อาสึนะอ้าปากหาวไปตลอดทางที่จะไปสู่ห้องสภานักเรียน
วันนี้เป็นอีกวันที่เขาถูกเรียกตัวไปที่นั่น หลังจากที่ประธานยูกิเคยใช้บริการเสียงประกาศตามสายจากชมรมวิทยุและกระจายเสียงเพื่อเรียกตัวเขาเมื่อวานแล้ว เธอก็ขอเบอร์โทรศัพท์ของเขาไว้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปรบกวนชมรมนั้นอีก เวลาจะเรียกตัวก็ใช้วิธีส่งข้อความแทน
วันนี้เขาก็เผลอหลับในห้องเรียนตอนเช็คชื่อจนโดนอาจารย์อุซางิตำหนิ อย่างที่รู้กันว่าอาจารย์ประจำชั้นของอาสึนะนั้นค่อนข้างจับตามองเขาเป็นพิเศษในฐานะ
‘อันเดอร์ด็อก’ ก่อนที่จะเริ่มมองเขาแบบชื่นชมมากขึ้นหลังจากเอาชนะประธานยูกิมาได้ ดังนั้นการที่ทำตัวแบบนั้นให้อาจารย์เห็นจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอนเลย หลังจากที่พี่สาวของเขามาอยู่ด้วย แต่ที่ไม่ได้นอนนั้นไม่ได้เป็นเพราะมีเรื่องผิดศีลธรรมเกิดขึ้นแต่อย่างใด
แต่เพราะการเข้ามาอยู่ของอากาเนะอย่างกะทันหันโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า มันทำให้อะไรๆก็ต่างฉุกละหุกไปหมด ที่นอนของอากาเนะก็ไม่ได้เตรียมไว้ อาสึนะเลยต้องให้เธอนอนบนเตียงในห้องของเขา ส่วนเขาลงไปนอนบนพื้นข้างล่างแทน
ต่อให้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน แต่ทั้งสองคนก็ต่างก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว แม้ตัวอากาเนะจะดูไม่แคร์อะไรเลยกับการได้นอนห้องเดียวกันกับน้องชาย แต่สำหรับอาสึนะนั้นไม่ใช่
ลำพังแค่นอนห้องเดียวกันเฉยๆ อาสึนะก็แทบไม่เป็นอันนอนแล้ว แต่อากาเนะยังมีนอนดิ้นไปมาจนตกลงมานอนที่พื้นกับเขาข้างล่างอีก
ตอนแรกอาสึนะคิดว่าอากาเนะแกล้ง แต่เธอนั้นหลับสนิท บางทีอาจจะเพราะอ่อนเพลียจากการเดินทางไม่ก็กำลังละเมอฝันอะไรแปลกๆ เขาจึงต้องอุ้มเธอกลับขึ้นไปนอนบนเตียง แต่สุดท้ายอากาเนะก็ยังนอนดิ้นตกลงมาอีก
อาสึนะจึงตัดสินใจปล่อยเธอไว้ข้างล่างแบบนั้น ส่วนตัวเองกลับไปนอนบนเตียงเหมือนเดิม ถึงจะสามารถนอนหลับได้
แม้ว่าพอตื่นเช้าขึ้นมาจะยังมาเจออากาเนะนอนบนเตียงข้างๆเขาก็ตามที
หลังจากที่เดินแบบง่วงๆจนถึงห้องสภานักเรียน เขาก็เคาะประตูพร้อมเปิดประตูเข้าไป
“มาแล้วครับ”
อาสึนะพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากสมาชิกในห้องสภานักเรียน แม้สมาชิกทุกคนจะอยู่ครบ แถมแต่ละคนยังดูสีหน้าเคร่งเครียด
ตอนแรกอาสึนะคิดว่าตัวเองทำอะไรเสียมารยาทไป แต่ว่ายังไม่มีใครหันมามองเขาเลยด้วยซ้ำ เขาเลยคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับตัวเอง
“เอ่อ... ดูเครียดกันจัง มีอะไรหรอครับ?”
อาสึนะถามขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความเงียบ ทุกคนในห้องต่างหันมาทางเขาราวกับว่าเพิ่งรู้ว่ามีเขาอยู่ในห้อง
ก่อนที่จะมีใครพูดหรือตอบอะไร เสียงฝีเท้าที่ฟังดูก้าวเร็วๆเหมือนกำลังวิ่งอยู่ก็ดังขึ้น เสียงนั้นตรงมาจนถึงหน้าห้องสภานักเรียน ดึงความสนใจของทุกคนในห้องรวมทั้งตัวอาสึนะเองให้หันไปมองที่ประตู
ประตูห้องสภานักเรียนถูกเปิดจนดูเหมือนกระแทกเข้ามา พร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กสาวตัวเล็กราวกับเด็กประถมคนหนึ่ง เธอมีผมสั้นสีคาราเมลและผูกโบว์สีดำไว้ ทำให้ดูเป็นคนสดใสร่าเริงและกระฉับกระเฉง
“สวัสดีค่าาาา~!!”
เธอคนนั้นพูดแบบกึ่งๆตะโกน ทำให้เสียงพูดของเธอดังก้องไปทั่วห้อง
การทำตัวโหวกเหวกโวยวายดูเสียมารยาทเช่นนี้ แถมยังทำในห้องสภานักเรียนอีกด้วย น่าจะทำให้สมาชิกสภานักเรียนคนใดคนหนึ่งกล่าวตำหนิเป็นแน่ แต่ทุกคนกลับดูเฉยๆ บ่งบอกว่าเธอคนนี้น่าจะเป็นคนรู้จักของใครสักคนในห้อง
แต่คนๆนั้นไม่ใช่อาสึนะแน่ๆ เพราะเขายังคงมีสีหน้างงๆอยู่กับการปรากฏตัวของเธอ บวกกับสงสัยว่าทำไมเด็กตัวเล็กๆอย่างเธอถึงมาปรากฏตัวที่นี่
แต่ในระหว่างนั้นอาสึนะเพิ่งมาเห็นว่าเธอใส่ชุดยูนิฟอร์มของนักเรียนโรงเรียนมิไรเคียว และสีของเนกไทที่ผูกไว้บ่งบอกว่าเป็นนักเรียนปีหนึ่ง
อาสึนะแปลกใจอยู่เล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับรู้สึกเหลือเชื่อ เพราะระดับการเจริญเติบโตของคนเราไม่เท่ากันอยู่แล้ว เด็กมัธยมปลายที่รูปร่างดูเหมือนเด็กประถมก็มีอยู่เยอะแยะ
“พอดีวันนี้ซ้อมวิ่งเสร็จเร็วเลยแวะมาหาค่า”
คำพูดต่อมาของเธอทำให้อาสึนะชะงักเล็กน้อย
เหมือนเขาจะเคยได้ยินคำพูดนี้ที่ไหนมาก่อน
จู่ๆสมองของเขาก็ฉายอดีตขึ้นมาเป็นภาพสีซีเปียในห้วงความคิด มันเป็นภาพของประธานยูกิ ที่กำลังพูดประโยคๆนึงขึ้นมาตอนเขามาเยือนห้องสภานักเรียนครั้งแรก
(ส่วนสมาชิกอีกคน ฝ่ายธุรการ ไม่มาเพราะไปซ้อมวิ่งน่ะ)
“หรือว่า เธอคือสมาชิกสภานักเรียนฝ่ายธุรการ!?”
อาสึนะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป ทำให้เด็กสาวคนดังกล่าวหันมาพร้อมชี้นิ้วชี้ไปที่ตัวเอง
“เอ๋? เรียกเรย์หรอ?”
“เจอตัวแล้ว เธอนี่เอง!”
เด็กสาวเอียงคอสงสัยแบบไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กหนุ่มตรงหน้าถึงดูไม่สบอารมณ์นัก เพราะเธอไม่รู้ว่าอาสึนะนั้นเจออะไรมาบ้างตอนที่ทำหน้าที่แทนเธอ
“นี่เธอรู้ไหมว่าผมต้องมาทำงานแทนเธอเพราะเธอไม่อยู่น่ะ!”
“เอ๊ะ? อ๋อ ขอบคุณมากค่ะ”
“ไม่ได้เต็มใจช่วยเลยเฟ้ย! เหนื่อยจะตายชักอยู่แล้วเนี่ย!”
“อ๋อค่ะ ขอบคุณที่เหนื่อยยากค่ะ”
“นี่เธอฟังฉันอยู่ไหมเนี่ย...”
“เอาล่ะๆ พอแค่นั้นแหละ”
ยูกิตบมือตัวเองสองสามครั้งเป็นสัญญาณให้หยุด
“ยังไงก็ตามนะ ขอแนะนำให้รู้จัก นี่ อุสึโนมิยะ ริเอะ ตำแหน่งไนท์ ปีหนึ่ง ฝ่ายธุรการที่เคยบอกว่าจะแนะนำให้รู้จัก”
“เรียกเรย์ก็ได้นะค้า~!”
เด็กสาวกล่าวเสริม พลางยิ้มจนเห็นเขี้ยว จนอาสึนะที่ไม่สบอารมณ์อยู่เมื่อครู่แทบจะโกรธเธอต่อไม่ลง
“ส่วนคุณคงเป็นคุณคันซากิสินะคะ”
“รู้จักผมด้วยหรอ?”
“ค่า เพื่อนเรย์ชอบมาเล่าให้ฟังบ่อยๆน่ะ”
“เพื่อนของเธอหรอ?”
“ใช่ค่า เพื่อนเรย์ที่ชื่ออาราชิไงล่ะค้า คุณคันซากิน่าจะเคยเจอกับเธอแล้ว เพราะเธอเล่าว่าเมื่อวานเพิ่งไปขโมยจู-”
“เดี๋ยวๆ หยุดเลยนะ”
โดยไม่รอให้พูดจบ อาสึนะรีบพูดขัดขึ้นมาก่อนเมื่อรู้ว่าริเอะกำลังจะพูดอะไร
“สะ สรุปแล้วเธอคือเพื่อนของคุณคาชิวากิสินะ?”
“ใช่แล้วค่า เรย์กับอาราชิน่ะชอบมาวิ่งแข่งกันบ่อยๆแหละ ถึงเรย์จะชนะทุกทีก็เถอะนะ”
(ตอนที่คุณคาชิวากิต่อสู้กับทามิโกะเมื่อวาน เหมือนเธอจะมีพูดถึงเพื่อนที่มีความเร็วเหนือกว่าเธอนี่นะ เพื่อนคนนั้นที่เธอว่าก็คือคุณอุสึโนมิยะนี่เองหรอ?)
“ถ้างั้นเรย์ขอตัวก่อนนะค้า~! แล้วจะแวะมาหาใหม่น้า~!!”
“อ๊ะ...”
ยังไม่ทันที่อาสึนะจะได้พูดอะไรต่อ ริเอะก็วิ่งออกจากห้องไปเสียแล้ว
และเช่นเคย สมาชิกสภานักเรียนแต่ละคนต่างก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ท่าทางริเอะคงเป็นคนแบบนี้อยู่แล้วกระมัง
“เอ่อ... ว่าแต่ เมื่อสักครู่นี้เห็นทุกคนดูเครียดกันมากเลย ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรอครับ? หรือว่าเกี่ยวกับที่เรียกตัวผมมา?”
อาสึนะเพิ่งมานึกได้ว่าเขาถูกประธานยูกิเรียกตัวให้มาที่นี่ แถมยังเห็นสมาชิกสภานักเรียนแต่ละคนต่างดูมีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนมีเรื่องอะไรบางอย่าง เขาจึงถามคำถามเดิมออกไปอีกครั้ง
ยูกิเมื่อได้ยินคำถามของอาสึนะอีกครั้งจึงค่อยๆลุกขึ้นจากโต๊ะของตัวเองช้าๆ พลางเดินไปนั่งที่โซฟาตรงโต๊ะน้ำชาสำหรับรับแขก โดยไม่ต้องรอให้พูดอะไร อาสึนะก็เดินไปนั่งบนโซฟาด้านตรงข้ามเหมือนตอนที่เขาเคยมาที่นี่ครั้งแรก
“จะชงน้ำชามาให้นะจ๊ะ”
เลขาธิการ นานะซากิ เรย์มุ กล่าวขึ้นพร้อมยิ้มหวานแม้เมื่อครู่จะมีสีหน้าเคร่งเครียด แล้วเดินขึ้นบันไดวนไปที่ครัวชั้นบนเพื่อไปชงชามาให้ หลังจากอาสึนะกับยูกินั่งลงไปบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้น ประธานยูกิจึงเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมา
“คงยังไม่รู้เรื่องของโจรขโมยเข็มกลัดสินะ”
“หา? โจรขโมยเข็มกลัด!?”
“ใช่ ตั้งแต่เช้ามาจนถึงตอนนี้ นักเรียนแทบจะทุกชั้นปีต่างมาติดต่อขอเข็มกลัดอันใหม่ที่ห้องสภานักเรียนเพราะทำหายน่ะ”
โดยปกติอุปกรณ์ทุกอย่างของนักเรียนโรงเรียนมิไรเคียวจะสามารถขอใหม่ได้ฟรีๆหากมีการสูญหายเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าอุปกรณ์เหล่านั้นต้องเป็นอุปกรณ์ที่นักเรียนได้รับตอนเข้าเรียนเท่านั้น อย่างเช่นสมุดประจำตัวนักเรียนหรือชุดยูนิฟอร์มก็ต่างจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้
“ความจริงโรงเรียนมิไรเคียวของเราได้รับเงินสนับสนุนจากบริษัทอากิยามะกรุ๊ป ที่คุณพ่อของคิโยชิเป็นประธานน่ะ เราจึงมีเงินสนับสนุนมากมายมหาศาลพอที่จะซื้อของพวกนี้ใหม่ได้สบายๆอยู่แล้ว มันก็ไม่มีปัญหาอะไร”
อาสึนะแอบเห็นเหรัญญิก อากิยามะ คิโยชิ ทำหน้าเหมือนภูมิใจในสิ่งที่ประธานยูกิกล่าวขึ้นแบบชวนหมั่นไส้เล็กน้อย เขาเองก็เคยได้ยินชื่อของบริษัทนี้มาอยู่บ้าง ว่าเป็นบริษัทที่อยู่ในอันดับต้นๆของประเทศ
ในระหว่างนั้น เลขาเรย์มุก็ยกน้ำชามาวางเสิร์ฟไว้บนโต๊ะ
“เพียงแต่การสูญหายของเข็มกลัดครั้งนี้น่าจะเป็นการชิงทรัพย์มากกว่า แม้จะเป็นสิ่งของเพียงเล็กน้อย แต่มันก็เป็นอาชญากรรม ดังนั้นสภานักเรียนอย่างพวกเราจึงไม่ปล่อยไว้แน่นอน และเราจะตามหาผู้กระทำการโดยเร็วที่สุด”
“เอ่อ... แต่ขโมยเข็มกลัดนี่นะครับ ฟังดูแปลกดีนะ แล้วประธานรู้ได้ยังไงหรอครับว่านี่คือการชิงทรัพย์?”
“ความจริงตอนแรกฉันกับคนอื่นๆก็ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกนะ แต่เพราะมีนักเรียนมาติดต่อขอเข็มกลัดใหม่เป็นจำนวนมาก ที่สำคัญทุกคนที่มาต่างเป็นตำแหน่งคิงทั้งหมด มันเลยดูแปลกน่ะ”
จริงอยู่ว่า เรื่องการขโมยเข็มกลัดนั้น ฟังเผินๆอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่เนื่องด้วยความไม่ชอบมาพากลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางยูกิและสภานักเรียนจึงไม่อยากอยู่เฉย
“แล้วพอมีผู้ต้องสงสัยบ้างไหมครับ? เราน่าจะสอบปากคำคนที่เข็มกลัดหายดูนะครับ”
“...ถ้าผู้ต้องสงสัยล่ะก็ มันก็พอมีอยู่ล่ะนะ”
ก็อกๆ ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาได้”
ยูกิจึงหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านั้นก่อน แล้วกล่าวอนุญาตให้กับแขกที่กำลังจะเข้ามาในห้อง
เด็กหนุ่มปีหนึ่งผมทองหน้าตาดีคนหนึ่งค่อยๆเปิดประตูและชะโงกหน้าเข้ามาในห้องแบบเกรงใจนิดๆ ก่อนที่เขาจะค่อยๆเดินเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ
“เอ่อ... ขออนุญาตครับ”
“มาติดต่อเรื่องเข็มกลัดสินะ?”
“เอ๊ะ รู้ได้ยังไงครับ?”
“ตั้งแต่เช้ามีแต่คนเข้ามาติดต่อเรื่องนี้ล่ะนะ ทางสภานักเรียนกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่พอดี ยังไงก็คงต้องขอความร่วมมือในการสอบปากคำจากพวกเราด้วย เนื่องจากพวกเราคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการชิงทรัพย์น่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทางเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้พูดขัดอะไร แม้จะยังดูงงๆอยู่
ในระหว่างนั้นอาสึนะก็หันไปทางเขา เมื่อต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ทั้งคู่ก็ต่างขมวดคิ้วเหมือนกำลังนึกอะไรสักอย่างอยู่
“เดี๋ยวนะ... ชินยะ? นั่นนายหรือเปล่า?”
“หรือว่านายจะเป็น... อาสึนะ?”
อาสึนะลุกขึ้นพรวดจากโซฟา ยูกิที่นั่งอยู่ตรงข้ามเลยหันมองตาม ปกติสีหน้าของเธอก็ดูนิ่งเฉยตลอดอยู่แล้ว ทำให้รู้สึกเหมือนเธอมองมาแบบตำหนิตลอดเวลา อาสึนะจึงเปลี่ยนท่าทางยืนให้สำรวมขึ้นแม้ไม่แน่ใจนักว่าประธานยูกิกำลังไม่พอใจอะไรหรือเปล่า พลางผายมือไปทางเด็กหนุ่มผมทอง
“อะ เอ่อ ขอโทษด้วยนะครับประธาน คนนี้เขาเป็นเพื่อนของผมเมื่อตอนเด็กๆน่ะครับ ชื่อคุเรไน ชินยะ พอดีผมไม่ได้เจอเขามานานมากแล้วเลยตื่นเต้นไปหน่อย”
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าชินยะโค้งตัวตามมารยาทเมื่ออาสึนะกล่าวแนะนำตัวให้เขา
“ถ้างั้นก็ดีเลย ฉันขอรบกวนสอบปากคำเพื่อนของนายหน่อยแล้วกันนะ”
“ยังไงก็รบกวนด้วยนะชินยะ”
“ไม่มีปัญหา... ว่าแต่นายเป็นสมาชิกสภานักเรียนด้วยหรอ?”
“อะ เอ่อ ก็ประมาณนั้นมั้ง”
ความจริงอาสึนะอยากจะบอกว่าถูกบังคับให้มาเป็น แต่ก็เกรงใจประธานยูกิ
“ถ้างั้นก็เชิญนั่งก่อน”
ยูกิเชื้อเชิญชินยะให้ไปนั่งบนโซฟาข้างๆกับอาสึนะ ก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้น
“ตำแหน่งของนายคือคิงใช่ไหม?”
“เอ่อ... ใช่ครับ”
“ตอนนี้เข็มกลัดของนักเรียนในตำแหน่งคิงต่างสูญหายเป็นจำนวนมาก ทางสภานักเรียนเห็นว่าเรื่องนี้ดูไม่ชอบมาพากล และคิดว่านี่น่าจะเป็นการชิงทรัพย์ ถึงจะไม่รู้แรงจูงใจของผู้ก่อเหตุก็เถอะนะ ดังนั้นฉันอยากจะรู้ว่าก่อนที่เข็มกลัดตำแหน่งคิงของนายจะหายไป นายจำอะไรได้บ้าง?”
“...ถ้าให้พูดตรงๆ ผมจำอะไรไม่ได้เลย มันเหมือนความทรงจำขาดช่วงไปเลยน่ะครับ”
“อืม... ถ้างั้นรอแปปนึงนะ”
เมื่อพูดจบ ยูกิก็ลุกขึ้นจากโซฟา เธอเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง พลางเปิดคอมพิวเตอร์แบบสัมผัสบนโต๊ะ แล้วสั่งให้ฉายเป็นภาพโฮโลแกรมขึ้นมากลางห้องเพื่อให้ทุกคนในห้องได้มองเห็น
“เครื่องฉายโฮโลแกรมนี่ก็ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทอากิยามะกรุ๊ปเหมือนกันนะ”
รองประธาน คาตายามะ อายูมิ พูดขึ้นมาแบบติดตลก คิโยชิในฐานะทายาทของประธานบริษัทอากิยามะกรุ๊ปจึงทำท่ายืดอกอย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง
หลังจากนั้น ภาพโฮโลแกรมดังกล่าวก็เปลี่ยนไปฉายภาพๆหนึ่ง
กลายเป็นภาพที่มีลักษณะคล้ายกับประวัติส่วนตัวของใครบางคน ซึ่งมีรูปหน้าตรงของเด็กหนุ่มผมสีมรกตที่ดูหน้าตาไม่มีพิษมีภัยคนหนึ่ง พร้อมตัวหนังสือยาวเหยียดหลายประโยคและย่อหน้าที่ไม่สามารถอ่านให้จบทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น
ยูกิเปลี่ยนภาพโฮโลแกรมนั้นกลายเป็นภาพของเด็กหนุ่มคนดังกล่าวแบบชัดเจนขึ้นในหลากหลายมุมมอง ก่อนที่จะเอ่ยถามชินยะ
“เคยเห็นคนในภาพนี้หรือเปล่า?”
นอกจากอาสึนะและชินยะแล้ว ดูเหมือนคนอื่นๆต่างไม่ได้มีสีหน้าที่แสดงถึงความฉงนใดๆออกมา ราวกับว่าทุกคนในสภานักเรียนต่างรู้จักเขาคนนี้อยู่แล้ว
ชินยะจึงส่ายหน้าเบาๆเพื่อเป็นการปฏิเสธ แต่ในแวบนึงเขาเหมือนได้รับความทรงจำอะไรบางอย่างแทรกเข้ามา
“อ๊ะ ผมจำได้แล้วครับ”
สิ่งที่นึกออกทำให้ชินยะเผลอส่งเสียงดังออกมา
“คนๆนี้ เขาบอกผมว่าสนใจอยากจะต่อสู้กับผู้เล่นในตำแหน่งคิง ผมตอบรับคำท้าไปเพราะคิดว่ามันก็แค่เกม จากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้เลย รู้ตัวอีกทีเข็มกลัดในตำแหน่งคิงของผมก็หายไปแล้ว”
หลังจากนั้น สมาชิกสภานักเรียนแต่ละคนก็ต่างดูคลายความตึงเครียดลง
“ใกล้จะได้ปิดคดีแล้วสินะ เจ้าหมอนี่น่ะ ชื่อฟุจิซากิ ฮายาโตะ ชั้นปีสอง ตัวสร้างปัญหาของแท้เลยล่ะ ตอนเรียนปีหนึ่งก็เคยก่อเรื่องอยู่หลายครั้ง เคยโดนทั้งพักการเรียน เคยโดนทั้งลดตำแหน่งจนเหลือแค่บิชอปตอนปีสอง จากที่ตอนแรกสอบเข้ามาในตำแหน่งคิง โดนไปขนาดนั้นคิดว่าจะเข็ดขยาดแล้วซะอีก ไม่คิดว่าจะกลับมาก่อเรื่องอีกครั้งจนได้”
“โห... ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ หน้าตาก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัย...”
“คนเรามองที่ภายนอกไม่ได้หรอกนะอาสึนะ เท่าที่ฉันทราบ ฟุจิซากิเกิดในครอบครัวมีปัญหา แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะใช้ทำเรื่องอะไรแบบนี้หรอกนะ”
ยูกิกล่าว
“ตอนที่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นการชิงทรัพย์ ผู้ต้องสงสัยคนแรกที่ฉันนึกถึงก็คือฟูจิซากินี่แหละ แต่ฉันก็ไม่อยากจะใช้อคติส่วนตัวในการตัดสิน เลยยังไม่กล้าทำอะไร”
“แต่ผมคิดว่า แค่คำพูดปากเปล่าของชินยะมันไม่น่าจะเพียงพอที่จะกล่าวหาว่าเขาคนนี้เป็นคนทำนี่ครับ?”
อาสึนะกล่าวแย้งขึ้นมาเล็กน้อย อาจเพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องว่า เด็กหนุ่มนาม ฟุจิซากิ ฮายาโตะ นั้นเคยทำวีรกรรมอะไรไว้ในอดีต แต่ยูกิเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังพยักหน้าเบาๆราวกับเป็นการเห็นด้วย
“ก็เพราะเป็นแบบนั้นไงล่ะ ฉันเลยคิดว่าจะเรียกประชุมกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้หลังเลิกเรียน เรายังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะมัดตัวฟุจิซากิได้ ก็ต้องสืบสวนเรื่องนี้กันต่อไป”
“ผมเองก็ไม่เข้าใจเลยว่าเขามีเหตุผลอะไรถึงต้องขโมยเข็มกลัดตำแหน่งคิงด้วย”
“คนอย่างเจ้าหมอนั่น คิดอยากทำอะไรก็ทำล่ะนะ”
หลังจากนั้นยูกิก็ปิดเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมลง
“ตอนนี้ นายกลับบ้านไปก่อนได้เลยอาสีนะ ขอบใจคุณคุเรไนด้วยที่ให้ความร่วมมือ คิโยชิ เอาเข็มกลัดตำแหน่งคิงมาให้ที”
คิโยชินำเข็มกลัดในตำแหน่งคิงออกมาให้ตามที่ประธานยูกิบอก ก่อนที่ยูกิจะยื่นเข็มกลัดนั้นให้กับชินยะอีกทีนึง
“ขอบคุณมากครับ”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มทั้งสองก็เดินออกจากห้องสภานักเรียนเมื่อเสร็จธุระแล้ว
ในระหว่างนั้น จู่ๆชินยะก็ถามขึ้น
“นายหมั้นกับทามิโกะหรือยัง?”
โครม! อาสึนะสะดุดล้มหน้าเกือบทิ่มพื้น ทั้งๆที่พื้นอาคารเรียนนั้นเรียบไม่มีอะไรให้สะดุด
“เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันต่างหากที่ต้องถาม! นายเป็นอะไรจู่ๆถึงถามอะไรแบบนี้!?”
“อ้าว ก็พวกนายสองคนสัญญาว่าแต่งงานกันไม่ใช่หรอ? ก็น่าจะหมั้นกันตั้งแต่เนิ่นๆ”
“หา? แต่งงาน!?”
อาสึนะร้องเสียงหลง พร้อมตาที่เกือบถลนออกมาเพราะความประหลาดใจสุดขีด
“อ้าวนี่นายจำไม่ได้หรอ? ก็เมื่อตอนนั้นนายสัญญากับทามิโกะนี่ ว่าโตขึ้นมาจะแต่งงานกัน”
“หือ... เรื่องสมัยเด็กนี่เองหรอ? ไม่ยักจะจำได้นะว่าพูดไปแบบนั้น แต่ก็นะ มันก็แค่สัญญาตอนเด็กๆล่ะ ฉันว่ายัยนั่นก็น่าจะลืมไปแล้วเหมือนกัน ให้ตายสิ... ฉันไปสัญญาแบบนั้นกับยัยโหดปากร้ายนั่นได้ไงเนี่ย...”
ประโยคหลังนั้น อาสึนะพูดพึมพำเบาๆกับตัวเอง
เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมตัวเขาในตอนเด็กถึงไปสัญญาอะไรกับทามิโกะแบบนั้น
----------------------------------------------------
‘ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ’
เสียงหัวเราะที่ดังก้องไปทั่วโสตประสาทของเขาไม่ได้สัมผัสได้ถึงความครื้นเครงหรือสนุกสนานเลยแม้แต่น้อย
ทุกๆมวลเสียงนั้นต่างสัมผัสได้เพียงแต่ความรู้สึกเย้ยหยัน หรือว่ากันง่ายๆนั่นคือการหัวเราะเยาะ
มีเพียงเขา ที่ยืนอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของความมืดมิดจนดูไม่เข้าพวกเท่านั้น ที่ไม่ได้เปล่งเสียงแบบนั้นออกมา
เพราะเสียงหัวเราะเยาะเหล่านั้น มันเป็นการหัวเราะเยาะให้กับเขา
‘รู้สึกยังไงกับการตกลงมาจากที่สูงล่ะ? ไอ้ราชาตกกระป๋อง!’
‘คงจะเจ็บน่าดูเลยเนอะ’
‘โถๆ น่าสงสาร’
‘แต่ก็สมควรแล้วล่ะ’
‘ตอนเป็นคิงทำเป็นวางก้าม ลงมาจุดต่ำสุดซะบ้างมันจะได้รู้สึก!’
‘ดูสารรูปมันสิ น่าสมเพชชะมัดยาดเลยว่ะ! ก๊ากๆๆ’
เสียงเยาะเย้ยถากถางเหล่านั้นดังแทรกขึ้นมา และปะปนไปกับเสียงหัวเราะเยาะจนไม่อาจรู้ว่าแต่ละเสียงนั้นเป็นของใครหรือดังมาจากตรงไหน
“หยุด บอกให้หยุดไง...”
คำพูดขอร้องของเขานอกจากจะไม่ช่วยอะไร ซ้ำยังทำให้เสียงเยาะเย้ยถากถางเหล่านั้นดังยิ่งขึ้นไปอีก แม้เขาจะพยายามใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างปิดหูเพื่อปิดกั้นการได้ยินแล้วก็ตาม
เขาอยากจะเป็นคนหูหนวกไปเสียตอนนี้
เสียงเหล่านั้นเริ่มกัดกินจิตใจของเขาไปทีละนิดจนแทบจะเสียสติ
“อ๊ากกกกกกกกกกก!!”
สิ่งเดียวที่เขาทำได้จึงมีแต่การร้องตะโกนออกมาจนสุดเสียงด้วยความรู้สึกปวดร้าวที่ยากเกินจะอธิบาย
จนหมดเรี่ยวแรงและหมดสติไปตรงนั้น