“ยินดีต้อนรับเด็กปีหนึ่งทั้งสอง ฉันชื่อโซโนดะ มาคินะ ปีสาม เป็นประธานชมรมมวยปล้ำแห่งนี้ ฝากตัวด้วยนะ”
“โทโมโนริ ชินสุเกะครับ ฝากตัวด้วยครับ”
“เอ่อ... ไซโต้ นางิสะค่ะ ฝากตัวด้วยค่ะ”
สาวสวยทรงโต ผมยาวสีดำถูกมัดเป็นหางม้า กล่าวแนะนำตัวให้แก่ผู้มาเยือนทั้งสองด้วยท่าทีเป็นกันเอง
“ต้องขออภัยที่เมื่อตอนเที่ยงฉันไม่ได้อยู่แนะนำชมรมกับพวกเธอ คงรู้จักกับรองประธานกันแล้วสินะ ตอนนี้เธอมีธุระนิดหน่อยเลยขอกลับบ้านไปก่อน”
ประธานชมรมกล่าว
“เรียกฉันด้วยชื่อตัวได้เลยนะ ส่วนฉันขอเรียกพวกเธอทั้งสองว่าชินสุกะคุงกับนางิสะจังเลยละกัน”
“ได้ครับ/ค่ะ”
“ก่อนอื่นต้องขอย้ำอีกครั้งนะว่า ถึงจะขึ้นชื่อว่าชมรมมวยปล้ำ แต่จริงๆมักจะเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องมวยปล้ำซะมากกว่านะ”
ประธานมาคินะพูดพลางนำมือทั้งสองขึ้นมาประสานไว้ข้างหน้า
“จะมีบางครั้งที่โรงยิมว่างพวกเราอาจจะได้ฝึกมวยปล้ำจริงๆบ้าง แต่ก็คงทำได้แค่พวกท่าพื้นฐานๆน่ะ”
“เอ่อ... ผมขอเสียมารยาทหน่อยนะครับ ชมรมนี้ไม่มีสมาชิกคนอื่นแล้วจริงๆหรอครับ? นอกจากประธานกับรองประธาน”
ชินสุเกะถือวิสาสะถามขึ้น
“อ๋อ... เผอิญว่าสมาชิกชมรมปีที่แล้วมีแต่พวกปีสามน่ะ แต่ละคนก็จบออกไปแล้ว เหลือแค่ฉันที่เป็นปีสองกับรองประธานที่เป็นปีหนึ่งมารับช่วงต่อ จะว่าไปแล้วเด็กสมัยนี้ก็ไม่ค่อยสนใจมวยปล้ำเท่าไหร่ บางทีนี่คงจะหมดยุคของมวยปล้ำไปแล้ว-”
“ไม่จริงครับ! ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่!!”
ชินสุเกะลุกขึ้นพรวดจนประธานมาคินะอึ้งไปชั่วขณะ ไม่เว้นแม้กระทั่งนางิสะเองก็ตกใจ พอชินสุเกะรู้ตัวว่ากำลังทำตัวเสียมารยาทเลยค่อยๆกลับลงไปนั่งพลางลูบท้ายทอยแก้เก้อ
“ขอโทษครับที่ขึ้นเสียงใส่”
“โฮ่... ใช้ได้ ใช้ได้ แบบนี้ค่อยมั่นใจหน่อยว่านายรักมวยปล้ำจริงๆ”
ประธานมาคินะไม่โกรธอะไรแถมยังพยักหน้าหงึกๆด้วยความพอใจ
“แล้วนางิสะจังล่ะ?”
“เอ๊ะ? คือแบบว่า... เอ่อ...”
“คือผมเป็นคนชวนยัยนี่มาอยู่ชมรมน่ะครับ จริงๆแล้วยัยนี่ชอบศิลปะการต่อสู้แบบ MMA ผมเห็นว่ามันมีส่วนคล้ายกับมวยปล้ำเลยคิดว่ายัยนี่น่าจะสนใจ อีกอย่างยัยนี่ก็เป็นนักส- อุ๊ก!!”
นางิสะกระทุ้งศอกใส่ท้องชินสุเกะใต้โต๊ะจนเกือบสำลักก่อนที่จะพูดจบ แล้วยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จริงๆฉันก็มีความสนใจในมวยปล้ำอยู่บ้างน่ะค่ะ”
“งั้นหรอกหรอ?”
“อีกอย่างฉันก็ไม่ค่อยชอบการต่อสู้สักเท่าไหร่หรอกนะคะ แฮะๆ”
“ก็แค่เคยกิโยตินโช๊คใส่คนอื่นจนสล- อุ๊ก!!”
“ชินสุเกะคุงเป็นอะไรไปหรอ? ตัวงอเป็นกุ้งเชียว”
“มะ... ไม่มีอะไรครับประธาน ท้องไส้ผมไม่ค่อยดีน่ะครับ”
ชินสุเกะตอบด้วยใบหน้าเหยเก
“ฉันจะเชื่อใจนายดีไหมเนี่ย?”
“หยอกเล่นหน่อยเดียวเอง”
“จะเอาอีกศอกไหม?”
“กระซิบกระซาบอะไรกันน่ะ? ทั้งสองคนคบกันอยู่หรอ?”
“ไม่ค่ะ! ไม่มีทาง! โนเวย์! พวกเราเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น เพื่อนค่ะเพื่อน!”
นางิสะปฏิเสธซะจนออกนอกหน้า กลายเป็นยิ่งดูเหมือนใช่ไปใหญ่
“ไม่ใช่หรอกหรอ? ฉันว่าทั้งสองก็ดูเหมาะกันดีนะ”
นางิสะกับชินสุเกะมีแอบหันไปสบตากันเล็กน้อย ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย
“เอาเถอะ... พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนเตรียมชุดพละมาด้วยก็ดีนะ เผื่อโรงยิมว่างพวกเราจะได้ลองฝึกมวยปล้ำกันเลย”
“จริงหรอครับ!”
ชินสุเกะตาเป็นประกาย
“แน่นอน! กระตือรือร้นจริงๆเลยนะ แบบนี้สิถึงสมกับเป็นสมาชิกชมรมของฉัน ถ้างั้นวันนี้ก็แค่นี้ก่อน กลับบ้านกันดีๆล่ะ”
----------------------------------------------------
“ชินสุเกะ เราไปดูคนๆนั้นที่ห้องพยาบาลกันไหม? เผื่อเขายังอยู่”
“เธอหมายถึงคนที่โดนพวกเซนไดอะไรนั่นทำร้ายจนสลบหรอ?”
“ใช่”
หลังจากที่ออกจากห้องชมรมมวยปล้ำ นางิสะจึงเสนอขึ้น ซึ่งชินสุเกะเองก็ไม่ขัดข้องอะไร ทั้งคู่จึงเดินไปที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป
“ขออนุญาตค่ะ”
“อ้าว? ยังไม่กลับกันอีกหรอ?”
เมื่อนางิสะและชินสุเกะเข้าไปก็เจอกับอาจารย์สาวประจำห้องพยาบาลนั่งอยู่ ซึ่งเมื่อตอนเที่ยงทั้งสองก็เคยเจอเธอมาก่อนแล้ว
“คือ คนที่พวกเราพามาห้องพยาบาลน่ะค่ะ...”
“อ๋อ... ฮาเซกาวะคุงสินะ เขายังนอนอยู่แต่ไม่เป็นอะไรมากหรอก ไม่ต้องห่วง”
อาจารย์พยาบาลยิ้มให้
“คือถ้าอาจารย์จะวานให้พวกเธอสองคนเฝ้าให้แทนจะโอเคไหม? อาจารย์มีธุระน่ะ”
“ได้ค่ะ คือหนูก็มีเรื่องจะคุยกับเขาเหมือนกัน”
“งั้นหรอ? ถ้างั้นก็ฝากด้วยนะ”
อาจารย์พยาบาลเก็บข้าวของใส่กระเป๋าถือแล้วเดินออกไปจากห้อง เมื่ออาจารย์ไปแล้ว นางิสะก็เดินไปเปิดม่านที่ปิดอยู่แค่เตียงเดียวออก ก็พบกับผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อตอนเที่ยงนอนอยู่
ไม่รู้เพราะไม่ได้หลับแต่แรกหรือเพราะเสียงเปิดม่านทำให้เขาลืมตาและหันไปทางนางิสะกับชินสุเกะ
“เอ่อคือ... ขอโทษที่รบกวนนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้หลับ”
“เราสองคนเจอคุณสลบที่หลังโรงฝึกยูโดน่ะค่ะเลยพามาส่งห้องพยาบาล แล้วก็...”
“ฉันรู้ ไม่ต้องเล่าก็ได้ ขอบใจเธอมากนะที่จัดการเจ้าพวกเซนไดจนหมอบกันหมด”
“เอ๋? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”
“ไม่ต้องปิดบังหรอก ตอนฉันโดนเล่นงานฉันยังพอมีสติอยู่บ้างเลยเห็นเธอซัดพวกมันซะกระจุยเลย แอบทึ่งเหมือนกันนะ”
“แง... ความลับแตกอีกแล้ว”
“ฉันไม่แคร์หรอก และไม่คิดจะไปบอกใครแน่นอนวางใจได้”
ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มขยับเป็นท่านั่ง
“งั้นแนะนำตัวก่อนนะ ฉันฮาเซกาวะ ฟูจิ ปีสอง เป็นสมาชิกชมรมยูโด”
“ไซโต้ นางิสะค่ะ ส่วนนี่โทโมโนริ ชินสุเกะ เพื่อนของฉัน ปีหนึ่งทั้งคู่ค่ะ”
“เพื่อนอีกแล้ว...”
ชินสุเกะบ่นพึมพำ
“เธอบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับฉันหรอ? เมื่อกี้ได้ยินแว่วๆ”
“อ๊ะ? ค่ะ... มีเรื่องจะถามหลายเรื่องเลย อย่างเช่นแบบว่า... เซนไดคืออะไร แล้วทำไมต้องมีเรื่องกันแบบนั้นด้วย”
เมื่อได้ยินคำถาม ฟูจิก็ขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งประมาณว่าเรื่องที่เขาจะพูดต่อจากนี้คงยาวแน่ๆ
“ความจริงเรื่องนี้มันมีมานานแล้วนะ ก่อนที่ฉันจะเข้ามาเรียนที่นี่อีก อาศัยฟังคนอื่นๆเล่าต่อกันมา... แต่เรื่องที่โรงเรียนเอกชนฮิริวมีความขัดแย้งจนต้องแยกตัวไปตั้งโรงเรียนที่อื่นนี่พวกเธอน่าจะพอรู้ใช่ไหม?”
นางิสะและชินสุเกะพยักหน้ารับ ข่าวดังกล่าวที่ฟูจิพูดถึงถือว่าดังพอสมควร เพราะโรงเรียนเอกชนฮิริวเป็นโรงเรียนที่ใหญ่และมีชื่อเสียงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เวลาเกิดอะไรขึ้นจะมีผู้ให้ความสนใจเยอะก็ไม่แปลก
“ปัญหาก็มาจากตรงนั้น โรงเรียนฮิริวถึงจะมีบุคลากรบางส่วนแยกตัวออกไป แต่ชื่อเสียงของโรงเรียนแห่งนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง จะว่ากินบุญเก่าก็น่าจะได้ เลยไม่แปลกที่จะโดนโรงเรียนที่แยกตัวออกไปเขม่นเอา ซึ่งจริงๆต้องบอกว่ามีแต่เอกชนเซนไดเท่านั้นแหละที่กระหายอยากจะทำศึกสงครามระหว่างโรงเรียนมากกว่าใครเพื่อน”
“เอ่อ... แล้วที่อื่นๆล่ะคะ?”
“ก็มีเอกชนฟุโซ รายนี้จะไม่ค่อยเข้ามายุ่งเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่เป็นเด็กเรียน กับอีกที่นานาชาติลิตโตริโอ เป็นโรงเรียนสำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศ มีพวกหัวรุนแรงอยู่บ้างแต่ไม่มากเท่าเซนไดหรอก”
ฟูจิถอนหายใจเบาๆพลางเสยผม
“นี่ฉันไม่ได้ขู่นะ... แต่หลังจากนี้เธอคงต้องระวังตัวให้ดีแล้วล่ะ ยิ่งเธอไปอัดพวกมันซะเละเทะแบบนั้น ฉันว่ามันต้องมาอีกแน่”
เมื่อฟังคำพูดของฟูจิจบนางิสะก็หน้าถอดสี ซึ่งไม่น่าจะใช่เพราะกลัว แต่คงเพราะนางิสะไม่อยากจะต่อสู้อีกเป็นรอบที่สองต่างหาก
“ฉันว่าระดับเธอยังไงก็สู้ไหวอยู่แล้วน่า ก็เพราะเธอเป็นนักสู้ MMA ไม่ใช่หร- อุ๊ก!”
ชินสุเกะโดนนางิสะศอกเข้าไปอีกรอบ ถ้านับเมื่อตอนห้องชมรมด้วยก็คงเป็นครั้งที่สี่
“ศอกฉันทำไมฟะเนี่ย! รุ่นพี่ฮาเซกาวะก็รู้ความลับของเธอไปแล้วไม่ใช่เรอะ?”
“อ๊ะ! ขอโทษ ลืมตัว”
“ฮ่ะๆ นี่ฉันไม่ได้หัวเราะแบบจริงๆจังๆมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย พวกเธอสองคนน่าสนใจจริงๆ”
ฟูจิหลุดขำ
“แต่ยังไงก็เถอะ... เรื่องมันไม่จบแค่นี้แน่ พวกเธอสองคนระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”
“แต่ฉันไม่อยากจะต่อสู้อีกแล้วนะคะ ฉันอยากจะใช้ชีวิตปกติแบบนักเรียน ม.ปลาย ทั่วไปบ้าง”
ฟูจิเงียบไปสักพัก สายตาที่มองไปทางนางิสะแสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจ แต่ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้
“ฉันขอโทษนะที่ต้องพูดแบบนี้ แต่บางที.. การมาเรียนที่นี่ อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเธอก็ได้”
----------------------------------------------------
ท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีส้มบ่งบอกว่าเป็นยามเย็น ดวงอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า เด็กสาวและเด็กหนุ่มเดินเคียงข้างโดยไม่ได้พูดอะไรกัน ความจริงฝ่ายเด็กหนุ่มคงอยากจะพูดอะไรเต็มแก่เพราะเอาแต่เหลือบมองไปทางเด็กสาวเกือบตลอดเวลา เพียงแต่เธอก้มหน้านิ่งจนไม่กล้าเข้าไปพูดคุย
“เอ่อ... นางิสะ?”
จนกระทั่งเขาเรียกชื่อเธอแบบกล้าๆกลัวๆ
“มีอะไรหรอ?”
“เธอเป็นอะไรไหม?”
“เป็นคนสวยจ้ะ♡”
“หา?”
ชินสุเกะถึงกับติดสตั้น
“อ้าว? ไม่ขำหรอกหรอ? ฉันก็นึกว่านายเป็นคนเส้นตื้นซะอีกนะ”
“ที่เงียบๆตั้งแต่เมื่อกี้เพราะกำลังคิดมุกนี้เองหรอกเรอะ!”
“หา? ใครจะไปบ้าคิดมุกจริงจังขนาดนั้นด้วยเล่า?”
“ก็เห็นเงียบอยู่ตั้งนาน”
“ฉันคิดเรื่องอื่นหรอกย่ะ!”
เมื่อเห็นท่าทางของนางิสะที่กลับมาเป็นเหมือนเดิม ชินสุเกะก็แค่นหัวเราะ
“แต่เห็นเธอร่าเริงเหมือนเดิมฉันก็ดีใจแล้วนะ”
“เอ๋? เมื่อกี้ฉันดูมืดมนขนาดนั้นเลยหรอ?”
“ก็ฉันคิดว่าเรื่องที่คุยกับรุ่นพี่ฮาเซกาวะจะทำให้เธอเครียดซะอีก แบบบางทีอาจจะทำให้เธออยากย้ายโรงเรียนอะไรแบบนี้”
“จะบ้าหรอ!? ฉันไม่ย้ายโรงเรียนเพราะเหตุผลงี่เง่าพรรค์นั้นหรอกย่ะ!”
“เหมือนโดนหลอกด่ายังไงก็ไม่รู้”
“ไม่ว่ายังไงฉันก็จะทวงคืนชีวิต ม.ปลาย แสนสุขมาให้ได้ ฉันตัดสินใจแล้ว ถ้าใครมาหาเรื่องฉันละก็แม่จะซัดให้หมอบ มันจะได้ไม่มายุ่งอีกไง”
“แบบนี้มันก็ยิ่งแย่ไม่ใช่เรอะ! เธอจะเก็บความลับเรื่องนี้ไว้ไม่ใช่หรือไง?”
“ก็ซัดในที่ลับตาคนสิ”
“บางทีเธอก็ดูน่ากลัวในหลายๆความหมายนะ”
“ใครซัดมาฉันซัดกลับก็แค่นั้น ฉันไม่ยอมให้ใครมารังแกฝ่ายเดียวหรอกนะ แต่ยังไง ฉันก็ยึดถือแนวทางของตัวเองมาตลอด ถึงฉันจะเก่งเรื่องการต่อสู้แค่ไหน แต่ฉันก็จะไม่ใช้มันรังแกใคร ฉันจะใช้มันเพื่อปกป้องตัวเองและคนอื่นเท่านั้น”
นางิสะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ชินสุเกะทึ่งเล็กน้อย ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงถนนที่เป็นทางแยก เธอและเขาคงแยกทางกันตรงนี้
“บ้านฉันไปทางนี้นะ”
เมื่อนางิสะพูดจบเธอก็เดินนำหน้าชินสุเกะไปนิดหน่อย ก่อนที่จะหันกลับมา
“เจอกันพรุ่งนี้นะ ชินสุเกะคุง”
เธอส่งยิ้มให้ชินสุเกะเป็นครั้งสุดท้ายของวันนี้ เด็กหนุ่มโบกมือลาจนเด็กสาวเดินลับตาไปท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ก่อนที่เขาจะเดินกลับบ้านไปตามทางของตนเอง
----------------------------------------------------
“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันดีกว่า”
โซโนดะ มาคินะ ประธานชมรมมวยปล้ำกล่าวขึ้นเมื่อเห็นสมาชิกชมรมทั้งสองของตนอยู่กันพร้อมหน้าในโรงยิมหลังเลิกเรียน แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของรองประธานซึ่งทางประธานได้บอกว่าวันนี้เธอก็มีธุระจึงกลับบ้านไปก่อนอีกครั้ง
ประธานมาคินะอยู่ในชุดเสื้อพละสีขาวที่ทำให้เห็นความมโหฬารของภูเขาทั้งสองลูกของเธออย่างชัดเจน ไหนจะกางเกงบลูมเมอร์ที่โชว์ขาอ่อนขาวเนียนชวนหนุ่มๆน้ำลายหกอีกต่างหาก
นางิสะกับชินสุเกะเองก็อยู่ในชุดพละเช่นกัน ทั้งคู่อยู่ตรงหน้าเบาะนวมสีดำที่ถูกปูไว้ นั่นคงเป็นสังเวียนมวยปล้ำขนาดย่อมของทั้งคู่เป็นแน่
“ก่อนที่เราจะมาฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ ฉันอยากให้เธอทั้งสองลองอุ่นเครื่องกันสักหน่อย ฉันจะให้พวกเธอแข่งมวยปล้ำสมัครเล่นแบบง่ายๆกันดู”
“เอ๋? ให้ผมแข่งกับนางิสะจังหรอครับ?”
“ทำไม? นายอยากเจอกับฉันหรือไง? คงอยากจะเนียนจับหน้าอกของฉันล่ะสิท่า”
“ผมไม่คิดทำอย่างนั้นแน่นอนครับ!”
“อะไรนะ? นี่นายว่าหน้าอกฉันไม่มีเสน่ห์เรอะ?”
“ไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย!”
“ช่างเถอะ สมาชิกเรามีแค่นี้ รองประธานก็ไม่อยู่ พวกเธอสองคนก็ต้องซ้อมกันเองไปก่อน เอาล่ะ ไปยืนบนเบาะนวมได้แล้ว”
ชินสุเกะกับนางิสะก้าวขึ้นไปบนเบาะนวม ความยืดหยุ่นของเบาะนั้นทำให้พอจะมั่นใจได้ว่าจะช่วยป้องกันการกระแทกได้ดีในระดับหนึ่ง
“ฉันจะตั้งกฎขึ้นมาแบบง่ายๆ ใครจับทุ่มหรือทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้จะได้แต้ม ห้ามใช้ท่าอื่นๆนอกเหนือจากท่าจับทุ่มและซับมิสชัน แค่นั้นแหละ”
ประธานมาคินะกล่าว
“ชินสุเกะคุง นายเป็นผู้ชายออมมือให้ผู้หญิงบ้างนะ”
“คะ... ครับ”
ความจริงนางิสะต่างหากที่จะต้องออมมือให้เขา
“รบกวนด้วยนะ ชินสุเกะคุง”
“ชะ... เช่นกัน”
สมาชิกชมรมทั้งสองจับมือกัน นางิสะรู้สึกได้เลยว่ามือของชินสุเกะนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ถ้าไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นก็คงกลัวเธอซัดเขาจนสลบกระมัง
“พร้อมแล้วใช่ไหม ถ้างั้น... เริ่มได้!”