DanielsoN Xiao Mei's Husband
จำนวนข้อความ : 2272 Join date : 19/09/2010 Age : 30
| เรื่อง: Dead Syndrome : 8 Mon Jan 05, 2015 5:34 pm | |
| “ผู้คนนั้นยุ่งยากกว่าเครื่องจักร เพราะถ้าหากคุณทำผู้คนพัง คุณซ่อมเขาไม่ได้” Rick Riordan =====
“โอ๊ย...” อเล็กซ์ร้องขึ้น
เขานั่งบนเตียงโดยมีสเตลล่าที่ถือสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์ ผมยืนถือตะเกียงที่มีไฟจุดอยู่ข้างใน คอยเป็นแสงให้กับทุกคนในห้องนี้ ซักพักนั้นสเตลล่าก็หยิบเอาผ้าโพกหัว ก่อนจะพันรอบๆศีรษะของอเล็กซ์ เมื่อเสร็จสิ้นสเตลล่าก็ปิดกล่องปฐมพยาบาลก่อนจะเดินไปวางไว้ที่เดิม ดูเหมือนคนพวกนี้จะใจดีพอที่ทิ้งกล่องพยาบาลให้เราไว้ในห้องนี้ด้วย เมื่อสเตลล่ากลับมา อัลเธนีย์ที่ยืนพิงกำแพงอยู่ก็เริ่มเปล่งเสียงออกมา
“ชั้นว่าเราคงต้องหนีออกจากที่นี่แล้วละ...นี่แค่วันแรกนะ ดูสิ่งที่มันทำกับอเล็กซ์ซิ” ชายผมน้ำตาลหยักศกพูดขึ้น “แต่เพราะอันนั้นอเล็กซ์ทำตัวงี่เง่าเองรึเปล่า? ถ้าอเล็กซ์ไม่เถียง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” ฟรานซิสต่อว่า “ว่าไงนะ!!” อเล็กซ์ฉุนขึ้นมาหลังจากได้ยินคำพูดของหญิงผมแดง
อเล็กซ์ลุกขึ้นมา แต่ซิดนีย์กับอัลเธนีย์ต้องรีบวิ่งมาห้ามไว้
“แต่ว่านะ เราก็ไม่รู้นะว่าหลังจากนี้วัตสันจะทำอะไรกับเรา” สเตลล่าพูดพลางจับคางตัวเอง “ชั้นเห็นด้วยกับสเตลล่านะ เราไม่รู้ว่าวัตสันจะเป็นบ้าเมื่อไหร่ ยังไงเราก็ต้องไปจากที่นี่นั่นแหละ” ผมพูด “แล้วเราจะออกจากที่นี่ยังไง?” พี่ชายของฟรานซิสถามผม “ถ้าอยากตายก็เชิญ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมา
พวกเราหันไปตามเสียงนั้นพร้อมๆกันก่อนจะเห็นหญิงที่เต็มไปด้วยรอยสักเต็มตัว ผมของเธอนั้นสั้นและปลายผมของเธอนั้นถูกย้อมเป็นสีแดง เธอนั่งอยู่บนเตียงของเธอและมองมาที่พวกเรา ดูเหมือนเมื่อตอนกลางวันผมจะเจอเธอแล้ว และดูเหมือนเธอก็ยังคงพูดเรื่องเดิม นั่นก็คือเราไม่สามารถหนีออกจากที่นี่ได้ จะว่าไปเธอเป็นใครนะ? ทำไมเธอถึงพูดเช่นนี้ เธอเอามือของเธอเกาคอของเธอ ก่อนจะเดินตรงมาที่เราและนั่งบนเตียงที่มีอเล็กซ์นั่งกุมศีรษะของตัวเองอยู่
“ชั้นเห็นคนที่โดนวัตสันจับมาหลายคนแล้ว และทุกครั้งพวกนั้นจะพยายามจะหนี” “มันก็โดนยิงกันพรุนทุกคน” หญิงสาวคนนี้พูดกับพวกเรา “เอ่อ...จะว่าไปเธอเป็นใคร?” ผมถามด้วยสีหน้าสงสัย “เรียกชั้นว่าลัคกี้ก็แล้วกัน” เธอแนะนำตัว
ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่ชื่อจริงของเธอ ดูเหมือนจะเป็นแค่ฉายาหรือชื่อเล่นของเธอเท่านั้น แต่เราก็ไม่ได้พูดถึงอะไรในจุดนี้ แต่สิ่งที่เราอยากรู้มากกว่าคือเหตุใดเธอถึงพูดแบบนี้
“แล้วทำไมคุณลัคกี้ถึงพูดว่าเราไม่มีทางหนีออกไปได้ล่ะครับ?” อัลเบโต้เอ่ยปากถาม “ชั้นอยู่ที่นี่มานานแล้ว และชั้นก็เห็นพวกโง่ที่พยายามจะหนี และก็อยากที่ชั้นเล่าแหละ” “ตาย...ตายกันหมด” ลัคกี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ชั้นว่านะพวกนายน่ะอยู่เฉยๆและทำงานตามที่วัตสันสั่งก็พอแล้ว” หญิงผมสั้นพูดต่อ
พูดจบเธอก็ลุกจากที่ของเธอก่อนจะกลับไปยังเตียงของเธอ เธอทิ้งตัวของเธอลงไปบนเตียง ก่อนจะคว้าผ้าห่มมากคลุมร่างของเธอ พวกเรามองหน้ากันอีกครั้ง ผมเริ่มหาวด้วยความง่วง ดูเหมือนเราคงต้องคุยเรื่องนี้กันเวลาอื่น ผมเป่าตะเกียง ไฟนั้นดับลง เมื่อเปลวเพลิงหายไป ความมืดก็เข้ามาแทนที่ ผมวางตะเกียงลงบนพื้นไม้ก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเตียง ผมเอาผ้าห่มคลุมตัวของผมเช่นเดียวกัน ผมหลับตาลงก่อนที่ผมจะเข้าสู่ห้วงนิทรา เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ทำเช่นเดียวกันกับผม หวังว่าในวันพรุ่งนี้จะไม่มีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้นนะ
“ตื่นได้แล้ว นี่เช้าแล้วนะเว้ย!!” ผมได้ยินเสียงใครซักคนตะโกนเข้ามา
ผมลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย ผมลุกขึ้นมานั่งก่อนจะเห็นชายหัวล้านพร้อมกับปืนเช่นเคย ไม่ทันที่ผมจะลุกผมก็เห็นสเตลล่าและอัลเธนีย์เอาจานที่มีแต่ถั่วมาให้ผม ดูเหมือนนี่จะเป็นข้าวเช้าในวันนี้ ผมหยิบช้อนขึ้นมาก่อนจะตักเข้าปากก่อนจะเคี้ยว รสชาตินั้น...แย่ แย่มากๆ แต่ผมก็ฝืนๆกินไป ยังไงผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่แล้ว ผมหันไปทางฟรานซิสที่กำลังเคี้ยวถั่วนี้เช่นกัน สีหน้าของเธอนั้นแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่ารสชาติ “สุนัขไม่รับประทาน” ผมเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
เมื่อผมกินอาหารหมดผมก็วางจานลงกับพื้นก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ ผมออกไปรวมข้างนอกเหมือนเมื่อวาน และผมก็ได้งานเดิมนั่นก็คือการออกไปล่าสัตว์กับอัลเบโต้ ส่วนคนอื่นก็ได้งานเดิมๆ ไว้แต่อเล็กซ์ที่ถูกสั่งให้ไปล้างจานและแก้ว หากทว่าการออกล่าครั้งนี้แปลกกว่าเดิมอีกนึงคือเขาส่งชายที่มีผมยุ่งเหยิงออกมาด้วย ในมือของเขาถือปืน ดูเหมือนจะต้องให้เราเก็บเนื้อมากกว่าเดิม ผมกับอัลเบโต้เดินออกไปพร้อมกับธนูเช่นเดิม คราวนี้เราเดินไปอีกทาง อัลเบโต้ยังคงทำเช่นเคยคือเขาหยิบกิ่งไม้ก่อนจะขีดตลอดทาง พวกเรายังคงเดินต่อไปเพื่อหาเนื้อที่จะทำให้เหล่าคนจากค่ายไม้พอใจได้
“จะว่าไปคุณหัวยุ่ง คุณชื่ออะไรครับ เราจะได้เรียกถูก” อัลเบโต้เอ่ยปากถามแขกของพวกเรา “โจ” แขกของเราตอบด้วยน้ำเสียงเซ็งแซ่ “โอเคครับ คุณโจ หวังว่าคุณจะไม่ลั่นไกซี้ซั้วนะครับ” ชายผมเทาหันไปเหน็บชายที่ถือปืน “เออรู้แล้วน่าไม่ต้องทำมาเป็นสั่งชั้นหรอก” เขาหันมาต่อว่าชายที่สวมชุดสูท
พวกเราสามคนยังเดินเข้าไปในป่าลึก และในที่สุดเราก็เห็นเป้าหมายของเรา มันเป็นกวาง รูปร่างนั้นมันคล้ายกับกวางที่เรายิงไปเมื่อวาน อัลเบโต้หยิบลูกธนูมาก่อนจะเล็งไปที่กวางตัวนี้ เขาปล่อยมือของเขาออกไป ลูกธนูลอยไป แต่มันไม่ได้โดนที่ตัวกวางแต่มันลอยข้ามหัวของกวางไป ด้วยความตกใจกวางตัวนี้วิ่งหนีเข้าไปในป่า ชายที่ชื่อว่าโจรีบลุกขึ้นจากตำแหน่งที่เราอยู่ก่อนจะวิ่งตามชายที่ชื่อว่าโจเข้าไป แน่นอนการวิ่งในป่าแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่และยิ่งเข้าในป่าลึกยิ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีกว่าเดิมเสียอีก เพราะเราไม่รู้ว่าในป่าลึกนั้นยังมีเหล่าซากศพที่คอยจ้องจะกินเนื้อพวกเราเหลืออีกรึเปล่า
“ปัง!!” เสียงปืนระเบิดขึ้นมา
ผมกับอัลเบโต้รีบวิ่งไปตามเสียง เมื่อเราไปถึงนั้นเราเห็นร่างของซอมบี้ที่นอนอยู่บนพื้น โดยโจยืนถือปืนของเขาอยู่ ปากกระบอกปืนของเขานั้นมีควันโพยพุ่งออกมา ดูเหมือนปืนที่โจถือนั้นจะเป็นต้นเหตุของเสียง อัลเบโต้กวาดสายตาหากวางแต่ดูเหมือนกวางนั้นจะหนีออกไปจากระยะสายตาของพวกเราแล้ว ผมก้มมองไปที่ซอมบี้ที่นอนอยู่บนพื้น บนหน้าผากอันเน่าเปื่อยของมันมีกระสุนปืนเจาะอยู่
“โจ นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” ผมถามขึ้นมา “ไม่เป็นไร ชั้นไม่เป็นไร” เขาพูดกับผมพลางมองไปที่ร่างของซอมบี้ “แล้วกวางล่ะหายไปไหน?” อัลเบโต้ถามโจต่อ “ชั้นไม่รู้เว้ย เยี่ยมจริงๆ เพราะนายยิงธนูพลาดเราเลยพลาดกวางตัวนั้นไปด้วย” ชายจากค่ายไม้ต่อว่าจิตแพทย์ “ขอโทษนะครับ แต่ตราบใดที่ผมเป็นมนุษย์ยังไงผมก็พลาดได้อยู่ดี” ชายผมสีเทาหันเถียง
หากทว่าในขณะที่เรากำลังเถียงกันอยู่นั้น พวกเราก็ได้ยินเสียงหญ้าแห้งที่ถูกเหยียบดังขึ้น เสียงกร่อบแกร่บพวกนั้นทำให้พวกเราสามคนหายไป สิ่งที่พวกเราเห็นนั้นคือเหล่าซอมบี้ประมาณเจ็ดตัวที่กำลังตรงมาหาเรา ดูเหมือนเสียงปืนเมื่อครู่นี้จะดึงดูดเหล่าซากศพพวกนี้เข้ามาหาพวกเรา โจหยิบมีดออกจากเข็มขัดของเขา ส่วนอัลเบโต้ก็ยื่นไม้พลูของเขามาให้ผม ผมรับไว้ ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเอามาจากไหน แต่ถ้ามันเป็นอาวุธผมก็ต้องรับไว้ เมื่อซอมบี้เข้ามาใกล้ๆโจก็ใช้มีดแทงเข้าที่ศีรษะของมัน ส่วนอัลเบโต้ก็ยิงธนูใส่กลางหน้าผากก่อนที่มันจะถึงตัวพวกเรา ส่วนผมก็แกว่งไม้พลูเข้าใส่ศีรษะมัน มันไม่ตายแค่เซ ผมรีบฉวยโอกาสนี้ฟาดมันเข้าอีกที คราวนี้มันล้มลงไปโดยไม่ลุกขึ้นมาอีก แม้มันจะมีจำนวนมากกว่าเรา แต่โชคยังดีที่มีแค่เจ็ดตัว เมื่อพวกมันล้มลงไปกับพื้นจนหมด ผมก็เดินไปก่อนจะใช้ไม้พลูฟาดเข้าที่หัวของมันอีกครั้งเพื่อความมั่นใจอย่างที่อัลเธนีย์เคยพูดไว้ “ซ้ำรอบสอง”
“ผมว่าเรารีบไปจากที่นี่ดีกว่านะครับ เพราะเสียงการต่อสู้ของเราเมื่อกี้คงดึงดูดพวกมันมาอีก” อัลเบโต้พูดกับผมและโจ “ชั้นเห็นด้วย เรารีบกลับกันเถอะ” ผมตอบอัลเบโต้
โจไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเราก็ตัดสินใจเดินกลับไปยังค่ายไม้ เมื่อเรากลับมาพวกเราก็ตรงไปยังบ้านไม้ที่ชายผมส้มอาศัยอยู่เพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อชายผมส้นได้ฟังรายงานว่าพวกเราไม่มี “เนื้อ” ติดมาด้วย เขาก็ฉุน สีหน้าของเขาแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจ เหมือนเขาอยากจะตวาดอะไรใส่พวกเรา แต่เขาก็ดันแว่นตาของเขา ก่อนจะพูดกับเราด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ผมเข้าใจว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ถึงกระนั้นผมก็ต้องลงโทษพวกคุณ” “เพื่อให้คราวหน้าพวกคุณมีแรงกระตุ้นและแรงจูงใจมากกว่านี้” “เย็นนี้พวกคุณสองคนไม่ต้องกินอาหารนะครับ” วัตสันพูดกับเรา
ผมกับอัลเบโต้ก็ได้แต่มองหน้ากันก่อนจะยอมรับบทลงโทษและเดินออกจากบ้านไม้ เวลาดำเนินต่อไปจนถึงเย็น ผมกับอัลเบโต้ได้แต่ยืนมองเพื่อนๆของเรากินข้าวเย็นกัน ถึงแม้พวกเขาอยากจะแบ่งอาหารให้เราขนาดไหน แต่ดูเหมือนพวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถ้าหากทำพวกเขาอาจจะต้องติดร่างแหไปกับพวกเราด้วย คงจะพูดได้ว่าตั้งแต่โลกของเราเปลี่ยนนรกบนดิน นี่คือครั้งแรกที่ผมอดอาหาร ตั้งแต่ผมอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์มา เราเสบียงเพียงพอทุกครั้ง ผมจับหน้าท้องของตัวเอง พลางมองคนอื่นๆกินข้าวของตัวเอง เมื่อจันทรามาเยือน ผมก็รีบตรงดิ่งไปยังเตียงของผม ผมหลับตาลง ผมอยากจะหลับให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ลืมความหิวโหยไปเสียทีและเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีกว่าวันนี้
| |
|