ลูกเตะอันหนักหน่วงจากนางิสะตามมาสองครั้งติดๆหลังจากที่ครั้งแรกโดนเข้าไปเต็มๆก้านคอของคิซารุ แต่สองครั้งนี้แตกต่างจากครั้งแรกเพราะมันพลาดเป้า แม้เมื่อสักครู่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าลูกเตะของนางิสะไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับคิซารุสักเท่าไหร่ถึงจะโดนเข้าที่ก้านคอเต็มๆก็ตาม แต่ถ้าเขาปล่อยให้ตัวเองโดนเข้าบ่อยๆล่ะก็คงไม่ดีแน่ๆ
“รออะไรอยู่ครับ ไม่เข้ามาล่ะ?”
คิซารุเอ่ยถามหลังจากที่นางิสะไม่เข้ามาโจมตีต่อหลังพลาดลูกเตะไปสองครั้ง เธอตั้งการ์ดและจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่วางตาคล้ายกับว่ากำลังรอดูอะไรอยู่
“กำลังดูสไตล์การต่อสู้ของผมอยู่สินะครับ จะว่าไปผมก็เอาแต่หลบตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนี่นา”
“....”
“แต่เชื่อผมเถอะครับ ยังไงคุณก็เดาไม่ออกหรอก”
คิซารุหันมาเป็นฝ่ายจู่โจมบ้าง กำปั้นของเขาพุ่งตรงไปที่ใบหน้าของนางิสะ เธอเพียงแค่หันข้างหลบแล้วสวนไปด้วยลูกเตะอีกครั้ง คิซารุก้มหลบ เป้าหมายของนางิสะยังคงเป็นก้านคอของเขา เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นจุดรวมเส้นประสาท ท่าทางนางิสะตั้งใจจะจบการต่อสู้นี้โดยเร็วที่สุด
“หมัดช้ายังกับเต่า... ก็แค่สไตล์ต่อสู้แบบพวกอันธพาลกระจอก”
“มันจะใช่จริงๆหรอครับ?”
คิซารุสาวหมัดเข้ามาอีกครั้ง นางิสะป้องกันได้อย่างสบายๆ นอกจากหมัดของเขาจะช้าแล้วยังเบาอย่างกับขนนก นางิสะสวนกลับไปด้วยลูกเตะอีกครั้งที่ตำแหน่งเดิมด้วยขาขวา คิซารุก้มหลบได้อีกครั้ง แต่ทว่าขาซ้ายของนางิสะที่เหวี่ยงลูกเตะตามมากลับเล็งไปที่ข้อพับของคิซารุ นั่นทำให้เขาทรุดลงไปทันที นางิสะไม่รอช้าใช้จังหวะนี้ประเคนหน้าแข้งเข้าที่ขมับของคิซารุดังเปรี้ยง ชายผมเทาถึงกับหงายหลังลงไปกับพื้นทั้งๆที่อยู่ในท่าคุกเข่า
“อะไรกัน? หมอนี่ไม่น่าจะกระจอกขนาดนี้นี่นา... แถมยังอัดชินสุเกะจนหมอบแต่ทำไมแรงหมัดถึงได้เบาแบบนี้? กำลังออมมืออยู่หรอ? หรือยังไงกันแน่?”
นางิสะพึมพำกับตัวเองเบาๆด้วยความแปลกใจ ในขณะที่คิซารุลุกขึ้นมาปัดเนื้อปัดตัวเหมือนตัวเองนั้นแค่หกล้ม ทั้งสองครั้งที่นางิสะจู่โจมใส่คิซารุได้สำเร็จนั้นต่างเป็นจุดที่ทำให้มนุษย์ทั่วไปหมดสติได้ง่ายๆ แต่เขากลับไม่มีท่าทีเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
“หนักใช่เล่นเลยนะครับ เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆแท้ๆ ไม่แปลกเลยที่เมื่อวานคนของผมถึงได้เละเทะแบบนั้น สรุปแล้วเรื่องที่คนของผมบอกก็เป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย”
“นั่นคือสิ่งที่นายอยากรู้ไม่ใช่หรอ? ตอนนี้นายรู้ทุกอย่างแล้วก็ช่วยกลับไปและอย่ามายุ่งที่นี่อีกจะได้ไหม?”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ชอบการต่อสู้ที่ไม่รู้ผลแพ้ชนะ ดังนั้นคงต้องขอปฏิเสธนะครับ”
“งั้นหรอ? ถ้านายกลับไปดีๆฉันอาจจะอโหสิให้นายที่ทำแบบนั้นกับเพื่อนของฉัน แต่ถ้านายดึงดันที่จะสู้ ฉันก็จะสนองให้ ถือว่าเป็นการแก้แค้นให้เพื่อนของฉันไปเลยละกัน”
นางิสะพุ่งเข้าไปพร้อมใช้ลูกเตะเป็นอาวุธเช่นเคย คิซารุใช้แขนป้องกันเอาไว้ได้ทัน นางิสะยังคงเลือกบริเวณศีรษะเป็นเป้าหมายในการโจมตีแม้รู้ว่าจะต้องถูกปัดป้องได้ ขาซ้ายของนางิสะกำลังจะเจาะเข้าที่ข้อพับของคิซารุอีกครั้งเหมือนฉายภาพซ้ำ ชายผมเทาไม่รอช้ายกขาของตนขึ้นเพื่อหลบการจู่โจมดังกล่าว
“เอ๊ะ?”
คิซารุอุทานออกมาด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้ตรงกับที่เขาคิดไว้ ก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงแรงปะทะอันรุนแรงที่บริเวณขมับขวาในเสี้ยววินาทีนั้น ความรุนแรงของมันทำให้ร่างของคิซารุเอนไปข้างหลัง เขาพยายามทรงตัวและโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อไม่ให้ตัวเองหงายท้อง ในหัวของเขาหมุนคว้างพร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่ผุดขึ้นมาว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น
“เตะหลอกงั้นหรือ?”
ในระหว่างที่ความสงสัยของชายผมเทาเริ่มกระจ่างขึ้น เขาก็ถูกเตะเสยปลายคางเข้าอีกทีในสภาพที่ยืนในท่างอหลังเป็นกุ้ง ร่างของคิซารุลอยและหมุนในแนวตั้งเป็นรูปครึ่งวงกลม ก่อนที่จะถูกนางิสะเตะองศาต่ำเข้าที่ก้านคออีกหนึ่งรอบในระหว่างที่ร่างของเขากำลังจะสัมผัสพื้นจนกลิ้งไปตามพื้นไวนิลของโรงยิมอย่างหมดท่า
“ถึงนายจะไม่สะท้านกับลูกเตะของฉัน แต่ถ้านายยังเป็นคนอยู่ โดนบ่อยๆเข้ามันต้องมีมึนกันบ้างแหละ”
ที่นางิสะพูดก็ไม่ผิดอะไรนัก การโดนเล่นงานหนักๆถึงสามครั้งติดทำให้สติของคิซารุเริ่มจะเลือนราง เลือดที่กบปากเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความรุนแรงของการจู่โจมที่เหนือกว่าสองครั้งแรก นางิสะไม่รอช้าใช้จังหวะที่คิซารุกำลังจะฟื้นตัวพุ่งเข้าไปหวังที่จะเผด็จศึกให้จบโดยเร็ว
“อ๊ะ!”
นางิสะชะงักตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกถึงอันตรายบางอย่างในขณะที่กำลังจะเข้าใกล้คิซารุอยู่รอมร่อ เมื่อเธอเหลือบตามองก็พบกับวัตถุเรียวยาวสีน้ำตาลจ่อเข้าที่บริเวณคอหอย ผู้ที่ถือวัตถุดังกล่าวยิ้มยิงฟันขาวที่แซมไปด้วยเลือดสีแดงสด ก่อนที่จะลุกขึ้นอย่างช้าๆ
“ดาบไม้!?”
“เอาล่ะครับ ได้เวลาเฉลยแล้ว”
นางิสะถอยห่างออกมาตั้งหลักเมื่ออีกฝ่ายมีอาวุธ ถึงเธอจะมั่นใจในพละกำลังของตัวเอง แต่การใช้มือเปล่าเข้าไปแลกกับอาวุธแบบสุ่มสี่สุ่มห้านั้นไม่ใช่ความคิดทีดีนัก
“ผมคือมิยาโมโตะ คิซารุ ลูกหลานของนักดาบในตำนาน มิยาโมโตะ มุซาชิ และอดีตประธานชมรมเคนโด้แห่งเซนได”
คิซารุฟาดฟันอากาศด้วยดาบไม้ในมืออย่างชำนาญสมกับเป็นลูกหลานของนักดาบในตำนานอย่างที่ตนกล่าวอ้าง เสียงตัดอากาศดังวูบวาบแสดงได้ถึงความรวดเร็วของเพลงดาบ ก่อนที่จังหวะสุดท้ายจะเป็นการตั้งดาบเพื่อเตรียมพร้อมที่จะฟาดฟันเป้าหมาย
“และสไตล์การต่อสู้ของผมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ วิชาดาบนิเท็นอิจิริวไงล่ะครับ”
แทนที่เด็กสาวจะทึ่งกับเพลงดาบเมื่อครู่ แต่เธอกลับยักไหล่แบบไม่ใส่ใจและตอบกลับไป
“อ๋อหรอคะ? ถ้างั้นบรรพบุรุษของนายคงน้ำตาไหลพรากๆที่มีลูกหลานชั่วๆแบบนี้แน่ๆ”
“สำหรับผมแล้วการดูหมิ่นบรรพบุรุษถือเป็นความผิดอันร้ายแรง ดังนั้นผมจะลงโทษคุณเดี๋ยวนี้แหละครับ”
คิซารุพุ่งเข้ามาเป็นฝ่ายรุกครั้งแรก ดาบไม้ของเขาฟาดฟันเข้ามาในระดับศีรษะ นางิสะก้มหลบได้ทัน แม้จะเป็นเพียงแค่ดาบไม้ทื่อๆแต่ก็ยังถือว่าอันตรายหากจะป้องกันด้วยมือเปล่า ดาบไม้นั่นฟาดฟันเข้ามาอีกครั้ง เธอเบี่ยงตัวหลบ ก่อนที่จะเตะกวาดล่างเมื่อเห็นช่องโหว่ ทว่าเธอกลับตาเบิกโพลง เมื่อคิซารุใช้ขาของตัวเองเกี่ยวขาของเธอที่เตะเข้ามา นั่นทำให้นางิสะขยับไม่ได้
พลั่ก!!“แค่ก!”
ทายาทนักดาบใช้ด้ามดาบไม้ของตนกระทุ้งเข้าที่ท้องน้อยของนางิสะ เธอถึงกับถอยออกไปทรุดลงกับพื้นและไอไม่หยุด คิซารุสะบัดดาบไม้ลงพื้นอย่างวางท่าแทนที่จะเข้าไปเผด็จศึกในระหว่างที่คู่ต่อสู้เพลี่ยงพล้ำ ราวกับมั่นใจนักหนาว่าตนเองจะจบเกมเมื่อไหร่ก็ได้
“แรงเยอะขนาดนี้!? นี่คือแรงที่แท้จริงที่ชินสุเกะโดนเมื่อกี้งั้นหรอ?”
นางิสะแค่นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ช่วงท้องของเธอรู้สึกปั่นป่วนจนอยากจะอาเจียนออกมา
“หรือว่าหมอนี่กะจะใช้ดาบเล่นงานเราแต่แรกเมื่อกี้เลยออมแรงเอาไว้?”
เด็กสาวฝืนลุกขึ้นมาทั้งๆที่ยังรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ท้องน้อย คิซารุเห็นดังนั้นจึงตั้งดาบขึ้นมาเพื่อเตรียมสู้ต่อ
“ความจริงคุณเห็นผมพกดาบไม้มาก็น่าจะพอเดาออกนะครับว่าสไตล์การต่อสู้ผมคืออะไร ผมแปลกใจอยู่เหมือนกันที่คุณกลับไม่รู้”
“เพราะฉันไม่คิดว่านายจะเล่นสกปรกด้วยการใช้อาวุธยังไงล่ะ”
“การดูหมิ่นวิชาดาบก็ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงเช่นกัน ซึ่งก็หมายความว่าโทษของคุณจะต้องเพิ่มเป็นสองเท่า”
คิซารุเหวี่ยงดาบไม้เข้าใส่ นางิสะหลบได้อย่างหวุดหวิดเพราะความเจ็บปวดนั้นพยายามจะตรึงร่างเธอให้อยู่กับที่ ดาบสองเหวี่ยงตามมา เธอหันข้างหลบ ดาบไม้เคลื่อนที่เฉียดหน้าเธอไปเพียงไม่ถึงคืบ ก่อนที่แผลเก่าที่ท้องน้อยจะถูกกระทุ้งด้วยเข่าของคิซารุ นางิสะร้องลั่น เธอพยายามเกร็งขาไว้เพื่อไม่ให้ทรุดลงไป แต่สุดท้ายเธอก็ฝืนตัวเองไม่ไหว ชายผมเทาค่อยๆเดินเข้ามาอย่างช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มที่บัดนี้ดูเหี้ยมเกรียม
“และนี่คือบทลงโทษของผู้ที่หลบหลู่ดูหมิ่นมิยาโมโตะ มูซาชิและวิชาดาบนิเท็นอิจิริว”
ดาบไม้ของคิซารุถูกเงื้อขึ้นเหนือศีรษะ
“ลาก่อนนะครับ”
นางิสะหลับตา เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ แม้สมองจะสั่งการให้เธอหลบแต่ร่างกายมันไม่ขยับ ความเจ็บปวดที่ได้รับดูจะตรึงร่างเธอได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เสียงดาบแหวกอากาศดังใกล้เข้ามา ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกเจ็บหรืออะไร นางิสะพลางคิดว่าหรือสติสัมปชัญญะของเธอจะหลุดลอยเพราะถูกเล่นงานไปแล้ว ด้วยความสงสัยเด็กสาวจึงลืมตา และภาพที่เห็นนั้นคือคิซารุที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ดาบไม้ของเขาที่แหวกอากาศลงมาค้างอยู่กลางอากาศ เพราะถูกใครบางคนคว้าเอาไว้ก่อนที่จะถึงตัวนางิสะ
“รุ่นพี่ฮาเซกาวะ!”
“ขอโทษนะที่มาช้า”
คิซารุดึงดาบที่ถูกฟูจิจับไว้ออกมาแล้วถอยออกไปตั้งหลัก
“หลอกล่อให้อีกฝ่ายอ่อนแรงแล้วจัดการด้วยวิชาดาบที่ตัวเองถนัด ยังคงเล่นลูกไม้สกปรกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”
“พูดเหมือนรู้ดีจังนะครับ ทั้งๆที่ตัวเองเข้าร่วมสงครามอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง”
ฟูจิไม่ตอบอะไรแล้วเดินไปพยุงนางิสะให้ลุกขึ้นมา
“และอีกอย่าง สองรุมหนึ่งนี่ไม่ใช่ว่าเป็นลูกไม้สกปรกเหมือนกันหรอครับ? แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ เพราะเพลงดาบนิเท็นอิจิริวที่แท้จริงน่ะ...”
มือซ้ายของคิซารุดึงดาบไม้ที่อยู่ในฝักอีกหนึ่งเล่มออกมา
“มันต้องใช้สองเล่ม”
คิซารุใช้ดาบไม้ทั้งสองเล่มประสานกันเป็นรูปกากบาท แสดงให้เห็นว่าดาบอีกเล่มที่เพิ่งถูกดึงออกมามีขนาดที่สั้นกว่า นางิสะและฟูจิตั้งท่าพร้อมจะที่จะต่อสู้ ทายาทนักดาบเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาก่อน ฟูจิคว้าแขนขวาของคิซารุที่ถือดาบยาวไว้ อีกด้านหนึ่งนางิสะเตะต่ำเข้าที่ขาของคิซารุเพื่อจะให้เสียหลักและถูกฟูจิจับทุ่มลงไป แต่นั่นกลับไม่เป็นผล ฟูจิรีบปล่อยคิซารุเพราะดาบสั้นในมือซ้ายของชายผมเทากำลังถูกเหวี่ยงเข้ามา ส่วนนางิสะก็ถูกคิซารุหมุนตัวเตะใส่ โชคดีที่เธอป้องกันไว้ได้
“เข้ามาพร้อมกันแบบนี้ก็ทำให้ผมลำบากใจได้เหมือนกันนะครับเนี่ย”
สองนักเรียนจากฮิริวไม่รอต่อปากต่อคำ ทั้งคู่พุ่งเข้าไปจู่โจมอีกครั้ง ดาบทั้งสองในมือคิซารุเหวี่ยงไปมาอย่างบ้าคลั่ง ฟูจิโดนดาบไม้ฟาดเข้าที่หน้า ส่วนนางิสะถูกฟาดเข้าที่ชายโครง ดาบไม้ทั้งสองเล่มในมือคิซารุเตรียมจะสำเร็จโทษ แต่สองนักเรียนฮิริวยังไวพอที่หลบออกไปได้ก่อน
ฟูจิเลียริมฝีปากที่ดูเหมือนจะได้เลือดหลังจากที่โดนดาบเมื่อครู่ ส่วนนางิสะท่าทางจะเจ็บชายโครงอยู่นิดหน่อย ฟูจิคลายเนกไทและถอดเสื้อนอกชุดนักเรียนของตนออก เขาเสยผมสีดำที่ปรกหน้า เผยให้เห็นสีหน้าและแววตาที่เปลี่ยนไปจากปกติโดยสิ้นเชิง ซึ่งสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ขนาดนางิสะเองยังรู้สึกขนลุก แต่คิซารุกลับดูพอใจที่เห็นฟูจิเป็นแบบนั้น
“เริ่มปะทุแล้วสินะครับ ภูเขาไฟแห่งฮิริว”
“ฉันเกลียดชื่อนั้น”
ไม่ทันขาดคำ ฟูจิก็พุ่งเข้าไปหาคิซารุด้วยความเร็วสูง จนชายผมเทารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองลงไปกองกับพื้นซะแล้ว ฟูจิจับแขนขวาของคิซารุแล้วล็อคเอาไว้ที่ระหว่างขาของตัวเองในลักษณะคล้ายไม้กางเขน ความเจ็บปวดไหลเวียนไปที่แขนข้างนั้นของคิซารุอย่างรวดเร็วจนทำให้ดาบไม้หลุดจากมือ
“จูจิกาตาเมะ!”
นางิสะพูดขึ้นเมื่อเห็นกระบวนท่าดังกล่าวของฟูจิ นั่นคือหนึ่งในท่าจับล็อคพื้นฐานของวิชายูโดนั่นเอง คิซารุกลับมาได้สติหลังจากที่ดูเหมือนเมื่อครู่จะตกตะลึงกับความรวดเร็วที่เล่นงานเขาแบบไม่รู้ตัว เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มียกร่างของฟูจิขึ้นทั้งๆที่ถูกล็อคอยู่อย่างนั้น ชายผมเทาฝืนความทรมานอันแสนสาหัสราวกับแขนขวาจะหลุดจากร่างแล้วจับร่างของฟูจิฟาดลงกับพื้นจนอีกฝ่ายต้องปล่อย
คิซารุที่ยังหลงเหลือความเจ็บปวดที่แขนขวาแถมยังเหลือดาบเพียงแค่มือซ้ายถูกนางิสะเตะเข้าที่ขมับขวาอย่างที่ไม่สามารถป้องกันได้ทัน ทายาทนักดาบเหวี่ยงดาบไม้ที่เหลือเพียงข้างเดียวสวนกลับไป แต่เพราะดาบข้างที่เหลือเป็นดาบสั้นทำให้ระยะหวังผลลดลง นางิสะจึงหลบได้อย่างสบายๆและซัดลูกเตะเข้าที่ก้านคอฝั่งซ้ายของคิซารุ ชายผมเทายังไม่ล้มและพยายามสวนกลับไปอีกด้วยดาบเล่มเดิม คราวนี้เป็นฟูจิที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่จับแขนข้างนั้นของคิซารุแล้วจับทุ่มข้ามหัวไหล่อย่างง่ายดาย
ทว่าแผ่นหลังของคิซารุกลับไม่ได้สัมผัสพื้นแต่กลายเป็นกระแทกเข้ากับเข่าของนางิสะที่ซัดเข้ามา ซึ่งปกติการถูกทุ่มลงพื้นธรรมดาก็ถือว่าเจ็บพอตัวอยู่แล้ว แต่นี่เป็นหัวเข่าซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอาวุธที่อันตรายของร่างกายมนุษย์ ส่งผลให้ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
นางิสะและฟูจิต่างยิ้มให้กับการจู่โจมแบบทีมเวิร์คโดยมิได้นัดหมายเมื่อสักครู่ แต่คิซารุก็ยังไม่หมดสภาพ เขาลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือไปหยิบดาบไม้ที่ตกอยู่บนพื้นในตอนแรกขึ้นมา ทำให้อาวุธของเขากลับมาครบมืออีกครั้ง แต่ดูจากท่วงท่าการยืนของชายผมเทาแล้ว แสดงให้เห็นว่าการโดนเล่นงานเมื่อครู่ทำให้คิซารุเสียศูนย์ไปพอสมควรเลยทีเดียว
“ผมคือลูกหลานของนักดาบมิยาโมโตะ มูซาชิผู้ไร้พ่าย”
น้ำเสียงของคิซารุบ่งบอกว่าสติของเขาใกล้จะดับวูบเต็มทน น้ำลายปนเลือดที่ไหลออกมาจากปากเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าร่างกายของเขาใกล้จะถึงขีดสุด
“ดังนั้นผมไม่มีทางแพ้เป็นอันขาด!”
คิซารุคำรามและใช้แรงเฮือกสุดท้ายวิ่งพรวดเข้าหาสองนักเรียนฮิริว ด้วยสภาพของคิซารุที่ร่อแร่เต็มทนทำให้การเคลื่อนไหวของเขาสะเปะสะปะและเกิดช่องโหว่มากมาย ฟูจิจึงขยับตัวเข้าไปแล้วเสยร่างของคิซารุที่วิ่งเข้ามาจนลอยขึ้นเหนือพื้น
นางิสะไม่ต้องรอให้ฟูจิบอกจัดการหมุนตัวหนึ่งรอบครึ่งแล้วใช้หลังเท้าฟาดเข้าใส่ใบหน้าของคิซารุที่ลอยกลางอากาศอย่างแม่นยำ ร่างของชายผมเทากระแทกลงบนพื้นและแน่นิ่งไปทันที เหมือนว่าเขาจะสลบเหมือดตั้งแต่ที่โดนนางิสะเตะกลางอากาศแล้ว เมื่อนางิสะกับฟูจิเห็นว่าคิซารุจะไม่ลุกขึ้นมาอีก สองนักเรียนฮิริวจึงหอบแฮ่กด้วยความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อสักครู่
“ขอบคุณมากนะคะรุ่นพี่ที่มาช่วย ฉันคิดว่าคนเดียวจะเอาอยู่แท้ๆ”
นางิสะโค้งตัวขอบคุณ
“แล้วชินสุเกะคุงเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ไม่มีอะไรน่าห่วง อาจารย์ห้องพยาบาลลองตรวจดูคร่าวๆแล้ว ดูท่าทางจะไม่บาดเจ็บถึงข้างใน แต่คงต้องให้ไปตรวจอีกทีโดยละเอียดที่โรงพยาบาลเพื่อความแน่ใจ”
เมื่อนางิสะได้ยินดังนั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“รู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้ก็ไม่น่าทำแบบนั้นเลย เล่นเอาเป็นห่วงแทบแย่”
“ก็ไม่รู้สินะ สำหรับฉันแล้ว ในฐานะนักสู้โทโมโนริอาจจะสอบตก แต่ในฐานะลูกผู้ชายฉันว่าสอบผ่านฉลุยเลยล่ะ”
นางิสะได้ยินก็ได้แต่ยิ้มๆกลับไป
“ยังไงตอนนี้ก็พอจะแน่ใจได้ว่าสถานการณ์อาจจะสงบได้สักพัก แต่มันยังไม่จบแค่นี้แน่นอน”
ฟูจิพูดขึ้นแล้วหันไปทางคิซารุที่นอนสลบเหมือดอยู่ แต่ชายผมเทาที่ควรจะนอนอยู่ตรงนั้นกลับอันตรธานหายไปเสียแล้ว ฟูจิขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นประตูห้องชมรมยูโดที่ดูเหมือนเพิ่งมีคนเปิดออกไปหมาดๆก็พอจะทำให้รู้ว่าคิซารุหายไปไหน
“ยังลุกไหวอยู่สินะ เจ้านั่น”
ฟูจิพึมพำเบาๆ แม้ศัตรูจะหนีไปได้แต่เขาไม่คิดจะตามไปแต่อย่างใด
“คุณไซโต้ เธอโอเคใช่ไหม?”
“ค่ะ แต่ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ ก็ทำให้ฉันได้เข้าใจอะไรได้บางอย่างนะคะ”
“?”
“ความสามารถที่ฉันมีบีบบังคับให้ฉันต้องเดินอยู่บนเส้นทางนี้ แม้ว่าฉันกำลังแสวงหาชีวิตที่สงบสุขอยู่ก็ตามที แต่การต่อสู้เพื่อปกป้องเพื่อนพ้อง มันก็ไม่เลวร้ายนักหรอกค่ะ”
นางิสะหันไปทางฟูจิพร้อมยิ้มกว้างแล้วกล่าวขึ้นมา
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะต่อสู้ต่อไป และสักวัน ฉันจะหยุดสงครามนี้ลงให้ได้ด้วยมือของฉันเอง”
----------------------------------------------------
เด็กสาวคนหนึ่งเดินอยู่ภายใต้ร่มสีดำ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย เธอพยายามก้าวขาอย่างนิ่มนวลที่สุดเพราะไม่อยากให้น้ำที่อยู่บนพื้นกระเด็นใส่ หลังจากที่เดินไปได้ไม่นานเธอก็เห็นชายคนหนึ่ง ทั้งตัวของเขาเปียกปอน โดยเฉพาะผมสีเทาของเขาที่เปียกลู่จนปรกหน้าและแทบจะมองไม่ออกว่าเป็นใคร แต่เด็กสาวเหมือนจะรู้จักเขาจึงพยายามเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้และกล่าวทักขึ้น
“คุณมิยาโม-”
ทว่าชายผมเทาตรงหน้ากลับเดินผ่านเธอไปราวกับว่าเธอไม่มีตัวตน เด็กสาวอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นเพราะยังพูดไม่จบ เธอมองตามชายผมเทาที่เดินหายไปในม่านฝนด้วยความไม่เข้าใจ ระหว่างนั้นสายตาของเธอก็หันไปเห็นสถานที่ที่ชายผมเทาเดินออกมา ป้ายบอกชื่อของสถานที่นั้นถูกระบุไว้อย่างชัดเจน นั่นทำให้แววตาของเด็กสาวเปลี่ยนไป เธอกัดฟันแน่นและเค้นเสียงผ่านไรฟันอย่างเย็นยะเยือกเฉกเช่นเดียวกับสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมา
“พวกฮิริวสินะ...”