“ฮ้า... เอิ๊ก!”
หญิงสาวในชุดซิสเตอร์ดื่มเบียร์กระป๋องอยู่ที่โต๊ะทำงาน
เธอกระดกน้ำเมานั้นเข้าปากแบบไม่สนภาพลักษณ์หรือชุดอันศักดิ์สิทธิ์ที่เธอสวมใส่อยู่เลยแม้แต่น้อย บางทีเธออาจคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะทั้งห้องนั้นมีเธออยู่เพียงคนเดียว
จนกระทั่งประตูห้องเปิดออกพร้อมกับสาวสวยผมยาวสีบลอนด์ที่เดินเข้ามาภายในห้อง เธอตรงไปยังโต๊ะที่ซิสเตอร์ขี้เมานั่งอยู่ทันที พร้อมเท้าสะเอวแบบเหนื่อยใจเล็กน้อย
“โธ่ ซิสเตอร์ เอาอีกแล้วนะคะ บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าดื่มเหล้าที่โรงเรียนน่ะ”
สาวผมบลอนด์พูดขึ้นด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงบริติช
“เบียร์ต่างหากล่ะ”
“ก็เหมือนๆกันนั่นแหละค่ะ”
ซิสเตอร์ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน พร้อมโยนกระป๋องเบียร์เปล่าที่เพิ่งดื่มหมดเฉียดศีรษะของสาวผมบลอนด์ไปนิดเดียว ก่อนที่มันจะลอยไปลงถังขยะที่วางอยู่ข้างหลังของเธอ
“จะทิ้งขยะก็เดินไปทิ้งดีๆสิคะ”
“โธ่เอ้ย แอนนี่ อย่าบ่นเยอะได้ไหม ชักจะเริ่มเหมือนแม่ฉันเข้าไปทุกทีแล้วนะ”
“แล้วก็บอกกี่ครั้งแล้วคะว่าเวลาอยู่ที่โรงเรียนให้เรียกดิฉันว่ามิสแอนน์”
“เอาน่า ตอนนี้เราอยู่กันสองคนนี่ จะไปพูดเป็นทางการให้ปวดหัวทำไมเล่า เธอก็เรียกฉันว่ามาร์กาเร็ตเหมือนทุกทีด้วยสิ”
สาวผมบลอนด์หรือแอนน์ถอนหายใจแบบเอือมๆ ก่อนที่จะคลายท่าทีจริงจังในตอนแรกแล้วเริ่มทำตัวสบายๆ ทางฝั่งซิสเตอร์มาร์กาเร็ตเอื้อมมือไปเปิดตู้เย็นขนาดพกพาที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วหยิบเบียร์ออกมาอีกหนึ่งกระป๋อง
“นี่ มาร์กาเร็ต ดูท่าทางเธอไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้เลยใช่ไหม?”
“แล้วเรื่องอะไรล่ะ?”
มาร์กาเร็ตถามพลางเปิดกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ
“ก็ที่ช่วงนี้มีเด็กนักเรียนหลายคนถูกใครไม่รู้ลอบทำร้ายน่ะสิ เห็นว่าบางรายถึงขั้นแขนขาหักเลยนะ”
“อ๋อ... เรื่องนั้นน่ะหรอ? รู้สิ แอบได้ยินอาจารย์ในห้องเมาท์กันอยู่ ก็คงจะเป็นสงครามสี่เส้าเหมือนทุกทีนั่นแหละ จำสมัยพวกเรายังเป็นนักเรียนที่นี่ไม่ได้หรอ? สี่โรงเรียนนี้ตีกันได้ทุกวันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
“คือ... มันไม่ปกติตรงที่โรงเรียนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามก็ตกเป็นเหยื่อด้วยนี่สิ”
“ว่าไงนะ!? แค่กๆ!!”
มาร์กาเร็ตถึงกับสำลักเบียร์
“ว่าแล้วเชียว คิดถูกจริงๆที่ถ่อมาบอกเธอถึงที่นี่ เพราะอาจารย์ห้องนี้เหม็นขี้หน้าเธอกันทั้งนั้นคงไม่เล่าให้เธอฟังหรอก”
“อย่าพูดอะไรชวนหดหู่แบบนั้นสิ”
“อีกอย่างนึงนะ ตอนนี้โรงเรียนเราถูกหมายหัวไว้แล้วล่ะว่าเป็นตัวการของเรื่องนี้”
“อะไรกัน? ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ!?”
“เพราะคนร้ายดันทำเข็มกลัดของลิตโตริโอตกไว้น่ะสิ เหยื่อคนนึงเก็บมาได้ แถมเป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่มีตอนนี้ด้วย เลยคิดว่าเป็นฝีมือของนักเรียนโรงเรียนเรา”
“หา!? แค่นั้นเนี่ยนะ? บางทีอาจจะเป็นคนอื่นขโมยมาแล้วแกล้งทำตกไว้ก็ได้นี่นา ที่สำคัญเหยื่อที่โดนก็มีโรงเรียนเราด้วยไม่ใช่หรอ?”
“เหตุผลแค่นั้นไม่ทำให้โรงเรียนเราพ้นมลทินอยู่ดีนั่นแหละ แต่ความจริง ตำรวจก็ดูไม่ค่อยอยากยุ่งด้วย เพราะคิดว่าเป็นแค่นักเรียนตีกันเหมือนทุกครั้งน่ะ”
ทั้งสองชักจะมีสีหน้าเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“มาร์กาเร็ต ถ้าปล่อยไว้แบบนี้เธอคงจะคิดเหมือนฉันใช่ไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?”
“อ่า... ลิตโตริโอก็จะตกเป็นจำเลยและถูกโรงเรียนอื่นหมายหัว ไม่สิ อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่ากว่านั้น แถมไม่ใช่แค่ฮิริว เซนไดหรือฟุโซด้วยที่จะกลายเป็นศัตรูกับพวกเรา”
“ฉันเลยมาที่นี่เพราะอยากจะปรึกษากับเธอว่าจะทำยังไงดี มีแต่เธอคนเดียวนี่แหละที่ฉันพอจะคุยได้ตอนนี้ ไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว อาจารย์ที่นี่แต่ละคนดูไม่อยากยุ่งกับเรื่องพวกนี้เลย ฉันเป็นห่วงว่าโรงเรียนของพวกเราจะตกอยู่ในอันตราย เราต้องสืบหาตัวการของเรื่องนี้ให้ได้ พวกตำรวจก็พึ่งไม่ได้ด้วย”
“แค่เราสองคนเอาไม่อยู่แน่ๆ...”
จู่ๆมาร์กาเร็ตก็คิดอะไรออก
“จริงสิ ฉันคิดอะไรออกแล้ว”
“เอ๊ะ? อะไรหรอ?”
“วันนี้ขากลับเลี้ยงเหล้าฉันที่ร้านข้างๆโรงเรียนก่อน แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”
“เหล้าอีกแล้วหรอ? แล้วทำไมฉันต้องเลี้ยงเธอด้วยยะ?”
“ก็สาเกญี่ปุ่นมันอร่อยนี่นา อีกอย่างเดือนนี้ฉันช็อตน่ะ เลี้ยงหน่อยละกัน”
“เฮ้อ ฉันล่ะเบื่อเธอจริงๆ กลับอังกฤษไปก็ดี”
“แหมๆ แล้วตอนเรียนจบใครกันน้าที่มาร้องไห้ฟูมฟายว่าอยู่ญี่ปุ่นกับฉันเถอะๆ ตอนฉันบอกว่าจะกลับบ้านที่แมนเชสเตอร์น่ะ”
“ไม่เห็นจำได้ว่าเคยทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย”
“มีหน้าแดงด้วย น่ารักจริงๆ”
ทั้งสองหยอกล้อกันก่อนที่จะเดินออกจากห้อง
ถึงสีหน้าของทั้งคู่จะยิ้มแย้มและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ในใจของทั้งสองนั้นก็ต่างเป็นกังวลไม่น้อยกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
----------------------------------------------------
“ยัยนั่น กล้าดียังไงมาสารภาพรักกับรุ่นพี่ รู้ทั้งรู้ว่ารุ่นพี่กำลังคบกับฉันอยู่”
“นั่นสิ ยัยหน้าปลวกนั่นไม่รู้มั่นหน้ามาจากไหน คิดว่ารุ่นพี่จะเปลี่ยนใจไปคบมันหรือยังไง”
สองสาวในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนสีแดงคุยกันในขณะที่กำลังเดินกลับบ้านไปด้วยกัน หัวข้อที่คุยกันดูไม่ค่อยจะเป็นเรื่องดีอะไรนัก ตอนนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ความมืดกำลังจะเข้ามาแทนที่
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะสั่งสอนยัยนั่นให้มันรู้สำนึกซะบ้าง เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับฉัน”
“ดีๆ เรียกฉันด้วยนะ อยากตบมันเหมือนกัน หมั่นไส้ เอาล่ะ บ้านฉันไปทางนี้นะ”
หนึ่งในสองสาวแยกตัวไปอีกทาง นักเรียนสาวคนที่เหลือเดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นภายใต้บรรยากาศเงียบสงัด เด็กสาวจึงหยิบโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วกดรับสาย
“ค่ารุ่นพี่... ค่ะใช่ค่ะ หนูใกล้ถึงบ้านแล้ว... ค่าคิดถึงเหมือนกันค่ะ.... แหมไม่อันตรายหรอกค่ะ หนูเป็นคนระวังตัวอยู่ตลอดอยู่แล้-”
คำพูดของเธอขาดช่วงเมื่อเด็กสาวรู้สึกเหมือนมีใครบางคนอยู่ด้านหลัง เธอหันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็ว แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า สมาธิของเธอจดจ่ออยู่กับความรู้สึกผิดปกติเมื่อครู่ คนในสายเห็นเธอเงียบไปจึงพยายามพูดย้ำหลายครั้งจนดึงสมาธิของเด็กสาวกลับมาได้และตอบกลับไป
“อ๊ะ ไม่มีอะไรค่ะ เดี๋ยวหนูเข้าบ้านเมื่อไหร่จะโทรกลับไปนะคะ บายค่ะ”
เด็กสาวรีบกดวางสาย ก่อนที่จะเริ่มเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้น บ้านของเธออยู่อีกไม่ไกลนัก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน ความรู้สึกเมื่อสักครู่ทำให้ความหวาดกลัวเริ่มจะคืบคลานเข้ามาในจิตใจ
และแล้วความรู้สึกเดิมก็กลับมาอีกครั้ง
“ใครน่ะ!?”
เธอตัดสินใจตะโกนพร้อมหันไปทันที แต่มันก็ว่างเปล่าเช่นเดิม
เด็กสาวตัดสินใจเดินถอยหลังพร้อมมองไปข้างหน้าอย่างระแวดระวัง จนกระทั่งเธอแน่ใจว่าไม่มีใครแล้วจริงๆ เธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก สงสัยจะคิดไปเอง
แต่เธอก็มารู้ตัวทีหลังว่าคิดผิด เมื่อเธอหันกลับไป
บุคคลปริศนาสวมฮู้ดคนหนึ่งอยู่ตรงหน้าเธอเพียงไม่กี่เมตร
เวลานั้นเสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นภายใต้ความมืดมิด
----------------------------------------------------
“ซดเบียร์ตอนเช้าๆนี่สดชื่นจริงๆ”
มาร์กาเร็ตกระดกเบียร์กระป๋องขึ้นดื่มขณะที่กำลังเดินไปที่โรงเรียนตามปกติในตอนเช้าพลางบิดขี้เกียจ
เดินไปได้สักพักเธอก็ได้ยินเสียงไซเรนดังแว่วมา ต้นตอของเสียงอยู่ตรงหน้าไม่ไกลนี่เอง ด้วยความสงสัยเธอจึงเดินไปตามเสียง
จนกระทั่งถึงหน้าปากทางเข้าของตรอกแห่งหนึ่ง มีเหล่าผู้คนออกันอยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมากราวกับรุมแย่งซื้อของลดราคา ต่างคนก็ต่างพยายามชะโงกเข้าไปดูข้างในตรอกนั้นราวกับมีอะไรบางอย่าง แต่พอมาร์กาเร็ตเห็นว่ามีรถพยาบาลคันหนึ่งซึ่งเป็นต้นตอของเสียงไซเรนเมื่อครู่จอดอยู่ก็พอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น
ถึงกระนั้นมาร์กาเร็ตก็พยายามจะชะโงกหน้าเข้าไปดูบ้างแต่ก็ไม่เห็นเพราะคนมุงเหล่านั้นบังเต็มไปหมด เธอจึงเปลี่ยนใจเดินออกมา
“มีเด็กผู้หญิงคนนึงโดนทำร้ายน่ะ”
แต่แล้วหนึ่งในคนมุงที่อยู่ใกล้มาร์กาเร็ตก็พูดขึ้นโดยไม่รอให้เธอถาม
“แขนหักสยองเลย กระดูกโผล่ออกมาด้วย น่ากลัวสุดๆ”
ระหว่างนั้นเองเหล่าคนมุงก็แหวกออกด้านข้าง เมื่อเจ้าหน้าที่พยาบาลได้หามเปลที่มีเด็กผู้หญิงท่าทางอ่อนแรงคนหนึ่งนอนอยู่ หน้าอกที่ขยับขึ้นลงบ่งบอกว่าเธอยังหายใจแต่ก็ดูแผ่วเบาเหลือเกิน แขนของเธอที่คนมุงคนนี้เล่าให้ฟังว่าหักนั้นถูกปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้แล้ว ก่อนที่เธอจะถูกส่งขึ้นรถพยาบาลไป
“ได้ยินเจ้าหน้าที่พูดๆอยู่ว่าเธอน่าจะพยายามร้องให้คนช่วยตั้งแต่เมื่อคืนจนหมดสติ แปลกจริงๆที่ไม่มีใครได้ยิน น่าสงสารเหมือนกันนะ แต่ก็โชคดีที่ยังไม่ตาย”
มาร์กาเร็ตผงกหัวให้คนมุงคนนี้เล็กน้อยเป็นการขอบคุณที่อุตส่าห์เล่าให้ฟัง จากนั้นจึงออกมาจากที่เกิดเหตุแล้วตรงไปที่โรงเรียน ในระหว่างนั้นเธอก็พึมพำกับตัวเองเบาๆ
“เด็กผู้หญิงนั่นนักเรียนของเซนไดนี่นา? หรือว่าจะ... ไม่มั้ง...”
ไม่นานนักมาร์กาเร็ตก็มาถึงหน้าโรงเรียน เธอขมวดคิ้วเมื่อมีนักเรียนชายสามคนในชุดเครื่องแบบนักเรียนสีแดงยืนอยู่หน้าโรงเรียนของเธอ
“ไอ้คนที่ทำร้ายแฟนฉันน่ะ รีบโผล่หัวออกมาสิวะ ฉันรู้นะว่าแกเรียนอยู่นี่”
หนึ่งในนั้นตะโกนเสียงดังเข้าไปในโรงเรียนอย่างโกรธเกรี้ยว มาร์กาเร็ตแทบจะรู้ในทันทีว่ามันต้องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เธอเจอมาเมื่อครู่แน่ๆ
“นี่พวกเธอ มาทำอะไรที่นี่น่ะ?”
มาร์กาเร็ตพูดกับนักเรียนสามคนนั้นเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างคล่องแคล่ว ถึงในใจของเธอจะคิดว่าคงทำอะไรไม่ได้มาก แต่เธอก็หวังเล็กๆว่าความเป็นผู้ใหญ่ของเธอน่าจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นนักเรียนมีความเกรงอกเกรงใจขึ้นมาบ้าง
“อ้าวพอดีเลย ป้าเป็นอาจารย์อยู่นี่ใช่ป่ะ? ช่วยไปประกาศในโรงเรียนทีนะว่าคนที่ทำร้ายแฟนของฉันน่ะออกมาเคลียร์กับฉันที่นี่เดี๋ยวนี้เลย”
มาร์กาเร็ตหยุดกึกทันที เธอไม่ตอบอะไรแล้วกระดกเบียร์เข้าปากจนหมดกระป๋อง พร้อมส่งเสียง “เอิ๊ก!” ออกมา
“เอ้า! ป้าไม่ได้ยินหรอ? ก็บอกว่า-”
นักเรียนชายตรงหน้ามาร์กาเร็ตถูกศีรษะของเธอกระแทกเข้าที่หน้าอกจนกระเด็นไปกองกับพื้น โดยที่นักเรียนชายอีกสองคนที่เหลือได้แต่มองตาค้างด้วยความตกใจ
“ใครป้าแก...”
พอเห็นเพื่อนตัวเองถูกทำร้ายสองคนที่เหลือก็กรูเข้ามา แต่พริบตาเดียวทั้งสองก็ลงไปกองกับพื้นโดยไม่ทันรู้ตัวว่าโดนอะไร มาร์กาเร็ตที่ใบหน้าเริ่มแดงนิดหน่อยยืนโซเซเหมือนคนเมาอยู่สักพักก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติ
เธอทิ้งกระป๋องเบียร์เปล่าใส่หนึ่งในนักเรียนชายที่นอนกองอยู่ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในโรงเรียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ้าว? มาร์กาเร็ต”
ระหว่างนั้นแอนน์ก็มาถึงโรงเรียนแล้วเช่นกัน
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทำไมคนพวกนี้ถึงนอนกันเต็มเลย”
“ไม่รู้สิ มาถึงก็นอนกันอยู่แล้ว”
แอนน์พอเดาออกว่ามาร์กาเร็ตไม่ได้พูดความจริง แต่คะยั้นคะยอไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ
“แล้วเรื่องที่คุยกันเมื่อวาน?”
“อ่า ไว้ใจได้เลย ตอนนี้คนๆนั้นน่าจะซ้อมอยู่ที่ศูนย์ออกกำลังกายน่ะ ไปตอนนี้เลยแล้วกัน”
มาร์กาเร็ตกับแอนน์มุ่งหน้าไปยังศูนย์ออกกำลังกายของโรงเรียนนานาชาติลิตโตริโอ
ศูนย์ออกกำลังกายของที่นี่เป็นที่นิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะจากนักเรียนหรืออาจารย์
เพราะนอกจากอุปกรณ์จะครบครันและทันสมัยแล้ว ยังสามารถเข้าใช้บริการได้อย่างฟรีๆ ขอแค่เป็นนักเรียนหรือเป็นบุคลากรของที่นี่ก็เพียงพอ เหล่าคนรักสุขภาพของที่นี่จึงไม่จำเป็นต้องไปใช้บริการกับศูนย์ออกกำลังกายข้างนอกที่มีค่าใช้บริการค่อนข้างแพง
ทั้งสองเปิดประตูเข้าไปภายในศูนย์ออกกำลังกายซึ่งค่อนข้างเงียบและไม่มีคน เพราะช่วงเช้าไม่ค่อยจะมีใครมาใช้บริการนัก มีเพียงเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังซ้อมชกกระสอบทรายอยู่เพียงลำพัง เสียงหมัดกระแทกกระสอบทรายนั้นดังก้องไปทั่ว
พอเขาเห็นมาร์กาเร็ตและแอนน์เดินเข้ามาหา เขาก็หยุดซ้อม
“สวัสดีครับ ซิสเตอร์มาออกกำลังกายหรอครับ?”
เขาทักทายมาร์กาเร็ตอย่างสนิทสนม
“อ้อเปล่าหรอก มีเรื่องอยากจะคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ แต่ก่อนอื่น นี่เฟอร์นานโด ดา คอสต้า เป็นนักเรียนของห้องฉันน่ะ”
มาร์กาเร็ตแนะนำเด็กหนุ่มตรงหน้าให้แอนน์รู้จัก
“สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อแอนน์ บริสโคว์ อาจารย์ประจำชั้นห้อง 1-C เรียกมิสแอนน์หรือมิสบริสโคว์ก็ได้จ้ะ”
“สวัสดีครับ”
ทั้งคู่กล่าวทักทายกันและกัน
“แล้วเรื่องที่ว่าจะคุยคืออะไรหรอครับซิสเตอร์?”
“ไม่ขออ้อมค้อมเลยละกันนะ นายจะพอรู้เรื่องที่ช่วงนี้มักจะมีเด็กนักเรียนโดนทำร้ายใช่ไหม?”
“ก็พอรู้อยู่ครับ”
“ตอนนี้โรงเรียนที่ตกเป็นเหยื่อต่างสงสัยว่าเป็นฝีมือนักเรียนโรงเรียนเราน่ะ เพราะคนร้ายทำเข็มกลัดนักเรียนของโรงเรียนเราตกไว้”
“เรื่องนั้นก็ได้ยินมาเหมือนกันครับ”
“อ่านั่นแหละ ตอนที่ฉันเดินมาโรงเรียนก็ไปเห็นนักเรียนของเซนไดถูกทำร้ายจนสาหัส แถมเมื่อกี้พวกเซนไดบางส่วนก็พยายามจะบุกเข้ามาในโรงเรียนด้วย บางทีอีกไม่นานโรงเรียนเราอาจจะอยู่ในอันตรายก็ได้”
เฟอร์นานโดกอดอกแล้วพยักหน้า
“ที่น่ากลัวที่สุดคือ โรงเรียนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามสี่เส้าก็ตกเป็นเหยื่อด้วย นั่นก็หมายความว่านี่ไม่ใช่แค่สงครามระหว่างโรงเรียนเหมือนทุกครั้งแล้ว พวกเราเลยต้องการที่จะสืบหาคนร้ายตัวจริงว่าเป็นใครกันแน่และทำแบบนี้ไปทำไม เรื่องนี้ตำรวจก็ไม่ยุ่งเพราะคิดว่าเป็นแค่นักเรียนทะเลาะกันธรรมดา อาจารย์ที่นี่ก็ไม่สนใจกับเรื่องนี้เลย ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ ฉันเลยจะมาขอความช่วยเหลือจากนายนี่ละเฟอร์นานโด คนที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่ฉันพอรู้จักก็มีแต่นาย”
“เอ่อ... ถ้าเรื่องใช้กำลังแบบนี้ละก็ ผมว่าขอให้เคร็กช่วยน่าจะดีกว่านะครับ”
เฟอร์นานโดชี้ไปที่เด็กหนุ่มผมสั้นสีบลอนด์ในชุดเสื้อกล้ามและกางเกงกีฬาที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องล็อคเกอร์ เขามีรูปร่างที่กำยำดูแข็งแรงและมีกล้ามเป็นมัดๆ ดูเหมือนเขาเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะมาออกกำลังกาย
“โยนงานอะไรให้ฉันอีกล่ะ เฟอร์นานโด”
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเคร็กพูดด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
“อ้าว? คุณบอสเวลล์?”
“อ๊ะ สวัสดีฮะมิสแอนน์”
แอนน์เอ่ยทักเด็กหนุ่มกล้ามโตเหมือนว่ารู้จักกัน เขาจึงยกมือขึ้นทักทายกลับ
“รู้จักด้วยหรอแอนนี่?”
“อื้ม เด็กห้องฉันน่ะ ชื่อเคร็ก บอสเวลล์”
“อ่องั้นหรอ หน่วยก้านดีไมเบานี่ ฉันซิสเตอร์มาร์กาเร็ต มอนโร”
หลังจากที่แนะนำตัวกันเรียบร้อยมาร์กาเร็ตก็วกกลับเข้าเรื่องที่คุยค้างกันไว้อีกครั้ง
“เรื่องมันเป็นแบบนี้น่ะ...”
“ไม่ต้องเล่าก็ได้ครับ ตอนอยู่ในห้องล็อคเกอร์ผมได้ยินหมดแล้วล่ะ แต่ขอปฏิเสธดีกว่าครับ เรื่องแบบนี้ผมไม่ค่อยอยากยุ่งเท่าไหร่”
เคร็กกล่าวปฏิเสธแล้วเดินไปหยิบดัมเบลที่หนักที่สุดบนรางก่อนที่จะยกมันเพื่อออกกำลังกาย
“ตัวใหญ่แต่ทำไมใจเสาะแบบนี้ล่ะ? หน่วยก้านดีซะเปล่า น่าผิดหวังจริงๆ”
“คุณบอสเวลล์ สิ่งที่พวกเราตั้งใจจะทำเนี่ยสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆได้ตั้งมากมายเลยนะ ไม่ใช่แค่นักเรียนของโรงเรียนเราเท่านั้น แต่รวมถึงโรงเรียนอื่นๆด้วย”
ทางเคร็กที่ยกดัมเบลอยู่ยังไม่ตอบอะไร การที่เขายังไม่ปฏิเสธแบบนี้บางทีในใจอาจจะยังลังเลอยู่ก็เป็นได้ แอนน์จึงพยายามเกลี้ยกล่อม
“ลองนึกดูนะถ้าเกิดเพื่อนหรือคนรู้จักของเธอเกิดเป็นเหยื่อขึ้นมาบ้างจะทำยังไง? ถ้าถึงตอนนั้นฉันเชื่อว่าคุณบอสเวลล์คงตอบตกลงแน่ถ้าเป็นแบบนั้น ดังนั้นสู้ตอบตกลงตั้งแต่ตอนนี้เพื่อไม่ให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นมาไม่ดีกว่าหรอ?”
ดูเหมือนเคร็กจะเริ่มคล้อยตาม เมื่อมือที่ยกดัมเบลเริ่มช้าลงเหมือนไม่มีสมาธิจะออกกำลังกายแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ให้คำตอบอย่างชัดเจน แอนน์ชักจะเริ่มรำคาญนิดๆ จึงจัดการใช้ท่าไม้ตายทันที
“ฉันรู้นะว่าเธออ่อนวิชาคณิตศาสตร์ใช่ไหม? เห็นว่าตอนสอบย่อยก็เป็นคนเดียวในห้องที่ตกด้วยสิ”
กึก เคร็กหยุดยกดัมเบลทันที
“พอดีว่าฉันสนิทกับอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ซะด้วย ถ้าไปขอให้ทางนั้นช่วยเรื่องคะแนนจะดีไหมน้า บางทีอาจจะให้ช่วยจนถึงสอบกลางภาคกับปลายภาคเลยก็ได้ แต่จะให้ช่วยเฉยๆมันก็ยังไงๆอยู่เนอะ?”
ได้ผล เคร็กเอาดัมเบลกลับไปวางไว้บนรางเหมือนเดิมแม้จะเพิ่งออกกำลังกายไปยังไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ
“อืม... ว่าแต่จะให้ทำอะไรตอบแทนดีน้า...”
“ครับ... เข้าใจแล้วครับ ผมตกลงก็ได้”
สุดท้ายเคร็กก็ยอมตอบตกลงจนได้
“จริงหรอ? สัญญาแล้วนะ”
“คะ ครับ สัญญาครับ อย่าลืมเรื่องคะแนนของผมด้วยล่ะ”
“พูดอะไรน่ะ? ทำแบบนั้นมันผิดจรรยาบรรณของอาจารย์นะรู้ไหม?
“อ้าว!? นี่มิสแอนน์หลอกผมหรอเนี่ย?”
“เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะ สัญญาไปแล้วด้วยนี่สิ ลูกผู้ชายพูดแล้วต้องไม่คืนคำนะจ๊ะ”
แอนน์เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วขยิบตาให้แบบที่ดูยังไงก็โกรธไม่ลง เฟอร์นานโดเห็นแล้วจึงหัวเราะใหญ่
“ฮ่าๆ เหนื่อยหน่อยนะเคร็ก”
“นายก็ต้องช่วยด้วยเฟอร์นานโด”
“หา? ผมด้วยหรอซิสเตอร์!?”
“แน่นอน ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งดีอยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องนี้ใช้กำลังอย่างเดียวไม่พอต้องใช้สมองด้วย ฉันรู้ว่านายน่ะฉลาด ฉลาดแถมสู้เก่งด้วยแบบนี้ยิ่งต้องการเลยล่ะ”
เฟอร์นานโดทำหน้าแหยๆพอรู้ว่าตัวเองก็ไม่รอด เคร็กเองจึงหัวเราะออกมาบ้างเหมือนเอาคืน
“ตกลงตามนี้นะทุกคน หลังเลิกเรียนเจอกันที่ห้องพักครูของฉัน แล้วเจอกัน”
เมื่อมาร์กาเร็ตนัดแนะเสร็จแล้ว ทุกคนก็พยักหน้ารับแทนคำตอบ
อาจจะพูดได้ว่า ชะตากรรมของลิตโตริโอกำลังอยู่ในกำมือของพวกเขาทั้งสี่คนก็ไม่น่าจะผิดนัก