“ฉันชอบเธอ”
ในที่สุดก็ได้พูดออกไป
ผมเก็บความรู้สึกนี้ไว้มานานพอสมควร
ผมไม่กล้าบอกเธอแม้จะมีโอกาสหลายต่อหลายครั้ง
เพราะไซโต้ นางิสะ คือเพื่อนสนิทของผม ใครหลายคนน่าจะเข้าใจทฤษฎีที่ว่า การก้าวผ่านสิ่งที่เรียกว่า Friend Zone นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากขนาดไหน
ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามคิดเหมือนกับคุณก็โชคดีไป แต่ถ้าเกิดไม่เป็นแบบนั้นขึ้นมา คุณก็อาจจะเสียเพื่อนคนนั้นไปตลอดกาล ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นอย่างหลัง
นั่นคือสาเหตุว่าทำไมผมถึงพยายามเก็บความรู้สึกนั้นไว้ตลอดเวลา และพยายามหยุดเมื่อกำลังพลั้งปากพูดออกไป
แต่วันนี้ผมหยุดตัวเองไม่ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุผลอะไร
เหมือนว่าการที่ได้เห็นนางิสะจังตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง ทำให้ความรู้สึกอยากปกป้องเธอมันเอ่อล้นออกมา และผมอยากที่จะปกป้องเธอไม่ใช่ในฐานะเพื่อน แต่ในฐานะคนที่สำคัญมากกว่านั้น
ทำไมผมถึงได้ชอบนางิสะจังน่ะหรอ? คงต้องย้อนไปตั้งแต่ผมสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเอกชนฮิริว
บอกก่อนเลยว่าผมก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอเธอที่นี่ เพราะเป้าหมายของผมคือการเข้าเป็นสมาชิกชมรมมวยปล้ำของที่นี่ต่างหาก ผมได้รู้จักกับนางิสะจังเพราะเลขที่นั่งสอบของเธอใกล้กับผม ก่อนเข้าห้องสอบทุกคนจะต้องต่อแถวตามเลขที่นั่งสอบ และช่วงเวลานั้นจะมีการให้เตรียมตัวก่อนเข้าห้องประมาณสิบนาที
ผมยังจำคำทักทายครั้งแรกของเธอได้
“สวัสดีค่ะ คุณคนเลขที่ข้างๆ มาพยายามด้วยกันนะ!”
ความจริงเธอไม่ได้ทักทายแค่ผมคนเดียว เธอทักทายคนที่อยู่เลขที่ถัดจากเธอด้วย บางทีเธออาจจะเป็นคนอัธยาศัยดีล่ะมั้ง
ซึ่งตอนนั้นนางิสะจังยังไม่ไว้ผมยาวเท่านี้ และยังไม่ได้ผูกโบว์สีแดง แต่เธอก็ดูน่ารักมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
หลังจากสอบเสร็จผมก็ได้เจอเธอระหว่างทางกลับบ้าน ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ทางกลับบ้านของผมและเธอคือทางเดียวกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมกับเธอรู้จักกันอย่างเป็นทางการ
ตอนที่ผมได้ยินคำว่า ‘แล้วเจอกันนะ’ จากนางิสะจังหลังแยกย้ายเมื่อใกล้ถึงบ้านของตัวเอง ผมก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะเจอเธออีกครั้ง เพราะใช่ว่านางิสะจังจะได้เข้าเป็นนักเรียนของฮิริว ไม่สิ ผมเองก็ใช้ว่าจะได้เข้าเรียนที่นี่เหมือนกัน
แต่เหมือนว่าดวงของผมกับเธอจะสมพงศ์กันจริงๆ เพราะตอนประกาศผลสอบ ผมได้เจอกับนางิสะอีกครั้ง
และผมก็เริ่มชอบเธอก็ตอนที่เธอเดินเข้ามาคว้ามือผมแล้วพูดว่า ‘สำเร็จแล้ว!’ เมื่อเห็นว่าชื่อของเราสองคนอยู่บนกระดานประกาศผล
นั่นอาจเพราะเธอดีใจจนลืมตัวก็ได้จึงทำไปแบบนั้น แต่ทำไงได้ ก็ผมชอบเธอไปแล้ว
ความบังเอิญมันยังไม่จบแค่นั้น เมื่อผมได้รู้อีกว่านางิสะจังอยู่ห้องเดียวกับผม
ตอนนั้นผมรู้สึกดีใจซะยิ่งกว่าตอนที่รู้ข่าวว่านากามูระ ชินสุเกะ เซ็นสัญญากับ WWE เสียอีก
วันนั้นนางิสะจังน่ารักซะยิ่งกว่าตอนที่ผมเจอเธอครั้งแรก เธอไว้ผมยาวขึ้น และหันมาผูกโบว์สีแดง รวมทั้งชุดเครื่องแบบของโรงเรียนฮิริวก็ช่างเข้ากันดีกับเธอเหลือเกิน
หลังจากนั้นผมก็ได้รู้ความลับของนางิสะจังเข้า
“อ๊ะ! ตายจริง ชินสุเกะคุงเองหรอ? ว่าแต่ทำไมแต่ละคนถึงได้นอนสลบอยู่แบบนี้ล่ะเนี่ย ทันป่ะ?”
“ไม่ทันแล้วเจ๊!”
ผมตบมุกนางิสะจังที่พยายามแก้ตัวหลังจากเล่นงานกลุ่มคนนิรนามด้วยท่ากิโยตินโช๊ค
สำหรับผมที่เป็นแฟนพันธุ์แท้มวยปล้ำแล้ว ท่าดังกล่าวคือท่าซับมิสชันที่ใช้ในวงการมวยปล้ำและยังสามารถใช้ในการต่อสู้จริงได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นท่าที่อันตรายท่าหนึ่งเพราะสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามหมดสติหรืออาจจะถึงขั้นโคม่าได้เลย
จากการที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอสามารถใส่ท่าอันตรายกับผู้ชายที่ตัวโตกว่าจนหมดสติได้นั้น นั่นก็หมายความว่า นางิสะจัง ไม่ใช่เด็กผู้หญิงธรรมดา
ผมได้มารู้ทีหลังว่าเธอคือนักสู้หญิง MMA จอมโหดที่รู้จักกันในชื่อ ‘ราชินีปีศาจ’ ผมเองก็เคยได้ยินชื่อนั้นอยู่บ้างแต่ไม่คิดว่าจะเป็นเธอ นางิสะจังปรับทุกข์ให้ผมฟังว่าเธอรามือจากวงการเพราะอยากใช้ชีวิตสงบสุขในฐานะนักเรียน ม.ปลายคนหนึ่ง เพราะคนรอบข้างต่างหวาดกลัวที่เธอเป็นนักสู้ MMA
ทว่าผมที่รู้ความลับของเธอกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น ผมจึงพยายามปลอบใจจนเธอรู้สึกดีขึ้นและสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร
ที่สำคัญคือ คำพูดที่เธอบอกว่าอยากจะมีแฟนแบบคนอื่นเขาบ้าง ทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองขึ้นมาเล็กน้อยว่าบางทีคนๆนั้นอาจจะเป็นผม
แต่พอได้ยินนางิสะจังเรียกผมว่าเพื่อนบ่อยเข้าก็ชักไม่มั่นใจ
เรื่องยังไม่จบเท่านั้นเมื่อได้มารู้อีกว่าโรงเรียนเอกชนฮิริวกำลังอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบกับโรงเรียนคู่อริที่ชื่อเอกชนเซนได นั่นจึงหมายความว่าทั้งผมและนางิสะคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบตามที่ต้องการอีกต่อไป
ใช่ และวันรุ่งขึ้นผมก็โดนอัดจนเกือบช้ำในหลังจากที่เข้าไปปกป้องนางิสะจังจากผู้นำเซนได มิยาโมโตะ คิซารุ โชคดีที่ผมไม่เป็นอะไรมากและมาเรียนได้ตามปกติ
ดูเหมือนว่าดวงผมจะสมพงศ์กับความซวยแทนซะแล้ว เมื่อวันที่ผมเพิ่งกลับมาเรียนวันนั้นก็ต้องถูกมรสุมจากเด็กผู้หญิงที่ชื่อฮิคาริ นักเรียนใหม่ที่ย้ายเข้ามา แต่แท้จริงแล้วเป็นนักเรียนของเซนไดที่พยายามใช้ผมเป็นเครื่องมือในการหลอกล่อนางิสะจังเพื่อแก้แค้น
ถึงผมจะโดนเธอทรมานสารพัดแต่ผมก็ไม่ยอมทำตามข้อเสนอนั้นเป็นอันขาด ผมไม่มีทางหลอกนางิสะจัง ผมจะปกป้องเธอให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และสุดท้ายผมก็รอดมาได้จากความช่วยเหลือของรุ่นพี่ฮาเซกาวะ ถ้าไม่ได้รุ่นพี่ช่วยไว้ล่ะก็คงแย่แน่ๆ
(ส่วนเรื่องที่นางิสะจังเข้าใจผิดว่าผมกับรุ่นพี่เป็นคู่เกย์ไม่ขอพูดถึงก็แล้วกัน)
และเมื่อไม่กี่นาทีมานี้เอง ผมก็เอาตัวเข้าปกป้องนางิสะจังอีกครั้ง…
ผมเองก็จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ว่าโดนอะไรเข้าไป แต่มันเป็นแรงกระแทกที่หนักมากๆจนสติผมดับวูบไป จนตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเจ็บๆอยู่เลย และเมื่อถูกนางิสะจังต่อว่าที่ผมชอบเอาตัวเข้าไปเสี่ยง มันทำให้ผมพลั้งปากพูดในสิ่งที่ผมเก็บเอาไว้ในใจออกไป
“เมื่อกี้นายว่าไงนะ?”
ผมรู้ดีว่าจริงๆแล้วเธอได้ยิน แต่เธอคงอยากจะถามให้แน่ใจ
เปลวเพลิงความกล้าหาญของผมกำลังลุกโชน ผมจึงพูดย้ำไปอีกครั้งได้อย่างไม่ลังเล
“ฉันชอบ...”
จู่ๆอาการเจ็บแปล๊บก็กลับมาอีกครั้งทำให้คำพูดของผมขาดช่วง
ไม่เอาน่า ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้
ความเจ็บปวดทำให้ภาพที่ผมเห็นชักจะเริ่มบิดเบี้ยวจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่แน่ใจคือนางิสะจังน่าจะยังยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่สับสน
เธอคงกำลังรอคำตอบที่ชัดเจนจากผมอยู่
ไม่เอาสิ! ขออีกสักนาทีก็ยังดี ให้ผมได้พูดความในใจออกไปอย่างชัดเจนก่อน ขอให้ผมได้แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นส่งไปถึงเธอจริงๆ
แต่ผมฝืนตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจนผมร้องลั่น
“โอ๊ย!!!”
ชินสุเกะลุกพรวดขึ้นมาจากเตียง
เขามองซ้ายมองขวาด้วยความงงงวยสุดขีด และพยายามตั้งสติก่อนที่จะหันมององค์ประกอบของสถานที่ที่ตัวเองอยู่แบบคร่าวๆ พบว่าที่นี่คือห้องพยาบาลของโรงเรียนเอกชนฮิริวไม่ผิดแน่
แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? ทั้งๆที่เมื่อกี้เขากำลัง...
“ชินสุเกะคุง! เป็นอะไรหรือเปล่า!?”
“อะ... เอ๋?”
ชินสุเกะได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำบนพื้นรัวๆตามมาด้วยเสียงเปิดประตูดังปังเหมือนถูกพังเข้ามา ก่อนที่จะปรากฏภาพของนางิสะที่หน้าตาตื่นเปิดม่านพรวดเข้ามาหาชินสุเกะที่นั่งหน้ามึนอยู่บนเตียงของห้องพยาบาล
“ทำไมทำหน้างงๆแบบนั้น? นี่อย่าบอกนะว่านายโดนเตะจนความจำเสื่อม? นี่จำฉันได้หรือเปล่า!? ฉันนางิสะไง”
“เดี๋ยวๆ ไม่ใช่แบบนั้น”
ชินสุเกะรีบปรามเมื่อเห็นนางิสะมีท่าทีลนลาน ดูท่าเธอจะตกใจเอามากๆที่ได้ยินเสียงร้องของชินสุเกะ จริงๆแล้วความจำเขาไม่ได้เสื่อมอย่างที่เธอว่า แต่เขากำลังจับต้นชนปลายไม่ถูก
ทั้งๆที่เมื่อกี้เขากำลังสารภาพรักกับนางิสะ แล้วทำไมจู่ๆถึงมาอยู่ที่นี่? นั่นคือสิ่งที่เขาอยากจะถาม แต่ถามออกไปไม่ได้
“เอาเป็นว่า คือแบบนี้นะ นายน่ะถูกคุณเท็ดซึยะ เอ่อ... ฉันหมายถึงคนที่สู้กับฉันเมื่อตอนเราสองคนกำลังจะกลับบ้าน เตะจนนายสลบ พอฉันเคลียร์เรื่องคุณเท็ตซึยะเสร็จเขาก็ช่วยฉันพานายมาส่งห้องพยาบาล แต่เห็นนายไม่ฟื้นสักทีคุณเท็ตซึยะเลยขอตัวกลับไปก่อนแล้วฝากขอโทษนายมา ส่วนฉันก็เดินไปส่งคุณเท็ตซึยะ แล้วพอกำลังจะกลับมาหานายก็ได้ยินเสียงนายร้อง ฉันเลยตกใจรีบวิ่งเข้ามา”
“อะ... อ่า”
“เหงื่อนายเต็มไปหมดเลยนะ หรือว่านายจะฝันร้าย?”
“กะ... ก็ประมาณนั้น ละมั้ง”
ฝันงั้นหรือ...? เมื่อกี้เป็นความฝันสินะ...? ชินสุเกะตั้งคำถามกับตัวเองในใจ
พอเริ่มเข้าใจอะไรๆได้เขาก็แอบถอนหายใจเบาๆ
“เรื่องคุณเท็ตซึยะน่ะ ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกนะ ที่เขาทำแบบนั้นไปเพราะความจำเป็น นายอย่าโกรธอย่าแค้นอะไรเลยนะ ทางนั้นบอกว่าถ้าได้เจอนายอีกครั้งจะขอโทษนายด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ฉันขอโทษแทนให้ก่อนแล้วกัน”
“อะ... อืม ไม่เป็นไรหรอก”
“แล้วก็คราวหลังนายเลิกทำตัวบุ่มบ่ามแบบนี้ได้แล้วนะ โชคดีที่ตอนนี้นายยังไม่เป็นอะไรมาก แต่นายโชคดีแบบนี้ไม่ได้ตลอดหรอกนะ”
คำพูดของนางิสะคล้ายกับในความฝันไม่มีผิด
แต่ชินสุเกะเลือกที่จะพยักหน้ารับแบบเงียบๆ
“นายไม่เป็นไรจริงๆใช่ไหม?”
“อะ... อือ”
นางิสะถามย้ำด้วยความเป็นห่วง พอได้ยินชินสุเกะตอบด้วยเสียงในลำคอก็ทำให้เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนต้องการความแน่ใจว่าเขาไม่เป็นไรจริงๆ เมื่อเห็นใบหน้านั้นทำให้ชินสุเกะพลางนึกถึงความฝันเมื่อสักครู่ จนทำให้เขาพยายามหลบตานางิสะโดยที่แก้มแดงนิดๆ เด็กสาวจึงขมวดคิ้วเหมือนไม่เชื่อว่าเขาสบายดีอย่างที่บอก แต่สุดท้ายเธอก็ยื่นหน้ากลับไป
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นฉันลงไปรอข้างล่างนะ เสร็จแล้วรีบๆลงมาล่ะ”
หลังจากนั้นนางิสะก็คว้ากระเป๋าของเธอแล้วเดินออกจากห้องพยาบาลไป แต่สักพักเธอก็เปิดประตูกลับเข้ามาอีกรอบเหมือนลืมอะไรบางอย่าง
“จริงสิ ฉันลืมบอกไปว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นฉันมีนัดกับคุณเท็ตซึยะน่ะ มีเรื่องที่จะต้องไปเคลียร์ต่ออีกหน่อย ไม่ต้องห่วงนะไม่ใช่เรื่องอันตรายอะไรหรอก ถ้างั้นฝากบอกประธานมาคินะด้วยนะว่าพรุ่งนี้ฉันขอลาชมรมหนึ่งวัน”
ชินสุเกะไม่ได้คิดอยากจะถามว่าเรื่องที่นางิสะจะไปเคลียร์คือเรื่องอะไร แต่ถ้าเธอบอกว่าไม่ใช่เรื่องอันตรายก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วง
เขามองประตูห้องพยาบาลที่ค่อยๆถูกปิดลงเมื่อนางิสะออกจากห้องไป เด็กหนุ่มยังคงนั่งครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น
ถ้าฉันมีความกล้าแบบในความฝันบ้างล่ะก็คงดี...
เขาได้แต่หวังว่าความฝันนั้นจะกลายเป็นจริงในสักวันหนึ่ง