เท็ตซึยะ ฮายาเตะ นั่งมองเด็กสาวที่อยู่ในรูปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาพลิกรูปถ่าย ข้างหลังรูปถูกเขียนด้วยปากกาเคมีสีดำว่า ‘ไซโต้ นางิสะ’ ซึ่งนั่นคงเป็นชื่อของเธอ
วันนี้เขายังคงใช้เวลาว่างในยามเย็นอ่านในหนังสือที่หอสมุดประจำเมืองเช่นเคย แต่ทว่าสมาธิของเขาในตอนนี้กลับไม่ได้อยู่ที่หนังสือตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เขาได้แต่มองรูปถ่ายในมือด้วยความรู้สึกสับสน กับสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
“ฮายาเตะคุง? วันนี้ก็มาหรอ?”
เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนสีเขียวทำให้ฮายาเตะรีบเก็บรูปถ่ายใส่กระเป๋าเสื้อ เธอเอียงคอสงสัยเมื่อเห็นเขาทำแบบนั้น ก่อนที่จะเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงข้าม พร้อมวางหนังสือสองสามเล่มที่เธอถือมาไว้บนโต๊ะ
“ดูอะไรอยู่หรอ? รูปแฟนแน่ๆเลย”
“เปล่า”
“แหม... ปฏิเสธเสียงเรียบแบบนี้ก็แกล้งไม่สนุกกันพอดีสิ”
เด็กสาวพูดแล้วหัวเราะคิกคัก พลางขยับแว่นตาและเสยผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนของเธอ พอเห็นฝ่ายตรงข้ามทำหน้าตาเหมือนคนอมทุกข์ เธอก็หุบยิ้มแล้วถามขึ้น
“ดูไม่ร่าเริงเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า?”
“เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้เรียนหนักน่ะ”
“ขยันจังน้า ว่าแต่เมื่อไหร่ฮายาเตะคุงจะบอกสักทีว่าเธอเรียนที่ไหน?”
“อะ... เอ่อ... เรียนอยู่แถวนี้แหละ”
“ตอบแบบนี้อีกแล้ว ฉันหมายถึงชื่อโรงเรียนน่ะ”
“ขอโทษนะ ฉันคงบอกไม่ได้จริงๆน่ะ”
นั่นเป็นคำถามง่ายๆแต่ฮายาเตะกลับดูลำบากใจที่จะตอบ ทำให้เด็กสาวมองเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายเธอก็ยิ้มแบบไม่ถือสา
“งั้นหรอ... ไม่ต้องขอโทษก็ได้ เอางี้ละกัน ตอนฮายาเตะคุงเลิกเรียนก็มาหาฉันที่ฟุโซบ้างก็ได้นะ ฉันเรียนอยู่ห้อง 1-A เราสองคนจะได้มาอ่านหนังสือที่นี่พร้อมกันไง”
ฮายาเตะพยักหน้าเล็กๆ เด็กสาวหยิบหนังสือที่เธอวางไว้ตอนแรกมาเปิดอ่าน ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มมองเห็นภาพซ้อนของเด็กสาวอีกคนหนึ่งผู้มีผมสีทองและผูกโบว์สีแดงดูเด่นสะดุดตา ภาพของไซโต้ นางิสะ เด็กสาวที่อยู่ในรูปถ่าย
ทั้งๆที่ฮายาเตะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับเธอมาก่อน แม้กระทั่งรู้จักก็ยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่เขาถูกบีบบังคับให้ต้องทำร้ายเธอ เพื่อปกป้องเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า ฮามะคาเซะ ชิโฮะ
ฮายาเตะกำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต แม้เขาจะเคยอัดคนอื่นจนคว่ำมานับไม่ถ้วน แต่เขานั้นเกลียดการต่อสู้ จริงอยู่ว่าเขาจำใจต้องทำในสิ่งที่คิซารุบอกเพื่อปกป้องฮามะคาเซะ ชิโฮะ แต่ไซโต้ นางิสะ ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดถึงต้องถูกเขาทำร้าย
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าหากชิโฮะรู้เรื่องนี้เข้าจะรู้สึกอย่างไร เธอจะเกลียดเขาหรือเปล่า หรือว่าเขาควรจะบอกเรื่องนี้กับเธอตรงๆ
“เอ่อ... ชิโฮะจัง”
“อื้ม ว่าไง?”
ฮายาเตะกำลังจะอ้าปากเพื่อพูดในสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ แต่จิตใต้สำนึกของเขากลับบอกให้หยุด ชิโฮะซึ่งกำลังรอฟังในสิ่งที่เขาพูดจึงมองอย่างสงสัย แม้โดยปกติบรรยากาศในหอสมุดมักจะเงียบอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ฮายาเตะกลับรู้สึกว่ามันเงียบยิ่งกว่าเดิมซะจนน่าอึดอัด ทำให้สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดขึ้น
“อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
“แปลกคน”
ชิโฮะขำนิดๆแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ฮายาเตะยิ้มตอบไปตามน้ำ เด็กหนุ่มมองไปยังเด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องเลยว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ เหมือนชิโฮะจะรู้ว่าถูกมองอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนที่จะส่งยิ้มให้ฮายาเตะ
ฮายาเตะกำหมัดและเม้มปากแน่น ดูเหมือนว่ารอยยิ้มอันแสนร่าเริงของชิโฮะจะทำให้เขาจะตัดสินใจได้แล้วว่าเขาควรจะทำยังไง
----------------------------------------------------
“โอเค พอแค่นี้ก่อน”
ประธานมาคินะในชุดพละตบมือเป็นสัญญาณเลิกฝึก วันนี้ประธานสาวทรงโตยังคงใช้โรงยิมเป็นสถานที่ฝึกให้กับสมาชิกชมรมทั้งสองอย่างชินสุเกะกับนางิสะ และยังคงไร้วี่แววของรองประธานเช่นเดิม สำหรับบทเรียนในวันนี้คือท่าพื้นฐานต่างๆที่ใช้ในวงการมวยปล้ำ ทั้งท่าจับล็อครวมไปถึงท่ารวบกดจากด้านหลัง
สมาชิกชมรมทั้งสองลงมาจากเบาะนวม ก่อนที่จะช่วยกันเก็บเบาะนวมนั้นเข้าที่เดิม เมื่อเสร็จเรียบร้อยทั้งคู่ก็เดินมานั่งพักเพื่อดื่มน้ำหลังจากที่เสียเหงื่อไปจากการฝึกพอสมควร โดยที่มีประธานมาคินะซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นชุดนักเรียนยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ตอนฝึกรวบกดชินสุเกะคุงยังดูเกร็งๆนะ”
“งั้นหรอครับ? ขอโทษครับประธาน”
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะท่ารวบกดด้านหลังจำเป็นต้องสัมผัสบริเวณขาอ่อนของฝ่ายตรงข้าม ชินสุเกะที่เป็นผู้ชายต้องถึงเนื้อต้องตัวนางิสะที่เป็นผู้หญิงขนาดนั้นจะรู้สึกเกร็งบ้างก็ไม่แปลกอะไรนัก
“ฉันเข้าใจว่านายไม่อยากแตะตัวผู้หญิง เพราะนายชอบผู้ชายนี่นะ”
“หา!?”
ชินสุเกะหันควับไปมองนางิสะที่ทำเนียนเป่าผิวปากเหมือนไม่รู้เรื่องทันที
“ฟังมาจากนางิสะจังสินะครับ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดครับ”
“อ้าวหรอ? โทษทีละกัน แต่ยังไงสมัยนี้คนเค้ายอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศกันแล้วนะ ถ้าเป็นจริงๆก็ไม่ต้องปิดบังล่ะ เอาล่ะ เลิกชมรมแค่นี้”
ประธานมาคินะคว้ากระเป๋าแล้วเดินจากไป ชินสุเกะกับนางิสะก้มโค้งให้ พอประธานไปแล้วชินสุเกะก็หันไปมองนางิสะด้วยอารมณ์ประมาณว่าเราสองคนมีเรื่องต้องเคลียร์กัน
“ไหนเธอบอกว่ายังไม่ได้บอกใครไง?”
“กะ... ก็แค่บอกประธานมาคินะไปคนเดียวเอง”
“แน่ใจนะ ถ้าเธอไปบอกคนอื่นล่ะก็มีหวังคนทั้งโรงเรียนได้เข้าใจผิดกันหมด แบบนั้นฉันตามแก้ข่าวไม่ไหวแน่”
“น่าๆอย่าซีเรียสสิ”
“ไม่ให้ซีเรียสได้ไงเล่า ถูกเข้าใจผิดว่าชอบผู้ชายแบบนี้ ทั้งที่จริงๆแล้วฉันชอบเธ-”
“หืม?”
เมื่อชินสุเกะเกือบจะหลุดปากพูดอะไรบางอย่างออกไปเขาก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอก รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านกันเถอะนะ”
เด็กหนุ่มรีบคว้ากระเป๋าแล้วเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชายทันที นางิสะจึงมองตามไปแบบงงๆแต่ก็ดูไม่ได้ใส่ใจอะไร ก่อนที่จะหันไปคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน ไม่นานนักทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและอยู่ในชุดนักเรียนตามเดิม
“ได้ยินเสียงอะไรไหม? เหมือนเสียงฝนตก”
ชินสุเกะทักขึ้น แล้วเดินไปเปิดประตูโรงยิม ก็พบว่าข้างนอกนั้นฝนเริ่มเทลงมา แม้จะไม่ถึงกับตกหนักมาก แต่จะให้เดินออกไปตัวเปล่าคงไม่ดีท่าไหร่
“พยากรณ์อากาศไม่มีพลาดจริงๆ ดีนะที่เอาร่มมา”
นางิสะกางร่มที่พกมาด้วยแล้วเดินออกจากโรงยิม เธอหันกลับไปมองชินสุเกะก็พบว่าเขาไม่ได้ตามออกมา และเหมือนกำลังจะมองหาอะไรบางอย่างอยู่แต่หาไม่เจอ
“แย่ล่ะ สงสัยจะลืมร่มไว้ทีห้องเรียนแน่เลย รอแปปนึงนะ เดี๋ยวฉันมา”
ชินสุเกะพูดขึ้นแล้วใช้กระเป๋าของตัวเองเป็นที่บังฝนชั่วคราวก่อนที่จะวิ่งกลับไปยังตึกเรียน ส่วนทางนางิสะก็หุบร่มลงแล้วเดินกลับเข้าไปหลบฝนที่หน้าประตูโรงยิมเพื่อรอชินสุเกะ ระหว่างนั้นเธอก็มองไปรอบๆ ก่อนที่จะไปสะดุดตากับเด็กหนุ่มผมทองคนหนึ่งซึ่งเดินก้มหน้าตากฝนใกล้เข้ามา จนกระทั่งมายืนอยู่ตรงหน้านางิสะ เขาจึงเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีสวมแว่นสายตา แม้ทรงผมของเขาจะเปียกลู่ไม่เป็นทรงแต่ก็ยังดูดี ทำเอาเด็กสาวรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย
“ไซโต้ นางิสะใช่ไหม?”
“เอ๋? ใช่ค่ะ”
ปั่กทันทีที่นางิสะตอบออกไป เธอก็ต้องรีบยกแขนขึ้นมาป้องกันเมื่อเด็กหนุ่มนิรนามตรงหน้ายิงหมัดเข้าใส่เธออย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ทันได้ตั้งตัวแต่ด้วยสัญชาตญาณนักสู้ทำให้เธอป้องกันการจู่โจมนั้นได้อย่างทันท่วงที นางิสะรีบถอยห่างออกมาโดยที่ยังมีคำถามมากมายอยู่ในหัว แต่เธอก็ทำได้แค่ส่งสายตาตั้งคำถามไปยังเด็กหนุ่มอันตรายตรงหน้าเท่านั้น
“นี่คุณทำอะไรของ-”
ปั่กหมัดที่สองจากเด็กหนุ่มนิรนามพุ่งตามมา นางิสะก็ยังคงป้องกันได้แต่ร่างของเธอก็ถึงกับเซไปตามแรงหมัดจนเสียการทรงตัวและจำเป็นต้องย่อตัวเพื่อไม่ให้ล้ม ทันใดนั้นหมัดที่สามก็ตามมาอีกทำให้เด็กสาวต้องกลิ้งตัวหลบออกมาเพราะไม่สามารถยกแขนป้องกันได้ทันในสภาพนี้ ทำให้นางิสะเปียกปอนไปทั้งตัวแทบจะในพริบตาเพราะออกมาอยู่ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาจริงๆด้วย”
“นี่คุณพูดอะ-”
นางิสะชะงักเมื่อเด็กหนุ่มนิรนามตรงหน้าค่อยๆถอดแว่นสายตาที่มีแต่เม็ดฝนเกาะอยู่บนเลนส์เต็มไปหมดออกแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ เผยให้เห็นแววตาอันว่างเปล่าที่มองมาราวกับไร้ชีวิตจิตใจ นั่นทำให้เธอขนลุกซู่ไปทั้งตัวอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก เย็นยะเยือกซะยิ่งกว่าสายฝนที่กระทบตัวของนางิสะอยู่เสียอีก
“ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้... แต่ช่วยล้มลงไปกองทีเถอะ”