เรื่องเหมียวๆ เมื่อ'คนกลัวแมว'คงไม่มีใครคิดว่าเจ้าเหมียวขี้อ้อนจะกลายเป็นสัตว์น่าเกลียดน่ากลัว สร้างความขยะแขยง ไม่ว่าจะพบเห็นหรือเข้าใกล้ เป็นต้องกลัวจนตัวสั่น เห็นแมวทีไรเป็นต้องกรี๊ด
ปฏิกิริยา "คนกลัวแมว" ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เป็นการเสแสร้งหรือแกล้งทำแต่อย่างใด น.พ.สุรชัย เกื้อศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ และจิตแพทย์ โรงพยาบาลมนารมย์ บอกว่าความจริงแล้วอาการกลัวแมว (Ailurophobia) ถือเป็นอาการอย่างหนึ่งในโรคความกลัว จัดอยู่ในกลุ่มโรคกลัวเฉพาะอย่าง (Specific phobia) ซึ่งบุคคลนั้นจะมีความกลัวที่ท่วมท้นและไม่สมเหตุผล ทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งนั้นไม่น่ากลัว แต่คุมความกลัวไม่ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งหรือเหตุการณ์ที่กลัว และมีปฏิกิริยาตอบสนองทางระบบประสาทอัตโนมัติอย่างรุนแรง ทำให้มีอาการแสดงออกมาหลายอย่าง เช่น ใจเต้นเร็ว เหงื่อแตก หายใจติดขัด ตัวสั่น ปั่นป่วนในท้อง ม่านตาขยาย เป็นลม และมีท่าทางหวาดหวั่น จนถึงพยายามหลีกเลี่ยงหรือหนีออกไปจากการเผชิญหน้านั้น
น.พ.สุรชัย เกื้อศิริกุลจิตแพทย์เปิดเผยว่า บุคคลที่เกิดอาการกลัวดังกล่าวมักมีประวัติว่าเคยตกใจกลัวอย่างสุดขีดกับเหตุการณ์หรือสิ่งนั้นๆ ในวัยเด็กหรือเคยเห็นบุคคลใกล้ชิด เช่น บิดามารดาแสดงท่าทางตกใจหรือหวาดกลัวกับสิ่งนั้นมาก่อน ทำให้เกิดความทรงจำหรือฝังใจด้านลบกับสิ่งที่กลัว
จากข้อมูลหลักฐานพบว่าแม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียง อย่าง จูเลียส ซีซาร์ จักรพรรดินโปเลียน เจงกิสข่าน อดอล์ฟฮิตเลอร์ และนักร้อง ลาโทย่า แจ๊กสัน ต่างก็มีอาการกลัวแมวเช่นกัน
น.พ.สุรชัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ สิ่งที่กลัวเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือตัวแทนที่แสดงออกมาให้รับรู้ และอาจช่วยให้สืบค้นสาเหตุไปถึงสิ่งที่กลัวอย่างแท้จริงในจิตใต้สำนึกที่บุคคลนั้นไม่ตระหนัก เช่น คนที่กลัวม้า ม้าอาจเป็นสัญลักษณ์ถึงบุคคลที่มีอำนาจในชีวิตของเขาคือบิดาก็ได้
นอกจากคนกลัวแมวแล้วยังมีอีกหลายคนที่กลัวสัตว์หรือแมลงชนิดต่างๆ เช่น กลัวไก่ กลัวแมงมุม กลัวผึ้ง บางคนกลัวธรรมชาติแวด ล้อม เช่น กลัวความสูง ลมพายุ บางคนกลัวเหตุการณ์หรือสิ่งที่อยู่รอบตัว เช่น อุโมงค์ รถไฟ เครื่องบิน ลิฟต์ กลัวเลือดและเข็มฉีดยา กลัวความมืด
น.พ.สุรชัยแนะนำว่า การรักษาโรคกลัวที่เฉพาะเจาะจงกับบางสิ่งบางอย่างมักใช้วิธีการทำพฤติกรรมบำบัดแบบการเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว แต่ก่อนการเผชิญหน้าผู้ป่วยควรได้รับการฝึกหรือเรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลายตนเองก่อน พ่อแม่ผู้ปกครองสอนลูกได้ คือการฝึกหายใจ เพื่อลดความกลัวและผ่อนคลาย โดยหายใจเข้าทางจมูก กักลมหายใจไว้ในปอด นับ 1-4 แล้วจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ พร้อมกับนับ 1-7 จากนั้นให้เว้นประมาณ 2 วินาที ก่อนจะฝึกหายใจในจังหวะเดิมซ้ำอีกครั้ง
อีกวิธีคือการออกกำลังกาย ด้วยการเดินอย่างกระฉับ กระเฉง จะช่วยเผาผลาญออกซิเจนส่วนเกิน และทำให้ร่าง กายอยู่ในภาวะสมดุลขึ้น
นอกจากนี้อาจใช้ยาไปด้วยพร้อมๆ กัน ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ที่เห็นว่ามีความจำเป็น ซึ่งไม่ได้เป็นการสอนให้ต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง แต่เป็นการจัดระบบความคิดให้สามารถมองโลกในมุมใหม่ รู้จักปล่อยวางและไม่เอาจริงเอาจังหรือเคร่งเครียดกับสิ่งละอันพันละน้อยที่ต้องเผชิญในชีวิตประจำวันให้มากจนเกินไปนัก
เมื่อเกิดการเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายจิตใจ ก็จะได้ความสงบทางร่างกายเป็นผลสืบเนื่องตามมา
เครดิต:นสพ.ข่าวสดออนไลน์