”สายลมจะมีประโยชน์อันใด หากมันไม่ได้พาเจ้าหนีไปด้วย
Samantha Young
=====
“ปัง” เสียงปืนดังขึ้นมา
เสียงปืนนั้นทำให้ทุกคนตื่นขึ้นมา ผมลุกขึ้นมาก่อนจะหยิบตะเกียงและจุดไฟขึ้นมา ดูเหมือนทุกคนล้วนแต่ทำหน้าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนเสียงนั้นจะมาจากภายนอก พวกเราทุกคนต่างตรงไปยังต้นเสียง เมื่อเราวิ่งออกไป เราก็เห็นชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าร่างไร้วิญญาณของอีกคน ร่างไร้วิญญาณนั้นผิวซีดเสียว ดวงตาที่ไร้ซึ่งตาดำ ถ้าหากมองดีๆแล้วผมก็นึกได้ว่าเขาคือ “โจ” ที่เดินทางไปพร้อมๆกับเรา ส่วนอีกคนนั้นเป็นผู้ชายหัวล้านที่ถือปืนอยู่ เหงื่อของเขาแตกพลั่กไปทั่วตัว ปืนที่เขาถืออยู่นั้นมีควันลอยขึ้นมา ถ้าให้เดาจากเหตุการณ์ดูเหมือนโจจะโดนกัดเมื่อตอนที่ไปออกล่าสัตว์กับเรา
“โอ้ไม่...”
ผมได้ยินเสียงอันแผ่วเบาจากปากของสเตลล่าที่ยืนข้างๆผม ผมหันกลับไปมองที่ชายหัวล้านอีกครั้ง ผมเหลือบมองไปที่แขนอีกข้างที่ไม่ได้ถือปืน ผมเห็นรอยกัด เลือดนั้นไหลออกมาจากปากแผลนั่น เขามองกลับมาที่พวกผมก่อนจะเหลือบไปมองที่แขนตัวเอง เมื่อเขาเห็นรอยกัดที่แขนเขาดวงของเขาก็เริ่มเบิกโพลนด้วยความตกใจ ชายคนนี้เริ่มกรีดร้องก่อนจะโวยวาย เขากรีดร้องด้วยความกลัวว่าเขาไม่อยากตาย พวกเราก็ได้ยืนมองไม่รู้ว่าจะทำอะไร ท่ามกลางเสียงโวยวายของเขา ผมได้ยินเสียงร้องของซอมบี้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามทำมือให้เขาเงียบ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เงียบลงเลยแม้แต่น้อย
“ปัง!!” เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง
กระสุนนั้นเจาะเข้าที่กลางหน้าผาก ชายหัวล้านคนนี้ล้มลงไปกับพื้น ผมเห็นวัตสันที่ยืนถือปืนอยู่เช่นกัน ดูเหมือนกระสุนนัดเมื่อกี้จะออกมาจากปากกระบอกปืนของวัตสัน พวกเราก้มมองชายหัวล้านอีกครั้ง เลือดนั้นไหลนองทั่วฝืนหญ้า คงไม่ต้องสืบว่าเขาตายสนิท ผมมองหน้าไปที่วัตสัน เขายิ้มให้พวกผมก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องห่วงครับ ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี พวกคุณไปพักก่อนเถอะ พรุ่งนี้พวกคุณต้องทำงานอีกเยอะ”
ผมไม่รู้สึกได้ถึงความเรียบร้อยเลยแม้แต่น้อย เสียงของเหล่าซอมบี้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงกำแพงไม้ที่เริ่มโยกดังขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนเหล่าซอมบี้พยายามจะล้มรั้วไม้ พวกเราเริ่มมองหน้ากัน ในขณะที่พวกเรามองกันอยู่นั้น ชายที่ยืนเฝ้าหอคอยอยู่ก็รีบลงมาจากหอคอยก่อนจะเดินตรงมาหาวัตสัน เขาบอกสถานการณ์ภายนอกให้วัตสันฟัง ดูเหมือนตอนนี้ซอมบี้จะล้อมค่ายไว้หมดแล้ว
“ปัง” เสียงปืนดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม
คราวนึ้คนยิงเป็นลัคกี้ หญิงสาวที่เต็มไปด้วยรอยสัก กระสุนนั้นเจาะชายที่พึ่งลงมาจากหอคอย เขาล้มลงไปก่อนจะนอนแน่นิ่งกับพื้น เธอหันปืนไปยังวัตสัน ดวงตาของลัคกี้นั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร วัตสันวางปืนลงกับพื้นก่อนจะยกมือขึ้น ลัคกี้ทำหน้าบอกให้กับวัตสันว่าให้เตะปืนมายังลัคกี้ ชายผมส้มก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรก่อนจะเตะปืนมาให้กับลัคกี้ ลัคกี้ก้มเก็บปืนก่อนจะยื่นมาให้กับผม คนอื่นในค่ายต่างยกปืนและเล็งทางเราเช่นกัน มองๆดูแล้วก็ประมาณสามคนได้
“พวกแกทั้งหมดวางอาวุธไม่งั้น วัตสันตายแน่” ลัคกี้ตะโกนขู่
เหล่าผู้ติดตามของวัตสันต่างวางปืนลงหมด เมื่อปืนถูกวางลงนั้น ลัคกี้ก็ไล่ยิงเหล่าผู้ติดตาม ทุกครั้งที่เธอลั่นไก กระสุนนั้นจะเจาะเข้าไปที่ร่างของคนพวกนี้หมด กล่าวคือทั้งสามนัดของเธอนั้นไม่พลาดเลย เมื่อเธอยิงผู้ติดตามของวัตสันจนหมดก็กลับมาเล็งที่วัตสันอีกที ใบหน้าของเขาเริ่มตื่นกลัว เหงื่อของเขานั้นไหลท่วมตัวของเขา เสียงของเหล่าซอมบี้ที่พยายามจะล้มกำแพงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ หญิงที่เต็มไปด้วยรอยสักหันมาทางผมก่อนจะพูดกับผม
“พวกนายน่ะไปเอาเสบียงมา ดูเหมือนค่ายนี้จะอยู่ไม่ได้แล้ว”
“กุญแจรถของพวกเขานายเอาไปไว้ไหน?” ลัคกี้กระชากขอเสื้อของวัตสันพร้อมเอาปืนจ่อเข้ากลางหน้าผาก
“ชั้นเก็บไว้ในห้องของชั้น อยู่ในลิ้นชัก” วัตสันตอบด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
ลัคกี้ได้ยินแล้วก็พยักหน้าก่อนจะผลักวัตสันลงกับพื้น เมื่อร่างของวัตสันกระแทกกับพื้น เธอก็ใช้ปืนที่เธอถืออยู่ยิงเข้าไปที่กลางหัวเข่าของวัตสัน เมื่อกระสุนเจาะหัวเข่าของเขา วัตสันก็ส่งเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผมหันไปมองลัคกี้ ดวงตาของเธอนั้นดูเหมือนจะสนุกที่ได้ฆ่าคน ได้ทรมานผู้คน และดูเหมือนเธอจะยังไม่พอใจกับสิ่งที่เธอทำ สิ่งที่เธอทำนั้น มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยขึ้นมา “เธอเป็นใครกันนะ?” แต่ผมเก็บความสงสัยนี้ไว้เบื้องหลังก่อนจะรีบตรงไปยังห้องเก็บเสบียง แต่ผมก็หยุดลงก่อนจะหันมาทางอเล็กซ์และอัลเบโต้ที่อยู่ข้างหลังผม
“อเล็กซ์ อัลเบโต้ พวกนายไปหากุญแจรถนะ ถ้าได้แล้วก็กลับไปรอที่รถนะ”
พวกเขาสองคนพยักหน้าก่อนจะวิ่งไปยังบ้านของวัตสัน ผมรีบเปิดประตูเข้าไปยังห้องเก็บเสบียง ภายนั้นมีชั้นวางของที่จัดวางของเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย ใกล้ๆนั้นมีกระเป๋าของพวกเราวางอยู่ด้วย พวกเรารีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาก่อนจะใส่เสบียงให้ได้มากที่สุด ในขณะที่เรากำลังเก็บเสบียงอยู่นั้น เราก็ได้ยินเสียงตะโกนของลัคกี้ที่กำลังตะโกนเร่งเราอยู่ เมื่อผมวิ่งออกมาจากที่เก็บเสบียง ซอมบี้ก็ผลักกำแพงล้มพอดี พวกเราเริ่มเดินตรงเข้ามาหาเราช้าๆ ผมหันกลับไปทางรถสีขาวและรถสีน้ำเงินที่จอดอยู่กลางค่ายไม้ ดูเหมือนเครื่องยนต์จะติดแล้ว
“เร็วเข้า รีบขึ้นรถเร็ว” อเล็กซ์ตะโกนบอกพวกเรา
พวกเรารีบขึ้นรถของตัวเอง เช่นเดียวกันกับลัคกี้ที่ขึ้นรถคันเดียวกันกับผม เมื่อทุกคนขึ้นรถแล้ว คนขับก็รีบเหยียบคันเร่งออกไป รถทั้งสองคันนั้นวิ่งผ่านฝูงซอมบี้ที่พึ่งพังกำแพงไม้ลงมา ผมหันกลับไปมองครั้งสุดท้ายก่อนจะเห็นเหล่าซอมบี้กำลังก้มลงและกัดกินวัตสันที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด ผมเห็นแล้วก็รีบละสายตาออกมา นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเหล่าซากศพกัดกินร่างทั้งเป็นของมนุษย์
“จะว่าไปลัคกี้...เธอเป็นใคร?” ฟรานซิสที่นั่งข้างๆผมหันมาถามลัคกี้ที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างๆคนขับ
“ชั้นน่ะหรอ...เอาเป็นว่า ชั้นเป็นคนที่ทำอาชีพที่ใช้ปืนบ่อยละกัน” ลัคกี้หันมาตอบพวกเรา
ดูเหมือนเธอก็ยังไม่ยอมบอกพวกเราว่าเธอนั้นเป็นใครมาก่อน รถนั้นยังคงขับท่ามกลางความมืดไปเรื่อยๆ ผมมองไปที่ตัวเลขสีเขียวที่ฉายขึ้นมา ดูเหมือนตอนนี้จะเป็นเวลา ตีสาม ผมหาวด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะหลับตาลง เช่นเดียวกันกับฟรานซิสและอัลเธนีย์ที่หลับตาลงเช่นกัน เหลือเพียงแต่ลัคกี้และคนขับอย่างอัลเบโต้ที่ยังลืมตาตื่น ผมลืมตาขึ้นมาอีกทีเพราะแสงแดดที่ส่องเข้าดวงตาของผม ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆก่อนจะเห้นเมืองอีกเมือง ผมขยี้ตาด้วยความงัวเงียก่อนจะเอ่ยปากถามคนขับผมสีเทา
“ตอนนี้เราอยู่ไหนแล้ว?”
“ออแลนโด้น่ะ” อัลเบโต้ตอบผมอย่างรวดเร็ว
“ออแลนโด้หรอ...” ผมพูดลอยๆ พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
ดูเหมือนเราจะขึ้นเหนือกันมาพอควรแล้ว ผมมองไปที่รถสีน้ำเงินข้างหน้าที่ยังขับต่อไป อีกไม่นานเราก็คงเข้ามาในตัวเมืองแล้ว หากทว่าเมื่อเราเข้ามาในตัวเมือง รถสีน้ำเงินก็หยุดลง มันทำให้รถสีเงินต้องหยุดตามเช่นเดียวกัน อัลเบโต้เปิดประตูรถออกไปก่อนจะเดินไปคุยกับอเล็กซ์ ชายร่างใหญ่ชี้นิ้วไปยังทางขวาของเขา ผมเหลือบไปมองตามที่อเล็กซ์ชี้ ดูเหมือนจะเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ มันเป็นโรงเรียนที่เรียกได้ว่าค่อนข้างใหญ่ มันมีสองชั้น มันถูกทาด้วยสีน้ำตาล รอบๆโรงเรียนนั้นมีรั้วล้อมไว้ เหนือรั้วนั้นมีลวดหนามอยู่ ผมบอกให้อัลเธนีย์เปิดประตูรถ เขาพยักหน้าก่อนจะเปิดประตูรถและก้าวออกจากรถไปก่อนผม เมื่อเขาออกไป ผมก็ก้าวลงตามเขา ก่อนจะเดินเข้าไปร่วมวงสนทนา
“จอร์แดน นายว่ายังไงบ้าง ถ้าเราจะใช้โรงเรียนนี้เป็นที่พักของเราไปเลย?” อเล็กซ์หันถามผมทันทีเมื่อผมเข้าร่วมวงสนทนา
“แต่คุณจอร์แดน คุณคิดดีๆนะครับ ทำไมที่นั่นไม่มีซอมบี้อยู่เลย?” อัลเบโต้ยกประเด็นขึ้นมา
“แกก็คิดมากไป อาจจะเพราะมีรั้วก็ได้ ซอมบี้เลยเข้าไปไม่ได้ ฟังนะจอร์แดน เราเดินทางกันมากมายแล้ว เราต้องพักที่นี่” อเล็กซ์พยายามจะโน้มน้าวผม
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบ
“ถ้างั้นชั้นจะเข้าไปดูก่อนก็แล้วกัน...” ผมพูดกับทั้งสอง
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร ผมมองหาอาวุธที่อยู่ใกล้ๆตัว ก่อนที่ผมจะหยิบท่อน้ำที่วางอยู่บนพื้นได้ เมื่อผมจับท่อน้ำแล้ว ผมก็นึกถึงวันที่ผมต้องมาอยู่บนเหตุการณ์นี้วันแรก ผมเดินตรงไปยังประตูโรงเรียนที่มีรั้วปิดอยู่ ผมออกแรงก่อนจะใช้มือดันรั้ว รั้วนั้นขยับช้าๆ ดูเหมือนมันจะไม่ได้ล็อค ผมเดินอย่างช้าๆด้วยความระมัดระวัง ตาของผมกวาดมองไปรอบๆ ถ้าหากมีอะไรโผล่มาในขณะที่ผมไม่ระวังคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆ ผมเดินมาถึงหน้าอาคาร ผมผลักประตูออกไปช้าๆ ภายในนั้นเป็นโถงกว้าง ตรงพื้นนั้นมีรูปโลโก้ของโรงเรียนอยู่ มันเขียนว่า “ออแลนโด้ ไฮน์” ตรงโถงนั้นมีบันไดอยู่สองอัน ดูเหมือนทั้งสองอันนั้นจะพาขึ้นไปยังชั้นสอง แต่เอาเป็นว่าผมจะไปสำรวจที่หลังก็แล้วกัน ผมเดินไปยังทางขวาก่อนจะเห็นห้องพยาบาลที่อยู่ติดกับโรงอาหาร ผมใช้มือผลักประตูโรงอาหารช้าๆ ภายในนั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต (และซอมบี้) มีเพียงแต่เก้าอี้และโต๊ะมากมายเรียงกัน บางโต๊ะนั้นยังมีถาดอาหารวางอยู่ ผมเดินออกไปที่โถงอีกครั้ง คราวนี้ผมเดินไปยังโรงยิม ที่ว่างเปล่าเช่นกัน มันมีแป้นบาสแขวนอยู่บนกำแพง และมีอัฒจรรย์ไม้ที่วางติดกับกำแพงไปตลอดทาง ใกล้ๆกับโรงยิมนั้นมีห้องน้ำอยู่ ผมเดินเข้าไปก่อนจะลองใช้มือบิดก๊อกน้ำดู น้ำนั้นไหลออกมา ผมเห็นแล้วมันก็ทำให้ผมตกตะลึงไม่น้อย
ผมเดินกลับมาที่โถงอีกครั้ง...จะว่าไป ผมรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่ามีใครกำลังจับจ้องผมอยู่ตลอด แต่ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ ผมเดินขึ้นชั้นสองอย่างช้าๆ เมื่อผมขึ้นไป ผมเห็นห้องเรียนมากมาย ดูเหมือนชั้นนี้จะเป็นชั้นที่ไว้เรียนหนังสือ ผมเดินเปิดประตูไปทีละห้อง ดูเหมือนทุกๆห้องนั้นจะว่างเปล่า มันก็เป็นเรื่องดีอยู่หรอกที่ที่นี่ไร้ซึ่งซอมบี้ที่จะกัดคอพวกเรา แต่มันก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมที่นี่ “สะอาด” เช่นนี้ ในขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไปเพื่อบอกทุกคนว่าที่นี่ปลอดภัย ผมก็รู้สึกได้ว่ามีวัตถุอะไรบางอย่าจ่อหลังศีรษะผมอยู่ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ให้เดามันคือปืนอย่างแน่นอน ผมพยายามจะหันกลับไปมอง แต่ไม่ทันที่ผมจะหันกลับไป คนที่ถืออยู่ก็พูดกับผม
“อย่าหันมาเป็นอันขาด...และทิ้งอาวุธที่อยู่ในมือด้วย” เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นมา
ผมปล่อยท่อน้ำเหล็กปล่อยลงพื้น เสียงของท่อเหล็กตกกระทบกับพื้นคอนกรีตนั้นดังกึกก้องไปทั่วอาคาร
“แกเป็นใคร และ แกมาทำอะไรที่นี่?” เขาถามผมต่อ
“ชั้นจอร์แดน...แค่หาที่ตั้งรกรากน่ะ เราไม่ได้จะมาทำร้ายหรือขโมยอะไร” ผมตอบไปตรงๆ
เขาจับผมเอามือไขว้หลังก่อนจะดันผมเข้าไปในห้อง เขาพาผมมายังหน้าต่าง หน้าต่างนี้มันทำให้ผมเห็นรถสีเงินและรถสีน้ำเงินสองคันได้อย่างชัดเจน ผมเห็นคนอื่นๆที่ยังคงรออยู่แถวๆนั้น ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้
“พวกนั้นคือเพื่อนของพวกแกใช่ไหม?” ชายคนนี้ถามผมต่อ
“ใช่...เขาเป็นเพื่อนชั้นเอง” ผมตอบคำถามของเขา
“พวกแกมีเสบียงไหม?” เขาถามต่อ
“มี แต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ เราพึ่งหนีออกมาจากค่ายของวัตสัน”
ผมตอบเขา ถึงแม้ผมจะคิดว่าเขาจะไม่รู้ก็เถอะว่าวัตสันเป็นใคร เขาปล่อยมือของผมก่อนจะลดปืนลง ผมหันไปหาต้นเสียง ผมเห็นชายผมสีน้ำตาล เขามีหนวดเคราอยู่รอบคาง ใบหน้าของเขาดุร้าย ตัวเขาสูงกว่าผมค่อนข้างมาก น่าจะสูงใกล้ๆกับอเล็กซ์เลยก็ว่าได้ นัยน์ตาของเขานั้นเป็นสีฟ้า แม้เขาจะลดปืนลงจากศีรษะของผมแล้ว แต่เขาก็ยังคงเล็งปืนมาทางผมอยู่ดี
“โอเค นายพาเพื่อนของนายเข้ามาได้ แต่เราต้องคุยอะไรกันหลายอย่าง”
“เข้าใจไหม จอร์แดน?” เขาถามผม