”สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง สหายย่อมจากลา ชีวิตไม่เคยหยุดให้ใคร”
Steven Chbosky
=====
นี่ก็ครึ่งเดือนแล้ว หลังจากที่โลกของเรากลายสภาพเป็นเช่นนี้ ทุกๆวัน ผมเห็นเหล่าซากศพที่มากขึ้น ผมไม่แฮปปี้หรอกที่เห็นคนตายมากขึ้น แต่สิ่งที่หนึ่งที่ผมพอใจก็คือในกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ผมอยู่ ทุกคนยังปลอดภัยดี แต่ผมคงไม่สามารถพูดได้หรอกว่าทุกคนมีความสุขดี เพราะต่อให้ผมมีอาหาร มีที่นอน มีไฟฟ้า มีน้ำ แต่การที่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ ผมไม่มีความสุขเลยซักนิด ส่วนเสบียงที่ซิดนีย์หามานั้นก็เริ่มเหลือน้อยลง ซึ่งทำให้ผมกับฟรานซิสต้องกลับออกไปหาอาหารอีกครั้ง ผมกับฟรานซิสเดินอย่างช้าๆในถนนที่มีเหล่าซอมบี้ยืนอยู่ทุกมุม ในมือของผมยังถือประแจอันเดิมที่ผมใช้ตีซอมบี้ตายไปตัว หญิงผมส้มเดินนำหน้าผม ส่วนผมได้แต่เดินตามเงียบๆ ฟรานซิสเกิดที่นี่ ทำให้เธอรู้ผังเมืองดี ในขณะเดียวกันผมอยู่มาแค่สองสัปดาห์เท่านั้น ถ้าพาผมไปที่แปลกๆ ผมคงไม่สามารถเดินกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์เองได้แน่ๆ ฟรานซิสหยุดอยู่ที่กำแพงหินที่ตั้งอยู่ ผมเองก็หยุดเช่นเดียวกัน
“ชั้นจะปีนขึ้นบนกำแพงนะ” ฟรานซิสหันมาบอกผม
สิ้นเสียงของเธอ เธอก็ปีนขึ้นกำแพงหินอย่างรวดเร็ว เธอทำสัญญาณมือบอกให้ผมขึ้นมา ผมปีนขึ้นอย่างช้าๆด้วยความตะกุกตะกัก เมื่อผมขึ้นไปบนกำแพงแล้ว ผมก็เห็นบ้านหลังหนึ่ง มันเป็นบ้านที่ถูกย้อมสีขาว รอบๆบ้านมีต้นไม้มากมาย รวมถึงแปรงดอกไม้ที่ถูกปลูกอยู่ทั่วบ้าน ที่น่าแปลกคือที่นี่ไม่มีซอมบี้ซักตัว ทำไมกันนะ? ฟรานซิสกระโดดลงมาจากกำแพง เช่นเดียวกันกับผมที่กระโดดลงมาจากกำแพงเช่นเดียวกัน เมื่อผมกับฟรานซิสกระโดดลงมาจากกำแพง หินพวกเราก็เดินย่องไปยังบ้านหลังนี้ เมื่อเราเข้าไปใกล้ๆบ้านหลังนี้นั้น เราก็เห็นประตูไม้ ฟรานซิสบิดลูกบิดประตูก่อนจะพบว่ามันไม่ได้ล็อค เธอเปิดประตูช้าๆก่อนจะเห็นบ้านที่ทุกอย่างดูเรียบร้อย ข้าวของไม่กระจัดกระจายตามพื้น บนกำแพงนั้นไร้ซึ่งคราบเลือด
“จอร์แดน นายไปหาอาหารนะ ส่วนชั้นจะขึ้นไปดูบนบ้านหน่อย” ฟรานซิสสั่งผม
ผมพยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปยังห้องควร ส่วนฟรานซิสนั้นขึ้นไปบนบ้าน ผมเอื้อมมือไปเปิดตู้เย็น เมื่อผมเปิด ผมก็ได้แต่ผิดหวังเพราะตู้เย็นนั้นว่างเปล่า ผมเอื้อมไปเปิดตู้เก็บของที่อยู่เหนือตู้เย็น คราวนี้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่เห็นอาหารกระป๋องจำนวนหนึ่งและเครื่องปรุงส่วนหนึ่ง ผมหยิบของเหล่านั้นก่อนจะโยนลงกระเป๋าสีดำของผม ผมเดินเอื้อมมือไปอีกตู้ก่อนจะเปิด สิ่งแรกที่ผมเห็นคืออาหารสุนัข ผมหยิบมันมาดูก่อนจะหมุนหาฉลาก ดูเหมือนจะไม่ได้เขียนว่า “คนห้ามกิน” ดังนั้นผมคงนับว่าเป็นเสบียงได้ละมั้ง ในขณะที่ผมกำลังสนุกสนานกับการเก็บเสบียงอยู่นั้น ผมก็ได้เสียงตึงตังจากข้างบนบ้าน
“ช่วยด้วย!!” เสียงของฟรานซิสตะโกนขึ้นมา
เสียงของสาวผมส้มนั้นทำให้ผมทิ้งกระเป๋า ก่อนที่ผมจะวิ่งไปตามทิศทางของเสียง เมื่อผมขึ้นไปผมเห็นซอมบี้ผู้หญิงที่มีผมหยิกสีดำ เธอกดฟรานซิสอยู่บนพื้น ในขณะเดียวกันสาวผมส้มพยายามจะใช้มือของเธอดันซากศพตัวนี้ไม่ให้กัดคอของเธอ ผมรีบดึงเสื้อของซอมบี้ตัวนี้ขึ้นมา ก่อนจะใช้ประแจฟาดเข้าไปหลังศีรษะของมัน ซอมบี้ตัวนี้ลงไปนอนกับพื้น ผมรีบใช้ประแจซ้ำอีกทีเพื่อความมั่นใจ ผมยืนมองมันซักพักและดูเหมือนมันจะไม่ลุกขึ้นมา ผมหันไปมองฟรานซิสที่ลุกขึ้นมานั่ง ผมยื่นมือมาให้หญิงผมส้ม เธอคว้ามือของผมไว้ก่อนจะลุกขึ้นมายืน
“เป็นอะไรไหม?” ผมเอ่ยปากถาม
“ไม่เป็นไร...ไม่โดนกัด” เธอตอบพลางดูส่วนต่างๆของตัวเอง
“แล้วซอมบี้ตัวนี้เป็นใครนะ....ว่าแต่จอร์แดน นายเจออะไรบ้างรึเปล่า?” ฟรานซิสถามผมหลังจากที่เธอบ่นพึมพำ
“ก็เจออาหารนิดหน่อยน่ะ ไม่เยอะ แต่น่าจะพอในวันนี้” ผมตอบเธอ
“งั้นหรอก็ดี...” ฟรานซิสพูดก่อนจะหันไปเปิดประตูไม้ที่อยู่ข้างๆเธอ
เมื่อประตูเปิดนั้นเธอก็เอามือกุมปากของตัวเอง ผมเองก็เดินตามเธอไป สิ่งที่ผมเห็นคือร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่นอนบนเตียง ในมือของเขานั้นถือปืนอยู่ ผิวของเขานั้นแห้ง แมลงกัดกินผิวหนังของเขา พวกมันชอนไชไปทั่วร่างกายของชายคนนี้ ข้างศีรษะของเขานั้นมีรูอยู่ ดูเหมือนเขาจะใช้ปืนที่ถือในมือลั่นไกเพื่อปลิดชีวิตตัวเอง บนกำแพงนั้นมีคราบเลือดที่แห้งสนิทติดอยู่ ดูเหมือนซากศพของชายคนนี้จะอยู่ตรงนี้มาได้ซักพักแล้ว ผมหันไปมองที่ตู้เสื้อผ้าที่มีรูปภาพรูปหนึ่งรูปอยู่ มันเป็นรูปของชายที่นอนเป็นศพบนเตียงกับผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนในชุดแต่งงาน หน้าผู้หญิงคนนี้ดูคุ้นๆสำหรับผม เคยเห็นที่ไหนนะ? ผมตั้งคำถาม และแล้วผมก็นึกออก มันคือใบหน้าของซอมบี้ตัวที่ผมตีตายเมื่อครู่นี้ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านหลังนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพูดได้คือ “มันต้องเป็นเรื่องที่น่าเศร้า”
“รู้ไหมจอร์แดน...ชั้นไม่เชื่อว่าการฆ่าตัวตายคือทางออกของทั้งหมด” ฟรานซิสพูดขึ้นมาในขณะที่เธอมองศพของชายคนนี้
“ไม่ว่าโลกเรามันจะเลวร้ายขนาดไหน เปลี่ยนไปขนาดไหน ชั้นเชื่อว่ามันต้องมีทางออก”
“แม้มันจะน้อยแค่ไหนก็เถอะ”
“ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีอะไรแล้ว เรากลับกันเถอะ” ฟรานซิสหันมาพูดกับผม
ผมพยักหน้า ผมและเธอเดินออกจากบ้านหลังนี้ก่อนจะปีนข้ามกำแพงหินอันเดิม เราทั้งสองเดินอย่างช้าๆเพื่อกลับไปยังอพาร์ทเม้นท์ของเรา หากทว่าอยู่ดีๆเธอก็หยุดลงก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอย ไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไร เธอก็ดึงผมเข้ามาซอย เธอใช้มือของเธอปิดปากของผมไว้ ก่อนจะเอานิ้วชี้ติดกับริมฝีปากของเธอ เป็นสัญลักษณ์บอกให้ผมเงียบ ผมพยักหน้า เธอปล่อยมือผมออกก่อนจะชะเง้อออกไปดู เช่นเดียวกันด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมก็ชะเง้อออกไปดู และเมื่อผมมองออกไป ผมก็เห็นคนสองคนที่ถูกมัดกับพื้น ใกล้ๆกับพวกเขานั้นเป็นกลุ่มชายประมาณห้าคนได้ พวกเขาถืออาวุธก่อนจะจ่อไปที่ศีรษะของชายหญิงคู่หนึ่งที่ถูกกดลงไปกับพื้น
“ชั้นจะถามอีกครั้ง...พวกแกรู้รึเปล่าว่าแถวนี้มีค่ายของพวกผู้รอดชีวิตคนอื่นรึเปล่า?” ชายคนหนึ่งในกลุ่มถาม
“ไม่รู้ครับ...ผมกับภรรยาของผมอยู่กันแค่สองคน” ชายที่ถูกกดลงไปกับพื้นตอบ
“หรอ..แน่ใจนะ ว่าแกไม่ได้ปกปิดอะไรชั้น” ชายคนเดิมถามซ้ำ
“ครับ ผมพูดจริง” ชายที่ถูกถามตอบด้วยความกลัว
เขาลดปืนลง ก่อนจะพยักหน้ามองเพื่อนของเขา เพื่อนของเขาคนนี้พยักหน้าก่อนจะหยิบเอาไม้เบสบอลออกมาก่อนจะฟาดลงเข้าไปที่ศีรษะของชายที่นอนอยู่บนพื้น ไม่ใช่แค่ชายคนนี้คนเดียวแต่คนอื่นก็ร่วมงพร้อมกับหยิบอาวุธของตัวเองและฟาดลงไปบนหัวของชายคนนี้ราวกับเป็นของเล่น ภรรยาผู้นอนข้างๆนั้นกรีดร้องด้วยความตกใจ สภาพใบหน้าของนั้นเละจนจำไม่ได้ เมื่อพวกเขาทุบจนสะใจ แล้วพวกเขาก็หันไปมองหญิงผู้เป็นภรรยาที่น้ำตานองไปทั่วใบหน้า พวกเขาต่างยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย ชายคนหนึ่งในกลุ่มจิกศีรษะของเธอก่อนจะลากเธอกลับไป เพื่อนๆของพวกเขาเดินตาม ในขณะที่พวกเขาเดินอยู่นั้นก็มีชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“เออ แล้วตกลงเอาไงกับไอ้คนที่ขโมยของๆเราและเพื่อนของเรา?”
“วันนี้ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน เพราะยังไงวันนี้เราก็ได้ของเล่นมาแล้วชิ้นนึง” ชายคนที่ลากแม่หม้ายพูดขึ้นมา
ผมกับฟรานซิสได้ยินประโยคได้แต่มองหน้ากัน ดูเหมือนพวกนี้คือพวกเบลดที่ออกตามล่าซิดนีย์ที่ขโมยเสบียงของพวกเขาไป หญิงที่ถูกลากนั้นมองมาที่ผมกับฟรานซิส ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกลัวและคราบน้ำตา เธอส่งสายตามาที่พวกเรา เพื่อหวังจะให้เราช่วยเหลือเธอ แต่แม้ผมอยากจะออกไปช่วยเธอมากเพียงใด แต่การวิ่งออกไปหากลุ่มชายฉกรรจ์ที่ติดอาวุธห้าคนนั้นคงเป็นการตัดสินใจที่เรียกได้ว่าโง่สิ้นดี ไม่นานพวกเขาก็หายไปจากระยะสายตาของเรา ผมกับฟรานซิสอออกจากซอยก่อนจะเดินตรงไปที่ร่างของชายที่ถูกไม้เบสบอลฟาด ผมเห็นสภาพศพของเขาแล้วก็ปิดปาก มันเป็นภาพที่ชวนคลื่นไส้ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา สมองของเขานั้นกระจายไปทั่วศพของเขา ผมมองหน้าของฟรานซิสที่มองด้วยสายตาขยะแขลง
“รีบกลับไปบอกพวกแลนด้อนเถอะว่าเบลดตามหาตัวแล้ว” ฟรานซิสพูดด้วยน้ำเสียงสะอิดสะเอียน
“ชั้นก็ว่างั้น...เรารีบกลับกันเถอะ”
พวกเราออกเดินไปยังอพาร์ทเม้นท์ของเรา เมื่อเรากลับไปถึงอพาร์ทเม้นท์ของเรานั้น ผมก็เปิดประตูเข้าไปในตัวอาคาร เมื่อเราเข้าไปนั้น ผมก็ปลดกระเป๋าของตัวเองออกก่อนจะยื่นให้กับอัลเธนีย์ที่มักจะทำหน้าที่เก็บเสบียง
“แลนด้อน...ดูเหมือนเราจะเจอปัญหาใหญ่แล้วนะ” ฟรานซิสพูดขึ้นมาในขณะที่แลนด้อนออกไปยังนอกหน้าต่าง
“มีอะไรล่ะ?” ชายผิวสีได้ยินก็หันมาทางฟรานซิส
“ระหว่างทางที่ชั้นกับจอร์แดนเดินกลับมานี่ พวกเราเจอเบลดกำลังตามหัวพี่ของชั้นอยู่” ฟรานซิสเล่าสิ่งที่ตัวเองเห็น
“บ้าเอ๊ย...พวกมันหามาถึงนี่แล้วหรอวะ?” แลนด้อนสบถก่อนจะบ่นกับตัวเอง
“ชั้นก็เลยคิดว่าเราควรจะย้ายออกจากที่นี่ได้แล้ว เพราะว่าที่นี่ไม่น่าจะปลอดภัยแล้ว” หญิงผมส้มเสนอต่อ
“แล้วเราจะย้ายไปไหนละคะ?” สเตลล่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะอาหารถามขึ้นมา
“ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องอยู่ในเมืองนี้ ยิ่งเราออกจากเมืองนี้เร็วเท่าไหร่ เรายิ่งปลอดภัยจากพวกเบลดมากเท่านั้น” ฟรานซิสเสนอ
“พี่ว่าไอเดียของเธอดีนะ ฟรานซิส...แต่อีกคำถามคือเราจะออกจากเมืองนี้ได้ยังไง?”
“เดินคงไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่ ว่าไหม?” ซิดนีย์พูดบ้าง
ฟรานซิสพยักหน้า ผมเองก็จับคางก่อนจะคิด ว่าแล้วผมก็หันมาทางอเล็กซ์ที่นั่งอยู่ เมื่อเขาเห็นผมมอง เขาก็ทำสายตางงๆว่า ผมมองอะไรเขา ว่าแล้วผมก็เอ่ยปากถามเขาขึ้นมา
“อเล็กซ์ นายยังเก็บกุญแจรถรึเปล่า?”
“เก็บอยู่ซิใครจะทิ้งได้ลง รถคนนั้นเป็นเหมือนสุดที่รักของชั้นเลยนะ” อเล็กซ์ตอบผม
ผมฟังแล้วก็พยักหน้าก่อนจะหันไปหากลุ่มผู้รอดชีวิตและพูด
“ชั้นกับอเล็กซ์มีรถที่สามารถนั่งได้ 4 คน และสามารถขนเสบียงได้ระดับนึง”
“พวกนายมีรถด้วยหรอ?” สเตลล่าถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง
ฟรานซิสนึกก่อนจะพูดกับชายทั้งสอง
“รถคนนั้นรึเปล่า...ตอนที่ชั้นเจอพวกนายน่ะ” ฟรานซิสเอ่ยปากถาม
“ใช่ คันนั้นแหละ” อเล็กซ์ตอบกลับ
“เยี่ยม...ถ้างั้นเรารีบเอาไปรถคันนี้มาไว้ที่อพาร์ทเม้นท์ของเราก่อนดีกว่า” ฟรานซิสพูดกับผมและอเล็กซ์
สิ้นเสียงของเธอ อเล็กซ์ก็รีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของอพาร์ทเม้นท์ ไม่นานนักเขาก็วิ่งกลับมาพร้อมกับกุญแจรถในมือ พวกเราทั้งสามรีบออกไปข้างนอกก่อนจะมุ่งตรงไปยังรถสีน้ำเงินของพวกเขา ไม่นานนักพวกเขาก็กลับมาถึงรถคนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครมายังที่นี่เลย เพราะขนาดซอมบี้ที่ถูกฟรานซิสใช้ไขขวงแทงไปยังนอนอยู่ที่เดิม อเล็กซ์ใช้กุญแจไขรถของตัวเองแทนที่จะกดปุ่มเปิด ถ้าหากเขากดปุ่มแทนที่จะไขเองละก็ มันคงสร้างเสียงที่ไม่พึงประสงค์และดึงดูดซอมบี้มาไม่นอน อเล็กซ์เข้าไปนั่งในที่คนขับก่อนจะสตาร์ทเครื่อง และดูเหมือนสวรรค์จะเข้าข้างเขา เมื่อรถของเขาติดเครื่อง ผมกับฟรานซิสรีบเข้าไปนั่งที่นั่งด้านหลัง อเล็กซ์รีบขับกลับไปยังอพาร์ทเม้นท์และด้วยระยะทางที่ไม่ไกล เลยทำให้พวกเรามาถึงที่อพาร์ทเม้นท์ของพวกเราอย่างรวดเร็ว อเล็กซ์ลงจากรถก่อนจะไขกุญแจเพื่อล็อครถ แน่นอนถ้ามีใครเอารถของพวกเขาไปคงไม่ใช่อะไรที่ดีแน่ ทั้งสามกลับเข้าไปยังในอพาร์เม้นท์
“ดูเหมือนรถจะใช้ได้นะ” แลนด้อนพูดพร้อมมองไปที่รถสีน้ำเงินที่จอดอยู่
“ทีนี้เราต้องการรถอีกคัน...และเราจะหาจากไหนนะ?” ชายผิวสีพูดกับตัวเองพลางจับคางของเขา
“ชั้นว่าชั้นพอมีไอเดียอยู่นะ....” เสียงของชายคนนึงขึ้นมา
ทุกคนหันไปตามเสียงก่อนจะเห็นอัลเธนีย์เป็นคนพูด พวกเขาไม่รู้หรอกว่าไอเดียของเขาคืออะไร แต่ทุกคนหวังว่าไอเดียของเขาจะช่วยให้พวกเขารอดจากเบลดได้