ไซโต้ นางิสะ หลบหมัดของเด็กหนุ่มนิรนามโดยไม่ตอบโต้
ไม่ใช่เพราะว่าเธอตอบโต้ไม่ได้ แต่เพราะสมองของเด็กสาวไม่สามารถประมวลผลได้ทันว่าควรจะทำอย่างไรเนื่องจากถูกจู่โจมอย่างกะทันหันและไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งนางิสะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าเป็นใคร และทำแบบนี้กับเธอทำไม เธอจึงไม่อยากจะตัดสินใจตอบโต้กลับไปจนกว่าจะได้คำตอบในสิ่งที่ตัวเองสงสัย
“คุณเป็นใครกันแน่? แล้วคุณทำแบบนี้ทำไม?”
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่นางิสะถามออกไป เธอพยายามถามหลายครั้งแต่ก็มีเพียงหมัดของเด็กหนุ่มที่พุ่งตรงมาครั้งแล้วครั้งเล่าแทนคำตอบ ก็ไม่รู้ว่าเขาไม่ได้ฟังหรือไม่อยากตอบกันแน่
“พูดอะไรสักอย่างสิ!”
นางิสะถามย้ำอีกครั้งแม้จะไม่มั่นใจว่าจะได้คำตอบ แต่ดูเหมือนว่าการถามออกไปในครั้งนี้จะเป็นผลเมื่อเด็กหนุ่มนิรนามหยุดชั่วขณะ แล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เท็ตซึยะ ฮายาเตะ”
“นั่นชื่อคุณหรอ?”
ยังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรมากกว่านี้นางิสะก็ถูกเด็กหนุ่มสาวหมัดเข้าใส่อีกชุด เพราะคำตอบของเขาทำให้การตั้งรับของเด็กสาวหละหลวมชั่วครู่จึงมีหมัดหนึ่งถากแก้มข้างขวาของเธอไปเล็กน้อย แต่ทว่ามันกลับสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอมากกว่าที่ควรจะเป็นจนนางิสะถึงกับรีบถอยห่างออกมา
เด็กสาวกุมแก้มขวาที่ถูกหมัดเมื่อสักครู่ก็พบว่ามีของเหลวสีแดงติดมือมาด้วย นั่นทำให้เธอถึงกับตาเบิกโพลง นางิสะมองเลือดบนมือกับเด็กหนุ่มตรงหน้าสลับกันไปมา ก่อนที่เธอจะกำมือข้างนั้นแน่นจนเกิดเสียงข้อนิ้วดังลั่น
“คุณเท็ตซึยะ ฮายาเตะ ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่า ทำไมคุณถึงได้ทำแบบนี้กับฉัน”
นางิสะพูดพลางใช้หลังมือเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากแก้ม
“ฉันไม่ชอบการต่อสู้ และฉันไม่อยากทำร้ายใครตราบใดที่ไม่มีเหตุผลมากพอ แต่ถ้าคุณไม่พูดอะไรและยังไม่หยุดทำแบบนี้ ฉันก็จะขอโต้กลับเพื่อความปลอดภัยของตัวฉันเอง”
เมื่อพูดจบนางิสะก็เปลี่ยนจากฝ่ายตั้งรับเป็นฝ่ายรุกทันที เหมือนทางฮายาเตะเองก็รู้จึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งรับบ้างแล้วหลบหมัดของเด็กสาว ก่อนที่จะสวนกลับไปด้วยหมัดเช่นกัน นางิสะรีบหลบแล้วถอยฉากออกไปอย่างหวาดระแวง คงเพราะความเจ็บปวดจากหมัดดังกล่าวยังคงติดอยู่ในความรู้สึก เธอจึงไม่อยากเสี่ยง
หมอนี่หมัดหนักสุดๆ... เมื่อกี้แค่โดนเฉียดๆเราถึงกับเลือดออก หมัดหนักขนาดนี้คงจะเป็นพวกนักมวยสากลสินะ ถ้างั้นก็ต้องเล่นงานที่ขา...นางิสะคิด แล้วพุ่งเข้าไปจู่โจมเข้าที่ส่วนขาของฮายาเตะทันที แต่แล้วนางิสะก็รู้สึกถึงแรงกระแทกหนักๆเข้าที่ต้นคออย่างจังจนแทบล้มทั้งยืน เธอเซถอยไปข้างหลังแต่ก็พยายามทรงตัวด้วยเรี่ยวแรงที่ยังเหลืออยู่ ภาพที่พร่ามัวตรงหน้าคือฮายาเตะที่ยกขาขวาค้างไว้
ไม่ใช่แค่หมัด... หรือว่าจะเป็น คิกบ็อกซิ่ง!?“โดนเดม่อนคิกเข้าไปเต็มๆขนาดนั้นแล้วยังยืนได้อีกงั้นหรอ?”
ฮายาเตะเปรยขึ้นมาลอยๆในขณะที่นางิสะนั้นแข้งขาอ่อนจนแทบยืนไม่ไหว จนสุดท้ายเธอก็ต้องทรุดลงไปตามสภาพ สติของเด็กสาวใกล้จะเลือนรางเข้าไปทุกที เด็กหนุ่มจึงก้าวเข้ามาใกล้นางิสะอย่างช้าๆอย่างไม่รีบร้อนเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามใกล้หมดสภาพ
“ผมขอโทษ”
ก็ไม่รู้ว่าคำขอโทษของฮายาเตะจะส่งไปถึงนางิสะหรือเปล่า และไม่รู้ว่าเขาขอโทษด้วยเหตุผลอะไร แต่ที่แน่นอนคือเขากำลังจะจบเกมนี้โดยที่นางิสะทำได้แค่เพียงรอคอยความพ่ายแพ้เท่านั้น
สิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นและได้ยินก่อนที่ประสาทสัมผัสทั้งหลายกำลังจะหยุดทำงาน คือสีหน้าที่เรียบเฉยของฮายาเตะที่ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และเสียงแหวกอากาศจากลูกเตะของเขาที่เหวี่ยงเข้ามา
“นางิสะจัง!! นั่นแกทำอะไรของแก!?”
ขาข้างขวาของฮายาเตะหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเมื่อได้ยินเสียงนั้น นางิสะรู้จักเจ้าของเสียงนั้นดีทำให้สติของเธอกลับคืนมาชั่วขณะ เด็กสาวหันไปทางชินสุเกะซึ่งเดินมาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าพอดี เขาทิ้งร่มในมือก่อนที่จะรีบวิ่งตากฝนตรงเข้ามาอย่างไม่คิด ภาพที่เห็นนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างสะกิดให้นางิสะต้องรีบร้องห้ามเขา
“อย่านะ!!”
ปั่ก!!!เสียงร้องห้ามของนางิสะดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงลำแข้งของฮายาเตะที่กระแทกเข้าที่ต้นคอของชินสุเกะในรูปแบบเดียวกับที่เด็กสาวเคยโดน เพียงแต่ชินสุเกะนั้นไม่อาจต้านทานความรุนแรงของลูกเตะนั้นได้จึงล้มลงกระแทกพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนทันที ท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงสุดขีดของนางิสะ ที่สติสัมปชัญญะแทบจะกลับคืนมาเต็มร้อยทั้งๆที่เมื่อครู่นี้แค่ยืนยังแทบทำไม่ไหว เธอตะโกนเรียกชื่อชินสุเกะและตะเกียกตะกายเข้าไปประคองร่างของเขา โดยมีฮายาเตะยืนมองอยู่นิ่งๆ
“เดม่อนคิกแค่ทำให้สลบไปเท่านั้น ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
นางิสะไม่สนใจคำพูดของฮายาเตะ เธอกัดฟันกรอดในขณะที่ค่อยๆปล่อยร่างของชินสุเกะลงบนพื้นช้าๆ แล้วคว้าร่มที่เขาทิ้งไว้เมื่อครู่มากางไว้ใกล้ๆร่างของชินสุเกะที่นอนหมดสติเพื่อบังฝนให้เขา ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและส่งสายตาอันเคียดแค้นประสานเข้ากับสายตาอันเย็นชาของฮายาเตะ
“กล้าดียังไงมาทำร้ายเพื่อนคนสำคัญของฉัน”
นางิสะพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
“จำที่ฉันพูดได้ไหมว่าถ้าไม่มีเหตุผลฉันจะไม่ทำร้ายใคร... แต่ตอนนี้มีแล้วล่ะ”
เพียงพริบตาเดียวฮายาเตะก็ถูกซัดด้วยหมัดเข้าที่หน้าท้องจนตัวงอ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเมื่อเห็นนางิสะเข้าประชิดตัวด้วยความเร็วในแบบที่เขาเองยังมองแทบไม่ทัน ทั้งๆที่เมื่อครู่เธอแทบจะหมดสภาพไปแล้วแท้ๆ
ก่อนที่หมัดชุดหนึ่งจะซัดตามมาติดๆเข้าที่ใบหน้าของฮายาเตะไม่ยั้ง ทุกหมัดต่างเข้าเป้าและหนักหน่วงราวกับเป็นการระบายความแค้นที่สั่งสมเอาไว้ จังหวะสุดท้ายฮายาเตะโดนเสยเข้าที่ปลายคางจนตัวลอยและล้มกลิ้งไปตามพื้นอย่างหมดท่า
“แค่นั้นยังไม่สาสมกับที่คุณทำกับเพื่อนของฉัน”
ฮายาเตะรีบสปริงตัวแล้วตีลังกากลับหลังเมื่อนางิสะพุ่งเข้ามาซ้ำ เขารีบปัดป้องการโจมตีที่ตามมาอีกชุดของเด็กสาว แล้วคว้าขาข้างขวาของเธอที่เหวี่ยงเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร ขาซ้ายข้างที่ว่างอยู่ของนางิสะก็ฟาดเข้าที่ขมับของฮายาเตะทั้งๆที่ขาข้างขวาของเธอยังถูกจับไว้จนเด็กหนุ่มเริ่มเสียศูนย์
เมื่อเห็นดังนั้น นางิสะจึงได้โอกาสพุ่งเข้าไปคว้าขาข้างขวาของฮายาเตะจนล้มลงกับพื้น ก่อนที่จะใช้เข่าข้างหนึ่งกดเอาไว้ที่กลางหลังของอีกฝ่าย และจับขาข้างขวาของเขางอไปด้านหลังจนเกือบผิดรูป
ราวกับว่าจะหักขาข้างขวาของฮายาเตะให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
แม้ฮายาเตะจะไม่ได้แสดงอาการออกมาให้เห็น แต่นั่นคงเจ็บไม่ใช่น้อย เขาพยายามใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นและม้วนตัวจนหลุดจากพันธนาการของนางิสะ ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นมาแต่ก็เกือบทรุดเพราะอาการบาดเจ็บที่ขาขวา
“ขาข้างนั้นที่คุณใช้ทำร้ายคนอื่นน่ะ ฉันจะทำให้มันใช้งานไม่ได้อีกเป็นครั้งที่สอง”
คำพูดนั้นไม่น่าจะเป็นเพียงแค่การขู่ เพราะดูจากการกระทำเมื่อสักครู่แล้ว นางิสะตั้งใจให้เป็นแบบนั้นจริงๆ
“ผมก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก แต่ผมจำเป็นต้องทำ”
หลังจากที่เงียบมาตลอด ฮายาเตะก็เริ่มพูดขึ้น
“แล้วมันเรื่องบ้าอะไรกันล่ะ ที่ทำให้คุณต้องมาทำร้ายคนอื่นแบบนี้ ตอบมาสิ!”
นางิสะตะโกนถามอย่างเหลืออด ฮายาเตะเงียบไปสักพักเหมือนสองจิตสองใจที่จะตอบ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมปริปาก
“มิยาโมโตะ คิซารุ”
“ว่าไงนะ!?”
นางิสะถึงกับโพล่งขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อนั้น
“ถ้าผมไม่จัดการกับคุณ ไอ้สวะนั่นข่มขู่จะทำร้ายเพื่อนของผม ผมไม่มีทางให้เด็กผู้หญิงร่าเริงแบบเธอที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยต้องมาเจออะไรแบบนี้”
“นี่คุณโดนหมอนั่นข่มขู่มางั้นหรือ?”
“ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องทำแบบนี้ ขอแค่ทำให้คุณล้มลงไปกองเท่านั้น ผมก็จะปกป้องเธอได้”
“แล้วสิ่งที่คุณทำมันต่างจากมิยาโมโตะตรงไหน! ฉันกับเพื่อนของฉันเกี่ยวอะไรด้วยถึงต้องมาโดนทำร้ายแบบนี้!!”
นางิสะตวาดกลับ
“คุณมีความสามารถในการต่อสู้แท้ๆ แล้วทำไมถึงไม่ใช้ความสามารถนั้นในทางที่ถูก โดยการปกป้องเพื่อนของคุณล่ะ!? ความสามารถในการต่อสู้ มีไว้ปกป้องคนอื่นไม่ใช่รังแกคนอื่น คนที่เป็นนักสู้แบบคุณน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอ?”
ฮายาเตะหยุดชะงัก เหมือนกับว่าคำพูดของนางิสะนั้นได้ทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจของเขา ทั้งๆที่ตัวเขาเองรู้ดีที่สุดว่า เทพปีศาจอย่างเท็ตซึยะ ฮายาเตะ ต่อสู้เพื่อปกป้องคนอื่นเท่านั้น แต่ทำไมเขาถึงกลับมาทำเรื่องโง่เง่าแบบนี้ซะเอง
“ฉันเข้าใจดีค่ะ ว่าคนเรามักจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก จนบางทีก็อาจจะทำเรื่องเลวร้ายลงไปอย่างไม่รู้ตัว”
ฮายาเตะทรุดตัวลงไปอย่างคนหมดอาลัยตายอยากทันทีเมื่อสำนึกได้ว่าตนเองได้ทำในสิ่งเลวร้ายกับนางิสะและชินสุเกะ ความรู้สึกที่อยากปกป้องคนสำคัญทำให้เขาเลือกทางเดินที่ผิดไป แต่สุดท้ายเขาก็ถูกเตือนสติจนกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องอีกครั้ง
“ถ้าคุณคิดว่าทำด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว ฉันก็ยินดีที่ช่วยคุณนะ”
นางิสะเดินเข้ามาใกล้ฮายาเตะแล้ววางฝ่ามือบนบนบ่าของเขา ความรู้สึกต่างๆเริ่มเอ่อล้นจนแสดงออกมาเป็นน้ำใสๆที่ปริ่มอยู่ที่หางตาของฮายาเตะ แม้มันจะถูกสายฝนชะล้างออกไปจนหมด แต่นางิสะก็สัมผัสได้ถึงน้ำตาแห่งความรู้สึกนั้น
ดูท่าทางฮายาเตะจะเข้าใจแล้วว่า เขาควรจะปกป้องเพื่อนของเขายังไง
“คุณไซโต้ นางิสะ...”
“ว่าไงคะ?”
“ได้โปรด... ช่วยผมปกป้องเธอที”
จากนั้นรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเด็กสาว
“ยินดีค่ะ”
----------------------------------------------------
เมื่อลืมตาขึ้นมา ชินสุเกะก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างนุ่มๆที่หนุนศีรษะเขาอยู่
มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนที่เขานอนหนุนตักฮิคาริหลังถูกวางยา แต่มันรู้สึกที่ผ่อนคลายและปลอดภัยมากกว่า เขาพยายามที่จะลุกขึ้น แต่ความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ต้นคอทำให้เขาต้องทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
“ฟื้นแล้วหรอ?”
ชินสุเกะแหงนมองเจ้าของเสียง นางิสะนั่นเอง เธอนั่งอยู่บนม้านั่งและให้เขานอนหนุนตัก พอรู้ว่าตัวเองหนุนตักของนางิสะอยู่ ชินสุเกะก็แทบเด้งขึ้นมาเป็นตุ๊กตาล้มลุก แต่ก็ถูกความเจ็บที่ต้นคอเข้าเล่นงานอีกครั้งจนต้องนอนลงไปอีกรอบ
“นี่! นายเพิ่งโดนเตะสลบมานะ อย่ารีบลุกพรวดสิ”
“ตะ... แต่ฉันนอนหนุนตักเธออยู่นะ”
“ไม่ชอบหรอ?”
“ปะ... เปล่า แต่ว่ามัน...”
“ช่างเถอะน่า”
นางิสะพูดแบบไม่ใส่ใจ ชินสุเกะจึงยอมลงไปหนุนตักนางิสะต่อ แม้ท่าทางเมื่อครู่จะเหมือนไม่อยากจะทำนัก แต่จริงๆแล้วเขาอยากจะอยู่แบบนี้ตลอดไปด้วยซ้ำ
เมฆฝนลอยหายไปจนเกือบหมดเผยให้เห็นท้องฟ้าสดใสในยามเย็นและเสียงนกร้องดังขึ้นเป็นระยะ ชินสุเกะเหมือนจะดีขึ้นแล้วจึงค่อยๆลุกขึ้นมานั่งบนม้านั่ง
“แล้วคนที่สู้กับเธอเมื่อกี้ล่ะ?”
“อ๋อ ไม่ต้องห่วงหรอก มันจบแล้ว”
พอพูดถึงเรื่องการต่อสู้เมื่อครู่แล้ว นางิสะจึงนึกขึ้นได้ว่าเธอมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะพูดกับชินสุเกะ เด็กสาวดูลังเลเล็กน้อย แต่ก็พูดออกไป
“นะ... นี่ ชินสุเกะคุง นายเลิกทำแบบนั้นสักทีได้ไหม”
“แบบนั้น? แบบไหนหรอ?”
“ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยนะ ก็ที่นายชอบเข้ามาปกป้องฉันแล้วโดนซัดจนหมอบทุกทีน่ะสิ”
นางิสะต่อว่า
“นายก็รู้ว่าฉันปกป้องตัวเองได้ เลิกเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้แล้ว ตอนนี้นายยังโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าวันนึงนายไม่โชคดีแบบนี้ล่ะจะทำยังไง!?”
“ก็ฉันอยากปกป้องเธอ”
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันปกป้องตัวเองได้ ฉันเป็นห่วงนายนะ เพราะนายเป็นเพื่อนคนสำคัญของฉัน”
“แต่ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอ”
จู่ๆชินสุเกะก็ตอบกลับทันควันเหมือนคนไม่ได้คิด นางิสะถึงกับอึ้งไปสักพักด้วยความคาดไม่ถึง บวกกับสีหน้าที่ดูจริงจังของชินสุเกะทำให้เธอแทบพูดต่อไม่ออก
“อะ... เอ๋? นะ... นี่นายทำไมถึงพูดแบบนี้!?”
เมื่อตั้งตัวได้เธอก็เริ่มขึ้นเสียงด้วยความโกรธ แต่ความโกรธนั้นกลับพลันหายไปในชั่วพริบตาเมื่อชินสุเกะพูดต่อ
“เพราะฉันอยากเป็นมากกว่านั้น”
ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาการเจ็บแปล๊บที่ต้นคอซึ่งเหมือนจะหายดีก็กลับมาเล่นงานชินสุเกะอีกครั้ง แต่เขาก็ฝืนตัวเองและลุกขึ้นพร้อมหันไปทางนางิสะ ซึ่งมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
“ฉันอยากปกป้องเธอ โดยไม่สนว่าจะโดนซัดจนหมอบสักกี่ครั้ง แต่ฉันก็จะปกป้องเธอให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ในฐานะเพื่อน แต่ในฐานะคนที่สำคัญมากกว่านั้น”
ใบหน้าของชินสุเกะเริ่มแดงก่ำ เด็กหนุ่มหยุดนิ่งสักพักเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าที่ทำอะไรบางอย่าง ความเจ็บปวดที่ต้นคอเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นทุกที แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิกล้มความตั้งใจในการพูดอะไรบางอย่าง ที่สามารถอธิบายความรู้สึกทุกอย่างที่เขามีได้อย่างชัดเจน
“ฉันชอบเธอ”