Cataclysm: Endless Hellfire
Act IV
------------
ยามราตรีรัตติกาลแห่งดินแดนสตอร์มโฮล์ม เหล่าสามัญชนที่พากันครึกครื้นเมื่อช่วงกลางวันก็ต่างพากันลดหายไป ความเงียบงันแห่งราตรีได้เข้าครอบงำสู่ดินแดนแห่งนี้ เสียงนกน้อยที่ขับร้องเพลงแห่งตะวันได้กลายเป็นเสียงเหล่าแมลง สัตว์ปีกที่ออกหากินตอนกลางคืนและเสียงฝีของผู้สวมเกราะรักษาความปลอดภัยในตัวเมือง ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดแสงอาบร่างของเหล่าทหารเฝ้าแผ่นดินที่ทำหน้าที่ประจำการอยู่แต่ละส่วนของเมืองที่คอยระวังไม่ให้เกิดสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นภัยจากเหล่าหมอผีนักบาปที่มุ่งร้ายจะทำให้โลกวุ่นวายหรือจะเป็นเหล่ากลุ่มโจรที่อาศัยเงามืดในการดำเนินงาน แม้กระนั้นก็ยังมีเสียงของเหล่าผู้เดินทางที่เริงรมย์ไปกับแหล่งพักผ่อน ไม่ว่าจะโรงเบียร์หรือโรงเตี๊ยมก็ตามที เหล่าเด็กๆ ที่ดื้อซนถูกมารดาเรียกกลับเข้าบ้านด้วยความที่เกรงว่าลูกน้อยของตนจะเป็นอันตรายจากภัยแห่งความมืดมิด หรือเสียงกรนของผู้เป็นบิดาที่เหนื่อยล้าจากการรับใช้ราชการมาทั้งวัน นั่นคือสิ่งที่มันเป็นอยู่ทุกคืนในแผ่นดินแห่งนี้
ณ บ้านพักแห่งหนึ่งที่ถูกปิดทางเข้าทุกอย่างโดยสมบูรณ์เหมือนกับพยายามที่จะไม่ใช่สิ่งใดนอกเสียจากลมพัดจากภายนอกที่เข้าสู่ช่องว่างใต้ประตูเท่านั้น ข้างในหาได้มีแสงจันทร์แผ่เข้าไปได้ เนื่องเพราะผ้าม่านที่ดูสวยหรูได้ปกปิดจันทราจนมืดมิด ภายในตัวบ้านหลังนี้มืดมิดจนไม่สามารถมองอะไรเห็นได้ นอกเสียจากว่าดวงตาจะสามารถปรับสภาพให้สามารถมองความมืดได้ดีขึ้นเสียเท่านั้น เหมือนว่าบ้านหลังนี้จะเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับหนึ่งบุคคลเท่านั้นและที่ห้องนอนก็เป็นสถานที่ๆ เจ้าของผู้อาศัยกำลังหลับไหลอยู่ ไม่สิ มันเหมือนว่าเขาพยายามที่จะทำตัวเองให้หลับเสียมากกว่า บนเตียงนั้นมีชายหนุ่มผมสีดำนอนราบขนานกับที่นอน ข้างเตียงนั้นมีชั้นวางของเล็กๆ ไว้เพื่อวางสิ่งของจำเป็นที่จะหยิบใช้เมื่อตนตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความจริง บนชั้นวางของนั้นมีเพียงแค่นาฬิกาเข็มกลไกเครื่องเล็กตัวหนึ่ง มันถูกสร้างด้วยไม้ชั้นดีและทองแท้ที่เข็มและเครื่องกลภายใน บ้างก็มีการใช้เหล็กคุณภาพสูงเป็นตัวช่วยเหมือนกัน ข้างนาฬิกาเรือนเล็กนั้นก็มีแว่นตากลมที่เป็นเครื่องมือช่วยในการมองเห็นของเจ้าของบ้านหลังนี้
ภายในห้องนอนนั้นแลดูเงียบสงัดแต่มันก็ไม่เชิงซะทีเดียว ไม่นานนักก็เกิดเสียงขึ้นมาจากเตียงไม้ตัวนั้น ผู้นอนดิ้นไปมาราวกับกำลังทรมาณกับการหลับไหลประจำวัน เขาหายใจถี่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเริ่มดังขึ้น แต่การที่เขาทำแบบนั้นหาใช่เพราะลมอากาศที่เข้าไปไม่ถึง มันเหมือนกับว่าเขาถูกบุรุษในเงามืดรัดคอจนถึงแก่ฆาตเสียมากกว่า ไหนจะทั้งร่างกายที่เริ่มขับเหงื่อออกมา แต่นั่นก็หาใช่เพราะอากาศประจำคืนนี้ร้อนอีก ชายผมดำพยายามที่จะเปลี่ยนท่าการนอนเพียงทำให้ตัวเองสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เหมือนดั่งว่าจิตของเขาในโลกแห่งความฝันจะปั่นป่วนจากอะไรสักอย่าง จากการวิตกกังวลจนมากเกินไปหรือเป็นเพราะพลังอำนาจแห่งปราณกันแน่ ไม่ว่าเขาจะพยายามนอนคว่ำ หงายหรือแม้แต่ตะแคงตัวก็ไม่สามารถดึงตัวเองเข้าสู่ความฝันได้
“มะ.... ไม่!” จู่ๆ ชายหนุ่มผมดำก็สบถขึ้นมา
เขาพยายามที่จะปิดตาตัวเองแต่มันดูไม่เหมือนการที่จะพยายามทำตัวให้หลับเลยสักนิด มันดูคล้ายกับว่าเขาไม่อยากเห็นอะไรเสียมากกว่า
“ไม่ใช่! มันต้องไม่ใช่แบบนั้น!” เขาตะโกนคนเดียวท่ามกลางความมืด ปิดตาตนจนแทบจะเป็นการบีบน้ำตาออกจากเนตร
“มันไม่ใช่ความจริง!”
ชายผู้นั้นใช้แขนทั้งสองกอดรัดร่างกายของตนไว้แน่น มือทั้งสองข้ากำไหล่ที่สัมผัสจนก่อปราณอ่อนๆ ออกมาที่มือ มันเป็นปราณทมิฬที่กลมกลืนไปกับความมืด แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถมองเห็นได้เหมือนกับควันอ่อนในโลกสีดำ แม้ว่าแขนทั้งสองข้างจะเปล่งปราณที่ดูดุดันน่ากลัวดั่งความตายออกมาก็ตามที มันกลับทำให้ร่างกายของเจ้าของบ้านผู้นี้สั่นไปด้วยความกลัว
“เจ้า...” มันเป็นเสียงลากยาวเสียงหนึ่งที่ดูน่ากลัวดังขึ้นมาในหัวของชายผมดำผู้นี้ “ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ...”
“หยุด! ออกไปจากความฝันของข้าสักที!”
“เหตุใดเจ้าถึงต้องไล่ข้าออกไปจากนิมิตแห่งเจ้าด้วยล่ะหืม? ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายที่จะบุกรุกในนิมิตแห่งข้าเสียก่อนเอง” เสียงนั้นกล่าว
“ข้าไม่ได้...” ชายผมดำทักท้วง
“ไม่งั้นหรอ?”
เสียงกระซิบนั้นยังดันกังวานในหูทั้งสองข้างของหนุ่มผู้นั้น แม้ว่าเขาจะนอนตะแคงเพื่อให้หูข้างหนึ่งโดนทับด้วยร่างกายเพื่อที่จะไม่ให้เสียงใดๆ เล็ดลอดเข้าไป แต่มันก็ไม่ได้ผลอยู่ดี เพราะต้นตอของเสียงนั้นเกิดขึ้นด้วยจิตแทนที่จะเป็นกาย เจ้าของบ้านกัดฟันด้วยความทรมาณ ท่าทางของเขาเหมือนกับกำลังเจ็บปวดจากเข็มปราณนับพันที่ค่อยๆ ทิ่มแทงเข้าไปทั่วรูขุมขนที่มีทั้งหมดในร่างกาย ไม่นานนักปราณที่แขนทั้งสองข้างนั้นก็เริ่มไหลรั่วออกมา มันเริ่มปกคลุมร่างกายราวกับจะกลืนกินเจ้าของร่างเสียเองซะด้วยซ้ำ
“ลูเซียส...” เสียงนั้นลากยาวเป็นนามของผู้ฟัง “ทำไมเจ้าต้องพยายามที่จะกีดกันข้าด้วย?”
“เพราะข้าไม่ต้องการให้เจ้าเข้ามาอยู่ในหัวของข้า!” เขาตะโกนตอบด้วยกาย หาใช่จิต พยายามจะสื่อสารกับเสียงๆ นั้น
“มันเป็นธรรมงั้นหรือ? ในเมื่อตอนกลางวันแห่งโพรโตเนี่ยน เจ้ากลับเป็นฝ่ายที่รุกรานตัวข้าเสียก่อน”
“ที่ข้ามาที่นี้ก็เพื่อที่จะเยี่ยมเยือนเข้าอย่างที่เจ้าทำกับข้าไปวันนี้ก็เท่านั้น” เสียงนั้นยังคงกล่าวต่อไป
เสียงอันน่ากลัวในหูของลูเซียสนั้นเริ่มก่อเกิดเป็นภาพในโลกแห่งความฝัน ปราณสีแดงฉานราวกับโลหิตของเหล่าผู้ถูกฆ่าตายอย่างทรมาณก่อตัวเป็นโครงๆ หนึ่ง เหล่าเซลล์ที่ก่อตัวโดยปราณสร้างเนื้อเยื่อ กลายเป็นอวัยวะ และเหล่าอวัยวะเหล่านั้นก็เชื่อมต่อจนเป็นกายาของมนุษย์ มันเป็นร่างกายที่ดูใหญ่โตกว่าคนปกติ ทั่วร่างของร่างๆ นั้นถูกปกคลุมไปด้วยปราณสีแดงอ่อนๆ ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า มันเป็นร่างของชายคนหนึ่งที่สาดแสงด้วยเพลิงแห่งความตาย มันยิ้มมาหาร่างจิตเจ้าของโลกนิมิต สายตาที่ปล่อยเพลิงโลกันต์ส่องแสงออกมาจ้องไปที่ลูเซียสราวกับจะมองทะลุถึงวิญญาณ ชายหนุ่มผมสีดำที่อยู่ในหัวตัวเองตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคย สิ่งที่เขาเพิ่งได้ประจักษ์เมื่อเช้านี้ มันเป็นชายในมิติแห่งดาบขององค์กษัตริย์ที่เขาเข้าไป มันเป็นชายที่อยู่ในหนังสือเก่าแก่เมื่อครั้งบ่ายที่ราชาแสดงให้เห็น มันคือชายผู้ที่ถูกเรียกว่าความตายทั้งปวงของสิ่งมีชีวิตแห่งโพรโตเนี่ยน มันคือมารที่มีนามว่าไซอาลอท ไฟร์วอร์คเกอร์
มารตนนั้นค่อยๆ เดินไปด้วยขาตนอย่างไม่เร่งรีบแม้ว่าระยะของเขาจะอยู่ไกลจากร่างจิตเจ้าของโลกแห่งนิมิตนี้ ร่างจิตของลูเซียสค่อยๆ ถอยฉากออกไปด้วยความกลัว ขาที่สั่นราวกับไม่มีแรงกระทั่งจะยืนฝืนที่จะย่างถอยหลังไป แม้มารตนนี้จะเดินไปอย่างเชื่องช้าก็ตามทีแต่ทุกฝีก้าวที่เขาย่างกรายนั้นกลายเป็นรอยไหม้ที่ผืนดิน มิติความฝันสีขาวราวกับห้องโล่งเริ่มลุกไหม้และก่อเกิดเป็นผืนดินที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยเพลิงที่สามารถเผาร่างของใครก็ตามที่เหยียบลงในพริบตา ไม่ทันไรเจ้าของมิตินั้นก็หยุดเดินถอยหลัง ราวกับว่าในตอนนี้เขาไม่ใช่ผู้ที่ควบคุมจิตแห่งตนแล้ว มารตนนั้นยังส่งยิ้มให้ ริมฝีปากของไซอาลอทนั้นแห้งกร้านจนแตกออกเป็นแผลไปทั่ว แผลเหล่านั้นหาได้มีเลือดที่ไหลรินออกมาแต่เป็นลาวาข้นจากภูเขาไฟที่ปะทุออก
“เจ้ากลัวข้างั้นหรือ?” มารตนนั้นกล่าว “ไม่ยินดีเลยรึไงที่ข้ามาเยือนที่โลกของเจ้าบ้าง?”
ลูเซียสไม่ได้กล่าวอะไรตอบกลับไปเลย ราวกับว่าร่างกายของเขาในตอนนี้ถูกสาปให้กลายเป็นหินยังไงยังงั้น
“คะ... ใครกันที่จะไป... ยินดีกับแขกแบบเจ้ากัน?!” ลูเซียสตะโกนกลับไป
คำพูดนั้นทำให้มารเพลิงหยุดขยับ สีหน้าของเขาดูเหมือนกับไม่พึงพอใจในวาจาของลูเซียสเลยสักนิด แต่ไม่ทันไรเขาก็แสยะยิ้มอีกครั้ง
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะเสียมารยาทกับข้ามากเกินไปแล้วนะ...” มารเพลิงกล่าว “ข้าหมายถึง... ข้าคือผู้ให้กำเนิดเจ้าเชียวนะ”
“หรือจะให้พูดว่าบิดาของเจ้าดี?” ไซอาลอทเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“แกไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดฉัน! แกไม่ใช่พ่อของฉัน! แกไม่มีความผูกพันอะไรกับฉันสักนิด!”
“หรอ?” อสูรในร่างมนุษย์เพลิงสบถราวเป็นการเย้ย
“เจ้าก็ได้ยินนิลูเซียส... ถ้าข้าจำไม่ผิด องค์ราชาของแกเป็นคนกล่าวมันเองกับปากนะ”
วาจานั้นทำให้เจ้าของมิติแห่งความฝันนี้ถึงกับพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่เขาพูดขึ้นมามันก็เป็นความจริง เขาได้รับฟังมาจากโครนอสด้วยตัวเองจากความต้องการของตน แต่ไอ้ความจริงแบบนั้นใครมันจะไปอยากที่จะยอมรับมันล่ะ แม้ว่าผู้ให้กำเนิดจะมีประสงค์ใดๆ ก็ตาม ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะสามารถใช้ปราณที่สามารถทำลายล้างโลกได้อย่างที่มารเพลิงหวังก็ตามที ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่กำพลังสุดยอดไว้ แต่ความจริงเหล่านั้นมันทำให้เขากลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เลยสักนิด ถ้าเขายอมรับมัน.. มันก็ไม่ต่างอะไรกับยอมรับว่าตัวเองคืออสูรเลยสักนิด เขาไม่อยากเป็นสิ่งนั้น เขาไม่อยากเป็นแบบนั้น เขาไม่อยากที่จะมามีพลังบ้าบออะไรแบบนี้เสียด้วยซ้ำ! มารเพลิงสังเกตสีหน้าของลูเซียสที่แสดงความหวาดกลัวและวิตกกังวลออกมาอย่างชัดเจน สีหน้าท่าทางเหล่านั้นมันแทบจะทำให้ไซอาลอทดูออกเสียด้วยซ้ำว่าลูเซียสกำลังนึกคิดอะไรอยู่
“อะไรกัน? ไม่เห็นต้องจงเกลียดจงชังพลังของตนถึงขนาดนั้นเลยนิ” มารร้ายกล่าว
ประโยคนั้นยิ่งทำให้หนุ่มผมสีดำตื่นตะหนกขึ้นไปอีก นี่มันจิตของเขานะ แต่ทำไมผู้บุกรุกเช่นมารร้ายตนนั้นถึงสามารถหยั่งรู้สิ่งที่เขาคิดได้ล่ะ
“น่าขำนะ” มารเพลิงกล่าวขึ้นต่อ
“ที่เหล่าสิ่งมีชีวิตโสโครกเช่นมนุษย์มักจะคิดให้ตัวเองเป็นคนที่ดีแสนดีทั้งๆ ที่พวกเจ้าทั้งหลายก็มีพลังร้ายกันหมด”
“ทำไมพวกเจ้าต้องใส่หน้ากากเพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนมีศีลธรรม” เขากล่าวต่อ “ในเมื่อทุกคนมันก็เป็นมารร้ายกันหมดนั่นล่ะ!”
“และตัวเจ้าลูเซียส... เจ้าก็เป็นมารร้ายที่ใส่หน้ากาก”
“ทำไมเจ้าถึงไม่ถอดมันและยอมรับถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นกันล่ะ?” ไซอาลอทเอ่ยถาม อ้าแขนออกแสดงให้เห็นว่าตัวเขาต้อนรับลูเซียสสู่ความเป็นจริง
“ไม่! ฉันไม่ยอมรับมันหรอก!” ลูเซียสกัดฟันพูดออกไป “ข้าเป็นมนุษย์นะ”
วาจานั้นสร้างความงุนงงแก่จอมมารก่อนที่มันจะระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับเป็นเรื่องตลก ทุกเสียงหัวเราะที่เปล่งออกมาสร้างความพิโรธให้แก่จิตของชายผมดำ เหมือนกับว่าเขากำลังโดนเสียงเหล่านั้นและความจริงบ้าบอนั่นกดดันอยู่ ไซอาลอทจ้องมองเจ้าของมิติแห่งนี้ด้วยความเริงรมย์ ยังส่งยิ้มที่น่ารำคาญนั่นตลอด ลูเซียสเริ่มที่จะทนกับสิ่งเหล่านี้ไม่ไหว จู่ๆ เขาก็ปล่อยให้เมือกสีดำที่เป็นพลังปราณแห่งบาปของเขาไหลรินออกมาจากมือทั้งสอง โคลนที่ดูอัปลักษณ์เหล่านั้นก่อตัวเป็นลูกบอลก้อนกลมสองลูกก่อนที่มันจะพุ่งเข้าสู่ร่างของมารเพลิง แต่บอลโคลนสีดำลูกหนึ่งก็สลายไปทันทีจากการที่มารเพลิงแค่มองมันเท่านั้น บอลอีกลูกยังพุ่งตรงไปด้วยความเร็วเทียบเท่ากับกระสุนปืน หวังที่จะทลายร่างของอสูรตนนี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆ ไซอาลอทไม่ได้คิดที่จะหลบมันเลย กลับกันเขากลับยืนนิ่งไร้ปฏิกริยาใดๆ เพียงชั่วพริบตามมารเพลิงก็ใช้หัตถ์โลกันต์จับบอลนั้นได้ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าหลายขุม มันสร้างความตกตะลึงให้แก่เจ้าของพลังเหมือนกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นคนที่สามารถรับบอลปราณสีดำนั่นได้
ไซอาลอทใช้มือเพียงข้างเดียวในการรับบอลแห่งความตาย ก่อนที่เขาจะจ้องมองมันด้วยความสงสัย รอยยิ้มนั่นยังคงแสดงอยู่บนใบหน้าของมารเพลิงราวกับเขาไม่กลัวพลังสีดำนั่นเลยด้วยซ้ำ ไม่นานนักเขาก็ใช้มือเพลิงนั้นบีบลูกบอลเมือกนั่นเบาๆ บอลนั่นส่งเสียงร้องดังราวกับสัตว์ที่ถูกทรมาณเจียนตาย เมื่อนั้นโคลนสีดำนั่นก็ค่อยๆ จับตัวแห้งเหมือนกับโดนดูดน้ำจนหมด มีรอยแตกที่เปล่งแสงเพลิงอันน่ากลัวออกมา
“นี่หรอคือสิ่งที่พลังที่เจ้าเรียกว่าดูบาร์นน่ะ?” มารเพลิงเอ่ยถาม “มันช่างดูสวยงามเสียจริงๆ”
“แต่มันก็เป็นพลังบาปที่เกิดขึ้นมา... จากโลหิตแห่งข้าล่ะนะ!” สิ้นสุดวาจานั้นเขาก็บีบพลังนั้นจนแตกกลายเป็นผง
ลูเซียสแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ประจักษ์เลยสักนิด ตาของเขาเปิดกว้าง ปากของเขาอ้าสั่นไปด้วยความกลัว ไซอาลอทที่เห็นแบบนั้นก็ย่างกรายเข้าไปหาเจ้าของมิติแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง ชายผมสีดำแปลงสภาพพลังเมือกของตนเป็นกระสุนนับพันพุ่งเข้าไปหามารเพลิงตนนั้น แต่ไม่ทันไรมันก็หยุดตัวกลางอากาศราวกับเป็นการขัดคำสั่ง เหล่ากระสุนโคลนนั้นถอยกลับไปที่ร่างของลูเซียส รวมตัวเป็นเมือกและถูกซัดไปโดนขาทั้งสองข้างของเจ้าของพลัง โชคดีที่มันไม่ได้สร้างบาดแผลอะไรให้แก่ร่างแห่งจิตนี้ แต่มันกลับทำให้เจ้าของมิติแห่งนี้ไม่สามารถขยับตัวได้เลย อสูรแห่งไฟเดินไปจนถึงตัวของลูเซียส มันมองตาของหนุ่มผู้นี้อย่างไร้ความปราณีจนเพลิงที่สถิตที่ดวงตาของมารร้ายแทบจะเผากายาแห่งจิตของลูเซียสได้เลย
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะใช้พลังของข้าเองเพื่อมาทำร้ายข้างั้นหรือ?” ไซอาลอทถาม
“ปัญญาอ่อน!” เขาตะโกนก่อนที่จะใช้มือข้างหนึ่งบีบแก้มของหนุ่มผมดำอย่างแรง
แรงบีบนั้นทำให้ใบหน้าแห่งจิตของลูเซียสเริ่มแตกออกและแผ่ออกมาซึ่งแสงแห่งเพลิงเช่นเดียวกับไซอาลอท ไม่นานนักก็มีปราณแห่งเพลิงจากมือข้างนั้นไหลรินเข้าสู่ปากของชายหนุ่มราวกับเป็นการป้อนน้ำเข้าปากยังไงยังงั้น ปราณเหล่านั้นทำให้ตาของเจ้าของมิติเบิกกว้างและกรอกขึ้นไปข้างบน เขารู้สึกทรมาณเหมือนกับโดนเอาน้ำมันร้อนราดลงคอหอย แต่ก็ไม่สามารถร้องออกมาได้ เขาเพียงแค่เปล่งเสียงเหมือนกับใจจะขาดตายออกมา มารเพลิงมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสนุกสนานก่อนที่จะเพิ่มฤทธิ์พลังปราณลงไปมากกว่าเดิม นั่นทำให้ร่างจิตของลูเซียสทรุดลง ไร้ทางที่จะต่อกรกับพลังร้ายนี้
สิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นในจิต ในมิติความฝันของลูเซียสนั้นส่งผลต่อร่างในโลกความเป็นจริงโดยตรง มันทำให้เขาหายใจไม่สะดวกและเหล่าปราณดำที่ปกคลุมร่างกายของเขาเริ่มถูกปะปนไปด้วยปราณสีแดงเพลิงของมารไซอาลอท ปราณเพลิงเหล่านั้นกระตุ้นให้เมือกสีดำที่ถูกเรียกว่า “ดูบาร์น” เริ่มคลั่ง มันแตกแขนงออกเป็นเหมือนกับหนวดปลาหมึกและลามไปทั่วเตียงของลูเซียส ชายผู้นั้นร้องออกมาด้วยความทรมาณ เสียงนั้นทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในระแวกตื่นกัน ไม่นานนักเหล่าปราณนั้นก็ขยายใหญ่จนทั่วบ้านของลูเซียส มันปกคลุมไปทั่วอาคารเรือนนั้นก่อนที่จะคลั่งออกมาเป็นรูปลักษณ์อสูรในรูปสัตว์เลื้อยคลาน พร้อมกับหนวดเมือกนั่นที่แตกออกเรื่อยๆ มันสร้างความตื่นกลัวให้แก่ประชาชน จนเหล่าอัศวินแห่งสตอร์มโฮล์มพากันมารวมตัวกันเพื่อที่จะยับยั้งมันแต่แล้วพลังนั่นก็คลั่ง ทำร้ายผู้คนรอบข้างไปทั่ว
“องค์ราชา!” เสียงของเซรดริก ข้ารับใช้แห่งองค์กษัตริย์ตะโกนเรียกนายตนในเวลาดึก
เขาเปิดประตูออกในขณะที่โครนอสค่อยๆ สะลึมสะลือขึ้นมาจากความฝันในยามราตรี เขามองหน้าของคนใช้ตนด้วยความงุนงง แต่ก็สามารถรับรู้จากสีหน้าผู้นั้นได้ว่ามันกำลังเกิดเรื่องใหญ่บางอย่างขึ้น ไม่นานนักกษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มก็แต่งตังด้วยเครื่องแต่งกายเต็มยศ สวมผ้าคลุมและหยิบดาบแห่งตนมา เขาและข้ารับใช้เดินไปตามทางเดินก่อนที่ข้ารับใช้จะบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกวิหารในค่ำคืนนี้ ปราสาทที่เหล่าขุนนางเริ่มแตกตื่นและมุงดูกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากพระราชวัง มันดูวุ่นวายน่าดู องค์ราชาหันไปหาเซรดริกก่อนที่จะเอ่ยถาม
“มันเกิดขึ้นนานรึยัง?” โครนอสถาม
“สิบนาทีเห็นจะได้แล้วขอรับ...” เซรดริกตอบกลับไป
ราชาแสดงสีหน้าวิตกกังวลก่อนที่เขาจะเดินออกไปจนถึงนอกปราสาทแห่งนี้
“เซรดริก...”
“ขอรับนายท่าน”
“เปิดประตูมิติ... ส่งข้าไปยังบ้านของลูเซียส” ราชาสั่ง
“ครับผม”
ไม่นานนักเซรดริกก็นั่งคุกเข่าลงไป ใช้มือทั้งสองข้างตบลงไปยังผืนดิน หัตถ์ทั้งสองก่อเกิดปราณอันแรงกล้าและที่เบื้องหน้าของโครนอสก็ค่อยๆ เกิดรอยแยกระหว่างมิติจนฉีกออกเป็นประตูมิติอย่างชัดเจน มันกลายเป็นรูหนอนที่เชื่อมระหว่างจุดสองจุดส่งให้วัตถุหรือบุคคลผ่านเข้าไปได้โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ พลังธาตุชนิดนี้คือหนึ่งในสามพลังธาตุพิเศษที่ไม่สามารถฝึกกันได้ โดยมากมันจะเป็นพลังที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “วอยด์” ผู้ที่สามารถใช้พลังธาตุเหล่านี้ได้นั้นจะมีความสามารถที่ชัดเจนคือการใช้ประตูมิติ ควบคุมการใช้ประตูเป็นเกทเวย์ในการเดินทางหรือได้แม้กระทั่งจู่โจม อีกทั้งบุคคลเหล่านี้ยังสามารถควบคุมกาลเวลาในมิติแห่งตนเป็นเวลาอันสั้นอีกตะหาก แล้วแต่ผู้ใช้ที่มีปราณระดับสูงขนาดไหน บ้างก็สามารถหยุดเวลาได้เป็นนาทีหรือบางคนก็ทำได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ณ ตอนนี้ประตูมิติที่สองซึ่งเป็นจุดที่องค์ราชาจะเดินทางไปได้เปิดออก เขาย่างก้าวเข้าไปในมิตินั้น ภายในพริบตาร่างกายทุกส่วนของเขาก็โผล่ที่เบื้องหน้าของพลังปราณสีดำแห่งลูเซียสแล้ว เขาจ้องมองพลังเหล่านั้นด้วยสีหน้าที่ไม่ยินดีนัก
“ทหารแห่งสตอร์มโฮล์มทุกท่าน... ขอเชิญทุกท่านกลับเข้าไปยังปราสาทซะ” ราชากล่าว
“แต่นายท่าน... พวกเราสามารถช่วยท่านกำจัดปีศาจปราณนี้ได้นะขอรับ” ทหารศึกคนนึงกล่าว
“พวกเจ้าไม่ต้องห่วงไปใย” โครนอสตอบกลับ “ข้าไม่อยากให้อันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับพวกเจ้าทุกคน”
“เพราะงั้นข้าจัดการเองได้”
เหล่าทหารเฝ้าการณ์ดูเหมือนจะไม่ค่อยยินดีกับคำสั่งนั้นเสียเท่าไหร่ แต่ยังไงเสียนั่นก็เป็นคำบัญชาสูงสุดขององค์ราชา พวกเขาไม่สามารถขัดขืนได้อยู่แล้ว ทันใดนั้นเหล่าทหารพวกนั้นก็พากันเดินเข้าไปยังประตูมิติที่เซรดริกสร้างขึ้น เหลือเพียงแค่โครนอสที่อยู่ตามลำพัง เมื่อนั้นเขาจึงเพ่งมองไปที่ปราณเมือกเหล่านั้นและพบว่ามันมีปราณสีแดงที่ไม่ใช่ปราณที่ก่อจากร่างของลูเซียสลอยอยู่รอบข้าง มันเป็นเหมือนปราณของมารร้ายไซอาลอท มันทำให้องค์ราชาสามารถรับรู้ได้ว่าปราณดำที่แตกซ่านได้ตอนนี้ไม่ได้เกิดจากความบ้าคลั่งของตัวเจ้าของพลังเอง
“แสงแห่งธรรม... จงช่วยข้าขจัดร้ายปราณนี้ด้วย!”
------------
รถม้าที่มุ่งหวังเดินทางไปยังดินแดนสตอร์มโฮล์มได้หยุดพักลง มันจอดข้างถ้ำแห่งหนึ่ง ในตอนนี้พายุทะเลทรายได้หยุดตัวลงแล้วเป็นค่ำคืนนี้ราตรีที่แสนจะหนาวเหน็บไม่แพ้กับดินแดนหิมะ คนขับรถม้าคันนี้เข้าไปนอนพักอยู่ในถ้ำแห่งนี้ จุดแคมป์ไฟเพื่อที่จะทำให้ร่างกายของตนอุ่นขึ้น ห่มผ้านอนอยู่บนเครื่องนอนพกพาที่ตนเตรียมมา ส่วนในรถม้าคันนั้นก็เป็นที่พักผ่อนของเหล่าผู้เดินทางทั้งสอง ไม่นานนักชายหนุ่มผมสีทองก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา เขามีเหงื่อไหลออกทั้งๆ ที่อากาศค่อนข้างเย็น เหมือนกับว่าเขากำลังเครียดกับอะไรสักอย่างและนอนไม่หลับเสียมากกว่า เขาหันไปมองหญิงสาวผมแดงที่นอนขดตัวราวกับหนาวกับสภาพอากาศแม้ว่าหล่อนจะห่มผ้าแล้วก็ตามที เขาหยิบผ้าห่มของตนไปคลุมที่ร่างของเธอก่อนที่จะเปิดประตูรถออกไป เขาสูดอากาศจากภายนอก เขารู้สึกเหมือนว่าจะไม่สะท้านต่อสภาพอากาศที่หนาวเหน็บเลย เขาเดินไปตามทางทะเลทรายกันกว้างขวาง เหมือนกับเดินไปอย่างไร้จุดหมาย
ไม่นานนักเขาก็หยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา มันเป็นเหมือนกับเหรียญตราอะไรสักอย่างเมื่อนานมาแล้ว เหรียญตราเหรียญนั้นไม่ค่อยใหญ่นักแต่พอที่จะสลักชื่อของเจ้าของมันได้ และชื่อนั้นก็เป็นนามของเพื่อนร่วมเดินทางของเขา “เฮมิส เอลราทัส” ก่อนที่เขาจะทิ้งตรานั้นลงไปกับผืนทราย ย่อตัวลงไปและฝังมันลงไป ไม่นานนักเขาก็เปล่งลมปราณน้ำแข็งลงใต้ดิน ราว่ากับว่าจะไม่ให้ใครก็ตามสามารถเอาเหรียญตรานั้นออกไปจากผืนดินแห่งนี้ได้
“ขอให้เจ้าจงหลับให้สบาย”
แล้วจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาก่อนที่จะหันหลังไปพบกับหญิงสาวผมแดงที่เดินตามออกมา เธอยังคงคลุมผ้าห่มเอาไว้เพราะอากาศที่หนาวเหน็บ
“เธอออกมาทำอะไรข้างนอกนี่ในยามดึกดื่นกัน?” ชายหนุ่มผมทองถาม
“ตัวข้าควรจะถามท่านเสียมากกว่านะคะ” เธอเอ่ย “แล้วที่สำคัญ... มันก็... หนาวมากด้วย”
หลังจากที่เธอกล่าวจบ เธอก็ยื่นผ้าห่มให้กับเนลเรี่ยน เสียงของเธอสั่น เขายิ้มให้กับเธอโดยไม่ตอบอะไรกลับไปเลย ก่อนที่จะรับผ้าห่มผืนนั้นมา เขาห่มผ้าผืนนั้นและเดินไปพร้อมกับหญิงสาวผมแดงไปตามทางเดินทะเลทราย มุ่งตรงไปยังรถม้าของเขา ด้วยท่าทางของหญิงที่เดินตามเนลเรี่ยนดูสั่นเกร็งไปด้วยความหนาวเหน็บ เขามองเธอที่เดินตามเขาโดยที่พยายามไม่แสดงสีหน้าว่าตนเองกำลังรู้สึกไม่ดี ว่าแล้วเนลเรี่ยนก็นำผ้าผืนนั้นไปคลุมตัวของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกอุ่นมากขึ้น
“นี่ท่าน...”
“ข้าไม่หนาวหรอก” เขาตอบ
การที่ชายหนุ่มผู้นี้จะไม่รู้สึกใดๆ กับสภาพอากาศแบบนี้ก็คงไม่แปลก เพราะตัวของผู้ใช้ปราณน้ำแข็งนั้นจะสามารถทนต่อความเย็นได้ดีกว่าคนปกติเป็นเท่าตัว จากสภาพของหญิงสาวที่มีปราณหลักเป็นธาตุลมเธอจึงไม่ได้มีภูมิคุ้นกันในด้านนี้มาเท่ากับหนุ่มผมทองคนนี้ ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินอยู่ หนุ่มผมทองก็กล่าวอะไรขึ้นมา
“จะว่าไป.... ข้าก็ยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยนะ”
“ข้าเนลเรี่ยน เพรสตัน” เขาแนะนำตัวพร้อมกับยื่นมือเป็นสัญญาณการทักทาย
“ข้า.... ชารอนคะ” เธอตอบ ยื่นมือไปจับมือของเขา
“แต่ข้าสงสัยนะ” จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมา “ถ้าท่านต้องการสร้อยคอของข้าจริงๆ ทำไมท่านถึงไม่แค่ขโมยแล้วปล่อยข้าไว้ล่ะ?”
คำถามนั้นทำให้เนลเรี่ยนมองเธอด้วยความสงสัย ก่อนที่เขาจะมองไปข้างหน้าตามทางทะเลทราย
“ข้าไม่ใช่พวกที่จะมาทิ้งผู้หญิงไว้กลางทะเลทรายหรอกนะ” เขากล่าว
“งั้นหรอ?”
“ทำไมหรอ?” เขาถามกลับไป
“ปะ.. เปล่า” เธอตอบ “ข้าแค่สงสัยน่ะ”
เธอมองไปที่ชายหนุ่มผมสีทอง ดูแล้วเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจอะไรเธอเท่าไหร่นัก เขาแค่มองไปข้างหน้าเท่านั้น ทุกครั้งที่พวกเขาพูดคุยกันดูเหมือนว่าชายคนนี้จะเลี่ยงในการสบตาเธอเหมือนกัน ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะสิ่งที่เขาสนใจในตัวหล่อนทั้งหมดมีแค่สร้อยคอหรือจะเป็นเรื่องอย่างอื่นกันแน่ แต่การกระทำเหล่าของชายหนุ่มไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกยินดีกับมันเท่าไหร่ ราวกับว่าเขาแค่พาเธอมาด้วยเพราะนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบทิ้งใครไว้ก็เท่านั้น หญิงสาวผมแดงยังรู้สึกหนาวอยู่แม้ว่าจะคลุมผ้าไว้ถึงสองผืนก็ตามที แต่เบื้องหน้าของพวกเขาก็ถึงยังเป้าหมายแล้ว รถม้าคันนั้น แต่จู่ๆ หญิงนามชารอนก็เบียดตัวเข้าไปหาชายหนุ่มผมทองทันที เขาสงสัยถึงสิ่งที่เธอทำก่อนที่เธอจะกอดแขนของเขา
“จะ... เจ้าทำอะไรน่ะ?” เขาถามด้วยความตกใจพร้อมกับสีหน้าที่แดงก่ำ
“ข้าแค่... หนาวเท่านั้นเอง” เธอเสียงสั่น
ไม่ทันไรจู่ๆ ก็เกิดปราณที่แขนข้างนั้นของชายหนุ่ม มันก่อเกิดน้ำแข็งที่จับตัวแน่นอยู่ที่แขนข้างนั้น ความหนาวเหน็บของไอเย็นนั้นทำให้เธอถึงกับสะดุ้ง ขนลุกและปล่อยแขนข้างนั้นอย่างรวดเร็ว
“ท่านทำอะไรน่ะ?” เธอตะโกนถาม
“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
เมื่อสิ้นสุดคำพูดของชายหนุ่ม มือข้างนั้นเขาก็สลาบปราณน้ำแข็ง เขาใช้แขนข้างนั้นโอบกอดไหล่ของเธอราวกับเป็นเพื่อนเล่น นั่นทำให้หญิงรู้สึกแปลกๆ เธอแสดงสีหน้าที่แดงก่ำ ก่อนที่จะผลักร่างของหนุ่มผมทองจนล้มลงไปท่ามกลางทะเลทราย เธอเชิดหน้าเดินต่อไปในขณะที่เนลเรี่ยนค่อยๆ ลุกขึ้นมาด้วยสภาพที่งุนงง เขามองดูที่อกของตัวเอง มันเป็นรอยมือเล็กๆ ของผู้หญิงที่กดลงไปบนผิวของเสื้อจนเป็นรอยเหมือนกับถูกลมกรีดภาพลักษณ์ลายมือของหล่อน เขามองไปที่แผ่นหลังของเธอก่อนที่จะสบถขึ้นมาเบาๆ
“ยัยนี่แกล้งแรงเหมือนกันนิ...”