หญิงสาวหูแมวนั่งบนเตียงของผม ผมยืนมองหน้าของเธอ หางของเธอส่ายไปมาคล้ายๆกับพยายามจะสะกดจิตอะไรอย่างงั้น เมื่อครู่นี้เธอบอกว่าตัวเองชื่อ “ริน” หรือถ้าให้พูดอีกมุมก็คือเธอคือแมวสีดำของผมนั่นเอง ถ้าให้คิดในเชิงวิทยาศาสตร์มันไปเป็นไม่ได้เลยที่แมวอยู่ดีๆจะกลายเป็นคนได้ ถ้าให้พูดหนทางที่เป็นไปได้สุดคือมีคนจับตัวแมว ผมไปแล้วส่งคนมาแทน แต่ว่าใครจะทำแบบนั้นล่ะ? องค์กรช็อคเกอร์หรือแก๊งร็อคเก็ตหรือไง? อีกอย่างถ้ามีใครเข้ามาผมก็ต้องรู้แล้ว เพราะจะมีเสียงกระดิ่งทุกครั้งที่ใครเปิดประตู ดังนั้นถ้าใครเข้ามา ผมก็ต้องรู้อยู่แล้ว วิธีที่ดีที่สุดคงต้องเป็นการเอ่ยปากถาม
“ยูจิ คงสงสัยใช่ม้า ว่าเรามาทำอะไรตรงนี้” คนที่เรียกตัวเองว่ารินเอ่ยขึ้นก่อน
“อืม” ผมพยักหน้าตอบ
“จริงๆแล้ว..ชั้นไม่ใช่รินซะทีเดียวหรอก”
เพราะว่าครึ่งนึงของชั้นไม่ใช่ริน” เธออธิบาย
ไม่ใช่ริน ครึ่งนึงไม่ใช่ริน? หมายความว่ายังไงกัน? ไม่เข้าใจเลยซักนิด ผมไม่เอ่ยปากถามอะไร แต่ยังคงรอคอยคำอธิบายต่อ
“ชั้นเป็นเทพธิดาแห่งความสุข” เธอพูด
“เทพธิดาแห่งความสุข?” ผมตั้งคำถามกับสิ่งที่เธอพูด
“ยูจิเองก็สังเกตใช่ไหมล่ะว่าคนที่ไม่ค่อยยิ้มและไม่ค่อยหัวเราะ” เทพธิดาแห่งความสุขพูด
ผมพยักหน้าแทนคำตอบคำว่า “ใช่”
“ตอนนี้น่ะเมืองชิอาวาเสะถูกเมฆหมอกความโศกเศร้าเข้าคุม”
“มันดูดเกลือนความสุขของประชากรทั้งหมดไป”
“ในฐานะที่ชั้นเป็นเทพธิดาแห่งความสุขแล้ว ชั้นก็อยากจะช่วยพวกเขา” เธออธิบาย
พอเข้าใจเรื่องอยู่บ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสงสัยที่สุด นั่นก็คือ “ทำไมต้องใช้ร่างของริน” ผมถามเธอในสิ่งที่ผมค้างคาทันที หลังจากที่เธอเล่าเรื่องของเธอจบ
“เพราะว่ายูจิน่ะ เป็นคนดียังไงล่ะ”
“ชั้นเลยคิดว่าอยู่กับนายน่าจะปลอดภัย” นั่นคือเหตุผลของเธอ
“อ๊ะ..หลังจากนี้เรียกชั้นว่ารินละ แล้วก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วย” เธอพูดต่อทันทีโดยผมไม่ทันจะได้พูด
เธอพูดเองเออเอง โดยไม่ทันจะได้ถามอะไรผม ถ้าเธอเป็นรินจริงๆ ผมก็ไม่มีปัญหาหรอกผมคิด ผมหันไปเห็นนาฬิกาที่ชี้ว่าเกือบ 9 โมงแล้ว กำหนดการเปิดร้านของผมนั้นคือ 9 โมงเช้าและผมเองก็ไม่อยากเปิดร้านสายตั้งแต่วันแรก ผมไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย ผมรีบวิ่งลงไปข้างล่าง รินกระโดดลงมาจากเตียงก่อนจะวิ่งตามผมมา แม้ว่าขนมปังจะทำเสร็จหมดแล้ว แต่การจะจัดเรียงขนมปังจำนวนมาก ภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่ ผมเหลือบไปหันไปรินที่ยืนจ้องผมอยู่ หางของเธอยังส่ายไปมาตามปกติ
“ถ้างั้นริน ช่วยชั้นจัดขนมปังหน่อยซิ” ผมพูดก่อนจะยื่นที่คีบขนมปัง
เธอรับมันก่อนจะมองอย่างงๆเหมือนกับว่าไม่รู้ว่าใช้ยังไง เธอพลิกมันไปมา ใช้นิ้วจิ้มตามส่วนต่างๆของมัน ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะอธิบาย ผมเริ่มคีบขนมปังทีละชิ้นมาวางลงบนถาดด้วยความระมัดระวัง เธอเริ่มทำตามที่ผมทำ เธอคีบขนมปังด้วยความระมัดระวังก่อนที่จะวางลงบนถาดอย่างระมัดระวัง เช่นเดียวกันกับผม ภายในเวลาไม่ถึงสามสิบนาที ขนมปังทุกชิ้นก็ถูกจัดเรียงไว้บนถาดอย่างสวยงาม ก็คงต้องขอบคุณรินล่ะสำหรับงานนี้ ผมเดินไปยังไปที่ประตูร้าน ผมพลิกป้ายคำว่าปิดเป็นเปิด ตอนนี้ก็เป็นการเปิดร้านอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผม
“คีบขนมปังนี่ง่ายจังเลยน้า” เธอพูดขึ้นกับผม
“มะกี้ตอบขอบคุณเธอจริงๆ ถ้าไม่ได้เธอคงเปิดร้านไม่ทัน”
“เค้าทำประโยชน์ให้กับยูจิด้วยล่ะ” รินดีใจเป็นอย่างมากกับคำชมของผม
ซักพักเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นเป็นการบอกว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้าน ผมกับรินหันไปก่อนจะเห็นเด็กสาวร่างเล็ก ผมของเธอสีแดงฉาด ถ้าจำไม่ผิดชื่อของเธอคือยุย ผมเจอกับเธอเมื่อวานในขณะที่ผมออกไปเดินเล่น เด็กสาวคนนี้อยู่ในชุดไปรเวท เธอสวมชุดคอกลม และสวมกระโปรงยาวเกินหัวเข่า ผมยกมือกล่าวทักทายเธอ เธอไม่ตอบรับอะไรผม สายตาของเธอจ้องมายังรินที่ยืนข้างๆผม รินเห็นยุยจ้องมายังเธอ เธอรีบวิ่งเข้าไปก่อนที่จะโผกอดยุยอย่างไว ยุยรีบพลักรินออกก่อนที่จะหยิบดาบคาตานะออกมาจากที่ไหนซักแห่งและใช้มันจ่อคอของริน
“เธอน่ะเป็นใคร” ยุยถามด้วยสายตาอำมหิต
“เนี๊ยว~ ชะ ชะ ชั้นก็รินไง” รินตอบด้วยน้ำเสียงตกใจ แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องตกใจอยู่แล้ว
“ชั้นไม่เชื่อ” ยุยพูดต่อ
“ยุยใจเย็นๆก่อนละกัน..ผู้หญิงคนนี้คือรินจริงๆนั่นแหละ” ผมพูดกับยุย
เธอหันมามองผมก่อนจะหันกลับไปมองริน ยุยเก็บดาบของเธอ รินรีบวิ่งกลับมาหลบหลังผมด้วยความกลัว ยุยไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น ก่อนที่เธอจะเดินไปเลือกขนมปังที่ถูกจัดเรียง เธอคว้าถาดกับที่คีบขนมปังก่อนที่เธอจะเลือกครัวซ็อง เธอหยิบมันเข้าถาดก่อนที่เธอจะเดินมาหาผมพร้อมกับครัวซ็องหนึ่งชิ้น ผมคิดเงินเธอ ก่อนที่เธอจะเดินจากไปพร้อมกับขนมปังของผม เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้งเป็นการบอกว่าเธอเดินออกจากร้านแล้ว เมื่อยุยเดินออกจากร้าน รินก็ออกมาจากหลังของผม และเริ่มพูดขึ้น
“ชั้นเห็นถึงความเศร้าโศกในตัวเธอแฮะ” รินพูดขึ้น
ผมหันไปมองหน้ารินหลังจากประโยคทีเธอพูด เธอต้องการจะสื่ออะไร? มันหมายความว่ายังไง? แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรก็มีลูกค้าคนที่สองเดินเข้าในร้าน เขาเป็นชายผมสั้น ใส่ชุดช่างซ่อม บนเสื้อของเขามีคราบน้ำมันติดตัวเต็มไปหมด ข้างหน้าร้านมีชายอีกสองคนที่แต่งตัวแบบเขายืนอยู่หน้าร้าน ผมได้กลิ่นน้ำมันอย่างชัดเจน เดาได้เลยว่าเขาทำงานเป็นช่างซ่อมรถ เขาหยิบขนมปังหลายชิ้นเข้าไปในถาด ก่อนที่เขาจะวางไว้ที่เค้าเตอร์คิดเงิน ผมคิดเงินก่อนที่จะแจ้งราคาให้เขา เขาหยิบเงินในกระเป๋าก่อนที่จะยื่นให้ผม ผมหยิบขนมปังใส่ถุงก่อนจะยื่นให้เขา ผมโค้งขอบคุณเขาพร้อมๆกับรินที่ทำตามผม
“นี่เธอน่ะ” ชายหนุ่มคนนี้พูดขึ้น
“เนี๊ยว?” รินเอียงคอ
“สนใจจะเดทกับพี่ไหม?” เขาถามต่อ
“ไม่” รินตอบอย่างรวดเร็ว
อูย...คงเจ็บไม่น้อยโดนปฏิเสธทันควันแบบนี้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยซักน้อย เขาหัวเราะก่อนที่เขาจะแนะนำตัวเองให้กับผม เขาชื่อว่า “อิเอคิชิ ริวเซย์” ทำงานเป็นช่างซ่อมรถในอู่ในเมืองชิอาวาเสะ ผมเองก็แนะนำตัวเองเหมือนกัน รวมถึงแนะนำรินที่พึ่งปฏิเสธริวเซย์ไปเมื่อครู่นี้ จะว่าไปถ้าเขาทำงานในอู่ซ่อมรถ ผมก็เกิดคำถามนึงทันที เมื่อวานผมเห็นรถไม่กี่คัน แล้วแบบนี้จะมีรายได้หรอ? ในเมื่อผมสงสัย ผมก็ไม่กลัวที่จะถาม
“ไม่เยอะหรอก ปกติก็จะมีแค่วันละสองสามคันหรือไม่มีเลย”
“เห..แล้วธุรกิจยังอยู่ได้หรอครับ” ผมถามตรงๆ
“ก็อยู่ได้ล่ะนะ เพราะมีบริษัทรังนกมาซ่อมรถอย่างน้อยวันละหนึ่งคันอยู่แล้วล่ะ” เขาอธิบายให้ฟัง
“ริวเซย์ไปกันได้ยัง เดี๋ยวกลับไปไม่ทันงานนะ” เพื่อนของเขาที่อยู่ข้างนอกเปิดประตูเรียกเข้า
เขาได้ยินเขาก็กล่าวบอกลากับผมก่อนที่จะเดินออกจากร้านไปพร้อมกับถุงขนมปังอันนั้น ไม่ทันที่ผมจะได้พักคราวนี้ก็มีเด็กสาวร่างเล็ก ผมสีขาวยาว แต่ว่าถึงแม้เธอจะร่างเล็ก แต่อายุของเธอนั้นก็ 21 ปีแล้ว เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อเธอเปิดประตูร้าน ผมรีบเดินไปหลังร้านเพื่อหยิบขนมปังที่ผมทำพิเศษไว้ให้เธอ ถ้าใครจำไม่ได้ว่าทำไมผมต้องทำขนมปังให้เธอนั้น ผมจะบอกให้ว่าเพราะเมื่อวานผมดันไปสบประมาทเธอดังนั้นถ้าหากผมอยากจะขอโทษเธอนั้นเธอบอกผมว่าวิธีการนั้นคือ “ขนมปัง” ในขณะที่ผมกำลังไปหยิบถุงขนมปังนั้น เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมา ผมหยิบถุงขนมปังก่อนที่จะเดินกลับไปช้าๆพร้อมกับความประหลาดใจเล็กๆ เมื่อผมเดินกลับไปก็เห็นเด็กสาวตัวเล็กที่ชื่อมิกิโกะ กับ รินกำลังคุยกันสนุกสนาน
“เน่ๆ ยูจิ..มิกิโกะนี่เป็นคนที่คุยด้วยสนุกจริงๆ” รินบอกกับผม
“เขาไม่ตกใจเรื่องของชั้นเลยซักนิดเลยล่ะ”
“ไม่ตกใจหรอครับ?” ผมหันไปถาม
“แค่แมวเป็นคนน่ะมิกิโกะไม่ตกใจ...หรอก” มิกิโกะตอบ
“เดี๋ยวๆ นี่คือรินที่เป็นแมวหรอ!?” มิกิโกะพูดด้วยสีหน้าตกใจ
“มะ มะ มิกิโกะนึกว่าเป็นแค่คนที่บังเอิญชื่อรินซะอีก” เธอพูดต่อ
“ก็ริน..ที่เป็นแมวของผมนั่นแหละครับ” ผมพูดความจริง
เธอได้ยินก็ตกใจก่อนจะร้องไห้และวิ่งออกนอกร้าน เพราะความกลัวละมั้งทำให้เธอร้องไห้ แต่ไม่ทันอะไรเธอก็วิ่งกลับเข้ามาในร้านทั้งน้ำตา เธอคว้าเอาถุงขนมปังของผมที่ทำไว้ให้เธอก่อนที่จะวิ่งกลับออกไป เธอวนกลับเข้ามาในร้านอีกรอบก่อนที่จะกล่าวบอกลาทั้งผมและริน จากนั้นเธอก็วิ่งกลับไปที่ร้านของตนเอง ผมยืนเกาหัวด้วยความงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนจะหมดช่วงวุ่นวายแล้ว ผมหันไปทางริน พร้อมเอ่ยปากถามเรื่องที่รินพูดเมื่อก่อนหน้านี้...ใช่ เรื่องของยุย แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นญาติอะไรกับผม แต่เมื่อรินพูดว่าเธอสัมผัสได้ถึงเศร้าโศกในตัวของยุยแล้ว ผมก็เป็นกังวลไม่น้อย
“นี่ริน...เรื่องของยุยน่ะ” ผมพูด
รินหันมามองผม แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น คราวนี้เป็นชายในชุดสูท ที่หน้าตาดูเป็นมิตร เขาเป็นเทศมนตรีของเมืองชิอาวาเสะนั่นเอง เขาเดินเข้ามาพร้อมกับบอดี้การ์ดหน้าตาไม่เป็นมิตรอีกสองคน เขาเป็นคนกล่าวทักทายผมก่อน ผมเองก็ทักทายเขากลับเช่นกัน เขาเดินมาที่ผมพร้อมด้วยรอยยิ้มอันเป็นมิตรของเขาเช่นเคย
“เป็นยังไงบ้างครับสำหรับวันแรก” เขาเอ่ยถาม
“ก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่” ผมตอบตามสภาพความเป็นจริง
“ว่าแต่คุณผู้หญิงข้างหลังคุณยูจินี่ใครหรอครับ” ชายสวมแว่นถามถึงรินที่ยืนอยู่ข้างหลังผม
“อ่อ..เธอชื่อรินน่ะ” ผมแนะนำตัวเธอ
“สวัสดีครับ” ชายสวมแว่นกล่าวทักทาย
รินได้แต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น เทศมนตรีคนนี้เริ่มเดินไปหยิบขนมปังที่ตนเองต้องการ เขาหยิบขนมปังไว้กินเองเพียงแค่สองสามชิ้นเท่านั้น เมื่อเขาซื้อเสร็จแล้ว เขาก็เดินออกจากร้านไป เวลาผ่านไป ไม่มีลูกค้าเพิ่มเลยแม้แต่น้อย จากแรกๆที่ผมยืน ผมเริ่มเปลี่ยนมาเป็นนั่ง ผมเริ่มหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา ในขณะที่รินก็เดินไปมาพร้อมกับหยิบขนมปังที่ผมคิดว่าไม่น่าจะขายออกได้แล้วมากิน เมื่อผมรู้ตัวก็หกโมงเย็นเสียแล้ว ขนมปังก็เหลือเยอะเหลือเกิน น่าเสียดายจริง ถ้าจะต้องทิ้งหมด แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกแฮะ ถ้าจะให้กินหมดคงไม่ไหว รินเองก็ดูเหมือนไม่อยากกินแล้วเหมือนกัน เอาเป็นว่า...ผมเก็บบางส่วนไว้ในตู้เย็นเพื่อกินเองก็แล้วกัน ผมเก็บบางส่วนเข้าไปในถุงขยะเพื่อเตรียมทิ้ง ผมเปิดประตูร้านเพื่อออกไปข้างนอก
“หลบหน่อยค่า~” เสียงหญิงสาวคนนึงตะโกนขึ้นมา
ผมหันมาก่อนที่จะเห็นหญิงสาวผมน้ำตาบที่สั้นเพียงประบ่าขับจักรยานสีแดงของเธอมาอย่างรวดเร็ว ผมรีบกระโจนหลบได้หวุดหวิด ส่วนจักรยานของเธอล้มลงกับพื้น ผมเดินไปดูคนขับจักรยานคนนี้ว่าเป็นยังไงบ้าง หัวเข่าของเธอถลอกเพราะการเสียดสีกับพื้น
“ไม่เป็นไรนะครับ?” ผมถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอพูดก่อนจะพยุงตัวขึ้นมา
“ผมว่าเป็นนะ...ทำแผลก่อนไหม?” ผมเสนอ
เธอลุกขึ้นมาก่อนที่จะพยุงจักรยานที่ล้มโดยไม่สนใจคำพูดผม ดูเหมือนเธอรีบร้อนมาก เธอขึ้นจักรยานพร้อมด้วยลอยถลอกบนหัวเข่าของเธอ หญิงสาวปั้นออกไปโดยไม่ได้แนะนำตัวแต่อย่างใด ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอคือใคร แต่เอาเถิด ผมมีเรื่องหนึ่งที่สงสัยกว่า ผมเดินกลับเข้าไปในร้านของผม ผมมองรอบๆก่อนที่จะตะโกนเรียกชื่อริน ซึ่งไม่มีใครตอบรับงั้นก็น่าจะหมายความว่ารินไม่อยู่ที่ชั้นหนึ่ง ถ้างั้นเธอก็อยู่บนชั้นสอง ผมเดินขึ้นไปถึงชั้นสอง ผมเห็นรินที่นั่งอยู่บนพื้นพร้อมกับกินขนมปัง สายตาของเธอจดจ้องไปที่กล่องที่มีสีดำ มันสามารถฉายภาพออกผ่านหน้าจอได้ ถ้าให้พูดง่ายๆก็คือ “ทีวี” นั่นแหละ
ผมนั่งลงข้างๆเธอ ดูเหมือนรินจะมีสมาธิกับการดูโทรทัศท์มาก เธอไม่หันมาทางผมเลย ปากของเธอยังคงเคี้ยวขนมปังอยู่ ผมเรียกชื่อของริน ผู้ที่ถูกเรียกนั้นไม่หันมา ผมตะโกนดังขึ้นมาเล็กน้อย รินก็ยังไม่หันมา ผมตะโกนสุดเสียง ครั้งนี้ทำให้รินตกใจ ขนมปังของเธอก็หล่นถึงพื้น แต่ประสาทสัมผัสของเธอยังไวพอที่จะรับขนมปังก้อนนั้นก่อนที่มันจะสัมผัสกับพื้นไม้ รินเริ่มพูดกับผมหลังจากที่ผมตะโกนเรียกเธอสามครั้ง
“ยูจิตะโกนใส่ทำไมง่า ตกใจหมด” เธอต่อว่าผม
“ก็เธอไม่ได้ยินนี่นา...ชั้นเลยต้องตะโกน...ว่าแต่มะกี้นั่งดูทีวีอยู่หรอ” ผมถาม
“อื้ม!! ไอ้กล่องนี้มันสนุกมากเลยล่ะ” รินตอบผม
“แต่ก่อนอื่น ชั้นมีเรื่องสงสัยน่ะ”
“อะไรหรอยูจิ?” รินเอียงคอถามผม
“ที่เธอพูดถึงยุยน่ะ...มันหมายความว่าอะไร” ผมตั้งคำถามกับเธอ
เธอหยิบรีโมทขึ้นมาก่อนที่จะกดปุ่มปิดที่อยู่บนมุมบน เมื่อนิ้วของเธอกดลงไปบนปุ่มปิดนั่น เมื่อทีวีถูกปิดลงทุกอย่างก็เงียบลง สายตาของเธอดูจริงจังมากเมื่อเทียบกับเวลาอื่นๆ เธอเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด อย่างช้าๆ ผมเองก็ได้แต่นั่งฟังเงียบๆ เรื่องเล่าของเธอนั้นไม่นานมาก ซึ่งถ้าให้ผมเล่าให้ฟังต่อก็จะจับความได้ว่า “เมฆหมอกแห่งความโศกเศร้าก่อตัวขึ้นมาจากความทุกข์ของประชากรในเมืองชิอาวาเสะ วิธีที่จะลดจำนวนเมฆหมอกแห่งความโศกเศร้าในคราวเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้หากแต่ว่าถ้าผมช่วยแก้ปัญหาให้ทีละคน ก็จะทำให้เมฆหมอกหายไปช้าๆ แต่ก็ใช่ว่าประชากรทุกคนจะมีความทุกข์ซะหมด ดังนั้นคนที่จะสามารถรับรู้ได้นั้นไม่ใช่ผม แต่เป็นรินที่เป็นเทพแห่งความสุข” นั่นก็คือเรื่องทั้งหมด
ผมพยักหน้าหลังจากที่ฟังเรื่องจบ นั่นก็หมายความว่าเทพแห่งความสุขเลือกผมให้ทำงานนี้ ผมนั่งคิดอยู่ชั่วครู่ว่าผมควรจะช่วยเหลือเธอไหม เพราะว่าผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไร ถ้ามันมีเทพแห่งความสุข มันก็มีความเทพแห่งความทุกข์หรือเทพอื่นๆแน่นอน ผมหลับตาลงเพื่อนั่งคิดก่อนจะลืมตาและให้คำตอบกับเธอว่า “ผมจะช่วย” ที่ผมทำนั้นไม่ใช่เพราะเรื่องเมฆหมอกนั่นหรอก แต่ยุยนั้นอายุคงไม่ถึง 20 ผมไม่อยากให้เธอต้องเจอความทุกข์ ชีวิตของเธอต้องมีความทุกข์อีกมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอันควร เมื่อรินได้ยินคำตอบของผม เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขเต็มที่ ก่อนที่จะกอดผมและกล่าวขอบคุณผม เธอปล่อยผมออก
“ขอบคุณจริงๆนะ ยูจิ...รักที่สุดเลย!!!” รินพูดกับผม
ผมไม่รู้นะว่าคำว่า “รักที่สุด” เป็นคำพูดของแมวถึงเจ้านาย หรือ ผู้หญิงถึงผู้ชายกันแน่ แต่ผมไม่ตอบรับอะไรได้ แต่ลุกขึ้นลูบหัวของริน ผมหันไปเหลือบมองนาฬิกา ดูเหมือนจะดึกสำหรับคนที่ต้องตื่นเช้าซะแล้ว ผมทิ้งตัวบนเตียงก่อนที่จะเตรียมดับไฟ แต่ไม่ทันจะทำอะไร รินกระโจนมานอนข้างๆผม ผมร้องขึ้นด้วยเสียงตกใจในสิ่งที่เธอทำ
“ทำอะไรน่ะ?!” ผมถามเธอ
“ก็..นอนข้างๆยูจิแบบทุกคืนไงล่ะ” รินตอบ
ถ้าตอนที่เป็นแมวไม่เป็นไรหรอก แต่ตอนนิ้รินเป็น “ผู้หญิง” ผมพยายามจะไล่เธอลงไปจากเตียง แต่เธอดื้อไม่ยอมลงไป เวลาผ่านไปหลายนาที รินก็เป็นฝ่ายที่หลับไปก่อนเสียแล้ว ผมถอนหายใจก่อนที่จะทำใจรับกับสิ่งทีเกิดขึ้น ผมกล่าวราตรีสวัสดิ์กับตัวเอง และริน ก่อนที่ผมจะเอื้อมมือไปปิดไฟ และหลับตาลง เพื่อเตรียมพร้อมกับการผจญภัยที่จะมาเยือนผมในวันพรุ่งนี้