“ยินดีต้อนรับคร้าบ~!!”
อาสึนะเปิดประตูเข้าไปในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่บนประตูทำให้พนักงานหลังเคาน์เตอร์พูดทักทายลูกค้าขึ้นมา
พนักงานคนนี้สวมชุดนักเรียนของโรงเรียนมิไรเคียว แต่สวมผ้ากันเปื้อนที่ปักชื่อร้านทับชุดนักเรียนเอาไว้ และติดเข็มกลัดที่หน้าอกเสื้อเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่ง ‘บิชอป’
“อ้าว? คันซากิคุง นั่งก่อนเลย”
ทางพนักงานเหมือนจะรู้จักอาสึนะ จึงพูดคุยกับเขาอย่างสนิทสนม ก่อนที่อาสึนะจะเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์
“เหมือนเดิม”
“นมสดปั่นสินะ ได้เลย”
เมื่อพูดจบพนักงานคนนั้นก็หันกลับไปเพื่อเริ่มทำนมสดปั่นตามออร์เดอร์ทันที
ที่นี่คือร้านกาแฟโอบานะ ตั้งอยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนมิไรเคียวเพียงไม่กี่เมตร สามารถเดินเท้าจากโรงเรียนมาถึงที่นี่ได้สบาย และพนักงานคนนี้คือ โอบานะ ยูสุเกะ เขาเป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งของโรงเรียนมิไรเคียวเช่นเดียวกับอาสึนะ แต่อยู่คนละห้องกัน ซึ่งร้านนี้ก็เป็นร้านกาแฟของครอบครัวเขานั่นเอง
ปัจจุบันร้านกาแฟโอบานะได้เริ่มมีการขยายสาขาเพิ่มเติม ทำให้พ่อแม่ของเขาต้องไปดูแลประจำร้านที่สาขาอื่น ส่วนสาขานี้ก็ได้ยูสุเกะดูแลในฐานะพนักงานและผู้จัดการร้าน ซึ่งเขามักจะมาประจำร้านหลังจากเลิกเรียนอยู่เสมอ
โดยอาสึนะกับยูสุเกะเคยรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันนัก แต่ทางอาสึนะก็ชอบมานั่งดื่มนมสดปั่นที่ร้านนี้เป็นประจำตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าเรียนที่มิไรเคียวแล้ว
สำหรับตอนนี้ ยังคงอยู่ในช่วงเวลาพักเที่ยงของโรงเรียน และห้องของอาสึนะนั้นมีเรียนคาบบ่ายต่ออีกนิดหน่อยเพราะอาจารย์ยังสอนไม่จบจึงขอเวลาเพิ่ม เขาเลยเลือกที่มาพักดื่มนมที่นี่ก่อนคาบเรียนบ่ายจะเริ่ม
“เอ้า ได้แล้ว”
ยูสุเกะวางแก้วนมสดปั่นบนเคาน์เตอร์ อาสึนะจับหลอดขึ้นมาดูดเข้าปากนิดหน่อย ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไม่อร่อยหรอ?”
“ปะ เปล่า”
“หรอ? จริงสิ ตอนนี้นายนี่ดังใหญ่เลยนี่นะ ชนะราชินีแห่งมิไรเคียวคนนั้นน่ะ”
“อะ ฮะๆ”
แต่อาสึนะดูจะไม่ดีใจสักเท่าไหร่
ตั้งแต่ที่อาสึนะเอาชนะประธานยูกิมาได้ สถานภาพของทางฝั่งของประธานดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เธอก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่เช่นเดิม เสียงส่วนใหญ่กล่าวไว้ว่าเกมมีแพ้มีชนะ ดังนั้นการที่ประธานแพ้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งนั่นก็ไม่ใช่การแข่งขันแบบเป็นทางการอะไร ผลกระทบที่ตามมาจึงน้อยมากๆ
คนที่ชีวิตแทบจะพลิกผันกลับเป็นทางอาสึนะต่างหาก ซึ่งที่มีทั้งพลิกผันไปในทางบวกและลบ ทางบวกก็อย่างเช่นเขาเริ่มจะได้รับความนิยมในหมู่นักเรียนหญิงอยู่พอสมควรนับตั้งแต่ตอนนั้น
อย่างตอนที่อาสึนะเดินเข้ามาในร้านนี้ นักเรียนหญิงบางกลุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ตามโต๊ะต่างๆก็มองตามและพูดจาซุบซิบหน้าแดงกันใหญ่ ในกระดานสนทนาที่เว็บไซต์ของโรงเรียน ก็มีบางคนให้ความเห็นว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาน่ารักเหมือนไอดอล หรือแม้กระทั่งสายตาของอาจารย์อุซางิที่มองมาที่เขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
ส่วนในทางลบก็คงจะพอเดาได้ เมื่อได้รับความนิยมในหมู่นักเรียนหญิง จึงมีนักเรียนชายจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่พอใจและหมั่นไส้ นักเรียนชายบางส่วนเองก็เป็นแฟนคลับของประธานยูกิที่ไม่เชื่อว่าอาสึนะเอาชนะมาได้ด้วยฝีมือจริงๆ
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอาสึนะถึงไม่ค่อยจะชอบใจในสถานภาพของตัวเองตอนนี้เท่าไหร่ การเป็นจุดสนใจแบบนี้ไม่ใช่ชีวิตวัยเรียนในแบบที่เขาต้องการเลย
“ดูนายไม่มีความสุขกับชื่อเสียงที่ได้รับเลยนะ?”
“ก็นะ...”
อาสึนะเริ่มบ่นไปเรื่อยเปื่อยด้วยความอัดอั้น โดยที่ยูสุเกะก็ได้แต่พยักหน้ารับบ้างเออออตามบ้างเสมือนตัวเองเป็นที่ระบาย จนนมปั่นในแก้วเริ่มหมด เวลาก็ผ่านไปจนใกล้จะถึงคาบเรียนบ่ายแล้ว อาสึนะจึงพูดตัดบท
“ขอบใจนะที่มาฟังฉันบ่นน่ะ”
“ฮ่ะๆ ไม่เป็นไร”
“ฉันกลับไปเรียนก่อนล่ะ”
“โอเค โอกาสหน้าเชิญใหม่”
อาสึนะดูดนมปั่นอึกสุดท้ายจนหมดแก้ว ก่อนที่จะก้าวเท้าออกจากร้าน และก็หนีไม่พ้นสายตาของนักเรียนหญิงในร้านที่มองมาแบบเดียวกับตอนเขาเดินเข้าร้าน
หลังจากที่ออกมาจากร้านแล้ว อาสึนะก็เดินกลับไปที่โรงเรียนอีกครั้งเพื่อเรียนต่อคาบบ่าย แต่ระหว่างนั้นเขาก็ชะงักเล็กน้อย
(เอ๋?)
อาสึนะรู้สึกได้ว่ามีคนมองมา
แต่มันไม่ใช่สายตาจากเหล่านักเรียนหญิงแบบเดียวกับที่เคยรู้สึกทุกครั้ง มันรู้สึกแตกต่างออกไป
เขาอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก บอกได้แค่ว่า มันรู้สึกเหมือนกับว่าสายตาคู่นั้นได้ไล่ตามเขาไปในทุกๆฝีก้าว
(โดนสะกดรอยตาม?)
อาสึนะคิดเช่นนั้น แล้วหันมองไปรอบๆกาย
ไม่มีอะไร...
ความจริงโดยปกติหากเป้าหมายเริ่มรู้สึกตัวคนที่สะกดรอยตามก็ย่อมต้องซ่อนตัวเป็นธรรมดา จะไม่เห็นอะไรก็ไม่แปลก
(คิดไปเองล่ะมั้ง?)
แต่อาจเป็นเพราะคาบเรียนใกล้จะเริ่ม อาสึนะก็ไม่อยากจะคิดมากให้เปลืองสมองอะไร เขาจึงรีบเร่งฝีเท้ากลับไปที่โรงเรียนอย่างรวดเร็ว
----------------------------------------------------
‘คันซากิ อาสึนะ ห้อง 1-A ไปพบประธานยูกิที่ห้องสภานักเรียนด้วยค่ะ’
นั่นคือเสียงประกาศตามสายหลังจากที่คาบเรียนบ่ายของอาสึนะจบลง มันเป็นเสียงของมายุซึมิซึ่งเป็นคนเดียวกับที่บรรยายการแข่งขันระหว่างอาสึนะกับประธานยูกิ
แต่ประเด็นสำคัญมันไม่ใช่ตรงนั้น ที่อาสึนะสงสัยคือประธานยูกิมีธุระอะไรกับเขา แต่จะว่าไปแล้วตั้งแต่ที่การแข่งขันนั้นจบลงทั้งสองก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
(หรือว่าประธานจะ...)
ในระหว่างนั้นอาสึนะก็คิดไปเรื่อยเปื่อยถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ จนกระทั่ง
“ไม่ไปห้องสภานักเรียนล่ะ?”
เสียงเรียบๆของเร็นทำให้อาสึนะสะดุ้งเล็กน้อยแล้วถูกดึงสติกลับมา เขาจึงหันไปแล้วยิ้มแห้งๆ
“อะ เอ่อ... นั่นสินะ”
แล้วอาสึนะก็ค่อยๆเก็บข้าวของใส่กระเป๋าของตัวเองช้าๆเหมือนเป็นการถ่วงเวลาที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไร หรือว่าเขาจะไม่ไปดี? ไม่ได้... ทำแบบนั้นไม่ได้ จูริเคยบอกเอาไว้ ว่าอย่าเบี้ยวนัดประธานยูกิเป็นอันขาด
หลังจากที่เดินอย่างเลื่อนลอยเพราะมัวแต่คิดฟุ้งซ่าน พอมารู้ตัวอีกที อาสึนะก็มาอยู่หน้าห้องสภานักเรียนแล้ว
ประตูห้องสภานักเรียนเป็นประตูไม้บานคู่ที่ดูแตกต่างจากประตูของห้องต่างๆในโรงเรียนมิไรเคียวอย่างสิ้นเชิง มันเป็นประตูที่ดูมีความหรูหราและน่าจะทำมาจากไม้ที่มีราคาแพง ในระดับที่ว่าอาสึนะไม่กล้าแม้กระทั่งยื่นมือไปเคาะประตูเพราะเกรงว่าจะทำให้เสียราคา
บางทีนี่อาจจะเป็นประตูที่ถูกสั่งทำเป็นพิเศษโดยประธานยูกิก็ได้ เพราะขนาดจะสั่งพักการเรียนอาสึนะยังทำได้ กับแค่สั่งทำประตูก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เขายืนกล้าๆกลัวๆหน้าประตูอยู่นานสองนาน กว่าจะยกมือที่จู่ๆก็หนักอึ้งเหมือนหินขึ้นมาเคาะประตูได้
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูนั้นทั้งเชื่องช้าและแผ่วเบา แต่คนที่อยู่ข้างในคงจะยังได้ยินอยู่ จึงมีเสียงตอบรับกลับมา
“เข้ามา”
นั่นคงเป็นเสียงของประธานยูกิอย่างไม่ต้องสงสัย อาสึนะจึงเอื้อมมือไปคว้าลูกบิดประตูที่ถูกขัดจนเงาวับเอาไว้ ก่อนที่จะสูดหายใจลึกๆเข้าเต็มปอดเพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นข้างในห้องนั้น แล้วเปิดประตูเข้าไปข้างในช้าๆ
สิ่งแรกที่อาสึนะเห็น คือโต๊ะทำงานสุดหรูที่ดูเข้ากันดีกับห้องกว้างๆที่ถูกตกแต่งไว้อย่างหรูหรา บรรยากาศในห้องนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากห้องอื่นๆในโรงเรียน ถ้าจะอธิบายแบบสั้นๆล่ะก็ นี่มันแทบจะใกล้เคียงกับคฤหาสน์หรูเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะพื้นที่ถูกปูพรมด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดง โคมไฟแชนเดอเลียร์บนเพดาน ตู้เก็บหนังสือและเอกสารวางเรียงราย กลางห้องก็มีโซฟาและโต๊ะน้ำชาหนึ่งตัวซึ่งน่าจะเอาไว้สำหรับรับแขก และยังมีบันไดวนสำหรับขึ้นไปยังชั้นบนที่ยังไม่รู้ว่าบนนั้นมีอะไร
โต๊ะหรูตรงนั้นก็แน่นอนว่ามีประธานยูกินั่งอยู่ ซึ่งนอกจากเธอแล้ว ยังมีนักเรียนอีกสามคนในห้อง ซึ่งแต่ละคนก็นั่งอยู่ประจำโต๊ะทำงานรอบๆห้องที่ดูหรูไม่แพ้กัน ประกอบไปด้วยชายหนึ่งหญิงสอง ทั้งสามคนนั้นคงจะเป็นสมาชิกคนอื่นๆในสภานักเรียน โดยมีอยู่โต๊ะนึงที่ว่างและไม่มีคนนั่งอยู่
พออาสึนะเข้ามา ทุกคนที่นั่งอยู่ประจำโต๊ะก็ต่างยืนขึ้นเหมือนเป็นการต้อนรับ โดยมีเพียงประธานยูกิที่ลุกออกมาจากโต๊ะของตัวเอง แล้วเดินเข้ามาใกล้เขา
“ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ฉันไม่ได้จะทำอะไรนาย ฉันเป็นคนรักษาสัญญานะ นายชนะ เรื่องที่ห้องพยาบาลก็หายกัน”
พอได้ยินคำว่าห้องพยาบาล อาสึนะก็อดนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นไม่ได้ ภาพได้ที่เห็นในวันนั้นก็ติดตาตรึงใจเสียจนเหมือนเห็นภาพนั้นซ้อนทับกับภาพของประธานยูกิตรงหน้าเขา
“ก่อนที่จะเริ่มคุยอะไร ขอแนะนำตัวกันก่อน เริ่มจากฉัน ถึงนายจะรู้จักฉันแล้วแต่ก็ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกที ฉันชื่อโยชิดะ ยูกิ ปีสาม เป็นประธานนักเรียน ตำแหน่งควีน”
ประธานยูกิแนะนำตัวเป็นคนแรก พลางยื่นมือออกมา อาสึนะจึงยื่นมือไปจับ เขาจำได้ว่าเคยได้รับสัมผัสแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งที่ห้องพยาบาล
“ฉัน คาตายามะ อายูมิ ปีสอง เป็นรองประธาน ตำแหน่งคิง”
ต่อไปเป็นสาวผมยาวสีม่วงที่ดูสวยหุ่นดีไม่แพ้กับประธานยูกิ อาสึนะเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเธอเป็นคิง
เพราะโดยปกติแล้วนักเรียนหญิงส่วนมากมักไม่ค่อยเลือกเป็นตำแหน่งคิงกันนัก เนื่องจากเกณฑ์คะแนนของตำแหน่งคิงและควีนนั้นเท่ากัน ความสามารถของทั้งสองตำแหน่งก็ไม่ต่างกัน แถมบางทีคิงยังถูกเรียกว่าเป็นภาระของทีมอีกด้วย ส่วนมากจึงมักเลือกเป็นควีนกันมากกว่า
เช่นเดียวกับนักเรียนชายที่ก็ไม่ค่อยเลือกตำแหน่งควีนเช่นกัน แม้รู้ว่าตำแหน่งคิงจะเสียเปรียบกว่า คงเพราะชื่อเรียกของตำแหน่งที่ดูยังไงก็มีไว้สำหรับผู้หญิงล่ะมั้ง
รองประธานอายูมิยิ้มให้อาสึนะ แวบหนึ่งเขารู้สึกได้ถึงความลึกลับในรอยยิ้มและแววตาของเธอ แต่ความคิดนั้นก็หยุดลงเมื่อได้ยินเสียงของสมาชิกสภานักเรียนคนถัดไป
“ฉันชื่อนานะซากิ เรย์มุ ปีสาม เป็นเลขานุการ ตำแหน่งบิชอปจ้ะ”
ต่อด้วยสาวผมสั้นสีน้ำตาลรูปร่างสูงโปร่งเหมือนนางแบบ เธอแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานราวกับน้ำผึ้ง พร้อมขยิบตาให้ จนอาสึนะถึงกับหน้าแดงเล็กน้อย
“อากิยามะ คิโยชิ ปีสอง เหรัญญิก ตำแหน่งไนท์”
และสุดท้าย ผู้ชายเพียงคนเดียวในสภานักเรียน เขามีผมสีทองขุ่นๆที่ดูเหมือนย้อมมามากกว่าจะเป็นสีผมธรรมชาติ เพราะกล่าวแนะนำตัวแบบห้วนๆบวกกับแววตาดุๆเลยดูเหมือนไม่ค่อยรับแขกเท่าไหร่ แม้เขาจะยิ้มให้นิดๆก็ตาม
“ส่วนสมาชิกอีกคน ฝ่ายธุรการ ไม่มาเพราะไปซ้อมวิ่งน่ะ ไว้จะแนะนำให้รู้จักอีกที”
ประธานยูกิพูดขึ้นโดยไม่รอให้อาสึนะถามถึงเจ้าของโต๊ะตัวสุดท้ายที่ว่างอยู่ ก่อนที่เธอจะผายมือไปที่โซฟากลางห้อง
“ยังไงก็เชิญนั่งก่อน เรย์มุ ไปชงชามาให้ที”
“ค่ะ ประธาน”
เลขาเรย์มุเดินขึ้นบันไดวนไปด้านบนเพื่อเตรียมชามาให้ เลยพอจะเดาออกว่าห้องสภานักเรียนชั้นบนน่าจะเป็นครัวขนาดเล็ก
อาสึนะนั่งบนโซฟารับแขกตามคำเชื้อเชิญของประธานยูกิซึ่งได้เดินไปนั่งบนโซฟาตรงข้ามเขา ส่วนรองประธานและเหรัญญิกต่างก็นั่งลงประจำโต๊ะดังเดิม ทั้งสองคงมีงานที่จะต้องทำ เห็นได้จากกองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ
“ก่อนอื่น ฉันขอชื่นชมจากใจจริงที่นายเอาชนะฉันได้ ฉันเองก็ประมาทไปหน่อย ได้เรียนรู้อะไรจากนายเยอะเลยล่ะ”
“มะ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมแค่โชคดี...”
“ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก นายน่ะมีสายเลือดคันซากิของรุ่นพี่อากาเนะ ฉันคิดว่าถ้านายได้ฝึกซ้อมมากกว่านี้ล่ะก็ต้องเก่งเหมือนรุ่นพี่เค้าแน่ๆ”
“ชามาแล้วจ้ะ”
บทสนทนาของทั้งคู่ถูกหยุดชั่วคราวโดยเลขาเรย์มุ ที่ได้วางแก้วน้ำชาซึ่งมีควันพวยพุ่งพร้อมกลิ่นหอมๆลอยขึ้นมาเตะจมูกไว้บนโต๊ะ
“ขอโทษนะจ๊ะ พอดีมีแต่ชาสำเร็จรูปน่ะ ไว้คราวหลังจะชงชาอร่อยๆให้ทานนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ผมก็ขอบคุณมากแล้ว”
“เรย์มุเคยเป็นประธานชมรมชงชา เรื่องน้ำชาน่ะวางใจได้เลย ต่อให้เป็นชาสำเร็จรูปก็เถอะนะ”
ประธานยูกิเสริม ก่อนที่จะวกกลับเข้าเรื่องเดิม
“เอาล่ะ ฉันไม่ได้เรียกนายเพื่อมาชมแค่นี้แล้วจบหรอกนะ จริงๆแล้วฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกนาย ที่ฉันเรียกนายมาก็เพราะ...”
ในระหว่างที่รอประธานบอกเจตนาที่เรียกมาในวันนี้ อาสึนะก็ยกชาขึ้นดื่ม
“ฉันจะแต่งตั้งนายเข้าสภานักเรียน”
พรวด! น้ำชาพุ่งออกมาจากปากของอาสึนะ พร้อมเสียงตะโกนของเขาจนสมาชิกสภานักเรียนคนอื่นๆหันมามอง
“วะ ว่าไงนะครับ?”
“ก็บอกว่าฉันจะแต่งตั้งนายเข้าสภานักเรียน”
“ละ แล้วทำไม...”
“เห็นแล้วใช่ไหมล่ะว่าตอนนี้ตำแหน่งธุรการไม่อยู่ เลยทำให้ภาระหน้าที่ของตำแหน่งนั้นต้องตกเป็นของสมาชิกคนอื่นๆในสภานักเรียน แต่นายก็น่าจะรู้ว่าแต่ละคนก็มีงานของตัวเองอยู่แล้ว ฉันจึงต้องการใครสักคนมาช่วย”
“ผมเนี่ยนะ?”
“ใช่ ในฐานะผู้ที่เปรียบเสมือนทายาทของรุ่นพี่อากาเนะ การทำงานในสภานักเรียนก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนตัวเองอย่างหนึ่ง แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันไม่ให้นายทำงานที่นี่ถาวรหรอก แค่จะให้มาแทนตำแหน่งธุรการที่ไม่อยู่ชั่วคราว... แต่ว่าตอนคนๆนั้นรับตำแหน่งทางนั้นบอกอยู่ว่าจะไม่มาทำงานสักเดือนนึง ดังนั้นนายคงได้ทำงานที่นี่อย่างน้อยๆเดือนนึงแน่นอน”
(ไม่เข้ามาเดือนนึง! แล้วจะแต่งตั้งไว้ทำไมฟะ!?)
“นายลองคิดดูนะ นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระของสภานักเรียนแล้วยังได้ฝึกฝนตัวเองอีกด้วย เป็นผลดีต่อตัวนายทั้งนั้น แต่ไม่ว่ายังไง คำสั่งของฉันถือเป็นที่สิ้นสุด นายต้องตอบตกลงเท่านั้น”
“...”
คงไม่มีทางเลือกอะไรให้อาสึนะอีกแล้ว ในเมื่อถูกมัดมือชกซะขนาดนี้ เขาจึงได้แต่พยักหน้าช้าๆอย่างจำยอม
“...ครับประธาน แล้ว... ผมต้องทำอะไรบ้างครับ?”
เมื่ออาสึนะถามออกไป รอยยิ้มที่เห็นได้ยากจากสีหน้าเยือกเย็นของประธานยูกิก็ผุดขึ้นมาพร้อมคำตอบสุดสะพรึง
“...ทำทุกอย่างที่ฉันสั่งไงล่ะ”
----------------------------------------------------
“โอ้ย!!”
ทามิโกะใช้หมัดเขกหัวอาสึนะเสียงดังโป๊กจนเขาร้องลั่นในระหว่างที่ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากรั้วโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน
“ทำอะไรของเธอน่ะ!”
“ก็นายไม่ฟังที่ฉันพูดเลยนี่!”
“บอกฉันดีๆก็ได้นี่นา... แล้วเมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ?”
“ช่างมันเถอะย่ะ!”
“อ้าว...”
เมื่อสักครู่อาสึนะรู้สึกเหนื่อยและเหม่อลอยอย่างสุดๆ จึงไม่ได้ยินว่าทามิโกะพูดอะไรไปบ้าง
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาจวนจะหกโมงเย็นแล้ว ส่วนมากนักเรียนที่นี่ก็กลับกันตั้งแต่หมดเรียนช่วงคาบเช้าแล้ว ที่อาสึนะเพิ่งจะได้กลับบ้านเอาป่านนี้ก็เพราะต้องทำงานแทนตำแหน่งธุรการ... ไม่สิ ดูยังไงน่าจะเหมือนเบ๊มากกว่า
ถึงแม้ว่าตำแหน่งอย่างเป็นทางการที่ประธานยูกิแต่งตั้งให้คือ ‘ผู้ช่วยฝ่ายธุรการ’ แต่หน้าที่ที่เธอบอกไว้คือ ‘ทำทุกอย่างที่เธอสั่ง’ ถ้าไม่ใช่เบ๊แล้วจะเป็นอะไร
ตั้งแต่งานเล็กๆอย่างทำความสะอาด ไปจนถึงช่วยงานรองประธาน เลขานุการและเหรัญญิก รวมทั้งหน้าที่ของฝ่ายธุรการที่ไม่อยู่ เขาต้องทำทุกอย่างจริงๆ
บางทีที่ประธานยูกิกล่าวอ้างไว้ว่าเป็นการฝึกฝนอาจจะโกหกทั้งเพ ลึกๆเธอน่าจะยังโกรธอาสึนะอยู่จึงลงโทษด้วยวิธีนี้ การที่ถูกเห็นอะไรแบบนั้นที่ห้องพยาบาลคงไม่ใช่เรื่องที่ให้อภัยกันง่ายๆ
กว่าจะถูกปล่อยตัวเป็นอิสระก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกจากโรงเรียนด้วยความอ่อนเพลียและอยากจะกลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านเต็มทน ก็เจอกับทามิโกะที่กำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน จากที่ลองถามดูเหมือนเธอจะมีธุระอะไรบางอย่างจึงต้องกลับบ้านช้า
อาสึนะไม่ได้อยู่ในสภาพที่อยากจะต่อปากต่อคำหรืออะไร พอทามิโกะชักชวนให้กลับบ้านด้วยกันเขาจึงไม่ปฏิเสธ
“อุตส่าห์ชมแท้ๆว่าเมื่อวานนายเท่มากๆ...”
“หา?”
“เปล่า”
ทามิโกะเบือนหน้าหนี อาสึนะมองเธอแบบงงๆ ถึงเขาจะแน่ใจว่าเมื่อสักครู่ได้ยินเธอพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็อย่างที่บอกไป ในตอนนี้เขาไม่อยากจะต่อปากต่อคำอะไร
(หือ?)
แต่แล้วอาสึนะก็หยุดเดิน
สายตาแบบนั้นอีกแล้ว...
สายตาแบบเดียวกับตอนที่ร้านกาแฟ สายตาลึกลับที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกสะกดรอยตาม
“เป็นอะไรไปหรอ?”
ทามิโกะถามขึ้นเมื่อเห็นอาสึนะหยุดนิ่งไป
สีหน้าของเขาเริ่มเคร่งเครียด และหันมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวงจนทามิโกะหันตาม
“ใคร...”
“เอ๋?”
“ใครตามฉัน...”
อาสึนะพึมพำโดยที่ทามิโกะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขากำลังสื่อถึงอะไร
เขาเริ่มรู้สึกว่าสายตานั้นมันเริ่มใกล้เข้ามา
ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเหมือนว่าเจ้าของสายตาลึกลับนั้นอยู่แถวๆนี้ แต่เขากลับไม่เห็นใคร
แต่แล้วอาสึนะก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างกำลังพุ่งตัวเข้ามาหา
เสี้ยววินาทีนั้น เขาหันไปตามความรู้สึกของบางสิ่งบางอย่างตามที่ตัวเองสัมผัสได้ ก็พบกับ
ลายทาง...
“!?”
กางเกงชั้นในลายทางที่อยู่ใต้กระโปรงของนักเรียนหญิงคนหนึ่ง
ซึ่งกำลังกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ของต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
““เหวอ!!””
ทั้งอาสึนะและทามิโกะต่างก็ตกใจ
แถมยังหน้าแดงก่ำขึ้นมาพร้อมๆกันเมื่อได้เห็นนักเรียนหญิงคนนั้นแบบเต็มๆตา
นักเรียนหญิงคนนั้นมีผมยาวสีกาแฟ ใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนสาวร่างเริงทั่วๆไป
รูปร่างหน้าตาของเธออาจจะไม่มีอะไรเป็นที่น่าสนใจ เพราะมันมีสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น... เธอสวมชุดเครื่องแบบของโรงเรียนมิไรเคียวโดยไม่ได้สวมเสื้อนอก แถมยังปลดกระดุมเสื้อนักเรียนออกจนหมด แต่ผูกเนกไทห้อยเอาไว้ ทำให้เห็นอะไรๆที่อยู่ภายใต้เสื้อนั้นอย่างชัดเจน
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น... สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรจะใส่ไว้ข้างในก็ไม่ได้ใส่
เธอโนบรา...
นั้นจึงเป็นสาเหตุให้ทั้งอาสึนะและทามิโกะต่างมีสีหน้าปั้นยากเมื่อได้เห็นนักเรียนสาวปริศนา และพูดอะไรไม่ออก
แต่เธอคนนั้นก็เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
“ในที่สุดก็ได้เจอ... คุณคันซากิ”
“เอ๋? ผมหรอ?”
อาสึนะชี้ไปที่ตัวเองแบบงงๆ โดยที่จริงๆแล้วเขาก็ยังอึ้งไม่หายเมื่อได้เห็นสภาพการแต่งตัวของเด็กสาวตรงหน้า
นักเรียนสาวปริศนาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เธอยิ้มยิงฟัน แล้วพุ่งเข้าหาอาสึนะพร้อมกับทำอะไรบางอย่าง
จุ๊บ
“...................................”
ฤดูใบไม้ผลิ วันที่สองของอาสึนะในฐานะนักเรียนของโรงเรียนมิไรเคียว
ได้ถูกจารึกเอาไว้ว่า เป็นวันที่เขาถูกขโมยจูบแรก จากหญิงสาวที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ