Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire XIII

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XIII Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire XIII   Cataclysm: The Endless Hellfire XIII EmptySun Oct 09, 2016 9:55 pm

Cataclysm: Endless Hellfire
Act XIII

------------

“อ๊ากกกก”

  เสียงของชายหนุ่มลุกขึ้นมาจากภวังค์ในยามค่ำคืน ภายในห้องที่ชายผู้นั้นพักผ่อนอยู่มันเป็นห้องที่มืด มีเพียงแสงจันทราที่สาดส่องกระทบสู่กระจกและทะลุเข้าไปภายในห้อง แสงที่สามารถเข้าถึงภายในห้องนั้นกระทบสู่พื้นอิฐของสิ่งปลูกสร้าง หรือไม่ก็ส่องไปถูกผิวหนังของเด็กหนุ่มผู้นั้น เขาลูบศีรษะของตนเป็นการแสดงถึงความวิตกของตน เขาหันไปมองนอกกระจก มองออกไปยังหินแหลมสีทับทิมก่อนจะหันกลับมา หยิบแว่นที่วางอยู่เหนือเตียงก่อนจะสวมใส่มัน ชายผู้นั้นคือเด็กหนุ่มบรรณารักษ์แห่งดินแดนสตอร์มโฮล์ม ผู้วึ่งทำลายเมืองหลวงไปส่วนนึงจากความบ้าคลั่งของเขา ถ้าพูดให้ถูกคือเขามิสามารถควบคุมพลังแห่งบาปที่สิงสถิตอยู่กับตัวเองได้ เหมือนกับว่าในค่ำคืนนี้เขาจะฝันร้ายอีกแล้ว คงจะเป็นเรื่องอะไรสักอย่างที่ทำให้หนุ่มนามลูเซียสผู้นี้รู้สึกกังวล เขาลุกขึ้นมาจากเตียงในสภาพกึ่งเปลือย เขาใส่เพียงกางเกงขาสั้นในเวลานอนเท่านั้น เพราะเหมือนว่ามันจะทำให้เขารู้สึกสบายกว่าการที่มานอนโดยใส่ชุดหนาแปลกๆ

“ภาพนั้น...” เขาเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ราวกับเป็นการกระซิบให้กับตัวเอง
“ชายผู้หนึ่ง.. ถูกมารแห่งความตายทำลายใบหน้าจนย่อยยับ”
“แถมวาจาเหล่านั้น มันดูราวกับว่ามันกำลังจะมาในไม่ช้านี้!”

  ดั่งเป็นบทสนทนากับเจ้าของเสียงเอง เหมือนกับว่าเขากำลังพูดถึงความฝันของตนเองเมื่อครู่นี้ มันดูคล้ายคลึงกับความฝันของคาสเตอร์เจ้าของสำนักแห่งนักฆ่านั้น มันอาจจะฟังดูแปลกถ้าหากว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีความฝันที่คล้ายคลึงกันในเวลาเดียวกัน แต่โดยหลักการแล้วมันก็ถือว่าเป็นไปได้ ตัวของลูเซียสนั้นมีความคิดเชื่อมผ่านกับเบลล์ทางพลังแห่งบาป แม้จะไม่สามารถรับรู้ถึงความคิดของคนนั้นๆ ได้แต่ก็พอที่จะเชื่อมโยงกันในเรื่องของภวังค์และความคิดที่เหนือความความหยั่งรู้ ตัวคาสเตอร์นั้นเอาพลังส่วนหนึ่งมาจากเบลล์ผ่านการเชื่อมต่อทางพลังแห่งวอยด์ระหว่างมารแห่งบาปและอาวุธชีวภาพนั้น และการที่ความคิด จิตของไซอาลอทจะสามารถผุดโผล่ได้ในมิติของใครสักคนก็จะสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีปราณแห่งบาปปะปนอยู่ในร่างกาย กล่าวคือใครก็ตามที่มีพลังแห่งบาปก็จะเหมือนเห็นความฝันที่เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว คาสเตอร์มีพลังแห่งบาปอยู่ แม้เพียงจะน้อยนิดแต่ก็สามารถทำให้ไซอาลอทเข้าไปมีอิทธิพลได้ เมื่อมันสามารถเป็นแบบนั้นได้ ลูเซียสก็สามารถรับรู้ความฝันนั้นผ่านเข้าสู่ความฝันของตนเอง แม้จะไม่ได้รู้สึกเอง แต่มันจะเป็นภาพที่แสดงให้เห็นราวกับการชมวิดีทัศน์

  ลูเซียสเดินไปท่ามกลางความมืดมิดก่อนที่จะเดินไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือของตน มันมีน้ำเหลืออยู่ในแก้วมากกว่าครึ่ง เขาจึงดื่มมันก่อนที่จะถอนหายใจ นั่งลงไปบนเตียง ตัวเขาแสดงถึงความเหนื่อยล้าแม้ว่าเขาจะเพิ่งพักผ่อนไป หากทว่าอาการเหนื่อยนั้นหาได้เป็นการแสดงออกว่าเขาเหนื่อยทางกาย มันเป็นทางจิตใจของเขาเสียมากกว่าที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ นับแต่ครั้งที่เขาสัมผัสดาบแห่งองค์ราชา เรื่องร้ายๆ ความฝันแปลกๆ รวมไปถึงความอาฆาตจากพลังของตนก็ผุดขึ้นมาแบบไร้ปี่ขลุ่ย แน่นอนว่าอะไรแบบนี้มันย่อมทำให้สภาพจิตใจของใครหลายๆ คนพังไปแน่นอน อาจจะหนักจนถึงขั้นหนีความจริงทุกอย่าง ใช้วิธีตัดสินสุดท้ายนั่นคือการฆ่าตัวตาย แต่เหมือนว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นอะไรที่แปลกไปจากนั้น ราวกับว่าเขาไม่สามารถตายได้ด้วยตัวเอง มันเคยเป็นเรื่องที่ใหญ่พอควรอยู่เหมือนกันจากการที่เขาพยายามจะปลิดชีวิตของตนอยู่หลายครั้งหลายครา นั่นเพราะเขาเป็นบุตรบุญธรรมแห่งกษัตริย์มันจึงเป็นเรื่องที่หนาหูของชาวเมืองไปไม่น้อย แต่ในเหตุการณ์เหล่านั้นก็ไม่สามารถทำให้ชีวิตของหนุ่มผู้นี้สิ้นสุดไปได้ ด้วยพลังที่ถูกเรียกว่า “ดูบาร์น” ปกป้องเขาทุกครั้งที่เจ้าของพลังพยายามจะทำร้ายตัวเอง

  โดยส่วนตัวแล้วลูเซียสเกลียดที่จะมีพลังแบบนี้ เขาเกลียดที่จะใช้ชีวิตโดยที่ใครคนอื่นต่างมองเขาเป็นตัวประหลาด โชคดีที่ชายผู้นี้ได้รับความหวังจากองค์ราชาจึงทำให้เขายังอยู่ในเมืองนี้ได้จนถึงทุกวันนี้ อันที่จริงแล้วการที่เด็กหนุ่มผู้นี้กลายเป็นบรรณารักษ์ได้นั้นก็เป็นความคิดขององค์ราชาเอง เนื่องเพราะเดิมทีลูเซียสเป็นคนที่รักการอ่านมาก ติดนิสัยส่วนนี้มาจากโครนอสครั้นในสมัยที่องค์ราชายังเลี้ยงดูเขาอยู่อย่างไม่ละสายตา มันทำให้ราชาผู้นี้คิดได้ว่าการที่จะทำให้ชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นี้ดีขึ้น ก็ต้องให้เขาออกสู่สังคมภายนอกและทำในสิ่งที่รัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาได้รับงานนี้ เมื่อชาวเมืองเห็นว่าลูเซียสเป็นเด็กที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่เมืองได้เป็นอย่างดี เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากชาวเมือง แถมอีกทั้งการที่เขาเป็นบรรณารักษ์นี่ล่ะจึงทำให้หนุ่มผู้นี้รู้จักกับนักประวัติศาสตร์อย่างเนลเรี่ยนได้ เขาจึงมีชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถอยู่ในสังคมปัจจุบันได้

  แต่ในครั้งนี้มันเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาเคยทำมาทั้งหมดถูกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในพริบตา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ใครหลายๆ คนมองเขาในแบบที่เขาเคยถูกมอง เป็นปีศาจ ถูกดูถูกย่ำยีบ้าง ไร้คนเห็นใจ มันจึงเป็นเหตุที่ทำให้เขากลุ้มใจและไม่กล้าที่จะออกไปจากห้อง ณ เวลานี้หนุ่มผู้นี้ก็หมกตัวอยู่ได้ประมาณวันนึงเต็มๆ แล้ว เขาหาได้กินข้าว ทานอะไรเลย ไร้ความรู้สึกหิวโหย มีเพียงความวิตกกังวลเท่านั้นที่คลุมรอบกายของชายหนุ่มผู้นี้ ไม่ทันไรเขาก็ได้ยินเสียงจากนอกห้อง ดูเหมือนว่าปราสาทกำลังจัดงานเลี้ยงเล็กๆ หรืออะไรสักอย่างที่แลดูคึกครื้นในห้องโถงต้อนรับแขกชั้นล่างของปราสาท ด้วยความที่เขาอยู่ชั้นบนและสามารถมองเห็นห้องนั้นได้อย่างชัดเจน เขาก็แหงนหน้าไปดู ณ จุดๆ นั้น เขาเห็นนักปราชญ์ผมทองนามเนลเรี่ยนถือแก้วไวน์อยู่ข้างหนึ่ง พร้อมกับอีกข้างที่จับขวดเหล้าไว้แน่น ชายผู้นั้นแหกปากราวกับกำลังขับร้องเพลงอยู่ รอบข้างก็มีเหล่าขุนนางคนอื่นๆ ข้ารับใช้มือซ้ายและขวานั่งอยู่ด้วย เด็กหนุ่มผู้ที่กำลังแอบมองยิ้มมุมปากเบาๆ เหมือนมีความคิดที่อยากจะไปร่วมวงด้วย แต่อีกใจนึงเขาก็คิดว่าเป็นแบบที่เป็นอยู่นี้คงเป็นอะไรที่ดีกว่า

“เอี๊ยดดดดดดดด” เสียงของประตูห้องที่พักอาศัยของลูเซียสถูกเปิดออกจากใครสักคน

  เสียงของประตูนั้นดังขึ้นเบาๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ชายผู้เป็นเจ้าของห้องรู้สึกตัว เขายังคงหันหลังให้กับประตูห้อง แหงนดูถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายนอกอยู่ จากนั้นก็มีเสียงฝีก้าวดังตามมาเหมือนกับเป็นเท้าเล็กๆ ของใครสักคน มันดังขึ้นมาเรื่อยๆ ตามระยะทางที่เริ่มเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มผมสีดำ ผู้ที่เดินเข้าไปในห้องนั้นปรากฏเป็นเงาสีดำที่ไม่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาคนนั้นเป็นใคร เงานั้นค่อยๆ เดินไปหาลูเซียสเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้กล่าววาจาใดๆ เมื่อนั้นเงาตนนั้นก็เผลอเหยียบวัตถุที่อยู่บนพื้นห้องนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นดินสอหรืออะไรสักอย่าง มันทำให้บุคคลคนนั้นลื่นล้มไปลงกับผืนดินสร้างเสียงขึ้นมาทำให้เจ้าของห้องรู้ตัว เขาหันขวับไปด้วยความตกใจ มองไปที่เงานั้นที่กุมคอของตนราวกับว่ากำลังเจ็บปวดจากการสะดุดล้มลงไป

“โอ๊ย... เจ็บจัง” มันเป็นเสียงของสตรี
“จะ... เจ้ามาทำอะไรในห้องของข้ากันเนี่ย?!” ลูเซียสตะโกนขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นมา
“ขะ... ข้าขอโทษด้วยเจ้าคะ!” เสียงสตรีกล่าวขึ้น “ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านตกใจ..”

  เจ้าของห้องอาศัยนั้นรีบเปิดไฟที่อยู่ข้างห้องทันที มันปรากฏเป็นหญิงสาวผู้ที่มาพร้อมกับแม่ทัพแห่งสตอร์มโฮล์มเมื่อเช้านี้ หญิงผู้นั้นก็คือมาเดียร่า ผู้ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการคืนชีพมารเพลิงที่ถูกจองจำในแหลมหินทับทิมแห่งแดนไกล มันทำให้ชายหนุ่มผมดำค่อนข้างงุนงงกับการปรากฏตัวของหล่อน ทำไมเธอถึงเข้ามาในห้องของเขาโดยพลการแบบนี้ สีหน้าของหญิงสาวผู้นั้นก็ดูตื่นกลัวเหมือนหล่อนคิดว่าตนจะทำอะไรสักอย่างให้ลูเซียสไม่พอใจขึ้นมา เธอแลดูวิตกกังวลเหมือนเด็กเล็กเวลาทำผิดแล้วกลัวโดนผู้ปกครองของคนด่าเป็นการสั่งสอนยังไงยังงั้น ถึงกระนั้นหนุ่มบรรณารักษ์ผู้นี้ก็หาได้แสดงอาการใดๆ ที่ทำให้เกิดความไม่พอใจเลยสักนิด เขาแลดูสงสัยเสียมากกว่า

“ไม่เป็นไรหรอก” ลูเซียสกล่าว

  เมื่อนั้นเขาจึงยื่นมือไปหาหญิงสาวผู้นั้น เป็นการช่วยเหลือให้เธอลุกขึ้นมาง่ายขึ้น เธอจับมือของเขาก่อนที่ลูเซียสจะดึงร่างของหล่อนขึ้นมา

“ข้านึกว่าเจ้าจะอยู่ในห้องโถง สังสรรค์กับผู้คนในงานเลี้ยงนั่นเสียอีก”
“ปะ.. เปล่าหรอกคะ” เธอตอบ “ที่จริงเมื่อครู่นี้ดิฉันก็อยู่ในห้องนั้นล่ะ”
“แต่ว่าฉันได้ยินองค์ราชาบ่นพึมพำเกี่ยวกับตัวท่าน แลดูเป็นห่วงเอามากๆ ดิฉันจึงอาสาที่จะมาดูท่านน่ะ” เธอกล่าวต่อ
“เจ้าเป็นห่วงข้างั้นหรอ?” ลูเซียสเอ่ยถาม

จู่ๆ ใบหน้าของหญิงสาวก็แดงก่ำราวกับเขินอาย

“ปะ.. เปล่าซะหน่อย!” เธอท้วงขึ้นมา “ข้าก็แค่... มา...” หล่อนเสียงสั่น
“มา?” ชายหนุ่มบรรณารักษ์กล่าวต่อเป็นเหมือนกับการรอคำตอบ

  มันถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่แปลกนักที่เธอจะแสดงอาการเขินอายแบบนั้น สำหรับลูเซียสแล้วเขาก็ดูเป็นหนึ่งในชายที่มีเสน่ห์เหมือนกัน แถมยังอยู่ในสภาพสองต่อสภาพแถมหนุ่มผู้นี้ยังอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยกายอีก มันอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอรู้สึกเขินอายก็ได้ แต่การที่เธออาสามาดูลูเซียสเองโดยที่ยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำมันก็เป็นอะไรที่แปลกอยู่เหมือนกัน แม้ว่าหล่อนจะมีนิสัยที่เป็นห่วงคนอื่นและเอาใจใส่ทุกคนเสมอ แต่สำหรับคนไม่รู้จักแล้วมันก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องตลกที่จู่ๆ จะตีตัวเข้าไปหาเสียเองแบบนี้ เหมือนว่าลูเซียสก็จะรอคำตอบนั้นอยู่ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ ทางด้านหญิงสาวก็ดูสั่นๆ เกร็งๆ พูดไม่ออก มันตกอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกพอสมควรสำหรับทั้งสองคน พวกเขาเงียบไปเลยหลังจากที่ลูเซียสกล่าววาจาเป็นคนสุดท้ายไปเมื่อครู่ มันตกอยู่ในความเงียบงันโดยที่ไม่มีฝ่ายใดปริปากออกมาเลยสักนิด

“เจ้าไม่ต้องบอกข้าก็ได้..” จู่ๆ ลูเซียสก็กล่าวขึ้น

เธอหันไปมองเขาหลังวาจานั้นถูกเปล่งออก

“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก” เขากล่าวขึ้นมาต่อ “ช่วยไปบอกองค์ราชาให้ว่าข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”

หล่อนมองหน้าของลูเซียส ทางด้านฝ่ายชายดูเหมือนจะหลบหน้าราวกับว่าเขากำลังโกหกเธออยู่

“ท่านไม่ใช่คนที่โกหกเก่งเลยนะคะ” เธอกล่าว
“ข้าได้ยินเสียงท่านนะ... เสียงตะโกนที่ดูเหมือนกับคนที่กำลังเจ็บปวดจากอะไรสักอย่าง”
“สีหน้าที่ซีดแบบนั้น... เหงื่อที่ไหลออกราวกับว่ากำลังเป็นวิตกกังวลอะไรบางอย่าง”
“ท่านกำลังทรมาณใช่หรือเปล่า?”

“นี่เจ้า... แอบฟังอยู่แล้วงั้นหรือ?”

  เธอหาได้ตอบคำถามนั้นกลับไป สิ่งที่หล่อนทำมีเพียงการส่งสายตาไปหาหนุ่มบรรณารักษ์ผู้นั้น มันเป็นสายตาที่แสดงความแปลกใจให้กับผู้ที่ถูกมอง มันมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ สิ่งที่เขารู้ภายในนัยต์ตานั้นมีอยู่อย่างเดียว นั่นคือมันเต็มไปด้วยความสดใส ความหวังและความสุข มันคือสิ่งเดียวที่สามารถบ่งบอกได้เมื่อใครสักคนมองเข้าไปในดวงตานั้น เหมือนกับเขาตกอยู่ในภวังค์ทันทีที่มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น แต่มิทันไรลูเซียสก็สะบัดหน้าของตน จับร่างของมาเดียร่าก่อนที่จะพาตัวไปที่นอกประตู เธอแลดูงุนงงกับการกระทำของเขา จากนั้นชายหนุ่มก็ปล่อยตัวของหล่อนที่หน้าห้องนั้น ก่อนที่จะจับประตูบานใหญ่ซึ่งเป็นประตูห้องอาศัยนี้

“ขอโทษทีนะ... แต่ข้าไม่อยากให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวของข้า”

  สิ้นสุดวาจานั้นก็ตามมาด้วยเสียงกระทบของวัตถุเป็นเสียงดัง มันเป็นเสียงของประตูที่ถูกปิดโดยผู้เป็นเจ้าของห้อง ครั้นที่ชายหนุ่มผู้นั้นปิดประตูลง เขาหาได้มุ่งตรงกลับไปยังเตียงนอนของตนในทันที ลูเซียสยังคงยืนอยู่หลังบานประตูเฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม พวกเขาหาได้ขยับตัวออกไปจากประตูนั้นเลย มันตกอยู่ในความเงียบงันสักพักและชายสวมแว่นก็ยังคงยืนอยู่ ณ จุดเดิม เหมือนกับเขากำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่ ตัดสินใจหรือครุ่นคิดก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ผ่านไปสักพักเขาจึงเปิดประตูนั้นออกอีกครั้งแต่มันก็หาได้ปรากฏเป็นหญิงสาวที่อยู่หลังประตูภายในสายตาของเขา รู้สึกว่าเธอจะไปแล้ว เขาพยายามที่จะใช้สายตาควานหาหล่อนแต่ก็ไม่พบเลย ยกเว้นเพียงแสงไฟที่สาดส่องจากตะเกียงที่ติดอยู่บนกำแพง พร้อมกับความเงียบงัน...

------------

“เนลเรี่ยน.. ข้าว่าเจ้าดื่มมากเกินไปแล้วนะ”

  เสียงของสหายผู้หนึ่งในห้องสังสรรค์กล่าวขึ้นมาบอกเพื่อนของตน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นห่วงมิตรของเขาที่กำลังมึนเมากับเครื่องดื่มสุราอยู่ ซึ่งนักปราชญ์ผมทองผู้นั้นก็หาได้ฟังคำกล่าวของชายผู้นั้น เขายกขวดเหล้าขึ้น กรอกมันลงปากอย่างเอร็ดอร่อย ดูท่าแล้วชายผู้นี้คงไม่ฟังใครและไม่คิดที่จะหยุดดื่มแต่เพียงเท่านี้แน่ สีหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาที่จะปิดแหลไม่ปิดแหล ลักษณะการยืนที่ไม่สามารถทรงตัวได้ นั่นคงจะเป็นการอธิบายได้ชัดเจนว่าเนลเรี่ยนกำลังมึนเมาอยู่ ถึงกระนั้นเขาก็ดูดื้อไม่ยอมที่จะฟังสิ่งที่เพื่อนของเขากล่าวไปเลยสักนิด ซ้ำยังยกซดเครื่องดื่มที่อยู่ในกำมือขวาของเขาซะหมดขวดที่การยกครั้งเดียว ไม่นานนักเขาก็ทรุดลงไปกับพื้นทันที โชคดีที่เพื่อนของเขาสามารถรับตัวของเนลเรี่ยนไว้ได้ทัน เขาพยุงตัวชายสติเลือนลางผู้นี้ก่อนที่จะนำตัวของนักปราชญ์ขี้เมาผู้นี้นั่งลงกับเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง เนลเรี่ยนยอมนั่งไปโดยที่ไม่มีการขัดขืนใดๆ

“ข้าว่าพอเท่านี้เถอะ เจ้าเมาแล้ว..”
“ข้าเมา?” เนลเรี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “พะ.. พูดบ้าๆ”
“นักปราชญ์เช่นข้าที่หรอที่จะมามึนเมากับเหล้าเพียงแค่แก้วสองแก้ว? ไร้สาระ...”
“แต่เจ้าดื่มไปเป็นขวดแล้วนะเนลเรี่ยน ข้าว่าพอก่อนดีกว่านะ”
“เฮ้ย! ข้าไม่ได้เมา!” ชายผมทองตอบกลับ “ถ้าข้าเมา... อย่าเรียกข้าว่าเนลเรี่ยน!”

  ชายผู้นี้แม้จะเป็นนักปราชญ์ผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศก็ตามที แต่ถ้าเรื่องการดื่มการกินแบบนี้คนแบบเขาล่ะยากที่จะหยุดได้เลย แต่ถึงกระนั้นมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกสักเท่าไหร่สำหรับคนแบบเขาที่จะมาดื่มกินอะไรแบบนี้ในงานสังสรรค์ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเตรียมพร้อมในการปกป้องหญิงสาวนามมาเดียร่าด้วยชีวิตของจน มันถือเป็นงานใหญ่และเป็นอะไรที่เครียดน่าดูเหมือนกันที่จะมานั่งคิดว่าวันพรุ่งนี้เขาจะตายหรือไม่ หรือว่าจะต้องทำอะไรไม่ให้เหล่าผู้ใช้พลังบาปได้ทำตามประสงค์ที่ต้องการ มันจึงเป็นเหตุผลที่ปาร์ตี้เล็กๆ นี้ถูกจัดขึ้นเพื่อสลัดความคิด ความกังวลเหล่านั้น ให้พวกเขาเริงรมย์กับความสุขเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะต้องพบกับเรื่องใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ถึงแม้ว่าผู้จัดงานนี้จะเป็นโครนอสเองก็ตามที แต่กษัตริย์องค์นั้นก็หาได้ดื่มกินอะไรที่ดูบ้าแบบชายผมทองผู้นี้ เขาเพียงแค่จิบเหล้าอุ่นๆ เพียงแค่ครั้งสองครั้งตามพิธีก็ถือว่าพอแล้ว สำหรับผู้เป็นราชา เขาต้องกังวลเป็นธรรมดา ถ้าให้พูดกันตรงๆ งานนี้คงจะมีประสงค์สำหรับเหล่าลูกน้องของเขาเสียมากกว่า

  ต่างจากชายผมทองที่ตอนนี้สภาพดูไม่เหมือนกับนักปราชญ์ เขาเริ่มสะอึกออกมาซึ่งกรดในท้อง ก่อนที่จะสะบัดหน้าของตน มือเริ่มควานหาเหล้าขวดใหม่และอยากที่จะดื่มมัน เขาเห็นเหล้าขวดหนิ่งน่ารับประทานอยู่บนโต๊ะจึงไม่รอช้าที่จะจับมันมา ในระหว่างที่มือของเขากำลังจะไปถึงขวดเครื่องดื่มโอชะนั้น สหายแห่งเนลเรี่ยนก็ดึงมันออกไปจากระยะแขนของชายผมทอง ทำให้เขาไม่สามารถเอื้อมมันถึงได้ เนลเรี่ยนหันไปมองเพื่อนของเขาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่พอใจเท่าไหร่ ในมือของสหายผู้นั้นก็มีเหล้าขวดนั้นอยู่ เขากำมันไว้แน่นพร้อมกับส่งสายตาเช่นเดียวกับชายขี้เมา ดูท่าแล้วเหมือนจะไม่ยอมให้หนุ่มผู้นั้นได้ดื่มมันต่อ เกรงว่าถ้าหากเนลเรี่ยนดื่มของมึนเมาไปมากกว่านี้ เขาคงไม่เป็นอันไปทำงาน ไม่ไหวที่จะทำภารกิจในวันรุ่งขึ้นแน่ แต่มันก็จริงตามความคิดของสหายผู้นั้น แค่ขนาดนี้ชายนักอ่านก็ดื่มมันมากเกินไปแล้ว เขาอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าแทบจะน็อคได้ทุกเมื่อด้วยซ้ำ

“นั่นเหล้าฉัน!”
“เนลเรี่ยน.. พรุ่งนี้แกมีภารกิจสำคัญนะ!” เพื่อนของเขากล่าว
“หุบปากน่าฟลาบิลัส!” เขาตอบ “แกไม่ต้องมาสั่งสอนคนที่แสนจะฉลาดเช่นข้า”
“ข้าน่ะแยกออกอยู่แล้วว่าข้าเมาหรือไม่... และข้าบอกได้เลย... ว่าข้าไม่เมา!”

  สหายนามฟลาบิลัสถึงกับถอนหายใจออกมาหลังจากชายขี้เมากล่าววาจาของตนไป ดูเหมือนเขาจะยังดื้อและกระหายในน้ำเมาอยู่ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ รุดตัวขึ้นมาก่อนจะยื่นมือไปหาขวดเหล้าในมือของสหายของเขา ไม่ทันที่มือจะไปถึงจุดหมายเขาก็ทรุดลงไปกับพื้นอีกครั้งหนึ่ง ยังดีที่เขาสามารถเอามือค้ำไว้บนโต๊ะทันทำให้ไม่ล้มลงไปจริงๆ เสียงมือที่ฟาดลงไปกับโต๊ะเมื่อครู่มันก็ดังพอควรจนทำให้คนรอบข้างหันไปหาด้วยความงุนงง พวกเขาเหล่านั้นจดจ้องไปที่นักปราชญ์สุราและตัวของสหายของเขาเอง มันทำให้สหายของเขารู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ถูกมองอะไรแบบนั้น เขาคิดในใจว่ามันอาจจะทำให้คนร่วมงานทั้งหลายเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปก็ได้

“ขะ... ขออภัยด้วยครับ พอดีเพื่อนของผมเมา” ฟลาบิลัสพยายามกล่าวแก้ขัด
“เดี๋ยวผมจัดการเองครับผม”

  สิ้นสุดวาจานั้นมันก็เหมือนจะทำให้คนร่วมงานเชื่อก่อนที่จะไปดำเนินงานบันเทิงของพวกเขาต่อ ทางด้านของฟลาบิลัสจึงวางขวดเหล้าลงไปที่โต๊ะตัวเดิม พยุงร่างของสหายของเขาขึ้นมาอีกครั้ง เนลเรี่ยนแลดูไม่มีแรงแม้กระทั่งจะยืน ดูเหมือนว่าเขาจะดื่มมากไปจริงๆ ด้านนักปราชญ์คลั่งสุราผู้นั้นแลดูจะไม่ค่อยยินดีนักกับการกระทำที่แสดงถึงความเป็นห่วงของเพื่อนตน สำหรับเขาแล้วมันดูเหมือนว่าจะทำให้รำคาญมากกว่า เพราะสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือการดื่มกิน การรื่นเริงกับงานก่อนถึงวันที่ต้องมาเครียดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ว่าแล้วชายหนุ่มผมสีทองก็ผลักร่างของเพื่อนตัวเองออก แต่ฝ่ายที่ปลิวออกไปกลับเป็นชายขี้เมาแทน เขาทรุดลงไปแต่ในจังหวะนั้นเอง อาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณจึงทำให้เขาจับเก้าอี้นั่งได้ทัน ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้ปรากฏในสายตาของหญิงสาวผมแดง เธอมองดูเนลเรี่ยนอยู่ตลอดเวลา แลดูไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไหร่กับพฤติกรรมของชายผู้นั้น น่าจะเป็นเพราะพรุ่งนี้ก็ถึงวันสำคัญแล้วแต่กลับทำตัวแบบนี้ซะได้

  หญิงสาวนามชารอนที่มองดูอยู่นั้นเธอยืนกอดอกพิงกำแพงของมุมห้องโถงอยู่ เธอแลดูเหมือนจะทนไม่ได้กับสิ่งที่เห็นอยู่ ว่าแล้วหล่อนจึงเริ่มย่างกรายไปหาคนที่เรียกตัวเองว่านักปราชญ์แต่ทำตัวขี้เมา ในระหว่างที่เธอกำลังเดินไปตามทางอยู่นั้น เนลเรี่ยนก็เห็นเธอก่อนที่จะโบกไม้โบกมือให้แก่หล่อน

“ว่าไงสุดสวย.. คืนนี้เรามาดื่มด้วยกันหรือเปล่า?” หนุ่มเมาสุราเอ่ยถาม

ในระหว่างที่เนลเรี่ยนเอ่ยถามเธอนั้น เขาก็เอามือไปหยิบขวดเหล้าขวดใหม่มาทันที เขายกขวดนั้นขึ้นเป็นการเชิญชวนหญิงสาวให้มาร่วมด้วย ยังไม่ทันที่หล่อนจะกล่าววาจาใดๆ เธอก็ดึงขวดมาจากมือของเนลเรี่ยนทันที

“ข้าว่าท่านควรจะหยุดดื่มได้แล้วนะคะ” เธอกล่าว
“หา?” เขาสบถขึ้น “นี่เธอก็เป็นแบบเจ้านี่ด้วยหรอเนี่ย?”
“นี่ท่านเนลเรี่ยน... พรุ่งนี้พวกเราทุกคนต้องทำงานสำคัญนะคะ สิ่งที่พวกเราควรจะทำในตอนนี้คือการเตรียมพร้อมมิใช่หรือ?”

“นี่ๆๆๆ เจ้าควรจะเตรียมพร้อมที่เจ้าต้องเดินทางไปยังดินแดนทับทิมมิใช่หรือ?” เนลเรี่ยนกล่าวสวนขึ้นมา
“ส่วนข้า.. ข้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่จำเป็นต้องเตรียมการอันดลใดหรอกกกกก.....”

“อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมาเลยครับ” ฟลาบิลัสกล่าวแทรกเข้ามาเป็นการบอกหญิงสาวผู้นั้น

“ข้าจริงจังนะคะ!” เธอพูดขึ้นพร้อมกับมองหน้าของเนลเรี่ยนด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“โอเค... ก็ได้ๆ ข้าเข้าใจแล้ว...” เนลเรี่ยนตอบ “เจ้าต้องการให้ข้าร่วมเดินทางไปกับเจ้าใช่ไหม?”
“อะไรนะ?” เธอแทรกขึ้นมาทันที “ข้าว่าท่านกำลังเจ้าใจผิดอะไรสักอย่างแล้วนะ..”
“ม่ายๆ ไม่! ข้าเข้าใจถูกแล้ว... เจ้าอยากให้ข้าร่วมเดินทางเพราะว่าเจ้าเหงาใช่ป่ะ?”

คำพูดนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ หล่อนชิดตัวเข้าหามิตรของนักปราชญ์ผู้นั้น แลดูใกล้มากราวกับว่าต้องการที่จะพูดอะไรสักอย่างเป็นการกระซิบเพื่อไม่ให้เนลเรี่ยนได้ยินวาจาเหล่านั้น

“ท่านผู้นี้เป็นแบบนี้เสมอหรือในยามที่เขามึนเมาน่ะ?” เธอกระซิบถามฟลาบิลัส
“ก็... ประมาณนี้ล่ะขอรับ ท่านอย่าได้สนใจเลย”

  ในระหว่างที่สาวผมแดงกำลังพูดคุยกันแบบลับๆ เพื่อไม่ให้เนลเรี่ยนได้ยินถึงสิ่งที่พวกเขากำลังสนทนากัน ทางด้านของชายผมสีทองก็ค่อยๆ ลุกหนีจากเก้าอี้ตัวนั้น เดินไปตามทางเพื่อที่จะหาเครื่องดื่มสุราขวดใหม่ ทั้งมีประสงค์ที่ไม่อยากให้ทั้งสองคนนั้นเห็นเขาแอบดื่มเพราะกลัวว่าจะถูกขัดขวางอีก ในใจของนักปราชญ์ผู้นี้มีเพียงแค่ความต้องการ ความกระหายในน้ำเมาเท่านั้น เนลเรี่ยนเดินไปจากจุดที่ทั้งชารอนและฟลาบิลัสอยู่ได้สักพักแล้ว แต่สองคนนั้นก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าชายผมทองได้หายไปแล้ว ในระหว่างที่เนลเรี่ยนกำลังเดินอยู่นั้น เขาก็มองไปเห็นขวดเหล้าขวดใหญ่ มันดูแตกต่างจากทุกๆ ขวดที่เขาเห็นมาในห้องนี้ ดูเริศหรู ตัวขวดถูกสร้างเป็นลักษณะพิเศษไม่เหมือนกับขวดทั่วไปที่เป็นทรงคล้ายกับของทรงกลม ขวดนี้ราวกับหลอมอยู่แม่พิมพ์ที่ออกแบบขวดให้ดูเหมือนกับคริสตัล ซ้ำสีของเครื่องดื่มชนิดนั้นยังดูแตกต่างออกไปจากขวดอื่นๆ มันเป็นสีฟ้าเข้ม ภายในของเหลวนั้นสามารถเห็นความเข้มข้นของเครื่องดื่มนั้นได้อย่างชัดเจน แลดูชวนดื่มให้ลิ้มรสถึงความโอชาของมัน

  แน่นอนว่าขวดนั้นมันทำให้กิเลสในใจของนักปราชญ์พุ่งขึ้นจนถึงขั้นขีดสุด ความอยากที่จะสัมผัสถึงรสชาติของมันทำให้เนลเรี่ยนพุ่งตรงไปทันที แต่เขาหารู้ไม่ว่าเครื่องดื่มนั้นหาใช่พวกของที่คนเราจะไม่สามารถไปหยิบได้โดยพลการ มันเป็นเครื่องดื่มของใครสักคนที่เป็นคนระดับสูงของปราสาทนี้ คงจะเป็นขุนนางคนใดคนหนึ่ง ว่าแล้วก็มีชายคนนึงเดินตัดหน้าของเนลเรี่ยนไปที่เครื่องดื่มนั้นก่อนที่จะหยิบขวดขึ้น เปิดจุกออกแล้วรินน้ำเมาลงไปที่แก้วไวน์สุดหรูของเขา เมื่อชายผู้นั้นรินสุรานั้นลงแก้วของตัวเองจนพอดี ก่อนที่จะหันไปข้างหลังตน พบเจอกับชายกระหายนามเนลเรี่ยนที่มองหน้าของชายผู้นั้นด้วยความมึนเมา

“เจ้าต้องการอะไรให้ข้าช่วยงั้นหรือ?” ชายผู้นั้นเอ่ยถาม
“ช่วย?” เนลเรี่ยนกล่าวขึ้น “ข้า... ต้องการขวดเหล้าขวดนั้น...”
“นี่หรอ?” เขาถามพร้อมกับชี้มือไปทางขวดเหล่าขวดนั้น
“ขอโทษด้วยนะ ข้าคงให้ไม่ได้หรอก นี่มันเหล้าราคาแพงแห่งดินแดนทางด้านตะวันออกเชียวนะ ไม่ใช่ของที่จะให้ใครง่ายๆ หรอก”

เนลเรี่ยนเงียบไปสักครู่หนึ่ง ก่อนที่จู่ๆ เขาจะกล่าววาจา “นั่นล่ะ... ข้าต้องการที่จะดื่มมัน”

“ดะ.. เดี๋ยวก่อนสิ! นี่เจ้าไม่ได้ฟังข้าเลยรึยังไง?” ชายผู้เป็นเจ้าของเครื่องดื่มนั้นกล่าว
“ฟังสิ! ของแพง... จากแดนไกล... ข้ายังไม่เคยที่จะลิ้มลองเลย” เนลเรี่ยนกล่าวสวนขึ้น

  การสนทนาของทั้งสองสร้างความสนใจให้แก่คนรอบข้างอีกครั้ง ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะเริ่มพูดคุยด้วยคำพูดที่ดูหนักหน่วงขึ้น น้ำเสียงที่เริ่มรุนแรงกว่าเดิม มันทำให้สหายทั้งสองของเนลเรี่ยนรู้ตัวว่าชายขี้เมาผู้เป็นเพื่อนของเขากำลังสร้างปัญหาอะไรสักอย่างอยู่ ทั้งชารอนและฟลาบิลัสค่อยๆ เดินไปยังจุดเกิดเหตุซึ่งก็ปรากฏเป็นนักปราชญ์บ้าสุราที่กำลังก่อเรื่องอยู่ ชายผู้นั้นพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้ตนสามารถลิ้มรสชาติของเครื่องดื่มชนิดนั้นให้ได้ แต่ทางด้านของเจ้าของเหล้านั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยอม น่าจะเป็นเพราะเขาเสียดายที่จะจู่ๆ ก็ให้ชายแปลกหน้าดื่มเครื่องดื่มที่มีราคาแพงแบบนั้น แม้ว่าเพียงแค่หยดเดียวมันก็ตกเป็นเงินมหาศาลอยู่เหมือนกัน เพราะนั่นคือเหล้าจากต่างแดน การที่จะส่งออกเหล้าแบบนั้นมันใช้เวลาการเดินทางนานและค่อนข้างลำบาก มันจึงไม่แปลกที่จะมีราคาสูงเมื่อมาอยู่ในทวีปเอสซิโอนิคได้ ซ้ำเหล้าชนิดนั้นก็แลดูมีคุณภาพระดับสูง เขาจึงไม่อยากที่จะให้ใครไปแบบฟรีๆ ง่ายๆ แบบนั้น

  ในระหว่างที่ชายขี้เมากับขุนนางคนนั้นกำลังทะเลาะกันอยู่ หญิงสาวผมแดงก็แทรกตัวเข้าไปกลางฝูงขนราวกับว่าจะเดินเข้าไปทำอะไรสักอย่าง ดูท่าว่าตอนนี้ชายผมทองขี้เมาผู้นั้นจะเริ่มคลั่งและต้องการที่จะเอาเหล้านั้นมา แถมขุนนางผู้นั้นก็แลดูไม่ใช่บุรุษที่สู้คนด้วย เหมือนว่าเขาจะเริ่มกลัวต่อความบ้าคลั่งของเนลเรี่ยนแต่ในอีกใจนึงก็ไม่อยากที่จะยกเหล้านั้นให้อยู่ดี ชารอนเดินเข้าไปโดยมิได้กล่าววาจาอันใด เธอตรงเข้าไปหาเนลเรี่ยนก่อนที่จะใช้มือขวาของจนสับลงไปที่คอของชายผมทองเข้าอย่างจัง ความแรงในการกระแทกนั้นทำให้เนลเรี่ยนสลบไปทันที ชายหนุ่มนักปราชญ์ร่วงลงไปกระแทกกับพื้น ตกอยู่ในโลกแห่งความฝันของตนจากการจู่โจมนั้นทันที ดูเหมือนว่าเขาจะสลบไปแล้ว และก็็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาง่ายๆ แน่นอน สหายของเขานามฟลาบิลัสที่เห็นแบบนั้นก็รุดตัวไปหาหญิงสาวผู้นั้นทันที แสดงสีหน้าที่งุนงงพร้อมกับตกใจในเวลาเดียวกับ ก่อนที่จะมองหน้าเธอ

“ท่านทำอะไรลงไปน่ะ?” ฟลาบิลัสเอ่ยถาม
“ก็ท่านผู้นี้ไม่ยอมฟังที่ข้าพูดแต่แรกเองนิคะ” เธอกล่าว “อีกอย่างจะได้ตัดปัญหาให้มันจบๆ ด้วย”
“ละ... แล้วเราจะทำยังไงกับเขาดีล่ะ?”
“ท่านก็ลากสหายของท่านไปยังห้องพักผ่อนของเขาสิ” เธอตอบกลับ
“หา?” ฟลาบิลัสแทรกขึ้น “ทำไมถึงต้องเป็นข้าล่ะ”

  ชายผู้นั้นยังไม่ทันได้คำตอบหญิงสาวผู้นั้นก็เดินจากเขาไปทันที มันทำให้ฟลาบิลัสทำอะไรไม่ถูก เขากุมหัวเหมือนกับว่าครุ่นคิดว่าทำไมเขาถึงต้องเป็นคนที่มาทำอะไรแบบนี้ทั้งๆ ที่เขาก็หาได้สร้างปัญหาอันใด เขาค่อยๆ ยกร่างของเนลเรี่ยนขึ้น เอามือของชายผู้นั้นพาดกับไหล่ก่อนที่จะเริ่มพยุงร่างของชายขี้เมาไปตามทาง เมื่อเขาเดินไปได้สักพักแล้ว ชารอนที่เดินนำหน้าเขาจึงหยุดลงก่อนที่จู่ๆ จะหันกลับมา

“ฝากบอกท่านเนลเรี่ยนด้วย... ว่าพรุ่งนี้เราจะเดินทางไปยังดินแดนทับทิม”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire XIII
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire I
» Cataclysm: The Endless Hellfire II
» Cataclysm: The Endless Hellfire XIX
» Cataclysm: The Endless Hellfire III
» Cataclysm: The Endless Hellfire XX

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: