”ชั้นไม่ได้รักผู้คน แต่ชั้นรักสิ่งที่ฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆต่างหาก”
Andre Gide
=====
รถนั้นขับไปอย่างช้าๆ โดยผู้ขับรถคันนี้เป็นชายผมเทาที่เราพึ่งเจอเมื่อกี้ ข้างหน้าเรานั้นเป็นรถสีน้ำเงินที่ขับอยู่ ข้างๆคนขับคืออัลเธนีย์ที่นั่งมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ เช่นเดียวกันกับผมและฟรานซิสที่มองเขาด้วยความไม่ไว้วางใจ ชายคนนี้ผิวปากด้วยความสบายใจ พร้อมกับร้องเพลงด้วยน้ำเสียงที่เรียกว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นอกจากเสียงเพลงอันสุดแสนจะไม่น่าฟังของชายคนนี้ ก็ไม่มีเสียงอื่นใดเลย ไม่นานนักเขาก็หยุดร้องเพลงก่อนจะเริ่มพูดขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก เพราะผมเองก็ต้องเอาตัวรอดเหมือนกัน”
พวกเราทุกคนมองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร สายตาของชายผมเทาคนนี้ไม่ได้มองมาที่เราแต่ยังคงมองไปยังถนนที่เต็มไปด้วยรถที่ถูกทิ้งร้าง รวมถึงเหล่าซากศพที่ยืนอยู่ รอบๆถนนนั้นมีแต่ป่าไม้จำนวนมาก ผมยังไม่เห็นเมืองหรือบ้านเลยแม้แต่น้อย นี่ก็ไกลจากปั้มน้ำมันที่เราขับผ่านมาแล้ว ดูเหมือนเรายังจะไม่เจออะไรเลย
“จะว่าไปผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมเองเลย ผมชื่ออัลเบโต้ ไอน์เกต ยินดีที่รู้จัก” เขาหันมามองพวกผมด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันกลับไปมองถนน
“ชั้นจอร์แดน..ส่วนนี่ก็อัลเธนีย์และนี่ก็ฟรานซิส” ผมเอ่ยแนะนำเพื่อนที่นั่งอยู่รถคันเดียวกันกับเขา
“จะว่าไปนายอายุเท่าไหร่? ทำไมหน้าของนายดูเด็กแต่ผมของนายหยั่งกะคนแก่” อัลเธนีย์ถาม
“ผมอายุ 23 ครับ พึ่งจบมาจากมหาวิทยาลัย” ชายคนนี้ตอบ
พวกเราได้ยินแล้วก็ต่างมองหน้ากันเอง อายุเขาเด็กกว่าพวกเราอีก อัลเธนีย์มองไม้พลูที่เปื้อนเลือด ชายผมเทานามอัลเบโต้หันมามองหน้าอัลเธนีย์เขาเห็นสายตาของอัลเธนีย์ที่มองไปยังไม้พลูของเขา ชายอายุยี่สิบสามยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ไม้พลุของผมทำไมหรือครับ?”
“ชั้นสงสัยว่าไม้พลูนายทำไมเปื้อนเลือด...นายไปทำอะไรมา?”
“ก็แค่เอาไปตีหัวของซอมบี้ที่พยายามจะกัดผมน่ะครับ ผมหาอะไรไม่เจอผมก็เลยหยิบไม้พลูมานี่แหละครับ”
พวกเราเงียบ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงรึเปล่า แต่ถึงจะไม่จริง เราก็คงไม่สามารถพิสูจน์ได้อยู่ดี ผมหันกลับไปข้างหน้า ก่อนจะเห็นรถสีน้ำเงินที่จอดลง อัลเบโต้แตะเบรกเพื่อให้รถหยุด เมื่อรถหยุดลงพวกเราก็ก้าวลงจากรถของเรา สิ่งที่เราเห็นคือรั้วไม้ที่กั้นขวางถนน เบื้องหลังของรั้วไม้มีหอคอยไม้ที่ถูกตั้งขึ้น ภายนั้นมีคนอยู่ ในมือของเขาถือปืนอยู่ด้วย เขามองมาที่พวกเราก่อนจะหยิบวอขึ้นมาพูด เราไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร อเล็กซ์ก้าวเท้าขึ้นมาก่อนจะแหงนหน้าและตะโกนขึ้นไปหาชายที่ยืนประจำการอยู่บนหอคอยไม้
“นี่คืออะไร?”
“นี่คือค่ายผู้รอดชีวิตที่ดูแลโดยคุณวิลสัน เครก” ชายที่อยู่บนหอคอยตะโกนลงมา
ค่ายผู้รอดชีวิตหรอ...นอกจากพวกเราแล้วยังมีคนรวมกลุ่มเพื่อความอยู่รอด ถ้าให้เดาค่ายนี้ดูเหมือนจะพึ่งสร้างมาไม่นานนักอาจจะสร้างในช่วงสองสัปดาห์ กำแพงไม้นั้นดูจะสร้างอย่างดี คงไม่ล้มง่ายๆ รอบๆค่ายนั้นมีนั้นมีซากศพของซอมบี้นอนอยู่บนพื้น ดูเหมือนจะโดนผู้คุมหอคอยยิงลงมา ผมอยากเห็นจริงๆว่าข้างในเป็นเช่นไร ในขณะที่ผมกำลังมองอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงของประตูไม้ที่ถูกเปิดขึ้นมา ผมหันไปก่อนจะเห็นชายผมแดง ผมของเขายาวถึงประมาณหัวไหล่ เขาเป็นชายที่มี “สี่ตา” หรือก็คือใส่แว่นนั่นแหละ เขาเป็นชายผอม แถมยังตัวเล็กกว่าฟรานซิสเสียอีก ข้างๆเขามีชายอีกสองคนที่ถือปืนและใส่ชุดเกราะ ชายผมส้มคนนี้ยิ้มก่อนจะพูดกับพวกเรา
“ยินดีต้อนรับ ผมวัสสัน เครก ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ค่ายของผม” เขายื่นมือมาทางผม
“ชั้นจอร์แดน” ผมแนะนำตัวพลางคว้ามือของเขาไว้
“เชิญเข้ามาก่อนเลย”
พวกเรามองหน้ากันไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่พวกเราจะเคลื่อนรถเข้าไปในค่ายตามคำเชื้อเชิญของชายร่างบางคนนี้ เมื่อเราเข้าไป เราก็เห็นเรือนกระจกตั้งอยู่ บ้านพักสองหลังที่ทำจากไม้ เหลือบไปเห็นบ่อน้ำที่ถูกตั้งอยู่ เหล่าผู้รอดชีวิตที่อาศัยในค่ายเดินมาตักน้ำด้วยถังไม้ก่อนจะเดินกลับไป รวมถึงยังมีเล้าไก่เล็กๆที่มีไก่อยู่ประมาณสองสามตัว เรียกได้ว่าค่ายผู้รอดชีวิตนี้มีทุกอย่างที่ต้องการ
“ว่าแต่พวกคุณมาจากไหนหรอครับ?” ชายสวมแว่นหันมาถามผม
“มาจากเมืองทางตอนใต้น่ะ” ผมตอบสั้นๆ
“สภาพเมืองเป็นยังไงบ้างครับตอนนี้?” ชายผมส้มถามต่อ
“แย่เลยล่ะ...แถมเราพึ่งเสียเพื่อนไปจากตอนที่เราหนีออกจากเมืองด้วย” ผมเล่าให้เขาฟัง
“งั้นหรอครับ ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ” ชายที่ชื่อวัสสันกล่าวแสดงความเสียใจ
“แล้วคุณวัสสันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ผมถามกลับ
“ระหว่างทางผมประสบอุบัติเหตุบนถนนเส้นนี้...ผมกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆเลยร่วมกันสร้างค่ายนี้ขึ้นมา” ชายร่างผอมเล่าให้ฟัง
“ตอนแรกๆก็ลำบากอยู่หรอก แต่พอเราปรับตัวกับมันได้ ทุกอย่างก็โอเค” เขาเล่าให้ฟังต่อ
“จะว่าไปนี่ก็เย็นแล้ว พวกคุณก็คงเหนื่อยแล้ว คืนนี้มาพักกับเราก่อนซิครับ” ชายผมส้นหันมาถามผม
ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้า ดูเหมือนจะเริ่มเย็นอย่างที่เขาพูดแล้ว และแน่นอนมันก็คงไม่ใช่เรื่องดีที่จะขับรถอย่างไร้จุดหมายในตอนกลางคืน ดูเหมือนการพักที่ก่อนอาจจะเป็นความคิดที่ไม่เลว ผมหันกลับไปยังเหล่าเพื่อนๆของผม ผมทำสัญญาณมือขอตัว ชายผมส้มพยักหน้าก่อนจะเดินจากไป ผมมองสีหน้าทุกคน พวกเขาก็ต่างเหนื่อยล้า เว้นเสียแต่อัลเบโต้ที่สีหน้าของเขายังคงสดชื่น ราวกับเขาไม่ได้ผ่านอะไรมาเลย
“เขาชวนพวกเราให้พักที่นี่ก่อน..จะเอาไงดี?” ผมเอ่ยปากถาม
“ชั้นว่าเราพักที่นีก่อนก็ได้นะ ยังไงวันนี้เราก็เหนื่อยแล้วนี่” อเล็กซ์ตอบผมเป็นคนแรก
“ชั้นเห็นด้วยกับอเล็กซ์นะ เราก็เดินทางมาเหนื่อยแล้ว เราพักที่นี่ก่อนก็น่าจะไม่เป็นไร” ซิดนีย์แสดงความเห็นตัวเองเหมือนกัน
“ถ้ามีที่พักกับอาหารชั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร” อัลเธนีย์พูด
“แต่ผมไม่ไว้ใจเขานะครับ...ผมว่าเขาดูเป็นคนดีเกินไป ไม่แน่จริงๆเขาอาจจะวางแผนอะไรอยู่ก็ได้” อัลเบโต้ค้านขึ้นมา
“แล้วทำไมเราต้องไว้ใจนายด้วย บางทีนายเองก็อาจจะมีแผนอะไรอยู่ก็ได้” ชายร่างใหญ่หันไปทางชายผมเทา
“ก็แล้วแต่จะคิดครับ ผมก็แค่แสดงความคิดเห็นของผม จะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร” เพื่อนใหม่ยิ้มตอบกลับ
“ถ้างั้นเอาเป็นว่าคืนนี้พักที่นี่ก่อนใช่ไหม? ชั้นจะได้ไปบอกวัตสัน” ผมสรุปสิ่งที่กลุ่มผมพูด
ทุกคนพยักหน้าเว้นแต่อัลเบโต้ ผมเดินไปยังชายสี่ตาที่กำลังคุยกับเพื่อนของเขา
“สรุปคืนนี้เราจะพักที่นี่กันนะ” ผมบอกเขา
“ดีเลยครับ พวกเราพึ่งทำอาหารเสร็จพอดี เรามากินด้วยกันซิครับ” วัตสันตอบด้วยรอยยิ้ม
ผมหันไปบอกเพื่อนร่วมทางของผมก่อนจะเดินตามเขาไปยังในบ้านไม้ มันเป็นโต๊ะอาหารที่นั่งได้ประมาณ 10 คน บนกำแพงนั้นมีแผนที่เขียนด้วยมืออยู่ บนโต๊ะนั้นมีเทียนไขสองสามเล่ม เพื่อให้ห้องนี้ส่องสว่าง คนในค่ายไม้แห่งนี้เอาอาหารมาวางไว้บนโต๊ะ มันเป็นเนื้อไก่และผักวางอยู่ในจานอย่างเป็นระเบียบ พร้อมกับไวน์องุ่นที่ถูกรินโดยคนในค่าย เมื่ออาหารพร้อมแล้วชายผมส้มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็ยกแก้วไวน์ของเขาขึ้นและพูดขึ้นมา
“แด่เหล่าผู้รอดชีวิต”
“แด่เหล่าผู้รอดชีวิต” คนอื่นๆพูดตามเช่นกัน
ว่าแล้วพวกเราก็เริ่มคว้ามีดและส้อมที่วางไว้อยู่บนโต๊ะไม้ก่อนจะเริ่มนำอาหารพวกนี้เข้าปาก ผมเคี้ยวอย่างช้าๆก่อนจะกลืนลงไป ต้องบอกว่าเป็นอาหารที่รสชาติดีที่สุดที่ผมเคยกินตั้งแต่ตอนที่ผมต้องใช้ชีวิตบนนรกบนดินแห่งนี้ บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เวลาเดินไปเรื่อยๆ ก่อนที่พอเรารู้ตัวอาหารบนจานก็หมดแล้ว ชายผมส้มนำเราไปยังห้องพักของเรา มันเป็นห้องพักไม่ใหญ่มาก แต่ก็น่าจะพอที่พวกเราทุกคนจะนอนพักที่นี่ เตียงนั้นไม่ได้นุ่มสบายเหมือนกับอพาร์ทเม้นท์แต่ก็น่าจะนอนได้ มันคงดีกว่าที่จะนอนบนเบาะในร้านอาหารล่ะนะ ผมนั่งลงบนเตียง ก่อนจะเหวี่ยงมือขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ชั้นว่าเราอยู่ที่นี่เลยก็ได้นะ มีทุกอย่างพร้อมขนาดนั้น” อเล็กซ์พูดขึ้นมา
“เอาเป็นเรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคิดก็แล้วกัน...ถ้างั้นก็ราตรีสวัสดิ์” พูดจบผมก็ทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงก่อนจะหลับตาลง
=====
ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ในห้องนั้นเงียบสงัด ดูเหมือนทุกคนก็ยังคงหลับอยู่ จะว่าไปห้องน้ำอยู่ไหนนะ? ผมสงสัย ผมลุกขึ้นมาก่อนจะเดินตรงไปยังประตูทางเข้า ผมเปิดประตูช้าๆ และเมื่อผมเปิดประตูออกมา ผมก็มุ่งไปยังห้องน้ำ ตลอดทางนั้นมีตะเกียงไฟถูกจุดไว้ตลอดทาง มันส่องแสงให้ผมมองเห็น ผมเดินยังไปห้องน้ำที่ตั้งอยู่ เมื่อผมทำธุระเสร็จ ผมก็จะเดินกลับ หากทว่าในขณะที่ผมเดินกลับนั้น ผมได้ยินเสียงของวัตสันที่พูดอยู่ในบ้านไม้อีกหลัง
“แล้วตกลงพวกเราควรจับพวกนั้นไหม?”
จับ? จับพวกไหน? ผมรู้ว่าการแอบฟังไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่พอผมได้ยินแล้ว มันก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ ผมขยับตัวช้าๆเข้าไปใกล้ๆกับบ้านไม้นั้นก่อนจะนั่งยองๆลงไปเพื่อฟังสิ่งที่เหล่าคนแบบนี้พูดกัน
“ชั้นว่าก็น่าจะดีนะ ตอนนี้แรงงานของเราก็เหลือแค่สองคนเองด้วยนี่” เสียงของอีกคนพูดขึ้นมา
“ใช่ ชั้นเห็นด้วย ถ้าพวกมันเป็นแรงงานให้กับเรา ชีวิตของเราสบายขึ้นเยอะ”
“แถมพวกมันมีรถด้วยนี่” ชายอีกคนพูด
ผมได้ยินแล้วผมรีบลุกขึ้นมาก่อนจะรีบวิ่งไปหวังจะปลุกเพื่อนของผม หากทว่าผมวิ่งไปได้ไม่ไกล ผมก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรกระแทกเข้าที่หลังศีรษะของผม ภาพทุกอย่างนั้นเริ่มมืดมัว ก่อนที่เมื่อผมรู้ตัวอีกที ร่างของผมก็กระแทกกับพื้นดินที่เย็นเฉียบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว