Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire II

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 28
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire II Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire II   Cataclysm: The Endless Hellfire II EmptyWed Aug 10, 2016 5:01 am

Cataclysm: Endless Hellfire
Act II

------------

  ณ หอคอยแห่งหนึ่งในใจกลางดินแดนแห่งโคล' ริม สิ่งปลูกสร้างที่สูงใหญ่ราวกับเป็นที่อยู่อาศัยของไททันเมื่ออดีตกาลก่อน มันเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในดินแดนแห่งทะเลทรายนี้ ใครก็ตามที่สามารถขึ้นไปอยู่บนยอดได้นั้นถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและมีปราณกล้ามหาศาล เนื่องด้วยหอคอยแห่งนี้สูงเกินกว่าที่กำลังของมนุษย์ธรรมดาจะเดินหรือปีนป่ายขึ้นมาได้ อีกทั้งยังมีปราณบริสุทธิ์ที่สร้างแรงเค้นแห่งปราณที่สามารถสร้างความกดดันต่อใครก็ตามที่อยู่ใกล้สิ่งวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ในการก่อสร้างซึ่งไม่สามารถหาได้ที่ไหนนอกจากที่นี่เท่านั้น ว่ากันว่าความสูงของหอคอยแห่งนี้นั้นสามารถทำให้ผู้ที่อยู่บนยอดสามารถเห็นทิวทัศน์จากทั่วแดนเอสซิโอนิคเลย แต่อยู่ที่ว่าสภาพอากาศจะเป็นใจให้สามารถเบิกเนตรมองดูความสวยงามของดินแดนนี้หรือจะเป็นกลุ่มพายุทะเลทรายที่บดบังทัศนวิสัยจนไม่สามารถเห็นอะไรได้เลย หากแต่ว่ามันไม่ใช่ในคืนนี้ คืนนี้มันแตกต่างออกไป ไม่มีกลุ่มพายุทรายที่โหมกระหน่ำอย่างเช่นวันก่อนๆ มีแต่เพียงลมที่พัดอย่างเอื่อยเฉื่อยและท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งเท่านั้น มันเป็นคืนหลังจากพันธนาการแห่งไซอาลอททำงานแล้ว

  บนยอดหอคอยมีชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่ ผู้ที่มีร่างกายกำยำราวกับบาบาเรี่ยนแห่งดินแดนอันไกลโพ้น ขนาดสรีระร่างกายของเฒ่าผู้นี้นั้นใหญ่เสียยิ่งกว่าชายหนุ่มรูปร่างสมส่วนประมาณสองคนรวมกันเสียอีก ชายผู้นั้นคือผู้ที่ถูกเรียกว่าเทพแห่งสงครามอสูร “โคลริม เคลย์ทิวล์” ผู้ที่สามารถโค่นมารเพลิงแห่งความตายลงได้ด้วยตัวเอง จากการต่อสู้ในครั้งนั้นทำให้ชายผู้นี้บาดเจ็บสาหัสพอควร ร่างกายของถูกพันแผลด้วยผ้าจำนวนมาก ถ้าปกติแล้วเมื่อคนทั่วไปได้รับการบาดเจ็บถึงขนาดนี้ย่อมขาดใจตายไปตั้งแต่ก่อนได้รับการเยียวยารักษาเสียอีก เหตุผลที่ชายผู้นี้สามารถยังอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้คงเป็นเพราะพลังปราณที่แกร่งเกินกว่ามนุษย์เห็นจะได้ เขามองไปรอบๆ ทิวทัศน์ที่ตนสามารถประจักษ์ได้ สูดอาการบริสุทธิ์ที่ไร้ฝุ่นทราย สัมผัสถึงกลิ่นไอดินที่ไม่สามารถรู้สึกได้ทุกๆ วัน

  ไม่นานนักก็มีอีกเสียงฝีก้าวดังขึ้นจากข้างหลังของโคลริม ฝีก้าวนั้นสามารถบ่งบอกได้ชัดเจนว่าคนที่กำลังย่างกรายเข้ามานั้นมีรูปร่างที่เล็กกว่าชายชราผู้นี้อย่างแน่แท้ เสียงมันไม่เหมือนกับยักษ์ใหญ่ที่กำลังเหยียบย่ำบนผืนดินแต่เป็นเหมือนมนุษย์ร่างเล็กที่ก้าวเท้าอย่างมั่นใจเท่านั้น ชายเฒ่าหันไปก่อนที่จะเห็นสตรีท่านหญิง ผู้ซึ่งมีรูปร่างเรียวดูสง่าเดินเข้ามาหาเขาก่อนที่จะหยุดชมทิวทัศน์ในตำแหน่งเดียวกัน

“ข้าไม่เคยคิดว่าวันนี้มันจะมาถึง...” โคลริมกล่าว
“วันอันใดหรือเจ้าค่ะ” เธอถาม
“วันที่ดวงดาวแห่งนี้จะไร้ซึ่งไฟ ชารอน...” เขาตอบ “วันนี้โลกนี้จะมีฝนที่ชะล้างเพลิงแห่งความตาย”
“ตั้งแต่เกิดมาข้าก็ไม่เคยเห็นวันไหนที่ดินแดนแห่งนี้จะไร้ซึ่งพายุทรายแห่งความสิ้นหวัง... จนถึงวันนี้” โคลริมเสริม

  เมื่อสิ้นสุดคำพูดของโคลริม ไม่นานนักฟ้าก็ร้องร่ำไห้ลงมาซึ่งหยาดน้ำที่ถูกเรียกว่าฝน มันตกลงสู่ผืนดินทั่วดินแดนแห่งนี้ ทั้งสองยังคงยืนอยู่ ณ จุดๆ เดิม ปล่อยให้หยาดฝนไหลรินผ่านสู่ร่างกาย เหมือนกับว่าพวกเขาจะดูมีความสุขมากกว่าที่จะรู้สึกถึงความเย็นของฝนมากกว่าพายุร้อนแห่งทะเลทราย

“ตามข้ามาสิ” ชายชรากล่าว

  ไม่นานนักชายเฒ่าก็เดินไปข้างในหอคอยตามด้วยหญิงสาวนามชารอน พวกเขาเดินไปตามทางเดินโล่งที่แทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากซากปรักหักพังและเสียงฝีก้าวที่ดังลั่นฮอล สักพักก็เดินไปถึงขั้นบันไดที่สูงชันราวๆ ร้อยขั้นเห็นจะได้ ตามทางลงบันไดนั้นก็มีข้าวของตกแต่งที่แปลกประหลาด ทั้งรูปที่เหมือนจะไม่ได้ร่างภาพในดวงดาวแห่งนี้เพราะมันแลดูเป็นจักรวาลเสียมากกว่า ทั้งยังมีลายลักษณ์อักษรแปลกๆ ที่ดูไม่เหมือนอักษรทั่วไปที่มนุษย์ธรรมดาบนโพรโตเนี่ยนใช้กัน ทางบันไดที่ยาวโล่งกับการไร้การสนทนาใดๆ จากบุคคลทั้งสองฝ่ายทำให้มันดูเงียบงันไปเลย สิ้นสุดบันไดมันมีห้องๆ หนึ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งคู่ มันเป็นห้องโถงที่ดูมืดสนิท มีข้าวของวางอยู่เต็มไปหมด โคลริมเดินไปหยิบคบเพลิงก่อนที่จะจุดไฟ และแขวนคบเพลิงนั้นไว้ที่มุมของกำแพงห้อง

“ที่แห่งนี้คือ...” ชารอนเอ่ยถาม
“มันเป็นสถานที่ๆ ไว้สำหรับจำศีล” โคลริมตอบ “ที่ๆ ไว้ซึ่งบุคคลที่มีหน้าที่ในการปกป้องความสมดุลของโลกเมื่อกาลก่อนใช้กัน เครื่องมือที่อยู่ต่อหน้าเจ้านั้นคือเครื่องจำศีล มีประสงค์เพื่อให้คนอย่างเราๆ สามารถเดินทางสู่อนาคตได้โดยไม่แก่เฒ่า”
“เหล่าคนที่ใช้เครื่องมือนี้ถูกเรียกว่าผู้พิทักษ์ ซึ่งมีหน้าที่ในการเฝ้าดูความเป็นไปของโพรโตเนี่ยนอย่างสงบสุข... และตัวข้าก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น” ชายเฒ่าพูดต่อ

“ท่านหรือ..” เธอเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัย

“ใช่!” เขากล่าว “ข้าไม่เคยบอกผู้ใดหรอกนะ... ข้าไม่ใช่คนจากยุคที่พวกเจ้าอาศัยอยู่ในตอนนี้”
“ข้าเป็นคนจากชนเผ่าคาดาลเก่าแก่ กลุ่มคนที่มีหน้าที่ในการดูแลโพรโตเนี่ยน และข้าก็ได้รับหน้าที่ในการปกป้องเอสซิโอนิค”

  ชายแก่พูดไปพลางกับเดินไปยังวัตถุประหลาดที่ตั้งอยู่มุมสุดของห้อง เอามือลูบคลำมัน ซึ่งวัตถุนั้นแลดูเหมือนขวดแก้วขนาดใหญ่ที่ใหญ่พอที่จะใส่ร่างของคนๆ หนึ่งเข้าไปได้

“แล้วเหตุใดท่านถึงพาดิฉันมาที่นี่กันหรือค่ะ” หล่อนถาม
“ข้าอยากให้เจ้าทำหน้าที่แทนข้า”
“ว่าไงนะค่ะ...” เธอสบถขึ้น “แต่ว่าท่าน...”
“ข้าทำไม่ได้หรอกชารอน” เขาตอบ “ในตอนนี้สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีเพียงแต่รอความตายเท่านั้น”

 ชายเฒ่ามองไปร่างกายของตนเองที่มีแต่บาดแผลจากสงคราม ถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษาที่ดี่ที่สุดแล้ว แต่ลึกๆ แล้วโคลริมก็เหมือนจะรู้สึกว่าต่อให้เขาแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่อาจที่จะเอาชนะความตายที่เปิดประตูรอตนอยู่เบื้องหน้าได้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้มันก็เป็นสิ่งที่เรียบๆ แต่หาใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ นั่นคือการยอมรับถึงสภาพของตนเอง การที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังจะถึงฆาตนั้นมันไม่ได้ดีหรอก หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากที่จะรับรู้ว่าตนจะสิ้นลมเมื่อไหร่ แต่ในเมื่อที่เขาประจักษ์ถึงสิ่งนั้นไปแล้ว การยอมรับคงจะเป็นเหตุผลที่ดีที่สุด

“ร่างกายของข้านั้นไม่สามารถอยู่ได้นานเกินเดือนหรอก” เขากล่าว “แต่เจ้า... เจ้าต่างออกไป”
“ท่านหมายความว่าอะไรหรือเจ้าค่ะ”

โคลริมค่อยๆ เดินมาหาสตรีผู้นี้ เขามองเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวัง ความตั้งใจที่มีต่อเธอ

“หากให้ข้าพูดตรงๆ คือเธอมีพลังที่เหนือกว่าตัวข้ามาก” โคลริมเอ่ย “เพียงแค่เจ้าไม่รู้ถึงขีดจำกัดของพลังมันเท่านั้น”
“ไม่สิ! เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ามีมันอยู่...”

เธอมองโคลริมด้วยความสงสัย ราวกับว่าไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดถึงคืออะไร

“ข้าจำเป็นต้องให้เธอหลับไหลเป็นเวลานาน เพื่อวันหนึ่งเจ้าจะกลับมายังโลกนี้ในอนาคต... เพื่อกาลอันหนึ่ง”
“เพื่อกาลอันใดหรือค่ะ” เธอถาม
“ไซอาลอท ไฟร์วอคเกอร์” เขาตอบ “ข้าเกรงว่าเขาจะกลับมายังโลกแห่งนี้”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ... พันธนาการของท่าน แม้นแต่เทพยังสยบใต้แทบเท้าแห่งท่าน...”

  สีหน้าของโคลริมดูจริงจัง เขาแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เขาเดินไปรอบๆ ห้อง สีหน้าที่บ่งบอกชารอนในตอนนี้มันไม่จำเป็นต้องมีวาจาใดๆ ที่ต้องมาบรรยายเลย เธอเห็นมันและรู้ว่าสิ่งที่โคลริมกล่าวนั้นไม่มีการล้อเล่นสักนิด เธอไม่เคยเห็นเขาดูสิ้นหวังแบบนี้มาก่อน แม้นว่าสงครามจะจบและมนุษย์เป็นฝ่ายกำชัยมาได้แล้ว เหตุใดเขาจึงยังคงกังวลอีกเล่า พันธนาการที่แม้แต่เทพเจ้าผู้สร้างโลกยังสยบลงสู่ใต้ฝ้าแห่งอำนาจ เธอรู้ก็จริงว่าพลังแห่งมารเพลิงตนนั้นสามารถชะล้างพลังแห่งแสงของทวยเทพจากฟากฟ้าได้ สามารถฉีกร่างอมตะของเทพให้ขาดเป็นสองเสี่ยง แต่คุกหินที่โคลริมสร้างให้กับอสูรไฟก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถหลุดออกมาง่ายๆ เธอมั่นใจว่าต่อให้ยกฟ้าแบกภูผาลงมาฟาดก็ไม่สามารถทำลายมันลงได้ แล้วเหตุไฉนผู้เป็นนายแก่เธอถึงได้กังวลถึงเพียงนี้

“ข้าไม่เคยเห็นท่านสิ้นหวังแบบนี้มาก่อนเลย..” ชารอนกล่าว
“หากไซอาลอทยังอยู่ ข้าก็ไม่สามารถยกความกังวลเหล่านี้ออกไปจากอกตัวเองได้หรอก”
“งั้นข้าจะทำหน้าที่นี้เพื่อนายท่านเองเจ้าค่ะ” เธอเอ่ยขึ้น “หากนั่นคือสิ่งที่ท่านประสงค์”

  ชายแก่ยิ้มให้แก่เธอ แต่รอยยิ้มนั่นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความสุข มันคงจะเป็นคำขอบคุณที่เขาสามารถให้ได้แค่นั้น เมื่อนั้นชายแก่ก็เดินไปยังโหลแก้วขนาดใหญ่นั้น เปล่งพลังปราณแห่งบาบาเรี่ยนลงสู่อุปกรณ์กลเครื่องนั้น กลไกของเครื่องประดิษฐ์โบราณนั้นทำงานด้วยพลังปราณแรงกล้าเท่านั้น และคนที่สามารถทำให้เครื่องมือนี้ทำงานได้ก็มีเพียงชายชราผู้นี้เท่านั้น ปราณสีทองสง่าของโคลริมที่เปล่งออกมาจากร่างของเขานั้นไม่ใช่สีปราณที่จะสามารถหากันได้ง่ายๆ มันเป็นสีบริสุทธิ์ที่ว่ากันว่ามีแต่บุตรแห่งเทพเท่านั้นที่จะครอบครองซึ่งพลังนั้น สักพักเขาก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวผู้นั้น ดึงสร้อยคอของตัวเองที่เคยใส่มาอยู่นับนาน มันมีสีทองเช่นเดียวกับปราณของชายผู้นี้ เขายื่นสร้อยทองนั้นให้แก่เธอ วางลงบนมือก่อนที่ทำกำมือของเธอไว้

“เก็บมันไว้...” เขากล่าว
“มันคืออะไรหรือเจ้าค่ะ?” เธอถาม
“สิ่งที่จะควบคุมเธอ จากความบ้าคลั่งแห่งปราณเธอเอง”
“เธอจงวำไว้ว่าหากเธอตื่นจากกลับหลับไหลเป็นเวลานาน สติและสัมปชัญญะจะอยู่ไม่คงที่” เขาเสริม “เมื่อใดก็ตามที่ปราณควบคุมจิตใจเธอ จงใช้มัน”

“ควบคุมจิตใจของข้า..”

  ไม่นานนักโคลริมแห่งคาดาล ผู้ซึ่งถูกขนานว่าเป็นบุตรแห่งเทพ ชายผู้ที่เป็นคนโค่นมารเพลิงแห่งเอสซิโอนิคก็คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ แสดงความเคารพอย่างที่เธอไม่ได้เคยรับมาก่อนจากชายผู้นี้ สิ่งที่ประจักษ์ต่อชารอนทำให้เธอไร้คำพูดที่จะมาบรรยายถึงสิ่งที่เห็น ตลอดเวลาที่เธอร่วมสงครามกับชายผู้นี้ เธอไม่เคยเห็นการให้ความเคารพจากชายเฒ่าที่ดูศิโรราบเช่นนี้มาก่อน

“ท่านไม่เห็นต้องทำ...”
“ข้าก็แค่ชายแก่เท่านั้น... แต่เจ้าชารอน เจ้าคือความหวังของโพรโตเนี่ยน”
“ดูแลดาวดวงนี้แทนข้าด้วย”

------------

  มันเป็นความคิด ความทรงจำจากอดีตที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เธอมองเห็นมันแต่นึกคิดถึงมันแต่ไม่สามารถที่จะควบคุมจิตใจตนเองเอาไว้ได้ พลังปราณของหล่อนค่อยๆ เอ่อล้นออกมาราวกับว่ามันปะทุจากเส้นเลือดและรูขุมขนทุกจุด แต่สีหน้าของหล่อนดูไม่ค่อยที่จะสู้ดีนัก ชายผู้ที่ถูกพันธนาการแส้สามารถเห็นมันได้ถึงแม้ว่าจะลางๆ ก็ตามที มันเป็นสีหน้าของคนที่กำลังสู้กับพลังของตัวเอง พลังที่ไม่สามารถที่จะควบคุมได้ตลอดเวลา กล้ามเนื้อของสตรีปริศนาเกร็งไปหมด นั่นทำให้เนลเรี่ยนเริ่มหาวิธีที่จะหลุดออกจากเส้เถาวัลย์ที่รัดร่างของเขาจนเลือดไหลนี้ เขาเริ่มใช้มีดเส้นในการตัดเส้นั่นแต่เธอเหมือนจะไม่มีการตอบโต้ใดๆ เลยแม้แต่น้อย แต่จู่ๆ หญิงผู้นี้ก็เหวี่ยงชายผมทองจนหลุดออกจากพันธนาการ ร่างกายของนักปราชญ์กระแทกกับกำแพงอย่างจัง เขาเริ่มลุกขึ้นมาช้าๆ กุมหัวด้วยความมึนก่อนที่จะมองหล่อนที่กำลังกรีดร้อง กุมขมับไว้แน่นราวกับทรมาณ สภาพแบบนั้นมันดูไม่ต่างจากคนที่กำลังสู้กับพลังตัวเองอยู่

“กลิ่นปราณแบบนั้น...” เขากล่าว “ลมปราณของเธอแตกซ่าน!”
“ท่าไม่ดีแล้วแฮะ..” เขาสบถต่อ

  เมื่อนั้นพลังธาตุแห่งลมของเธอก็ระเบิดออกมา มันหนักหน่วงเสียยิ่งกว่าครั้งแรกที่เนลเรี่ยนได้สัมผัสมันเสียอีก ด้วยความที่เนลเรี่ยนรับรู้ถึงมันก่อนที่หล่อนจะระเบิดพลังนั้นออกมา เขาจึงใช้ปราณน้ำแข็งคลุมกายไว้เพื่อที่จะใช้เป็นการป้องกันตัว แรงลมเมื่อครู่นี้นั้นหากเป็นร่างของคนธรรมดาที่ไร้ปราณใดก็คงขาดเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว แต่ถึงจะใช้ปราณในการเป็นเกราะกำบัง ร่างกายของเขาก็ยังคงได้รับบาดแผลและปลิวออกไปราวกับกระดาษที่อยู่ในพายุ ชายผมสีทองลุกขึ้นมา เขาโดนเตะเข้าที่ท้องอีกครั้ง แล้วเส้ที่เต็มไปด้วยเลือดของปรปักษ์ก็ถูกกวัดแกว่งสอดคล้องกับแรงลม ท่วงท่านั้นทำให้ด้านหน้าของหล่อนได้รับการป้องกันจากปราณน้ำแข็ง ซ้ำยังเป็นการโจมตีให้คู่ต่อสู้ถึงฆาตได้ ชายผมทองใช้มือทุบลงไปกับพื้นก่อขึ้นมาซึ่งกำแพงน้ำแข็ง มันสามารถป้องกันปราณลมได้เป็นอย่างดี ไม่นานนักกำแพงเหล่านั้นก็ปล่อยกระสุนคมกริบราวกับคมมีด มันเป็นกระสุนน้ำแข็งจากออร่าของเนลเรี่ยน ห่าฝนที่ถูกยิงออกไปนับพันพุ่งเข้าไปร่างของสตรีผู้นั้น แต่เธอก็สามารถสะบั้นกระสุนเหล่านั้นได้ทุกลูก ไร้ซึ่งคำว่าพลาด

  เนลเรี่ยนโยนมีดสั้นพุ่งเข้าไปหาหล่อน เธอหลบมันไปได้และอาศัยความเร็วนั้นหยิบมีดของชายผมทองทันที แต่ปฏิกริยาของชายหนุ่มกลับแสดงออกมาซึ่งความคาดหวังที่สำเร็จ เขายิ้มมุมปากก่อนที่จะเอามือผสานกัน มีดเล่มที่ถูกปรปักษ์จับเอาไว้กลายเป็นน้ำแข็งและกระจายออกไปทั่วแขนของเธอ มันทำให้การโจมตีพายุของเธอสะดุดและเสียสมดุลในการควบคุมร่างกาย เนลเรี่ยนวิ่งเข้าไปใช้มีดอีกเล่มแทงเข้าที่ร่างของเธอ “ฉึก!” ใบมีดเสียบเข้าไปที่เอวขวาซะมิดด้ามแต่เขาไม่สามารถดึงมันออกมาได้ เธอเห็นแบบนั้นจึงใช้แบนที่ถูกแช่แข็งฟาดเข้าใส่ชายผมสีทอง เขาปลิวออกไป เธอหยิบมีดที่แทงอยู่เอวของหล่อนออกโดยที่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด ทันใดนั้นหญิงผู้นั้นก็โยนมีดเล่มนั้นเข้าที่ไหล่ซ้ายของเนลเรี่ยนอย่างจัง เธอเปล่งปราณไปที่แขนที่เต็มไปด้วยปราณน้ำแข็ง เมื่อนั้นก็มีเสียงที่ดังราวกับค้างคาวที่กรีดร้องในยามราตรี เหล่าน้ำแข็งที่จับตัวอยู่ที่แขนของหล่อนแตกเป็นเสี่ยง

  หญิงผมสีแดงผู้นั้นรุดตัวเข้าไปหาเนลเรี่ยนใช้แส้รัดคอของเขาและฟาดหัวของหนุ่มผมลงกับพื้น ชายหนุ่มพยายามจะลุกขึ้นมาแต่ก็ถูกเท้าของหล่อนเหยียบหน้าลงไป ชายหนุ่มยื่นมือไปหามีดสั้นเล่มนึงที่หล่นอยู่กับพื้น แต่ดูเหมือนว่าแขนของเขาจะไม่สามารถเอื้อมถึงได้ เธอก้มลงมองเห็นการกระทำของเขาจึงใช้แส้สะบัดมีดกระเด็นออกไป สีหน้าของเขาแสดงออกมาซึ่งความโกรธและสิ้นหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่หญิงผู้นี้กลับชอบใจ ใช้เท้าของเธอขยี้ใบหน้าของชายผู้นี้ ทันใดนั้นเองที่ผืนดินก็มีแท่งน้ำแข็งแหลมคมพุ่งออกมา หญิงสาวผมแดงรีบอาศัยจังหวะนั้นหลบออกไป เธอถอยกลับไปตั้งฉากในขณะที่หนุ่มปราณน้ำแข็งจะจับแหลมเยือกแข็งเหล่านั้นและหักมันลง สภาพของน้ำแข็งที่ถูกหักในมือของเขาค่อยๆ แปลงรูปเป็นมีดแต่ที่ต่างก็คือน้ำแข็งมันไม่ได้เป็นผลึกสีใสเหมือนเครื่องคราวก่อนแต่มันเป็นสีดำทมิฬ เขาหันกลับไปมองเธอและเห็นอะไรเปล่งประกายเป็นสีทองคำ ที่คอของหล่อน... มันมีอะไรบางอย่างอยู่

“สร้อยนั่น...” เขาบ่นขึ้นมาเบาๆ
“นั่นมันสร้อยแห่งดาดาลนี่หน่า”

  เขาตกตลึงกับสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่ต่อหน้า ราวกับว่ามันเป็นของที่ไม่ใช่จะมีกันง่ายๆ ในยุคปัจจุบันนี้ เมื่อนั้นสตรีผู้นั้นก็พุ่งเข้าไปหาเนลเรี่ยน หวดแส้เป็นสัญลักษณ์กากบาทขนาดใหญ่จนเกิดแรงดันอากาศตามสัญลักษณ์ วิชานั้นราวกับเป็นการแหวกฟ้าพ่นพายุออกไปใส่ศัตรูจนถึงแก่ความตาย ชายหนุ่มผมทองสามารถหลบมันไปได้อย่างหวุดหวิด เขาใช้มีดน้ำแข็งนั้นฟันเข้าไปที่ใบหน้าของเธอ มันเกิดรอยแผลเล็กๆ เธอส่งยิ้มให้แก่ชายหนุ่มก่อนที่จะเปล่งพลังลมออกจากฝ่ามือ เนลเรี่ยนยั้งตัวไว้ได้จึงไม่ปลิวออกไปไกลเท่าไหร่นัก

“นึกว่าไอ้สร้อยนั่นมันเป็นแค่ตำนานซะอีก.. ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้มาเจอจริงๆ” เขาคิดในใจ
“แต่ว่า... ผู้ใดก็ตามที่ครอบครองมันย่อมแสดงว่ามีปราณที่ล้นฟ้าทลายเมฆได้เลย”
“การที่หล่อนมีของแบบนั้นก็เท่ากับว่าการคุมปราณยังไม่เสถียร ผลที่ออกมาจึงเป็นลมปราณแตกซ่านอย่างที่เรากำลังเห็นอยู่”
“ถ้าสู้กันด้วยฝีมือและปราณเราไม่อาจเอาชนะได้แน่...”
“ถ้างั้นมันก็เหลือแค่หนทางเดียวเท่านั้นล่ะนะ”

  ระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดถึงหนทางที่จะโค่นผู้หญิงคนนี้อยู่ แต่แล้วเธอก็ค่อยๆ เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ราวกับกำลังเริงรมย์กับการต่อสู้นี้

“ข้ายอมรับนะว่าเจ้าสามารถทำให้ข้าพึงพอใจได้... แต่มันจะจบลงตรงคราวนี้ล่ะ!” เธอตะโกนกล่าวขึ้น

“ยัยนี่... แยกไม่ออกเลยว่าสติและสัมปชัญญะยังอยู่รึเปล่า” เขายังคงคิดในใจ คาดคะเนถึงความเป็นไปได้ที่จะชนะเธออยู่
“การโจมตีแบบธรรมดาก็ไม่ได้ผล จะฆ่าเลยก็ไม่ได้เพราะนั่นจะทำให้ปราณคุมร่างเธอ”
“ขืนทำแบบนั้นคงได้สู้กับศพเดินได้จนตายไปเสียเองก็ได้”
“หนทางเดียวที่จะสามารถเอาชนะได้คือต้องทำให้สร้อยคอนั่นทำงานและควบคุมปราณเธอซะ”
“ไม่เหลือทางแล้ว! คงต้องลองเสี่ยงดูแล้วกัน”

  คราวนี้นักปราชญ์เป็นฝ่ายรุดตัวเข้าไปจู่โจมก่อน เขาใช้มีดน้ำแข็งแทงเข้าไปสู่ร่างของเธออีกครั้ง เธอหลบมันไปได้อย่าง่ายดายและก็ถูกปราณลมซัดออกไปอีกครั้ง เนลเรี่ยนลุกขึ้นมาเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากปากก่อนที่จะยิ้มราวกับว่าอยู่ในตำแหน่งที่ตนต้องการ เพราะใกล้ตัวเขานั้นมีมีดสั้นสองเล่มประจำตัวที่ถูกเธอซัดออกไป เขาหยิบมันขึ้นมา ทำท่าตั้งรับเพื่อรอการโจมตีครั้งต่อไป เธอพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้เป็นเท่าตัว ต่อยเข้าที่ช่วงท้องของเนลเรี่ยน เขาพยายามจะรับหมัดนั้นแต่เหมือนว่ามันจะเร็วเกินไป เธอรัวหมัดโดยมีจุดโจมตีหลักเป็นช่วงลำตัวของชายหนุ่ม การโจมตีเหล่านั้นเริ่มรัวและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของชายผมทองปลิวไปติดกับมุมกำแพง ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่ถอยฉากออกไป เธอรุดตัวเข้าไปรุนแรงกว่าเดิมแต่ทันใดนั้นเองเขาก็ใช้มีดสั้นทั้งสองแทงเข้าไปที่ไหล่ทั้งสองของเธอทันที

“เสร็จข้าล่ะ!” ทั้งสองกล่าวพร้อมกันเป็นการบ่งบอกว่าจะเผด็จศึก

  หญิงผมแดงใช้มือข้างขวาต่อยเข้าไปกลางไหล่ของชายผมสีทอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะจู่โจมไปยังกลางจุดตายได้ ร่างกายของเธอหยุดชะงักและไม่สามารถสั่งการได้อย่างใจนึก เธอมองไปรอบๆ ก็พบกับว่าร่างของเธอถูกแช่แข็งไปทั่วตัว จุดศูนย์กลางของออร่าน้ำแข็งเปล่งออกมาจากมีดทั้งสองเล่มของชายหนุ่ม เขาค่อยทรงตัวขึ้นมา มองไปยังหญิงสาวที่ยังบ้าคลั่งไม่หยุด

“งานยากเหมือนกันแฮะ” เขากล่าวก่อนที่จะมองไปหาเธอ “ได้เวลาจัดการเรื่องสักที”

  เขาจับสร้อยคอของหล่อน เปล่งพลังปราณออกมา สร้อยคอนั้นค่อยๆ แปล่งแสงออกสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้สวมใส่แต่ถึงกระนั้นเหล่าปราณร้ายที่แตกซ่านก็ค่อยๆ ถูกดูดซึมเข้าไปในสร้อย ร่างกายของสตรีผมแดงเริ่มอ่อนแรงลง กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราสง่าถูกแช่แข็งราวกับว่ารอวันให้ชายหนุ่มมาปลดพันธนาการเธอ หนุ่มผมทองมองทรวดทรงของเธอไปสักพักก่อนที่จะนั่งลงด้วยความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดจากการต่อสู้ เขาเก็บมีดทั้งสองเข้ากระเป๋า ระหว่างที่กำลังกระทำกิจกรรมนั้นอยู่เขาก็รับรู้ได้ว่าสิ่งของชิ้นหนึ่งที่เป็นเหมือนของสำคัญในกระเป๋าของเขาชำรุดเสียหาย เขาหยิบมันออกมา มันเป็นหนังสือเก่าที่เขาเพิ่งอ่านไปเมื่อครู่ สภาพของมันขาดยับเยิน เขาถอนหายใจแสดงอาการเสียดายออกมา

“ให้ตายสิ!” เขาสบถมันขึ้นมา “แล้วฉันจะเอาอะไรอ่านตอนกลับไปสตอร์มโฮล์มล่ะเนี่ย”

เขามองไปที่ร่างของสตรีผมแดงอีกครั้ง เหมือนกับจะทำท่าไม่พอใจเล็กน้อยใส่เธอก่อนที่จะบ่นให้

“เป็นเพราะเธอคนเดียวเลยนะเนี่ย” เขาบ่นไปพร้อมกับยกไหล่ทั้งสองข้างขึ้น
“แล้วฉันจะทำยังไงกับเธอดีล่ะเนี่ย”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire II
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire XIV
» Cataclysm: The Endless Hellfire XXX
» Cataclysm: The Endless Hellfire XV
» Cataclysm: The Endless Hellfire XVI
» Cataclysm: The Endless Hellfire I

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: