองชั่วโมงเห็นจะได้ มันเป็นช่วงบ่ายต้นๆ แต่ด้วยใบไม้ใหญ่ที่เป็นร่มบังแสงแดดจึงไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนนี้รู้สึกร้อนสักเท่าไหร่ เขาเดินไปได้สักระยะจนเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ เมื่อนั้นเขาจึงวางร่างของหญิงสาวผมน้ำตาลลงบนผืนหญ้า เขาใช้ผ้าคลุมที่ตนใส่มาด้วยในการเป็นหมอนให้แก่หล่อน ก่อนที่จะพิงตัวลงที่ต้นไม้ที่ตั้งขึ้นจากผืนดิน เขาถอนหายใจออกมา แสดงถึงความเหนื่อยล้าที่ได้รับมาจากการต่อสู้เมื่อครู่ ด้วยลมอ่อนๆ ที่พัดไหวไปตามอากาศทำให้เกิดความเย็นสบายต่อผู้พักผ่อน เขาค่อยๆ ปิดตาตัวเองลง เข้าสู่ภวังค์ในโลกแห่งความฝัน

  ไม่ทันไรเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา หันไปมองรอบข้างราวกับว่ากลัวว่าจะมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับตัวเขา เหมือนกับว่าเขาจะจำวาจาของหญิงสามนามมาเดียร่าได้ว่าหากนอนอยู่ในที่แบบนี้มันเป็นอันตรายขนาดไหน เนื่องด้วยมีสัตว์ร้ายและเหล่าสัตว์พิษเต็มไปหมด การที่ทั้งคู่จะมานอนโดยไม่มีใครตรวจตรามันย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ เขาจึงตัดสินใจให้ตัวเองเป็นผู้คอยดูสถานการณ์ในขณะที่เธอกำลังหลับไหลจะดีกว่า ไม่นานนักเขาก็แสดงถึงความเจ็บปวดราวกับโดนอะไรสักอย่างกัดเข้าให้ เขาจับช่วงไหล่ข้างขวานั้น ปลดกระดุมคอเสื้อออกก่อนที่จะดึงคอเสื้อลงเพื่อตรวจเช็คว่าอาการบาดเจ็บนั้นคืออะไร มันก่อเป็นแผลรูเล็กๆ ราวกับโดนอะไรสักอย่างกัดกินเนื้อเยื่อของเขา โบล์ทสามารถมองเห็นปราณสีเขียวอ่อนๆ อยู่ในบริเวณนั้น มันขยับอยู่ตลอดเวลาราวกับว่ามีชีวิต มีการควบคุมด้วยตัวเองเฉกเช่นเดียวกับสัตว์ ดูเหมือนว่าปราณนั้นจะได้มาจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้

  หลังจากที่ชายผมขาวประจักษ์ถึงปราณแห่งบาปที่เกาะติดร่างของเขาราวกับเป็นปรสิต ชายผู้นั้นก็ล้วงกระเป๋าของเขาและหยิบกล่องกลมออกมา เขาเปิดฝามันออกซึ่งข้างในมันเป็นยาเม็ด ที่รอบของกล่องกลมนั้นถูกแปะด้วยกระดาษพร้อมกับตัวหนังสือที่เขียนกำกับไว้ว่า “สมุนไพรเสริมปราณ” เขาเทกล่องนั้นลงไหลออกมาซึ่งยาเม็ดสองเม็ดก่อนที่เขาจะจับมันเข้าปาก กลืนลงไปโดยไม่ใช้น้ำเข้าช่วย สักพักสภาพร่างกายของชายผู้นี้ก็ดูเหมือนจะมีแรงขึ้นมามากกว่าเดิม สีผิวที่เริ่มกลับมาอยู่ในสีเดิมจากที่เมื่อครู่มันออกจะซีดเผือก การหายใจหอบของเขาที่เขากระทำไปเมื่อครู่ก็ค่อยๆ ลดหายไป โบล์ทเริ่มหายใจสะดวกยิ่งขึ้น ก่อนที่จะยกขึ้นข้างหนึ่งขึ้นมา เขาชี้นิ้วชี้และกลางขึ้นในระหว่างที่เก็บนิ้วอื่นเข้าไป ที่นิ้วทั้งสองข้างของเขาที่ตั้งขึ้นมาผุดขึ้นมาซึ่งปราณสีฟ้าอ่อนๆ มันดูแหลมราวกับเป็นคมมีดเพื่อใช้ตัดอะไรสักอย่าง

  ทันใดนั้นโบล์ทก็หันไปมองแผลที่ถูกกัดกินโดยปราณสีเขียวนั้น ก่อนที่จะใช้นิ้วของเขาวางลงไปบนเนื้อเยื่อนั้น เขาเริ่มใช้มีดปราณเฉือนผิวหนังของเขาไปสู่เนื้อ มันก่อความเจ็บปวดให้กับอัศวินผู้นี้ เขากัดฟันแสดงถึงความอดทนต่อความทรมาณที่ตนได้รับก่อนที่จะค่อยๆ ตัดเนื้อเยื่อส่วนนั้นไปช้าๆ โลหิตที่ไหลรินออกมาจากแผลคมมีดนั้นหยาดลงสู่ผืนหญ้า แม้แต่คมมีดปราณสีฟ้าเองก็ยังมีคราบเลือดติดอยู่ เขาตัดช่วงที่เป็นบาดแผลออกไปราบกับว่ากำลังตัดเนื้อเยื่อ คมมีดที่เฉือนอย่างแรงในนาทีสุดท้ายเพื่อทำให้ความทรมาณของตนหายไปทำให้ชายผู้นี้กรีดร้องอย่างดัง แล้วจากนั้นมีดปราณที่นิ้วทั้งสองข้างของเขาก็ค่อยๆ สลายไป เขายังใช้มือข้างนั้นวางทับลงบนแผลอยู่ก่อนที่จะเพ่งพลังปราณลงสูู่มือ มันก่อเป็นปราณสีเดิมอย่างเดิมอีกครั้งและกดลงไปบนแผล โบล์ทร้องออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บแต่ถึงกระนั้นเลือดที่ไหลออกมาก็หยุดลงทันที

  นั่นเป็นวิธีการรักษาเบื้องต้นหากใครก็ตามถูกพลังแห่งบาปกัดกินที่ผิวหนัง เนื่องด้วยเพราะว่าพลังธาตุนี้เป็นธาตุพิเศษไม่เหมือนกับธาตุอื่นๆ มันดูราวกับว่ามันมีชีวิตเป็นตัวของมันเอง เป็นปรสิทที่ค่อยกัดกินร่างที่เกาะทั้งปราณและเนื้อทุกส่วนในบริเวณนั้น และมันจะไม่หยุดจนกว่าพลังนั้นจะสลายไป กลับกันหากมันได้รับอาหารเรื่อยๆ มันก็จะเริ่มเติบโตและกัดกินผู้ใช้ปราณจนเหนื่อยหอบและสามารถเสียชีวิตได้ในที่สุด การรักษาเบื้องต้นนี้ได้รับมาจากโครนอสเอง เนื่องจากเขามีประสบการณ์ที่เคยต่อสู้กับเหล่ามารปีศาจร้ายเมื่อสงครามครั้งก่อนมานับไม่ถ้วน มันจึงเป็นคำพูดที่น่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี เหมือนว่าโบล์ทจะได้รับคำสอนนี้มาจากตัวโครนอสเองในระหว่างที่พวกเขาฝึกฝนการต่อสู้เมื่อครั้งโบล์ทยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นอยู่ เหมือนว่าเขาจะได้รับอะไรหลายอย่างมาจากผู้เป็นองค์กษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์ม ไม่ว่าจะเป็นคำสอนหรือว่ากระบวนท่าการต่อสู้ทุกอย่าง หลังจากที่เขาทำการรักษาเบื้องต้นจนเสร็จ เขาก็ถอนหายใจออกด้วยความเหนื่อย

  ไม่นานนักหญิงสาวที่สลบไสลอยู่ในภวังค์แห่งความฝันก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา ตาของเธอพร่ามัว มองอะไรไม่ค่อยเห็น ก่อนที่เธอจะขยี้ตาเหมือนกับคนปกติที่ตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่ มาเดียร่ามองไปยังชายหนุ่มผมสีขาว เธอเห็นรอยแผลนั้นก่อนที่จะแสดงสีหน้าที่ตกใจ เสียงอุทานของหล่อนทำให้ชายผู้นั้นรู้ตัวว่าเธอตื่น ไม่ทันไรเธอจึงเดินเข้าไปดูอาการแผลนั้น มันทำให้โบล์ทเกิดความสงสัยเป็นอย่างมากว่าเธอคิดจะทำอะไร

“นี่ท่าน...” เธอเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก” เขาตอบกลับ “ตัวเจ้าเองตะหากล่ะเป็นอะไรรึเปล่า?”
“ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดหรอก”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น...” จู่ๆ โบล์ทก็พูดสวนขึ้นมา

เธอไม่ตอบอะไรกลับไป มาเดียร่าเงียบปากลงและเอามือของตนวางลงบนแผลของโบล์ท

“นั่นเจ้าจะทำอะไรน่ะ?”

  หญิงสาวผู้นั้นหาได้ตอบกลับโบล์ทด้วยวาจาอันใด จู่ๆ ร่างที่ไร้ปราณของหญิงสาวร่างเล็กผู้นี้ก็ไหลพุ่งซึ่งพลังออกมาจนโบล์ทสามารถสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน ทั่วมือของหล่อนที่กดทับแผลนั้นมีปราณไหลรินออกมา มันเป็นปราณที่ดูสีเขียวสว่างที่ดูสง่างาม ต่างจากปราณแห่งบาปไปเลยอย่างสิ้นเชิง ชายผมขาวผู้สัมผัสถึงปราณนั้นรู้สึกถึงอะไรที่ต่างออกไปจากปราณอื่นๆ มันทำให้เขารู้สึกถึงชีวิต แผลที่ถูกกดนั้นเริ่มสมานเข้า รักษาตัวเองราวกับถูกฟื้นฟูด้วยอะไรสักอย่างให้เร็วขึ้นเป็นหลายเท่าตัว ไม่นานนักเธอก็ลดพลังปราณลง เก็บทั้งสองข้างที่กดลงไปเก็บเข้าไปไว้กับตัว ไหล่ข้างขวาของโบล์ทที่เป็นแผลเมื่อครู่นี้หลายเป็นปลิดทิ้ง ราวกับว่ามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด ชายผมขาวแสดงถึงความตกใจอย่างชัดเจน สายตาของเขาเบิกโพลงเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น แถมตัวเขายังไม่สามารถสัมผัสปราณของเธอได้เลยสักนิด

  หากพูดถึงหลักการพลังของหญิงนามมาเดียร่าแล้ว จากที่โบล์ทรู้สึกด้วยตัวเองแล้ว เขาสัมผัสได้ว่ามันเหมือนกับปราณแห่งบาปอยู่ประการนึงนั่นคือการที่ปราณนั้นเหมือนกับว่ามันมีชีวิตด้วยตัวของมันเอง แต่ต่างตรงที่พลังที่เขาเพิ่งสัมผัสนี้มันเหมือนเป็นพลังแห่งชีวิต พลังที่ใช้ฟื้นฟู รักษา ต่างจากพลังแห่งความตายนั้นที่เป็นพลังที่คอยกัดกินสสารอื่นๆ หลังจากที่หล่อนทำการรักษาบาดแผลนั้นให้แก่ชายผมขาวเสร็จ เธอก็นั่งลงไปกับพื้น หาได้กล่าววาจาใดๆ

“มันเกิดอะไรขึ้น?” เขาถาม
“ข้าพอจะรู้วิธีรักษาบาดแผลเบื้องต้นน่ะคะ” เธอตอบ “แม่ของข้าสอนไว้ตั้งแต่ข้ายังเล็ก”

   รักษาพลังเบื้องต้นงั้นหรอ ด้วยพลังปราณระดับนั้นมันไม่ใช่การรักษาเบื้องต้นแล้วแต่ถึงกระนั้นเองก็ดูเหมือนว่าเธอนั้นพูดความจริงเหมือนกัน ราวกับว่าหล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหล่อนกำลังมีพลังอะไรบางอย่างอยู่ ด้วยสิ่งที่โบล์ทประจักษ์ด้วยตัวเอง ทั้งปราณแห่งชีวิตนั้น ทั้งพวกเศษไม้ร่างมนุษย์ ไหนจะตัวตนของหล่อนที่จะไร้ปราณที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างถ้าหากไม่ใช่มันอีก มันคงเป็นเหตุผลได้เลยว่าเธอคือคนพิเศษที่เหล่าพวกนักบาปเมื่อครู่ต้องการตัวเป็นอย่างมาก แต่เหตุฉะไหนหญิงสาวผมสีน้ำตาลผู้นี้ถึงไม่รู้้ที่มาของพลังของตัวเองได้ล่ะ จากการที่เธอตอบมันเหมือนกับว่าเธอคิดว่านั่นเป็นแค่ปราณธรรมดาแต่วิธีการรักษาเบื้องต้นธรรมดาด้วยปราณมันสามารถที่จะสมานแผลได้อย่างสมบูรณ์ขนาดนั้นได้ยังไง ระดับเบื้องต้นโดยปกติแล้วมันก็ไม่ต่างจากที่โบล์ทเพิ่งกระทำไปเมื่อครู่หรอก แล้วครอบครัวของหล่อนล่ะรู้ถึงว่าบุตรสาวของพวกเขามีพลังนี้หรือเปล่า บางทีพวกเขาอาจจะปิดบังไม่ไห้หญิงสาวผู้นี้ประจักษ์ถึงพลังตนเพื่อไม่ให้มีภัยอันใดก็ได้

  คำถาม ความสงสัยที่มีมากล้นอยู่เต็มหัว ถึงแม้ว่าอัศวินผมขาวผู้นี้อยากจะถามมันออกไปเพื่อให้ไขถึงความกระจ่างก็ตาม แต่มันก็ดูไม่เห็นหนทางที่จะได้คำตอบเหล่านั้นจากหญิงสาวไร้เดียงสาผู้นี้เลย

“ข้าไม่ได้หมายถึงการที่เจ้ารักษาให้ข้า...” โบล์ทกล่าวขึ้นมา
“ข้าหมายถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นตะหาก”

  วาจานั้นทำให้หญิงสาวก้มลงไป เธอกอดเขาของตนเองราวกับกำลังเสียใจกับเรื่องอะไรสักอย่าง แต่ถึงไม่บอกก็รู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ มันเป็นเรื่องที่ทำใจยากอยู่แล้วสำหรับคนเราแถมยิ่งเป็นหญิงสาววัยช่วงนี้อีกด้วยมันยิ่งจะเป็นแผลในใจให้เธอไปอีกนานเลย โบล์ทเงียบไปหลังจากคำถามนั้น เขาก้มลองมองหญิงสาวผู้นั้นไร้ซึ่งวาจาใดๆ ที่จะสื่อออกมา ชายผมขาวค่อยๆ ลุกขึ้น หันไปมองรอบข้างก่อนที่จะคิดอะไรอย่างนึงได้ เขาล้วงกระเป๋าออกมาซึ่งนั่นเป็นล็อกเก็ตอะไรสักอย่าง เขายื่นมันให้กับเธอ เมื่อหญิงสาวผู้นั้นเห็นสิ่งนั้น เธอจึงหันไปมองใบหน้าของชายผมขาวผู้นั้น

“ข้าคิดว่านี่มันอาจจะเป็นของมารดาเจ้า” เขาเอ่ย

หลังจากวาจาคำกล่าวนั้นเธอก็หยิบล็อกเก็ตนั้นมาใส่ไว้กระเป๋าของตนแล้วหล่อนก็ค่อยๆ ลุกขึ้้นมา สลัดความโศกเศร้าก่อนที่จะสูดอากาศแห่งดินแดนมรกตแห่งนี้

“ข้าขอบใจท่านมากนะ” เธอกล่าวมันขึ้น

  โบล์ทไม่ได้ตอบอะไรกลับ เขาเพียงแค่ยิ้มออกมา เหมือนว่าชายผู้นี้จะไม่ค่อยถนัดในเรื่องการยิ้มเท่าไหร่มันจึงทำให้รอยยิ้มนั้นออกมาไม่ค่อยดี ถึงกระนั้นก็ถือว่าใช้เจตนาแทนการกระทำแล้วกัน เมื่อนั้นโบล์ทจึงหยิบผ้าคลุมของตนที่ใช้เป็นหมอนของหญิงสาวผู้นั้นไปเมื่อครู่ก่อนที่จะคลุมมันก่อนที่จะเริ่มเดินไปตามทางถนน แต่ไม่ทันไรหญิงสาวผู้นั้นก็เดินตามหลังของชายผู้นั้นทันที มันทำให้โบล์ทรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อยเหมือนกันที่จู่ๆ หล่อนจะเดินตามมาซะทั้งยั้งงั้น

“เจ้า...” โบล์ทกล่าว
“ข้า... ไม่มีที่ไปแล้ว...” เธอกล่าว
“ข้าขอรบกวนเดินทางไปกับท่านได้หรือเปล่าคะ?”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire VIII
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire I
» Cataclysm: The Endless Hellfire II
» Cataclysm: The Endless Hellfire XIX
» Cataclysm: The Endless Hellfire III
» Cataclysm: The Endless Hellfire XX

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: