ตอนที่ 3
------------
“เอ.. ห้อง 313 ห้อง 313…”
เสียงของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความฉงนว่าห้องดังกล่าวนั้นอยู่ไหน ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเสียงของบุรุษความจำเสื่อมที่เรารู้จักกันดี มิโมโตะนั่นเอง ในขณะที่เขากำลังย่ำเท้าเดินไปเรื่อยๆ ซึ่งข้างๆของเขามีหญิงสาววัยพอๆกันที่มีผมสีน้ำเงิน หรือมิไรที่เดินมาข้างเคียงกัน เพื่อเป็นการนำทางต่อตามสัญญาที่มิไรได้ให้ไว้ก่อนหน้านี้
“ตัวเลขห้องก็หาได้ไม่ยากหรอก ตัวแรกก็บอกถึงชั้น ส่วนสองตัวหลังก็คือลำดับเลขห้อง”
“ในกรณีของนายนี้.. ก็คือชั้น 3 ห้องหมายเลข 13 ไงล่ะ”
มิไรตอบอย่างร่าเริงพร้อมกับขยิบตาให้ ก่อนที่มิโมตะจะพยักหน้าหงึกๆให้กับความรู้ใหม่จากตัวมิไร ก่อนที่จะเงยหน้าแล้วก้าวเท้าขึ้นบันไดไปที่ชั้น 3
ถ้าถามว่าทำไมชั้นหนึ่งมันมีถึง 10 กว่าห้องเลย เนื่องจากว่าพวกเขาทั้งสองคนอยู่ในอาคารหอพัก ซึ่งมันเป็นอาคารแนวยาวคล้ายๆกับทำเนียบรัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาหรือที่เราเรียกกันว่าทำเนียบขาว โดยรวมแล้วแต่ล่ะชั้นจะมีห้องพักทั้งหมดประมาณ 15 ห้องด้วยกัน โดยที่ตรงกลางของแต่ล่ะชั้นจะเป็นลิฟท์พร้อมกับตู้น้ำ ตู้ขนมต่างๆ ที่นักเรียนสามารถมาใช้บริการได้ทั้งวันทั้งคืน ส่วนถ้าใครอยากจะออกกำลังกาย ก็มีบันไดให้พร้อม ตัวอาคารหอพักนี้มีทั้งหมด 21 ชั้นด้วยกัน แต่ก็ไม่ค่อยจะมีใครใช้บันไดกันหรอก ถ้าไม่ใช่อยู่แค่ชั้น 2 หรือชั้น 3 ในเมื่อมีลิทฟ์แล้วจะไปเสียเวลาเดินขึ้นบันไดทำไม แถมเหนื่อยอีกต่างหาก
แต่มิโมโตะกลับคิดว่ากะอีแค่ชั้น 3 ทำไมเขาจะเดินขึ้นไปเองไม่ได้ ได้ออกกำลังกาย แถมจะใช้ลิฟท์เพื่อขึ้นไปชั้น 3 สิ้นเปลืองพลังงานเสียเปล่า ซึ่งบันไดที่เขาขึ้นนั้นอยู่ฝั่งขวาสุด อีกตัวนึงจะอยู่ฝั่งซ้ายสุด ตัวสุดท้ายก็จะอยู่ตรงกลาง เนื่องจากว่าเขาอยู่ห้อง 313 ถ้าจะขึ้นบันไดเลยตั้งแต่แรกมันก็ดูแปลกๆ เขาเลยเลือกที่จะเดินผ่านชั้น 1 ไปก่อนที่จะก้าวขึ้นบันไดต่อไป
ในขณะที่ชั้นอื่นๆนั้นคือห้องพัก แต่ชั้นแรกหรือชั้นที่ 1 นี้คือชั้นห้องโถง ตรงกลางแน่นอนว่าเปรียบเสมือนลอบบี้ มีทีวี มีโซฟานุ่มๆ มีแผนกต้อนรับคอยช่วยเหลือพูดคุยกับนักเรียน ยามมีปัญหาอะไรก็สามารถลงมาแจ้งที่แผนกต้อนรับชั้น 1 นี้ได้ ฝั่งซ้ายจะเป็นบ่อน้ำพุร้อนของเพศหญิง ส่วนฝั่งขวาก็จะเป็นบ่อน้ำพุร้อนของเพศชาย
ตัวข้างในอาคารนี้แน่นอนว่าพื้นถูปูด้วยพรมสีแดงอีกตามเคย มีโคมไฟระย้าอยู่ตามทางไป มีภาพวาดติดตามฝาผนัง ให้บรรยากาศเปรียบเสมือนกำลังอาศัยอยู่ในโรงแรมระดับสูงๆยังไงยังงั้น มิโมโตะและมิไรก้าวขึ้นมาถึงชั้น 3 แล้วก่อนที่จะเดินหาห้อง 313 ที่อยู่ไม่ไกลจากบันไดด้านขวามากนัก
“นี่สินะห้อง 313”
มิโมโตะเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง 313 นี้ เป็นประตูไม้ที่ถูกตกแต่งเป็นลายเหมือนประตูทั่วๆไป แต่ปกติที่ตูควรจะมีลูกบิด แต่ประตูนี้ไม่ใช่ เป็นแท่นเล็กๆที่มีขนาดพอเท่ากับนิ้วชี้ของคนทั่วไปเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าห้องพักทุกห้องของที่นี่นั้นใช้ระแบบสแกนลายนิ้วมือ คนนอกจะไม่สามารถเข้าไปในเจ้าของห้องได้ ถ้าเกิดไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าของห้องเสียก่อน
“ห้องพักของพวกเราจะใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือล่ะ เป็นไง มันเจ๋งสุดๆไปเลย~”
“ซึ่งประตูมันจะเปิดให้กับเจ้าของห้องนี้เท่านั้น หมายความว่าแต่ละห้องจะมีข้อมูลลายนิ้วมือของคนสองคนอยู่”
“แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวใครจะมางัดห้องเราเลย ดีสุดๆไปเลยใช่มั้ยล่า~”
มิไรพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม มิโมโตะก็ได้แต่ยิ้มที่มุมปากตอบรับกลับไป
“นายจะเข้าไปอยู่กับรูมเมทอีกคนนึงของนาย ซึ่งตอนนี้น่าจะนอนอยู่ในห้องนี้แหละนะ ถ้าฉันจำไม่ผิด..”
“เขาอาจจะออกไปข้างนอกก็ได้นี่ ?”
“ไม่อ่ะ ไม่มีทาง สำหรับคนๆนี้ ถ้าโลกไม่แตกจริงๆยังไม่รู้เลยว่ามันจะออกมาจากห้องนี้หรือเปล่า”
“เป็นคนเฉื่อยชาขนาดนั้นเลยเหรอ ?”
“ก็นั่นสินะ ฉันเคยคุยกับเขาอยู่หนสองหนมั้ง เล่นเอาซะชั้นแทบไปไม่เป็นเลยล่ะ..”
“เห..”
“เอาเถอะ! จริงๆฉันก็อยากจะเข้าไปช่วยนายอยู่หรอกนะ แต่มันจะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวจนเกินไป ให้รูมเมทของนายจัดการแทนฉันละกัน เจอกันเย็นๆค่ำๆวันนี้นะจ้า!~”
สิ้นเสียงคำบอกลาที่สุดแสนจะร่าเริงของมิไร เธอก็หันหลังวิ่งก้าวกระโดดกลับไปพร้อมโบกมือบ๊ายบายให้กับตัวมิโมโตะไปพร้อมๆกัน ตัวชายหนุ่มได้แต่พยายามจะร้องทัก แต่มันก็สายไปเสียแล้ว หญิงสาวได้วิ่งเลยระยะที่เสียงของเขาจะสามารถส่งไปถึงได้แล้ว เขาได้แต่เพียงถอนหายใจ ก่อนที่จะพึมพำขึ้นมา
“เย็นๆวันนี้งั้นเหรอ.. มีอะไรกันแน่นะ”
เหมือนตัวเขาเองจะยังไม่รู้เลยว่าช่วงเวลาเย็นๆของวันนี้นั้นมีอะไรเกิดขึ้น มิไรถึงได้เหมือนบอกว่าจะเจอกับเขาที่ไหนซักที่ในช่วงเวลาดังกล่าว เขาคงต้องไปหาข้อมูลเอาเองแล้วกับเรื่องนี้ เขาพยักหน้า ก่อนที่จะนำนิ้วชี้ไปวางลงบนแท่นแสกน ก่อนที่ประตูห้องจะปลดล็อค และเขาก็สามารถผลักเข้าไปได้
“มาแล้วเหรอ ? รอจนแทบรากงอกเลยนะเนี่ย”
เพียงแค่เขาก้าวเท้าไปแค่ก้าวแรกเท่านั้น ก็มีเสียงทักทายมาจากข้างในห้อง อย่างที่มิไรได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า แต่ล่ะห้องจะใช้ชีวิตกันได้สองคน ทำให้ทุกๆคนนั้นจะต้องมีรูมเมทอย่างน้อยหนึ่งคนแน่นอน
หลังจากที่มิโมโตะถอดรองเท้าก็ได้ก้าวเท้าเข้ามาย่ำบนพื้นพรมสีแดงเช่นเคย ด้านขวาของเขาคือห้องน้ำ ก่อนที่เขาจะเดินตรงไปอีกประมาณ 2-3 เก้า ก็ได้เจอกับตัวหลักของห้อง มีโต๊ะที่ขนาดใหญ่พอจะวางของสำหรับคนสองคนได้ แน่นอนว่ามีเก้าอี้สองตัว โต๊ะและเก้าอี้อยู่ทางด้านขวามือ มีทีวีจอแบนติดผนังตั้งอยู่บนเหนือโต๊ะดังกล่าว เครื่องปรับอากาศที่อยู่เหนือสุดตรงหน้าของเขา มีหลอดไฟตรงกลางเพดานแค่หนึ่งหลอดแต่กลับส่องสว่างได้ทั่วทั้งห้อง ตรงหน้าของเขาคือตู้เสื้อผ้าพร้อมกับตู้เย็นขนาดเล็ก ซึ่งข้างหลังนั้นก็คือระเบียงและมีกระจกกั้นเอาไว้ สามารถเลื่อนปิดเปิดได้ ส่วนด้านซ้ายของเขาคือเตียงสองชั้น ชั้นแรกมีกระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่วางไว้อยู่ ส่วนชั้นสองนั้นไม่ทราบ เพราะมองไม่เห็น
แต่จริงๆแล้วก็คงจะเดาได้ไม่ยาก มิโมโตะได้มองไปรอบๆหมดแล้ว เหลือเพียงแต่เตียงนอนชั้นสองเท่านั้น ซึ่งถ้ามีเสียงมาจากข้างในห้องนี้ ต้นเสียงก็คงกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนนั้นแน่นอน
“สวัสดีครับ มิโมโตะครับ ถ้าจะให้ผมเห็นหน้าหน่อยจะเป็นอะไรไหมครับ”
คนดังกล่าวที่นอนอยู่นั้นได้หันมาให้อยู่ในระยะสายตาของเขาเอง เป็นชายหนุ่มที่ขอบตาดำเหมือนกับแพนด้า ผมสีดำเซอๆยุ่งๆ ใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวธรรมดาๆ ไม่มีลาย พร้อมกับสวมกางเกงยีนส์ทั้งๆที่นอนเล่นอยู่
“ชื่อฉันมันยาวเกิน อย่ารู้เลย เอาเป็นว่าเรียกแค่ อีริค พอสั้นๆง่ายๆ จอบอนะ”
“สัมภาระของนายมันมาก่อนตัวนายเสียอีก อยู่ตรงเตียงชั้นล่างนู่นน่ะ เห็นยัง”
“ตอนแรกฉันก็ตกใจนะ ว่าทำไมสัมภาระมันถึงมาก่อนคน ก็ว่าจะถามคนที่เอามาอยู่หรอก แต่ไปๆมาๆก็ช่างมันเถอะ มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันซักหน่อย”
พูดว่าขี้เกียจก็ไม่ว่าหรอกนะ.. นั่นคือสิ่งที่มิโมโตะคิดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เขาพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเข้าใจแล้ว หนุ่มขอบตาดำก็หันกลับไปนอนเล่นต่อ ส่วนตัวมิโมโตะก็ลงมือค้นสัมภาระของเขาว่ามีอะไรบ้าง แน่นอนว่าเป็นของใช้ทั่วๆไป ที่ทุกคนจำเป็นต้องมี ปัจจัย 4 ทั้งหลายแหล่ ชุดเสื้อผ้าทั้งหลายที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซื้อมาจากไหน แต่มีใส่ก็พอแล้วแหละ
เขาไปจัดแจงเรื่องเสื้อผ้า เรื่องอุปกรณ์เครื่องใช้ทั่วไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะจัดการเรื่องโต๊ะต่อ เขาเห็นว่ามีเอกสาร สัมภาระสัมภารกวางอยู่บนซีกซ้ายของโต๊ะตัวนี้ เขาจึงจัดแจงนำสิ่งของของเขาวางไว้บนโต๊ะทางด้านซีกขวาบ้าง แบ่งๆกันใช้
เมื่อเขาจัดการทุกอย่างเสร็จ เขาหันไปดูนาฬิกาที่แขวนอยู่เหนือโทรทัศน์ พบว่าเป็นเวลาประมาณบ่ายสามโมงเสียแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วเสียจริง หลังจากที่เขาได้ดูนาฬิกาไป เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันไปถามบุรุษผู้เฉื่อยชาที่ยังคงนอนอยู่ข้างบนนั้น
“นี่อีริค วันนี้ตอนเย็นๆจะมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ ?”
“หืมมม..?”
หนุ่มผู้แสนจะเฉื่อยชานามว่าอีริคหันกลับมานอนมองมาที่ตัวมิโมโตะอีกครั้ง ก่อนที่จะทำหน้างงๆแล้วโพล่งคำถามมา
“เอ่อ ขออีกทีซิ เมื่อกี๊ฉันไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่น่ะ”
“ฉันถามว่า วันนี้ตอนเย็นๆจะมีอะไรงั้นเหรอ ?”
“อ๋อ.. ก่อนอื่นเลย นายรู้มั้ยว่าวันนี้วันอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกันแฮะ..”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันถึงได้ถามนายไงเล่า ให้ตายเถอะ”
มิโมโตะหันไปดูนาฬิกาที่อยู่เหนือโทรทัศน์ ที่มีวันเดือนปีบอกเอาไว้ด้วย
“นี่ไง.. มันก็มีบอกอยู่ตรงนาฬิกาเนี่ย แค่แหงนไปมองดูเองไม่ได้เรอะ”
“ฉันขี้เกียจอ่ะ นายดูให้หน่อยสิ หรือนายไม่อยากรู้ว่าวันนี้จะมีอะไรเหรอ ?”
“… วันนี้วันอาทิตย์”
“เห ก็ไม่แปลก วันนี้จะมีปาร์ตี้ทุกสัปดาห์สำหรับช่วงเย็นๆ เป็นการกระชับมิตรสำหรับนักเรียนในเกาะนี้น่ะ มันมีนักเรียนไม่มากหรอกที่นี่เนี่ย”
เป็นคำตอบที่เรียกได้ว่าเป็นไปตามความคาดหมายของเขาเลยก็ว่าได้ ไม่งั้นมิไรจะบอกว่าเขาจะต้องเจอกับเธอในเย็นนี้แน่นอนทำไม
“ถ้าออกประตูหลังไป จะเป็นโดมขนาดกลางๆพอดีๆไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป สถานที่นั้นแหละจะเป็นสถานที่จัดปาร์ตี้ทุกๆเย็น-ค่ำวันอาทิตย์”
“สำหรับหน้าใหม่อย่างนาย ควรจะไปร่วมงานนี้นะ มันช่วยได้เยอะเลยล่ะ”
“แล้วนายล่ะ ? จะไปกับฉันไหม ?”
“ไม่อ่ะ งานพรรค์นี้ฉันเคยเข้าร่วมมันแค่ครั้งเดียวเอง เรื่องอะไรฉันจะต้องไปเบียดเสียดเจอกับคนเยอะๆ แถมเสียงดังอีกต่างหาก ฉันรอดูบรรยากาศผ่านทีวีเครื่องนี้ก็ได้ มันมีถ่ายทอดสดไปทั่วเกาะนี้ด้วยนะ”
“มันน่าสนใจถึงขนาดต้องมีถ่ายทอดสดเลยเหรอ ?”
“ที่มันน่าสนใจเพราะอะไรรู้ไหม ? นายก็รู้ดีว่าทุกคนบนเกาะนี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาๆ เพื่อไม่ให้งานปาร์ตี้นั้นน่าเบื่อ จึงมีการจัดการแข่งขันต่อสู้ 1 ต่อ 1 ทุกๆสัปดาห์ เป็นการจัดอันดับนักเรียนทุกๆคนในเกาะนี้ เอาจริงเรื่องอันดับนี้มันไม่มีผลอะไรมากหรอก แต่มันก็บ่งบอกถึงฝีมือของแต่ล่ะคนได้ นายก็รู้ว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร”
จากใบหน้าปกติเฉยๆจนเกือบเรียกได้ว่าหน้าตายของมิโมโตะ กลับผุดรอยยิ้มที่มุมปากออกมาเสียอย่างงั้น ดูเหมือนว่าภายในส่วนลึกของเขาแล้วคงจะเป็นคนที่ชอบการต่อสู้อยู่ไม่น้อย
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆนั่นแหละ แล้วไอ้การแข่งขันที่ว่านี้มันทำกันยังไงล่ะ ?”
“ไม่มีอะไรมาก ในระหว่างงานปาร์ตี้นั้น จะมีช่วงเวลาที่บนเวทีวงกลมนั้นว่างอยู่ เวทีนั้นจะอยู่ตรงกลางของงาน สิ่งที่นายต้องทำก็แค่ เอานิ้วชี้ไขว้ไว้กับนิ้วกลางเป็นสัญลักษณ์ ก่อนที่จะชี้ประกาศเกล้าท้าไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง จากนั้นพวกนายก็จะไปสู้กันบนเวทีนั้นแหละ”
“กฎเกณฑ์มันก็ง่ายๆ ใครที่เข่าถึงพื้นก่อนทั้งสองข้าง หรือใครที่หล่นออกจากเวทีนั้นไป ถือว่าเป็นฝ่ายแพ้ คนชนะจะได้สลับอันดับกับผู้แพ้ แต่ถ้าคนชนะมีอันดับสูงกว่าอยู่แล้วก็จะสามารถสั่งให้ผู้แพ้ที่อันดับต่ำกว่าทำอะไรได้หนึ่งอย่าง”
“และที่สำคัญที่สุดก็คือ.. แต่ล่ะคนสามารถยืนอยู่บนเวทีนั้นได้แค่ครั้งเดียวต่อคืนเท่านั้น”
รอยยิ้มมุมปากของมิโมโตะนั้นใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเป็นสัญญาณตอบรับว่าเข้าใจสิ่งที่อีริคได้อธิบายมาหมดแล้ว
“งี้นี่เอง.. แล้วนายล่ะอีริค อยู่อันดับที่เท่าไหร่ ?”
“นี่ยังต้องถามอีกเหรอ ? ฉันก็บอกไปอยู่หยกๆว่าฉันเคยเข้าร่วมงานนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น คิดว่าฉันจะอยู่อันดับเท่าไหร่ล่ะ ?”
“ที่โหล่แน่นอนแบบนี้”
“ไม่ใช่ว่ะ ฉันอยู่อันดับที่ 299 พอมีแกเข้ามา แกก็เลยกลายเป็นอับดับที่ 300 แทนฉันยังไงล่ะ ฮ่าๆๆ!”
“ดูเหมือนนายจะภูมิใจมากเลยนะ…”
เสียงหัวเราะของอีริคดังไปลั่นห้อง น่าแปลกใจที่เราจะได้ยินเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มที่สุดแสนจะเฉื่อยชาคนนี้ได้ด้วย มิโมโตะปล่อยไป จนกระทั่งอีริคหัวเราะจนพอใจแล้วจึงกลับมาทำหน้านิ่งที่แสนจะเอื่อยอ่อยอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วสินะ ต่อให้อันดับจะสลับกันถ้าชนะก็จริง แต่ถ้าที่โหล่อย่างแกไปท้าชนกับที่หนึ่ง ก็ใช่ว่าจะฟลุ๊คชนะซะหน่อย แถมยังอาจจะโดนสั่งให้ไปทำอะไรบ้าๆบอๆอีกต่างหาก”
“รู้แล้วน่า ในคืนแรกฉันไม่ทำอะไรห่ามๆแบบนั้นหรอก ของแบบนี้มันต้องเล่นชั้นเชิงสิ ถึงจะดี”
“หึ ก็ดีแล้ว งานจะเริ่มตอน 6 โมงเย็น ระหว่างนี้ก็ไปเตรียมตัวมาให้ดีละกัน”
“โอ๊ส”
“ขอให้นายโชคดี ชั้นนอนละ บาย! แล้วชั้นจะนอนดูอยู่ที่นี่เอง!”
ว่าแล้ว อีริคก็สะบัดผ้าห่มมาคลุมโปงทันที สมแล้วที่เป็น “อีริคผู้แสนเฉื่อยชา” ที่นักเรียนหรือแม้แต่ครูอาจารย์ต่างพร้อมใจกันตั้งให้ มิโมโตะได้แต่ส่ายหน้าก่อนที่จะจัดแจงเตรียมตัวให้พร้อมกับ “งานปาร์ตี้” คืนนี้