“พบดิฉันกับข่าวกีฬาภาคเช้านะคะ แน่นอนว่าข่าวทีมาแรงและค่อนข้างช็อกกับคนในวงการศิลปะการต่อสู้แบบผสมหรือมิกซ์มาร์เชียลอาร์ตพอสมควรนั่นก็คือ ข่าวของสุดยอดนักสู้สาวดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง ‘ราชินีปีศาจ’ ที่จู่ๆก็หายตัวไปในไฟท์นัดสำคัญของเธอ แม้กระทั่งทางครูผู้ฝึกสอนของเธอก็ไม่อาจทราบได้ว่าเธอหายไปไหน เหลือเพียงแค่กระดาษโน้ตชิ้นเล็กๆที่เธอทิ้งไว้ใจความว่าเธอตัดสินใจหันหลังให้กับวงการนี้แล้-”
โทรทัศน์ถูกปิดก่อนที่การรายงานข่าวจะจบลง เด็กสาวผมสีทองวางรีโมทคอนโทรลลงบนเตียงในขณะที่กำลังกลัดกระดุมเสื้อนักเรียนทีละเม็ด เธอเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งและหยิบเครื่องสำอางแต่ละชนิดมาแต่งแต้มใบหน้าแบบบางๆ แล้วจบด้วยทาลิปกลอสทำให้ริมฝีปากของเธอเป็นเงาวาว
“อื้ม! เมคอัพสมบูรณ์แบบ♡”
ก่อนที่เธอจะเดินไปสำรวจตัวเองในบานกระจกเท่าตัวที่อยู่ใกล้ๆ เธอหมุนตัวไปรอบๆเพื่อตรวจความเรียบร้อยของชุดนักเรียน อันประกอบไปด้วยเสื้อนักเรียนสีขาว เนกไทสีแดง ปกกาลาสีและกระโปรงสีฟ้า
“ผูกโบว์แบบนี้ทำให้ดูน่ารักขึ้นไหมน้า~♡”
โบว์สีแดงสดใหม่เอี่ยมถูกเด็กสาวหยิบขึ้นมาและผูกผมที่ยาวจนถึงแผ่นหลังเอาไว้ เธอยิ้มชอบอกชอบใจให้กับตัวเองในกระจก ก่อนที่จะหยิบบัตรนักเรียนของตนเองขึ้นมาชื่นชม เหมือนว่าวันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของเธอ เธอจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษ
บนบัตรนักเรียนของเธอนั้นระบุชื่อเอาไว้ว่า ‘ไซโต้ นางิสะ’
เมื่อเด็กสาวเห็นตัวเลขบนนาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงทำให้เธอรีบเก็บบัตรนักเรียนของตน แล้วคว้ากระเป๋านักเรียนที่วางอยู่ใกล้ๆขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
“สายแล้วๆ”
เธอบ่นอุบอิบแล้วออกจากห้อง ก่อนที่จะล็อคประตูด้วยระบบคีย์การ์ดและเดินไปพร้อมฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
----------------------------------------------------
“ดูสาวผมทองคนนั้นสิ”
“สวยจังเลยเนอะ เป็นนางแบบหรือเปล่า?”
“หรือว่าดารากันนะ?”
แม้ว่าไซโต้ นางิสะ จะทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดซุบซิบเหล่านั้นแต่ก็ยิ้มกริ่มอยู่ในใจ แน่ล่ะถ้าโดนชมว่าสวยคงไม่มีผู้หญิงที่ไหนไม่ชอบ
ทางเดินไปสู่อาคารเรียนเต็มไปด้วยกลีบซากุระโปรยปราย โดยปกติแล้วนางิสะมักเห็นภาพแบบนี้จนชินตา แต่ทุกครั้งที่ได้มองก็ไม่เคยเบื่อ
หลังจากที่เดินทอดน่องไปเรื่อยเปื่อย เด็กสาวก็มาหยุดอยู่ที่หน้าอาคารเรียนของโรงเรียนที่เธอจะได้อยู่ในฐานะนักเรียนของที่นี่เป็นวันแรก เป็นอาคารที่แม้จะดูเก่าแก่ทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลา แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงมนต์ขลังอะไรบางอย่าง
ที่นี่คือโรงเรียนเอกชนฮิริว
โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมาอย่างนมนาน เมื่อไม่นานมานี้เคยมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งของบุคลากรภายในโรงเรียน ฝ่ายทีเห็นต่างพากันแยกตัวออกไปจากที่นี่และไปจัดตั้งโรงเรียนขึ้นมาเป็นของตัวเอง แต่ถึงกระนั้นชื่อเสียงของโรงเรียนเอกชนฮิริวก็ไม่เคยลดน้อยลงไปแต่อย่างใด
โรงเรียนแห่งนี้ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของผู้ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาจากการเป็นนักเรียนมัธยมต้นโดยเฉพาะคนที่อยู่ในละแวกนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถสอบเข้ามาเรียนที่นี่ได้
“อ้าว? นางิสะจังนิ”
“ตายจริง ชินสุเกะคุง เราสองคนอยู่ห้องเดียวกันหรอเนี่ย? บังเอิญจังเลยเนอะ”
หลังจากที่นางิสะก้าวเข้าไปในห้องเรียนของตัวเอง เด็กหนุ่มผมสีแดงที่อยู่ในห้องก็กล่าวทักเธอเหมือนกับว่าเคยรู้จักกันมาก่อนทั้งๆที่วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรก
ซึ่งไซโต้ นางิสะ ก็รู้จักกับเขาก่อนที่จะเข้ามาเรียนที่นี่เสียอีก เธอและเด็กหนุ่มผมแดงหรือโทโมโนริ ชินสุเกะ ได้รู้จักกันตั้งแต่ที่ทั้งสองสอบเข้ามาเรียนที่นี่ เพราะเลขที่นั่งสอบอยู่ใกล้กันจึงมีโอกาสได้คุยกัน ทางกลับบ้านก็ทางเดียวกัน และกลายเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
วันที่ประกาศผลสอบทั้งคู่ก็ดันได้เจอกันอีก จะเรียกว่าโชคชะตานำพาก็ได้กระมัง
“นายในชุดนักเรียนดูดีกว่าที่คิดนะ”
ชุดนักเรียนชายของโรงเรียนเอกชนฮิริวนั้นมีสีโทนเดียวกับชุดนักเรียนหญิงทุกประการ เพียงแต่เปลี่ยนจากปกกะลาสีกับกระโปรงเป็นเสื้อนอกกับกางเกงเท่านั้น
“ระ... หรอ? อะ... เอ่อ... เธอในชุดนักเรียนก็ดูดีเหมือนกันนะ”
“ขอบใจจ้า”
ในขณะที่ชินสุเกะหน้าแดงนิดๆตอนเป็นฝ่ายถูกชม แต่พอนางิสะถูกชมบ้างกลับเอ่ยคำขอบคุณแบบไม่มีปฏิกิริยาอะไรแถมยังยิ้มหวานให้
ไม่นานนักนักเรียนแต่ละคนก็ต้องไปรวมตัวกันที่โรงยิมเพื่อเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีปัญหาอะไร วันนี้เป็นวันแรกการเรียนการสอนจึงยังไม่เริ่มขึ้น มีเพียงแค่การแนะนำตัวและรายวิชาเท่านั้น
เวลาผ่านไปไวราวกับโกหก ช่วงเวลาพักเที่ยงของวันเปิดเรียนนั้นมักจะคึกคักเป็นพิเศษ
“ชมรมเบสบอลคร้าบ!!”
“ชมรมเทนนิสจ้า!!”
“ชมรมดนตรีป๊อปค่า~! มีน้ำชาให้ดื่มฟรีด้วยนะ♡”
เพราะเหล่านักเรียนชั้นปีที่สองไม่ก็ปีที่สามมักจะหาสมาชิกใหม่ที่เป็นเด็กปีหนึ่งเข้าชมรมของตนจากตอนนี้ นางิสะกับชินสุเกะก็เป็นหนึ่งในเด็กใหม่ที่ถูกชักชวนไปอยู่ชมรมต่างๆ ซึ่งทั้งสองก็ยังไม่ตัดสินใจอะไรเพียงแต่รับใบปลิวมาเท่านั้น
“ชินสุเกะคุงตัดสินใจได้หรือยังว่าจะเข้าชมรมอะไร?”
“เอ๋? เอ่อ... จริงๆก็มีเล็งไว้อยู่น่ะนะ”
“ดีจังเลยน้า”
“ถ้างั้นฉันขอตัวไปดูชมรมที่ว่านั่นก่อนนะ”
ชินสุเกะตัดสินใจแยกตัวจากนางิสะไปทางอื่น ส่วนตัวเธอเองยังคงเดินไปเดินมาท่ามกลางเสียงตะโกนแข่งกันราวกับอยู่ในตลาดสด บางครั้งนางิสะก็ยื่นมือไปรับใบปลิวที่น่าจะใช้คำว่ายัดใส่มือมากกว่าส่งให้ เธอยังดูไม่มีทีท่าสนใจชมรมอะไรเป็นพิเศษ และคิดว่าคงจะตัดสินใจในวันหลังไม่ใช่วันนี้
“งดงามมาก”
“เอ๋?”
จู่ๆนักเรียนชายที่น่าจะเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งก็คว้าแขนนางิสะพร้อมเอ่ยชมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อเธอเห็นหน้าของผู้ที่จับแขนอยู่ก็พบว่าเป็นคนที่หน้าตาดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“อย่างเธอเป็นนางแบบได้สบายๆเลยนะ... มาอยู่ชมรมโฟโต้กับพวกเราเถอะ”
“เอ่อ... คือ ฉันก็ไม่ได้สวยขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“จุ๊ๆ ไม่จริงหรอก แบบเธอเนี่ยคือนางฟ้าชัดๆ มาเป็นนางแบบของผมเถอะนะ คนสวย”
“อ่า... งั้นขอฉันเก็บไว้พิจารณาแล้วกันนะคะ”
นางิสะกล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวลพร้อมรับใบปลิวแล้วค่อยๆเดินจากไป เธอเดินออกจากบริเวณนั้นพลางหันซ้ายหันขวาจนแน่ใจว่าอยู่ในที่ๆไม่มีคนผ่านไปมาแล้วจึงกระโดดเหยงๆด้วยอาการดี๊ด๊า
“ว๊ายๆ ถูกชมด้วยแหละ ฮึ่ม! ทุกอย่างต้องไปได้สวยแน่ๆเลย”
ในระหว่างที่นางิสะวี๊ดว๊ายอยู่คนเดียวเธอก็เหลือบไปเห็นอาคารที่ทำจากไม้ขนาดปานกลาง ดูเหมือนโรงฝึกหรืออะไรสักอย่าง เธอหันมองด้วยความสนใจแล้วค่อยๆเดินเข้าไปบริเวณนั้น
“มีของแบบนี้อยู่ในโรงเรียนด้วยหรอเนี่ย? หืม ชมรมยูโดงั้นหรอ? นี่คงเป็นโรงฝึกยูโดสินะ ใหญ่ชะมัดเลยแฮะ”
นางิสะอ่านป้ายไม้ที่อยู่หน้าโรงฝึกแล้วพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะเดินสำรวจไปรอบๆ บรรยากาศนั้นเงียบสงบคงเพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่ข้างใน
“อะไรกันวะ!? จำพวกฉันไม่ได้หรือไง?”
เสียงของผู้ชายที่แสดงถึงความหงุดหงิดดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่งจนนางิสะสะดุ้ง
“พวกสวะเซนไดเองหรอ?”
ส่วนอีกเสียงนึงเป็นเสียงผู้ชายเช่นกันแต่ฟังดูเรียบๆและไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง นั่นทำให้นางิสะเกิดความอยากรู้อยากเห็นและเดินไปตามเสียงนั้น พบว่าเสียงดังกล่าวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเพราะมาจากลานด้านหลังของโรงฝึกยูโดนั่นเอง
นางิสะใช้มุมอาคารของโรงฝึกเป็นจุดหลบซ่อนแล้วค่อยๆชะโงกหน้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พบว่ามีนักเรียนชายสี่คนที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มสีแดงซึ่งไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนนี้แน่ๆ กำลังยืนล้อมนักเรียนชายคนหนึ่งในชุดยูนิฟอร์มของฮิริว ในลักษณะที่เหมือนกำลังข่มขู่หรืออะไรสักอย่าง แต่ถึงกระนั้นทางฝั่งของนักเรียนโรงเรียนฮิริวกลับใช้ไม้กวาดในมือกวาดเศษใบไม้แห้งบนพื้นอย่างสงบนิ่งโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัวใดๆ
“พูดแค่ว่าจำได้เฉยๆไม่ได้หรือไงนะ? ฮาเซกาวะ ฟูจิ”
ชายที่ถูกเรียกว่าฟูจิก็ยังคงไม่ตอบอะไร
“แต่ก็เอาเถอะ... ขอพูดตรงๆเลยนะ แกยังจำตอนแข่งยูโดครั้งที่แล้วได้สินะ ตอนนั้นแกทำกับฉันไว้แสบมาก... ตอนนี้ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวล่ะก็ เอาเหรียญทองที่แกได้มาให้ฉัน ฉันจะเอาประดับชมรมยูโดของเซนไดสักหน่อย แล้วพวกฉันจะไม่ทำอะไรแก แล้วก็อย่าได้คิดสู้เชียวนะ ดูให้ดีๆว่าพวกเรามากี่คน”
ฟูจิเหลือบตาขึ้นมองนิดหน่อยเหมือนแค่จะดูว่าฝ่ายตรงข้ามมากี่คน ก่อนที่จะไม่สนใจแล้วกวาดใบไม้แห้งต่อ
“เงียบแบบนี้คิดจะกวนประสาทกันหรือไง-”
ฟูจิโยนไม้กวาดในมือลงพื้นทำให้ชายทั้งสี่ที่รุมล้อมต่างถอยหนีและเริ่มตั้งการ์ดขึ้นมา แต่ทางฟูจิก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเสยผมสีดำของตนที่ปรกหน้าอยู่ เผยให้เห็นสีหน้าของเขาที่ยังคงนิ่งเฉยมาจนถึงตอนนี้แม้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
“ถ้าแกอยากได้นักก็ต้องผ่านฉันไปก่อน แต่ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะสู้กับพวกแ- อุ๊บ!”
อะไรบางอย่างทำให้ฟูจิถึงกับล้มหน้าคว่ำลงไปกับพื้นแล้วแน่นิ่งไปทันที หนึ่งในสี่คนนั้นกำลังถือท่อนไม้ที่หักเป็นสองท่อน เมื่อพิจารณาดูดีๆแล้วพบว่านั่นเป็นไม้กวาดที่เมื่อสักครู่ฟูจิเป็นคนถือย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง ถึงของสิ่งนั้นโดยปกติแล้วจะไม่ได้เป็นอันตรายแต่การที่ใช้มันฟาดศีรษะคนอื่นโดยไม่ทันตั้งตัวแบบเต็มแรงนั้นย่อมทำให้คนที่โดนหมดสติได้ง่ายๆ
“อ๊ะ!”
ภาพที่เห็นทำให้นางิสะเผลอร้องออกมา เธอใช้มือทั้งสองข้างปิดปากไว้แต่ไม่ทัน ‘พวกเซนได’ ทั้งสี่คนนั้นรู้ตัวแล้วว่ามีคนแอบมองอยู่ พวกมันจึงเบนเป้าหมายมาที่เธอแทน นางิสะจะหนีแต่ก็ไม่ทันการเพราะถูกพวกมันล้อมเอาไว้
“แอบดูคนอื่นแบบนี้ไม่ดีเลยนะสาวน้อย”
“เอาไงกับยัยนี่ดี?”
“สวยเหมือนกันนะเนี่ย”
“เล่นสนุกกันสักหน่อยดีไหม?”
นางิสะใช้โอกาสที่พวกมันสี่คนกำลังพูดคุยกันก้าวขาเตรียมวิ่ง แต่ก็ถูกหนึ่งในพวกมันจับล็อคจากทางด้านหลัง เธอดิ้นสุดชีวิตพร้อมกรีดร้อง แต่บริเวณนี้ก็ถือว่าลับตาคนพอสมควร บวกกับตอนนี้ยังมีเสียงของนักเรียนที่ตะโกนแข่งกันเพื่อหาคนเข้าชมรมดังกลบ คงเป็นไปได้ยากที่จะมีคนได้ยินเสียงร้องของเธอ
“ดิ้นไปเถอะ ไม่หลุดง่ายๆหรอก ฉันน่ะนักกีฬายูโดอันดับต้นๆของเซนได จริงๆจะจับเธอทุ่มลงพื้นก็ยังได้แต่ฉันสงสาร”
พวกเซนไดที่จับนางิสะไว้พูดขึ้น
“ปล่อยฉันนะ!!”
“ก็บอกว่าอย่าดิ้นไงเล่า! ทำตัวดีๆหน่อย”
“ปล่อยฉัน!!!”
“เอ๊ะ! นังนี่ อยากโดนนักหรอ?”
“บอกว่าให้ปล่อยไงคะ...”
ไม่รู้ทำไมพวกเซนไดแต่ละคนถึงรู้สึกเสียวสันหลังวาบแปลกๆเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของนางิสะ
จากนั้นในเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที พวกเซนไดที่กำลังจับล็อคนางิสะอยู่จู่ๆก็กระเด็นไถลไปตามพื้น
ยังไม่ทันที่พวกที่เหลือจะรู้ว่าเพื่อนของตัวเองโดนอะไร ลำแข้งอันหนักหน่วงก็ปะทะเข้ากับต้นคอของหนึ่งในสามคนที่เหลือจนตาเหลือกและลงไปชักแหงกๆอยู่บนพื้น และนั่นคงจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของคำถามเมื่อสักครู่
สาวน้อยที่ดูไร้ทางสู้ในตอนแรกบัดนี้ได้แผ่รังสีอำมหิตออกมาแม้ใบหน้าของเธอจะยังเปื้อนยิ้ม พวกเซ็นไดคนแรกที่กระเด็นไปพยายามลุกขึ้นมาจึงโดนนางิสะยกขาขึ้นแล้วตอกด้วยส้นเท้าเข้าที่กลางศีรษะจนลงไปนอนอยู่ท่าเดิม ท่ามกลางความตกตะลึงของพวกเซนไดสองคนที่เหลือ
“ตายจริง ก็บอกให้ปล่อยดีๆไงคะ ไม่เชื่อกันเลย”
น้ำเสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลแต่กลับทำให้สองคนที่เหลือขนลุกซู่ หนึ่งในนั้นถึงกับค่อยๆถอยห่างแล้ววิ่งหนีไปเลยโดยไม่สนจะโดนมองว่าขี้ขลาด เพราะบางทีถูกมองแบบนั้นอาจจะดีกว่าที่จะต้องมีชะตากรรมแบบเพื่อนของตนทั้งสองที่นอนสลบเหมือดอยู่ตรงนั้น ส่วนอีกคนที่เหลือยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้เพราะอยากสู้หรือกลัวจนก้าวขาไม่ออกกันแน่
“แบบนี้ต้องทำโทษ♡”
----------------------------------------------------
“นางิสะจัง? ไปไหนของเขานะ?”
ชินสุเกะที่ดูเหมือนจะเสร็จจากการดูชมรมเป็นที่เรียบร้อยเดินตามหานางิสะที่ตอนแรกเขาคิดว่าน่าจะยังอยู่แถวๆที่เดินดูชมรมด้วยกันเมื่อครู่ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววจึงเดินตามหาไปทั่วโรงเรียน
เด็กหนุ่มเดินไปจนถึงอาคารไม้ที่มีป้ายว่า ‘ชมรมยูโด’ อยู่ข้างหน้า ระหว่างนั้นเขาบังเอิญเหมือนได้ยินเสียงผู้หญิงดังแว่วมาจากด้านหลังของอาคาร ชินสุเกะจึงเดินไปตามเสียงนั้น เมื่อเห็นปลายผมสีทองและโบว์สีแดงสดอยู่แวบๆเขาก็ยิ้มร่า
“นางิสะจัง? อยู่นี่เอง... เอ๋?”
ภาพที่เห็นเล่นเอาชินสุกะตาค้าง นางิสะกำลังอยู่ท่ามกลางชายในชุดยูนิฟอร์มสีแดงซึ่งนอนสลบเหมือดอยู่รอบๆ หนึ่งในนั้นกำลังถูกนางิสะรัดคอพร้อมใช้ขาทั้งสองข้างเกี่ยวลำตัวไว้จนขยับไม่ได้ ไม่สิ ต้องบอกว่าโดนรัดคอจนสลบเลยไม่ขยับมากกว่า
“กะ... กิโยตินโช๊ค!?”
เมื่อชินสุเกะพูดขึ้น นางิสะจึงรู้ตัวว่ามีคนดูอยู่ แถมยังเป็นชินสุเกะเพื่อนของเธออีกต่างหาก พอรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่เลยรีบปล่อย เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายลงไปนอนแผ่หมดสติ สาวน้อยผมทองปัดเนื้อปัดตัวและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนที่จะหันไปยิ้มให้ชินสุเกะด้วยรอยยิ้มที่เธอคิดว่าน่ารักที่สุดในชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ๊ะ! ตายจริง ชินสุเกะคุงเองหรอ? ว่าแต่ทำไมแต่ละคนถึงได้นอนสลบอยู่แบบนี้ล่ะเนี่ย ทันป่ะ?”
“ไม่ทันแล้วเจ๊!”
นางิสะไม่พูดอะไรต่อ จากยิ้มหวานกลายเป็นยิ้มแหยๆ เหงื่อเริ่มตกเพราะชินสุเกะเห็นเธอในสภาพไม่ควรเห็นเสียแล้ว
“เห็นหมดแล้วสินะ?”
----------------------------------------------------
“อย่างนี้นี่เอง...”
หลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนเที่ยง ชินสุเกะกับนางิสะก็ช่วยกันพาตัวฟูจิที่ถูกทำร้ายไปส่งที่ห้องพยาบาล ส่วนพวกเซนไดที่นอนเกลื่อนก็ถูกปล่อยไว้แบบนั้น ป่านนี้ก็ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าเป็นยังไงกันบ้าง ก่อนที่ทั้งคู่จะไม่ได้คุยกันอีกเลยกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน แต่ในขณะที่กำลังจะกลับบ้านนั้นนางิสะก็ขอคุยกับชินสุเกะเป็นการส่วนตัว ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเรื่องอะไร
เมื่อนางิสะเล่าทุกๆอย่างให้ฟังจนหมด ชินสุเกะที่ฟังมาตลอดก็พยายามเรียบเรียงเรื่องราวแล้วค่อยๆพูดออกมาทีละอย่าง
“เธอกำลังจะโดนคนที่ถูกเรียกว่าพวกเซนไดทำร้ายเลยพยายามป้องกันตัว”
“อืม”
“ซึ่งเธอเองเคยเป็นนักสู้ MMA มาก่อน แต่ตัดสินใจเลิกสู้แล้วมาเป็นนักเรียน ม.ปลาย?”
“อืม”
“แต่เพราะใครๆต่างก็กลัวเลยพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองใหม่เพราะอยากจะได้มีชีวิต ม.ปลาย แบบคนอื่นๆบ้าง”
“อือ... แต่คงพังหมดแล้วล่ะ”
“อะไรกัน ไม่หรอกน่า ฉันรู้แค่คนเดียวเองนะ”
“แต่มันก็ทำให้นายกลัวใช่ไหมล่ะ? ผู้หญิงแบบฉันใครจะอยากเข้าใกล้”
“พูดอะไรของเธอน่ะ? ออกจะน่ารัก... อ๊ะ! ไม่สิ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“สารภาพรักก็โดนปฏิเสธ เมื่อเที่ยงเพิ่งโดนหนุ่มหล่อชมก็คิดว่าจะไปได้สวยแท้ๆ บ้าที่สุด! ฉันก็อยากมีรักใสๆกับเขาบ้างเหมือนกันนะ”
“เป็นห่วงเรื่องนั้นเองหรอกเรอะ!!”
นางิสะที่นั่งก้มหน้ากอดเข่าบ่งบอกว่าเรื่องที่พูดนั้นเธอจริงจังพอสมควร ชินสุเกะถอนหายใจเล็กๆที่เห็นเธอเป็นแบบนั้นก่อนที่จะเริ่มพูดปลอบใจ
“ฉันไม่ได้รู้สึกกลัวเธอสักนิดหรอกนะ ต่อให้เธอจะเป็นนักสู้ MMA หรือจะเป็นอะไรก็ตาม นางิสะจังก็คือนางิสะจัง ยังไงเธอก็เป็นเพื่อนของฉัน”
“ชินสุเกะ...”
“มะ... เมื่อกี้เธอบอกว่าอยากจะมีความรักเหมือนกับคนอื่นๆใช่ไหม? อะ... เอ่อ ถ้าเป็น... คะ... คือฉันโอเคนะถ้าเป็นเธอ...”
“เมื่อกี้นายว่าไงนะ?”
“เอ๊ะ? เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก อะ... เอาเป็นว่าฉันจะเก็บความลับนี้ไว้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ขอบใจนะ ถึงนายจะเป็นเพื่อนกับฉันได้ไม่นาน แต่ฉันรู้สึกได้เลยว่านายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”
“ไม่ต้องย้ำคำว่าเพื่อนบ่อยก็ได้...”
“ทำไมหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก! ว่าแต่ นางิสะจังตัดสินใจเรื่องชมรมได้หรือยัง?”
“เอ๋? กะ... ก็ยังหรอก”
“งั้นมาอยู่ชมรมเดียวกับฉันไหม?”
ชินสุเกะชักชวน
“คือฉันยังไม่เคยบอกเธอใช่ไหมว่าฉันน่ะชอบมวยปล้ำมากๆ พอดีที่นี่มีชมรมมวยปล้ำด้วย ฉันเลยขอเข้าชมรมไป ฉันว่ากะจะไปดูที่ห้องชมรมสักหน่อย คือ... ฉันก็ไม่ได้หวังให้เธอตกลงหรอกนะ แต่ไปดูด้วยกันสักนิดก็ได้”
“จะดีหรอ?”
“ดีสิ! ถ้าเธอตกลงฉันจะดีใจมาก เลยเพราะฉันเองก็อยากอยู่ชมรมเดียวกับเธอน่ะ... อ๊ะ! เอ่อ... ไม่ใช่แบบนั้น คือ...”
“อื้ม โอเค ฉันไปกับนายก็ได้”
“จริงหรอ?”
“จริงสิ ที่นายว่ามาก็น่าสนใจดีนะ ไปดูสักหน่อยก็ได้”
“ถ้างั้นเรารีบไปกันเถอะ”
ชินสุเกะดีใจใหญ่รีบจับมือนางิสะลุกขึ้นแล้วเดินไปด้วยกันอย่างอารมณ์ดี
ไม่มีใครรู้เลยว่าการกระทำของนางิสะเมื่อตอนเที่ยงนั้นจะทำให้มีปัญหาใหญ่ตามมาในอีกไม่ช้า
----------------------------------------------------
“พวกคุณกำลังบอกผมว่า คุณโดนผู้หญิงผมทองตัวเล็กๆคนนี้ซัดซะจนเละเทะงั้นหรอครับ?”
ชายผมสีเทาพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น ในมือของเขาถือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่กำลังโชว์รูปของสาวน้อยผมทองผูกโบว์สีแดงสด จากคำบอกเล่าของชายสี่คนตรงหน้าของเขาซึ่งหน้าเละไปสามบอกว่าเธอคนนี้เป็นคนทำให้พวกเขามีสภาพดังกล่าว
“ถึงผมจะมีอารมณ์ขันอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้อยากฟังเรื่องตลกนะครับ และที่สำคัญกว่านั้น... การที่พวกคุณไปที่นั่นโดยพลการเพื่อที่จะแค่ข่มขู่ขโมยของคนอื่น... จะบอกอะไรให้อย่างนึงนะครับ เซนไดไม่ได้กระจอกถึงขนาดต้องขโมยของคนอื่นเขามา พวกคุณกำลังจะทำให้เซนไดต้องเสื่อมเสีย”
ชายทั้งสี่เริ่มเหงื่อตกเหมือนรู้ว่าหลังจากนี้จะต้องโดนอะไร ดูท่าชายผมเทาตรงหน้าจะเป็นหัวหน้าของชายทั้งสี่ พวกเขาจึงมีท่าทีเกรงกลัวเช่นนี้
“แต่ว่าคุณมิยาโมโตะครับ! สิ่งที่พวกผมพูดคือเรื่องจริงนะครับ ยัยผู้หญิงนั่น... มะ... มันปีศาจชัดๆ จะลงโทษพวกผมยังไงก็ได้ แต่เรื่องนี้ต้องเชื่อพวกผมนะครับ”
หนึ่งในสี่ที่ไม่มีบาดแผลบนใบหน้าเพราะเป็นคนเดียวที่หนีทันพูดขึ้น และเขานี่แหละที่เป็นคนเก็บภาพของปีศาจสาวผมทองมารวมทั้งพาร่างของเพื่อนๆที่สะบักสะบอมกลับมาด้วย
“งั้นหรอครับ... ถ้าเรื่องนั้นที่คุณพูดเป็นเรื่องจริงล่ะก็น่าสนใจไม่น้อย”
หัวหน้าของชายทั้งสี่แสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ผมจะไปดูด้วยตัวเอง”