“เรามาถึงแล้วล่ะริน” ผมพูดกับแมวสีดำของผมที่อยู่ในบนตักของผม
ผมพูดในขณะที่ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมมาถึงแล้วเมืองที่ชื่อว่า “ชิอาวาเสะ” ถ้าให้แปลความหมายแล้ว เมืองนี้แปลว่า “ความสุข” เมืองมันเป็นเมืองเล็กๆ ที่ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวประมาณ 2 ชั่วโมงถ้าหากเดินทางมาด้วยรถยนต์ จริงๆแล้วจะมาทางรถไฟก็ได้อยู่ แต่ว่าผมมีแมวของผมอยู่ด้วย ทำให้ผมไม่สามารถเดินขึ้นรถไฟได้ ที่ชิอาวาเสะไม่มีตึกสูงละฟ้าแบบโตเกียว ไม่มีป้ายโฆษณามากมาย แม้แต่รถยนต์นั้นถือว่าน้อยมากๆถ้าเทียบกับเมืองใหญ่ๆ ผมสามารถนั่งนับได้เลยว่าตลอดทางที่เข้ามายังชิอาวาเสะมีรถอยู่กี่คัน
อ๊ะ...ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมชื่อนากาชิม่า ยูจิ อายุ 24 ปีพึ่งจบจากโทไดมาได้ประมาณเดือนสองเดือน แน่นอนว่าผมจบจากโทได คนคงคิดว่าผมต้องทำงานที่สามารถหาเงินได้ดีๆ แต่ว่าผมกลับเลือกที่จะเดินทางมา ชิอาวาเสะ เพื่อมาเปิดร้านขนมปังเสียแทน แน่นอนว่าทางที่บ้านโมโหใหญ่เลยล่ะ ตอนที่ผมบอกว่าผมจะเปิดร้านขนมปัง ที่ผมอยากจะเปิดร้านขนมปังนั้น เพราะตอนเด็กๆ ผมไปเล่นที่บ้านคุณตาบ่อยๆ บ้านคุณตาเองนั้นก็เป็นร้านขนมปังเช่นกัน เวลาที่ผมล้มแล้วร้องไห้ คุณตาก็มักจะยื่นขนมปังให้ผมกินทุกที ผมจำไม่ได้หรอกว่ารสชาติของมันเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ ทุกครั้งที่ผมกัดขนมปังก้อนนั้น ผมก็จะหยุดร้องไห้ทุกที หลังจากนั้นผมก็เลยมีความเชื่อว่าขนมปังสามารถทำให้คนอื่นหัวเราะได้ยิ้มได้ และผมก็อยากจะให้คนอื่นยิ้มไปกับมัน
ส่วนแมวสีดำที่อยู่บนตักของผมนั้นชื่อ “ริน” เป็นแมวตัวเมียที่ผมเจอตอนที่เดินเล่นอยู่ มันอยู่ในกล่องส้ม ซึ่งก็มีกระดาษแปะอยู่ว่า “ช่วยรับมันไปเลี้ยงที” ผมก็เลยรับมันไปเลี้ยงอย่างที่มันบอก ตอนเด็กๆนั้นบ้านผมเลี้ยงแมวอยู่ประมาณ 3 ตัว ทุกๆวันผมกลับมาก็ต้องเล่นกับพวกมันพร้อมกับหัวเราะไปพร้อมๆกับมัน แต่แล้วแต่ละตัวก็ตายไปตามกาลเวลา พอรู้ตัวอีกทีทั้งสามตัวก็จากผมไปหมดแล้ว ช่วงแรกๆผมเศร้ามาก ถึงขนาดซึมกินข้าวไม่ลงเลยล่ะ แต่พอเวลาผ่านไป ผมก็กลับมาเป็นแบบเดิม ส่วนสาเหตุที่แมวตัวนี้ชื่อริน เพราะว่าผมมองว่าแมวตัวนี้จะเป็นคู่หูของผม ตลอดเวลาที่ผมจะเปิดร้านขนมปัง
เมื่อรถคันนี้หยุดลง ผมก็เปิดประตูลงไป ตอนนี้ผมอยู่หน้าร้านที่ว่างเปล่า ถ้าผมจำไม่ผิด ที่นี่เคยเป็นร้านมินิมาร์ตมาก่อน แต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้มันต้องปิดตัวรอบๆ ข้างๆนั้นเป็นร้านขายดอกไม้ที่ตอนนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่ ชื่อร้านของมันถูกเขียนว่า “คาเมเลีย” สำหรับชั้นแรกเป็นหน้าต่างบานใหญ่ถ้านึกภาพไม่ออกก็แบบ 7-11 หรือแฟมิลี่มาร์ตนั่นแหละ มีเพียงด้านเดียวเท่านั้นที่ไม่มี ผมใช้กุญแจของผมเปิดประตูร้านก่อนจะเดินเข้าไป ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้มานานแล้วแฮะ ฝุ่นเต็มไปหมด ผมเดินสำรวจรอบๆ ถ้าผมเปิดประตูไป ผมก็จะเจอห้องอีกห้องที่เป็นห้องเปล่าๆ พร้อมด้วยบันไดขึ้นไปชั้นสอง เมื่อขึ้นไปยังชั้นสอง ก็จะมีห้องเปล่าๆอีกสองห้อง ห้องนึงเป็นห้องเล็กๆ อีกห้องนึงเป็นห้องใหญ่ เดาได้เลยว่าห้องเล็กนั่นเคยเป็นห้องน้ำมาก่อน เพราะในห้องเล็กนั้นยังมีฝักบัวและโถสุขภัณฑ์ ยังอยู่ที่เดิม
“ยูจิ บริษัทขนส่งมาถึงแล้วนะ” เพื่อนผมที่เป็นคนส่งผม ตะโกนขึ้นมา
“โอเค” ผมตะโกนก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง
ผมเดินลงไปก่อนที่จะเจอกับกล่องจำนวนมากที่วางไว้บนพื้น ชายสองคนแบกเตียงก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนชั้นสอง รวมถึงโต๊ะ โทรทัศท์ ตู้เสื้อฟ้า ตู้หนังสือ รวมถึงพวกตู้เย็น เตาอบขนมปัง ขนมาจนหมด ในระหว่างนี้ผมกับรินก็ได้แต่ยืนดูเฉยๆ ทุกอย่างถูกจัดเข้าที่ในเวลาไม่นาน เหลือเพียงแต่กล่องเล็กๆที่ยังไม่ได้แกะ ว่าแล้วชายคนนึงที่สวมหมวกก็เดินมาก่อนที่จะยื่นแบบประเมินให้กับผม ผมรับมันไว้ก่อนจะอ่านแบบสอบถาม ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ต่างกับแบบสอบถามอะไรทั่วไปหรอก ก็จะถามพวกความเร็ว การรักษาทรัพย์สิน การบริการ...แต่มันมีอย่างนึงที่ผมสงสัยมาก “ท่าโพสต์” ผมพยายามจะนึกดูว่ามันน่าจะแปลว่าอะไร จนกระทั้งผมต้องออกปากถาม
“ขอโทษนะครับ...ไอ้คำว่าท่าโพสต์นี้คือยังไงครับ”
“อ่อ นี่หรอครับ..”
ว่าแล้วเขาก็ทำท่าส่งสัญญาณอะไรซักอย่าง พนักงานอีกสองคนมายืนข้างๆเขา ก่อนที่ คนนึงจะเอาวิทยุมาวางไว้บนพื้น ชายคนนึงกดปุ่มเล่นวิทยุ เมื่อนั้นเพลงก็ดังขึ้นมา ทำนองของมันเป็นทำนองแบบการ์ตูนแนวคาเมน ไรเดอร์อะไรอย่างงั้น ชายหนุ่มคนกลางตะโกนขึ้นลั่นร้านและชูมือขึ้นฟ้าก่อนที่จะตะโกนด้วยน้ำเสียงสุดเสียง
“พวกเราบริษัทขนส่งอาริโนะ!!”
“จะขนส่งสินค้าของคุณด้วยใจ!!” ชายหนุ่มข้างๆพูดขึ้นพลางทำมือไขว้กันเป็นตัว X
“ไม่ว่าอะไรจะยากลำบาก แค่ไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้!!” ชายหนุ่มอีกคนพูดและทำท่าแบบคนแรก
“เพราะพวกเราคือบริษัทขนส่งอาริโนะ” ทั้งสามคนตะโกนพร้อมกันพร้อมชูมือขึ้น
ผมเห็นแล้วผมอายแทน ผมไม่พูดอะไรก่อนจะก้มเขียนแบบประเมินให้เสร็จ ก่อนที่ผมจะยื่นส่งกลับโดยไม่ได้พูดอะไร เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น รถคันนั้นก็ขับออกไป เช่นเดียวกันกับเพื่อนของผมที่บอกลาผมก่อนที่จะขับกลับไปยังโตเกียว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ผมกับรินเท่านั้น ผมมองดูรอบๆ สิ่งแรกที่ผมต้องทำเลยคือทำความสะอาด ผมใช้เวลาทำความสะอาดซักพัก ทุกอย่างก็เป็นระเบียบ ตอนนี้ก็เหลือจัดเครื่องใช้ส่วนตัวทั้งหมด ของใช้ส่วนตัวของผมก็ได้แก่คอมพิวเตอร์ เสื้อผ้า และก็หนังสือต่างๆ ก็ต่างเข้าตู้หนังสือเรียบร้อย ผมเหลือบมองนาฬิกาดูเหมือนตอนนี้จะพึ่ง 12.00 นาฬิกาเท่านั้น ผมตัดสินใจออกไปสำรวจเมืองพร้อมๆกับริน
เมืองๆนี้ผู้คนไม่ได้มากมาย ตลอดทางผมผ่านผู้คนไม่มากนัก แต่แล้วผมก็เจอเด็กหญิงคนนึง ผมของเธอสีแดง ร่างเล็กเธอมองมายังรินที่ผมอุ้มอยู่ ดูเหมือนเธออยากจะเล่นกับริน ผมส่งรินให้กับเธอ เธอลูบหัวของมันด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ผมเองก็ยิ้มเช่นกันที่เห็นเด็กสาวคนนี้กำลังมีความสุข
“ชั้นชื่อยุย” เธอพูดกับชั้น
“อ่า...ผมชื่อนากาชิม่า ยูจิ พึ่งมาเปิดร้านขนมปังตรงนี้น่ะ” ผมพูดกับเธอ
เธอพยักหน้าก่อนที่เธอจะยื่นรินกลับมาให้ผม ผมรับไว้ก่อนที่เธอจะวิ่งจากไปโดยมิพูดไม่จา เธอหันกลับมาก่อนที่จะโบกมือให้ผม ผมเองก็โบกมือตอบรับก่อนที่เธอจะวิ่งหายไป ผมกลับมาทัวร์เมืองต่อ ผมแวะเข้าร้านค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านขนมราคาถูกๆ ร้านหนังสือที่มีหนังสือเก่าจนไม่คิดว่าจะหาได้แล้ว ร้านขายของที่มีวัตถุดิบต่างๆให้ผมเลือก ไม่ว่าจะเป็นแป้ง ผักผลไม้ หรือเครื่องปรุงต่างๆ ผมคงไม่ต้องกังวลเรื่องวัตถุดิบแล้ว ที่มีสิ่งนึงที่ผมสงสัยมาก นั่นคือทำไมทุกคนในเมืองไม่ยิ้มแย้มเลยนะ มีเพียงแต่เด็กสาวที่ชื่อว่ายุยเท่านั้นที่ยิ้ม
“คุณคือคนที่มาเปิดร้านขนมปังซินะครับ?” เสียงดังขึ้นจากข้างหลังผม
ผมหันหลังกลับไปก่อนที่จะเห็นชายสวมแว่น ในชุดสูทสีดำ เนคไทสีดำ ยืนอยู่ รอบๆตัวเขามีบอดิการ์ดร่างใหญ่สองสามคน ดูแล้วเขาคงต้องเป็นคนใหญ่คนโตในเมืองนี้อย่างแน่นอน ดูจากรูปร่างและหน้าตาอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม ไม่ก็น่าจะแก่กว่าผมไม่มาก หรือถ้าเขาอายุน้อยกว่า เขาก็น่าจะอายุน้อยกว่าผมไม่กี่ปีเท่านั้น ผมพยักหน้าตอบรับเขา เขายิ้มให้ผมก่อนจะยื่นมือมาทางผมและเอ่ยแนะนำตัวเอง
“มาซาโตะ จุนครับ เทศมนตรีของเมืองชิอาวาเซะครับ”
ผมคว้ามือของเขาก่อนที่จะแนะนำตัวเองกลับ
“นาคาจิม่า ยูจิครับ เจ้าของร้านขนมปังครับ”
“นานแล้วนะครับ ที่เราไม่ได้มีคนมาอาศัยอยู่เพิ่ม” เขาพูดกับผมด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงเป็นมิตร
“ครับ...แต่ผมก็สงสัยนะครับว่าทำไมไม่มีใครมาอาศัยในเมืองนี้...ผมว่าเมืองนี้ก็สงบสุขดีนะครับ” ผมพูดกลับ
“นั่นซิครับ..แต่อยู่กันน้อยๆก็ดีนะครับ อบอุ่นดี” เขาก็พูดโดยมองโลกแง่ดี
“ก็จริงครับ บางทีอยู่กันน้อยๆแบบนี้อาจจะดีกว่าก็ได้” ผมก็เห็นด้วยกับความคิดของเขา
“ว่าแต่จะให้ผมช่วยพาเมืองไหมครับ?” เขาเสนอผม
“อ๊ะ...จะดีหรอครับ?” ผมถามเขากลับ
“ถือว่าเป็นการต้อนรับละกันครับ” เขาพูดและยิ้มให้ผม
“งั้นก็รบกวนด้วยครับ”
ผมตอบรับคำเสนอของเขา ก่อนที่จะออกเดินทางและชมสถานที่ต่างๆ เขาอธิบายเกือบทุกที่อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าที่ต้องเดินขึ้นเขาขึ้นไป ปกติแล้วเทศกาลต่างๆ มักจะถูกจัดที่นี่ แม้ว่าเมืองนี้จะเล็กเพียงใด แต่ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับเมืองธรรมดาๆหรอก เพราะที่มีก็ยังมีโรงเรียน โรงพยาบาล หรือแม้แต่สถานีตำรวจ แล้วผมจะบอกทำไม ผมว่าทุกคนก็น่าจะเดาได้อยู่แล้ว แต่เท่าที่ฟังมาส่วนใหญ่แล้วก็มีบุคลากรไม่เยอะหรอก อย่างโรงพยาบาลก็ถูกบริหารด้วยครอบครัวนึง และตอนนี้รู้สึกลูกชายของเขาก็กำลังกลับมาจากต่างประเทศ ผมเดินวนในเวลาอันสั้น และกลับมาข้างบ้านของตัวเอง ในขณะที่ผมเดินอยู่นั้นก็สะดุดตากับร้านดอกไม้ร้านนึง มันเป็นร้านดอกไม้ธรรมดาๆที่มีดอกไม้นานาพันธุ์อยู่หน้าร้าน ชื่อร้านถูกเขียนว่า “คาเมเลีย”
มันน่าสนใจตรงไหน? ร้านดอกไม้ที่ชื่อว่า “คาเมเลีย” จุดที่น่าสนใจคือผมเห็นเด็กสาวร่างเล็ก อายุน่าจะประมาณกับเด็กสาวที่ชื่อว่ายุยที่ผมเจอก่อนหน้านี้ เธอกำลังจัดดอกไม้อยู่ ผมเดินบอกกับผู้นำทางของผม ว่าผมจะออกไปคุยกับเด็กสาวคนนั้นก่อน เขาพยักหน้า ผมเดินตรงไปช้าๆพร้อมกับแมวของผม เมื่อเธอหันมาทางผม เธอก็เห็นแมวของผมเธอ รีบพุ่งเข้าไปลูบหัวของรินอย่างไว
“แมวของคุณหรอค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงน่ารัก
“ครับ...ผมอาศัยอยู่ข้างๆ ผมชื่อว่านากาจิม่า ยูจิครับ”
“ชั้นซึบากิ มิกิโกะ เจ้าของร้านดอกไม้คาเมเลีย ยินดีที่รู้จัก” เธอแนะนำตัวในขณะที่ยังเล่นกับริน
“เห..สุดยอดเลยนะครับ ตัวแค่นี้เป็นเจ้าของร้านดอกไม้เนี่ย” ผมพูดชื่นชม
เธอเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ..เอ๊ะ ผมพูดอะไรผิดงั้นหรอ มะกี้ผมก็ชมเธอนี่ ผมมานั่งนึก โดยยังนึกไม่ออกเธอปล่อยมือจากรินออกก่อนที่เธอจะชี้หน้าผมและพูดด้วยคำพูดที่แสดงได้ถึงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงน่ารัก แบบที่เธอพูดกับผมเมื่อครู่นี้
“ชั้นอายุ 21 แล้วนะ!! นายพูดแบบนี้ดูถูกกันชัดๆ”
“เห~~~~~~~~~~~~~~~~~~” นั่นคือปฏิกริยาของผม
21 แล้วหรอ...บ้าน่า ตัวแค่นี้ทำไมอายุ 21 ทำไมกัน? ตอนเด็กๆกินน้อยงั้นหรอ? กรรมพันธุ์? เพราะเป็นว่าจริงๆแล้วที่นี่มันมีอะไรซักอย่าง หรือจริงๆแล้วเธอกำลังหลอกผมอยู่ ผมไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงอายุ 21 ที่มีส่วนสูงเท่ากับยุย ว่าแต่ยุยอายุเท่าไหร่...หรือจริงๆแล้ว ยุยเองก็ 21 เหมือนกัน? สมองผมกำลังคิดฟุ้งซ่านในขณะที่ยืนคิดคนเดียวเงียบๆ พลางจับคางและมองเธอ เอาเถอะ...แต่อย่างแรกที่ต้องทำคือขอโทษ ผมโค้งหัวให้เธอก่อนจะกล่าวขอโทษ
“ไม่หายโกรธ ฮึ!!”
เธอสะบัดหน้าก่อนที่จัดกอดอกของตัวเอง ผมเกาหัวของตัวเองนิดๆ ผมพยายามจะคิดว่าจะขอโทษเธอยังไงดี ถ้าหากเป็นศัตรูกับเพื่อนบ้านคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ ในขณะที่ผมกำลังใช้สมาธิอย่างมากเพื่อหาทางคืนดีกับเธอ หรือว่าจะใช้ขนมปังดีนะ? ไม่ดีๆมันเหมือนมองว่าเธอเป็นเด็ก เธอคงไม่พอใจอย่างแน่นอน ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร ก็เป็นหญิงสาวร่างเล็กอายุ 21 ปีเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ถ้าอยากจะขอโทษชั้นล่ะก็ทำขนมปังมาให้ชั้นซิ”
“เอ๊ะ?” ผมได้ยินสิ่งที่เธอพูด ก็ตกใจไม่น้อย
“พรุ่งนี้ ชั้นจะไปกินฟรีนะ เจอกันพรุ่งนี้ บ๊ายบาย” เธอพูดแล้วก็วิ่งกลับเขาร้าน
ผมยืนงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเดินกลับไปร้านของผมที่ตกแต่งเสร็จสิ้น ผมวางรินลงบนพื้น ก่อนที่จะเดินไปที่ห้องครัว ผมยืนคิดว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรบ้าง ผมยังไม่ได้เล่าซินะว่าก่อนหน้านี้ผมเรียนรู้วิธีการทำขนมปังมาจากคุณตาก่อนที่ท่านจะเสีย หลังจากที่ท่านเสียร้านของท่านก็ปิดลง จะว่าไปชื่อร้านก็ยังไม่มีเลยนี่นา...เรื่องนั้นไว้ทีหลังละกัน ผมนั่งคิดอยู่หลายชั่วโมง เมื่อรู้ตัวอีกทีก็สี่ทุ่มสี่แล้ว ก็ได้ไอเดียอะไรคร่าวๆอยู่ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้คิดไรออกค่อยว่ากันละกัน เพราะว่าชั้นต้องตื่นมาทำขนมปังตั้งแต่เช้า
ผมเดินขึ้นชั้นสองไป รินเองก็เดินขึ้นมาตามผมด้วย ผมทำธุระของผมเสร็จก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆของผม รินกระโดดขึ้นมาบนเตียงก่อนที่จะมานอนข้างๆผม ผมลูบหัวแมวตัวนี้ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปปิดไฟ และหลับตาลง ชีวิตในเมืองชิอาวาเซะของผมในวันแรกจบลงแต่เพียงเท่านี้ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะมุ่งไปลงชั้นล่าง ผมเดินตรงเข้าห้องครัวอย่างไว ผมคว้าผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ถูกแขวนไว้ ก่อนที่จะใส่มัน ผมเริ่มทำขนมปังตามที่ผมคิดไว้ วันนี้ผมยังไม่วัตถุดิบมากนัก
ผมใช้เวลากับขนมปังอยู่หลายชั่วโมง พอผมรู้ตัวก็ 9 โมงเช้าแล้ว ผมปาดเหงื่อ หลังจากที่งานทุกอย่างของผมเสร็จสิ้น ผมก็เดินกลับไปข้างบนบ้าน ผมลองมองไปรอบๆ สิ่งนึงที่ขาดหายไปคือ “ริน” แมวของผม ผมลองตะโกนเรียกชื่อของเธอ แต่ว่าเธอก็ไม่ปรากฏตัวออกมา ผมลองเดินเข้าข้างล่าง ก่อนจะตะโกนเรียกชื่อของ “ริน” ผมเกาหัว และเริ่มกังวล ผมเปิดประตูชะโงกหน้าออกไปดูข้างนอก ผมเดินรอบๆ ผมหารินไม่เจอ หายไปไหนกันนะ?
“ยูจิ~” เสียงผู้หญิงคนนึงเรียกชื่อผมจากข้างบนด้วยเสียงดังสนั่น
ผมตกใจก่อนที่จะวิ่งไปตามเสียงตะโกน เสียงของใครกันนะ? ผมเปิดประตูห้องน้ำข้างบน ก่อนที่จะเห็นผู้หญิงผมสั้นที่มีหูแมวงอกออกมา เธอสวมสุดของผมที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของผม หางสีดำของเธอตวัดไปมา ผมงงไม่น้อยว่าเธอเป็นใคร แต่ที่แน่ๆดูเหมือนเธอจะถูกฝักใบฉีดน้ำอยู่ ผมเอื้อมมือไปปิดฝักบัว น้ำหยุดลง ตัวของเธอเปียกโฉก แน่นอนนั่นก็หมายความว่าเสื้อผมก็เปียกเหมือนกัน
“เธอเป็นใคร?!” ผมตะโกนถามขึ้น
“ใจร้ายจังเลยน้า...ก็ชั้นเองไง ริน”
ห๊ะ.....นั่นคือปฏิกิริยาแรกหลังจากที่เธอพูดว่าเธอชื่อริน ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆ ผมว่าผมกำลังจะได้เจอกับปัญหาซะแล้ว