“ริคเกอร์! ริคเกอร์! ริคเกอร์! ริคเกอร์! ริคเกอร์! ริคเกอร์! ริคเกอร์! ริคเกอร์!
ชื่อของใครบางคนถูกเปล่งตะโกนออกมาจากเหล่าแฟนบอลเกินครึ่งของสนามฟุตบอลแห่งนี้ กองเชียร์เหล่านั้นสวมเสื้อฟุตบอลสีขาว สัญลักษณ์ ทรี ไลออนส์ บนหน้าอกซ้ายบ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขาคือกองเชียร์ทีมชาติอังกฤษ เสียงตะโกนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความหวังของคนทั้งชาติ อีกฟากหนึ่งของอัฒจันทร์ คือกองเชียร์ในเสื้อสีฟ้าขาว นี่คือเกมระหว่าง อังกฤษ และ อาร์เจนติน่า สองชาติระดับมหาอำนาจลูกหนังโลก
สาเหตุที่ชื่อของนักเตะคนหนึ่งถูกตะโกนอย่างดังและถี่ เกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์ในสนามตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงท้ายครึ่งหลัง พลพรรคสิงโตคำรามได้ฟาวล์ พวกเขากำลังตระเตรียมการในการเล่นลูกตั้งเตะ ระยะทางไกลเกือบ 30 หลา เหลี่ยมเท้าขวา ชายที่ยืนอยู่ที่ลูกฟุตบอล คือผู้เล่นหมายเลข 10 เขามีผิวสีขาว ดวงตาสีฟ้า ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม สิ่งที่รัดอยู่ตรงแขนซ้ายบ่งบอกว่าเขาคือกัปตันของทีม สายตาของเขาดูนิ่งและมองเพื่อนร่วมทีมในเขตโทษที่กำลังหาตำแหน่งในการยืนระหว่างรอเสียงนกหวีด
“ลูกนี้นายยิงนะ แกรี่” ชายผิวขาวในทรงผมทรงอันเดอร์คัตสีดำเอามือป้องพลางกระซิบบอกกัปตันทีมหมายเลข 10
“ไม่ล่ะ เควิน ลูกระยะไกลควรเป็นโอกาสของคุณ”
“ไม่ล่ะ ฉันจะรอเก็บตกยู่ที่แถวสอง และลูกนี้นายต้องยิง แอชลี่ย์คงไม่แฮปปี้แน่ถ้านายเลือกเปิดไปหาเขามากกว่าลองส่องเอง”
“เตะลูกบอลให้เข้าประตู! ง่ายๆ เหมือนอย่างเคยไง กัปตัน” ชายนามเควินพูดพลางเอามือตบหลัง เขาวิ่งออกไปจากระยะทำการ
บรรยากาศโดยรอบตอนนี้เริ่มเงียบสงัด โลกนี้ราวกับหยุดหมุนเพื่อรอดูวินาทีประวัติศาสตร์ครั้งนี้ กัปตันทีมชาติอังกฤษถอยออกมาเพื่อเตรียมรันเวย์ของตัวเอง
“ปริ๊ด!” เสียงนกหวีดจากผู้ตัดสินดังขึ้น สายตาในสนามต่างจ้องมอง บางคนสวดมนต์ภาวนา บางคนปิดตาไม่กล้าดู บางคนเตรียมกระโดดลุกขึ้นเฮแม้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บุรุษผู้แบกความหวังนามแกรี่วิ่งเข้ามา ง้างเท้าเตรียมที่จะสังหาร!
--------------------------------------------------------
หลายปีก่อนหน้านี้
“กริ๊งงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงง” เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในห้องนอนห้องหนึ่ง มันเป็นห้องนอนที่ไม่ได้ใหญ่และหรูหรามากมาย โปสเตอร์รูปนักฟุตบอลแปะอยู่มากมายหลายใบ มันคือรูปของ เดวิด เบ็คแฮม อดีตตำนานกัปตันทีมชาติอังกฤษ ที่เรียงรายอยู่ ข้างๆ มีเสื้อของเบ็คแฮม รูปคู่พร้อมลานเซ็น บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าของห้องนอนห้องนี้เป็นแฟนตัวยงของเขาขนาดไหน อีกฟากหนึ่งของห้องคือเสื้อฟุตบอลสีดำขลิบทองที่ใส่กรอบอย่างดี เสื้อหมายเลข 37 สกรีนชื่อ “RICKER” พร้อมรูปถ่ายของทีมเสื้อแบบเดียวกันกำลังฉลองชัยชนะ ใต้กรอบรูปมีป้ายเขียนด้วยข้อความสั้นๆ
“เวมบลีย์ - 28 พฤษภาคม 2016”
เสียงนาฬิกาปลุกยังดังขึ้นเรื่อยๆ มีอะไรบางอย่างกำลังออกมาจากผ้าห่ม ชายที่นอนคลุมโป่งอยู่บนเตียงค่อยๆ เอื้อมมือมาหวังปิดเสียงนาฬิกาปลุก ในขณะที่ยังใช้ผ้าห่มอุดหูอยู่ มือที่แหวกว่ายไปในอากาศลงมากวาดสมุดหนังสือบนโต๊ะของเขาลงไปกองอยู่บนพื้น ในที่สุดเขาก็เอื้อมถึงนาฬิกาปลุก เขากดปิดเสียงที่น่ารำคาญของมัน แต่ด้วยระยะที่ห่างจากเตียงเกินไป เขาร่วงตกเตียงมาพร้อมกับผ้าห่มผืนใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นมา ชายผิวขาว ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีฟ้าสวยงาม เขาคือ แกรี่ ริคเกอร์ ชายที่เพิ่งเป็นที่รู้จักของวงการฟุตบอลลีกอังกฤษเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาอยู่ในชุดทีมชาติอังกฤษที่มีชื่อของเบ็คแฮมพร้อมเบอร์ 7 อยู่ตรงหลังเสื้อ เขาขยี้ตาพลางหาว ก่อนจะนั่งลงบนเตียงบิดขี้เกียจช้าๆ ด้วยความงัวเงีย
“ตึงๆๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น เด็กหนุ่มตอบกลับไปเหมือนไม่ได้สนใจอะไร
“ฮัลโหล แกรี่ ริคเกอร์ พูดครับ” เขาพูดพลางเอามือทำท่าคุยโทรศัพท์
“นี่ลูกจะนอนไปถึงเมื่อไหร่ นี่มันกี่โมงแล้ว” เสียงของหญิงที่ยืนอยู่หลังประตูถามกลับมา”
“แม่เหรอที่เข้ามาตั้งนาฬิกาปลุกในห้องผมเนี่ย แต่วันนี้ผมไม่มีคลาสเช้านะครับแม่ แนทไม่ได้บอกแม่หรอครับ”
เด็กหนุ่มพูดพลางเดินไปเปิดประตู หญิงสาวผู้ดูเหมือนจะเป็นแม่ของแกรี่ ยืนหน้าบึ้งรอลูกชายของเธออยู่หน้าประตู เธอเป็นสาวผมสีน้ำตาลอ่อน วัยประมาณ 40 ผิวขาวแบบเดียวกับแกรี่ หน้าตาของเธอยังสวยแม้กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ
“ไม่มีคลาสนะใช่ แต่วันนี้เป็นวันรายงานตัวเตรียมทีมเยาวชนวันแรกของลูกไม่ใช่เหรอ แม่รับโทรศัพท์ โค้ชบอกว่าลูกไม่รับสายเขาเลย”
ชายหนุ่มตาเบิกโพลงเหมือนพรุ่งนี้โลกจะแตก สำหรับนักฟุตบอลแล้ว คงไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการไม่รับโทรศัพท์โค้ช และกำลังจะไปซ้อมสายแน่ๆ
“ตะ…ตายละหว่า!!” ชายหนุ่มรีบหยิบเป้ เขากวาดของใส่กระเป๋า แล้วรีบลงบันไดไป แม่ของเขาตะโกนไล่หลังมาด้วยความเป็นห่วง
“อย่าลืมอาบน้ำนะลูก กินอาหารเช้าบนโต๊ะก่อนนะ
การที่ได้เห็นภาพของ แกรี่ ริคเกอร์ เร่งรีบในทุกเช้าก่อนซ้อมไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกเลย จริงๆ แล้ว เขาไม่ได้กำลังจะไปซ้อมสาย พูดให้ถูกคือ เจ้าหนูแกรี่เป็นคนมีระเบียบวินัยและตรงต่อเวลามาก คำว่าสายของเขาคือการไปตรงเวลา เพราะตรงเวลาคือเวลาเริ่มซ้อม ฉนั้นแล้วเขาจึงรีบไปก่อนในทุกๆ ครั้ง
--------------------------------------------------------
มิลล์ตัน ฟิลด์ , ลอนดอน- 07.50 น.
มิลล์ตัน ฟิลด์ คือสนามซ้อมของ กรอสเวเนอร์ ทาวน์ ที่อยู่ห่างจากสนามเหย้าออกไปไม่ไกล ที่นี่คือสนามซ้อมที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่มาก หลายๆ อย่างดูใหม่เพราะได้รับการปรับปรุงเพื่อเตรียมพร้อมลุยศึกพรีเมียร์ลีก อาคาร 3 ชั้นเป็นแนวยาว ด้านหลังเป็นสนามฟุตบอล 3 สนาม มีกรองล้อมรอบ หนึ่งในนั้นอยู่ในโรงยิมที่มีหลังคาโค้งปกคลุม โดยทั้ง 3 สนามจะอยู่ห่างกันเพื่อเป็นการแบ่งแยกชุดชัดเจน คุณจะมีสมาธิในการซ้อมที่นี่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยรอบปกคลุมด้วยต้นไม้ ดูสงบ จนแทบลืมไปเลยว่าคุณอยู่ในลอนดอน
สนาม B เป็นสนามที่ทีมเยาวชนของ กรอสเวเนอร์ ใช้ในการฝึกซ้อม ที่นี่คือแหล่งผลิตดาวรุ่งของทีมมากมายรวมไปถึง แกรี่ ริคเกอร์ ดาวโรจน์คนล่าสุด
กลุ่มนักเตะเยาวชนกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ สักพักหนึ่งในนั้นก็เหลือไปเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้าประตูลูกกรงมา แกรี่ ริคเกอร์ เดินเข้ามาช้าๆ หนึ่งในนั้นตะโกนเรียกเขา
“อ้าว มานู่นแล้วไง พ่อว่าที่ซูเปอร์สตาร์ นานๆ ทีแกจะมาซ้อมแบบดูมีราศีนะเนี่ย ฮ่าๆ”
“เงียบไปเลยแก” แกรี่ตอบสั้นก่อนจะเอามือขยี้หัวเพื่อนร่วมทีม ก่อนที่เขาและเพื่อนจะเริ่มบทสนทนากันอย่างออกรส
“โค้ชมานู่นแล้วไง ไปเตรียมตัวกันเถอะ” หนึ่งในกลุ่มนักเตะชี้ไปทางประตูลูกกรง ปรากฏชายวัยประมาณ 50 ในชุดวอร์ม เดินเข้ามาในกรง
แกรี่เหมือนเพิ่งนึกเรื่องบางอย่างได้ เขารีบวิ่งไปหาเจ้านายของเขาด้วยความเร่งรีบด้วยสีหน้าแตกตื่น
“บอสครับ ขอโทษจริงๆ เมื่อวานที่มหาวิทยาลัยของผมมีสอบ กลับมาที่บ้านผมก็นอนเลย ผม ผม ผมเลยไม่ได้รับสายโทร…”
“ให้ตายสิแกรี่ นี่นายมัวมาทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่เนี่ย ไม่ได้รับสายอย่างน้อยน่าจะอ่านข้อความจากฉันหน่อยสิ นายนี่มันจริงๆ เลย” โค้ชตัดบทแล้วต่อว่าแกรี่เป็นการใหญ่
“เห? ข้อความ? แล้วผมต้องไปไหนครับ” แกรี่ตอบพร้อมเอียงคอเล็กน้อย
“ทีมชุดใหญ่นัดรายงานตัว 8 โมงในสนาม A นายนะมีชื่อไปพรีซีซั่นกับทีม ฉะนั้นแล้วที่ที่นายควรจะอยู่คือที่นั่น ไม่ที่นี่” โค้ชเร่งอธิบาย
“ชะ…ชุดใหญ่ เอาจริงหรอเนี่ย โฮ้! พะ…พรีซีซั่น กับทีมชุดใหญ่ สุดยอดดดดด” คำพูดที่เรียบเรียงจนมั่วซั่วบ่งบอกถึงความดีใจของแกรี่อย่างชัดเจน เขากระโลดเต้นต่อยลมเป็นเด็กๆ ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมของเขาเข้ามาแสดงความดีใจในโอกาสครั้งนี้
แม้ว่าประตูที่เชาทำได้ในนัดชิงชนะเลิศเพลย์ออฟจะสำคัญ แต่มันไม่มีอะไรการันตีว่าดาวรุ่งที่มีโอกาสสัมผัสสนามในนามทีมชุดใหญ่ไม่ถึง 5 นาทีในซีซั่นก่อนจะได้ร่วมทัวร์ในครั้งนี้ด้วย นั่นทำให้เขาดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“ไปได้แล้วแกรี่ คุณวิตต์จะโกรธมากถ้าแกไปสาย แกเหลือไม่ถึง 5 นาทีแล้ว” โค้ชทำสัญญาณมือให้แกรี่ออกจากสนามซ้อม
“คะ…ครับ รับทราบครับผม” สิ้นเสียง แกรี่จึงรีบวิ่งจ้ำอ้าวออกจากสนาม B ทันที
สนามซ้อม A คือสนามที่ทีมชุดใหญ่จะใช้ซ้อมในวันที่สภาพอากาศแจ่มใส และวันนี้มันก็เป็นเช่นนั้น ยกเว้นสำหรับ แกรี่ ริคเกอร์ ที่เขากำลังจะมาสายในวันรายงานตัวครั้งแรกของฤดูกาล เขาวิ่งกระแทกประตูลูกกรงด้วยความเร่งรีบเข้ามาในสนามซ้อม ในสนามภาพที่น่าขนลุกที่สุดของเขาได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
“วิตต์ แซนเดอร์ส” ผู้จัดการทีมชาวเวลส์ของกรอสเวเนอร์ ทาวน์ ชายแก่ผมสีขาววัย 68 ปีคนนั้นแหละเขา นี่คือกุนซือระดับตำนานของ กรอสเวเนอร์ ทาวน์ ผู้ปลุกปั้นทีมเล็กๆ นอกลีกจนขึ้นชั้นมายังพรีเมียร์ลีกได้ จะเรียกว่ากุนซือประวัติศาสตร์ก็คงไม่เกินไป ข้างๆ คือเหล่าทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชของเขา
คนที่ยืนนำกลุ่มนักเตะอยู่คือ “เจย์ กอร์ดอน” กัปตันทีมหมายเลข 7 ของ กรอสเวเนอร์ ทาวน์ เขาเป็นชายรูปร่างสูง ผมและหนวดเคราสีบลอนด์ทองดูน่าเกรงขาม จะเรียกเขาว่าเป็นนักเตะคู่บุญของ วิตต์ แซนเดอร์ส ก็คงจะไม่ใช่เรื่องเกินเลย เพราะ เจย์ อยู่กับทีมมาตั้งแต่ กรอสเวเนอร์ เล่นอยู่ในลีกคอนเฟอเรนซ์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ทีมนอกลีก” เขาคือคนที่ได้ความเคารพอย่างสูงจากแฟนบอลและคนในสโมสรรองจาก วิตต์
ด้านหลังของเจย์ คือ แฟรงค์ แมตต์ จอมทัพทีมชาติสก็อตแลนด์เขาคือชายผิวขาว หน้าตาและทรงผมของเขาดูเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน เพลย์เมกเกอร์ประจำทีม เขาคือหัวใจสำคัญในการเลื่อนชั้นของกรอสเวเนอร์ จำนวนแอสซิสต์มากที่สุดใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ 19 แอสซิสต์ เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของทีม ค่าตัว 7.5 ล้านปอนด์ สถิติสโมสรที่ กรอสเวเนอร์ ทุ่มซื้อจาก แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ไม่ได้มากไปเลยหากดูสิ่งที่เขาทำให้ทีมในระยะเวลา 1 ปี แฟรงค์ถือเป็นหนึ่งในคู่แข่งในการแย่งตำแหน่ง และแบบอย่างของ แกรี่ เขานับถือแฟรงค์มากเหมือนนักเตะซีเนียร์คนอื่นในทีม
คนสุดท้ายที่น่าสนใจ เขาคือดาวรุ่งแห่งปีของสโมสร “เควิน มอนทาน่า” ดาวรุ่งสารพัดประโยชน์หมายเลข 25 รูปร่างของเขาดูเผินๆ คล้ายคลึงกับ แฟรงค์ แมตต์ แต่ต่างกันตรงที่หนวดและเคราอันเป็นเอกลักษณ์ของเควิน ดาวรุ่งคนนี้เปรียบเสมือนพี่ชายของแกรี่ พวกเขาทั้งสองสนิทกันตั้งแต่สมัยที่เควินเป็นกัปตันทีมเยาวชน ยู-18 เมื่อสองซีซั่นก่อน ปลอกแขนนั้นส่งต่อให้แกรี่ เพราะซีซั่นที่ผ่านมาคือปีทองของเควิน เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีม และติดทีมชาติอังกฤษ ยู-21 ไปแล้ว นอกจากนี้เขายังเป็นที่สนใจของทีมยักษ์ใหญ่อีกด้วย
“แกรี่ ริคเกอร์!!” แกรี่สะดุ้งโหยงหลังจากผู้ช่วยของ วิตต์ แซนเดอร์ส อ่านชื่อของเขาบนกระดาษ
“คะ…ครับ!!” แกรี่ขานรับก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในกลุ่มนักเตะ เขายืนข้างๆ กับเควิน
“รายงานตัววันแรกก็เกือบสายแล้ว ปรับปรุงตัวด้วย รุ่นพี่ซีเนียร์ของนายเขายังมาก่อน รู้ตัวเองนะ”
คำพูดเบาๆ ของโค้ชแซนเดอร์ส มันเบาและแห้งจนน่าขนลุก แกรี่ขานรับ ก่อนที่กุนซือวัยครามจะพูดขึ้น
“อย่างที่สโมสรได้แถลงการณ์ไป ตั้งแต่วันนี้ พวกนายจะมีเพื่อนร่วมทีมใหม่ 2 คน แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่ใช่อิงลิช ฉันหวังว่าจะเห็นการช่วยเหลือเพื่อนในการปรับตัว พวกเขาเป็นผู้เล่นมีคุณภาพที่ฉันเลือกมาเอง พวกเขาและเราจะช่วยให้ทีมนี้ได้อยู่รอดในพรีเมียร์ลีก”
“มาเธียส ฟอน ชไนเดอร์ และ รอย เดอ เฮิร์ก”
มาเธียส และ รอย เดินออกมาแนะนำตัวหน้ากลุ่ม พวกเขาตัวสูง ผมสีทอง นอกจากหน้าตาแล้วสิ่งที่แตกต่างคือมาเธียสจะตัวหนากว่าหน่อย ร่างกายเขาดูแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อตามฉบับนักเตะด๊อยช์แลนด์
มาเธียสมาจากดอร์ทมุนด์ เขาคือกองหน้าวัยเพียง 21 ปี เป็นเยอรมันเชื้อสายไทย แฟนบอลตื่นเต้นกับการมาของเขามาก แน่นอนว่าเหล่านักเตะก็เช่นกัน เขาจะมาเป็นความหวังในการผลิตสกอร์ของทัพกรอสเวเนอร์
อีกคนคือ รอย เดอ เฮิร์ก เขาย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัวฟรี เคยมีบทวิเคราะห์จากดัตช์ว่าสถิติของเขานั่นยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ วิตต์ แซนเดอร์ส อาจจะต้องการเพิ่มการแข่งขันในตำแหน่งผู้รักษาประตู แต่เส้นทางหลังจากนี้ของรอยถูกสื่อวิเคราะห์ว่าเขาต้องเจองานหนักๆ แน่ๆ เพราะคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาก็คือ เบน เคิร์กส์ ผู้รักษาประตูดีกรีมือ 3 ทีมชาติอังกฤษ วัย 25 ปี เขายังเป็นรองกัปตันทีมของ กรอสเวเนอร์ ทาวน์อีกด้วย
แต่ดูจากการเสริมทัพและการดันผู้เล่นเยาวชนขึ้นมาของ วิตต์ แซนเดอร์ส แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนแล้วว่าเขาต้องการสร้างทีมสายเลือดใหม่เพื่อสู้ศึกพรีเมียร์ลีก โดยมีผู้เล่นซีเนียร์คอยประคับประคอง แต่มีผู้เล่นหน้าเก่าๆ หลายคนที่ต้องโบกมือลาทีมไปเพื่อเปิดทางให้สายเลือดใหม่เหล่านี้เช่นกัน
“วันนี้และพรุ่งนี้ เราจะซ้อมเบาๆ เพื่อเรียกความฟิตก่อนที่จะไปเก็บตัวพรีซีซั่นที่จีนในวันมะรืนนี้ หลังจากนั้นฉันจะเริ่มเข้มข้นขึ้น เวลาพักหมดลงแล้ว ต่อไปนี้เราต้องทำงานหนักเพื่ออยู่รอดในพรีเมียร์ลีก ทีมอื่นยังไฟลนก้น ตัวเต็งตกชั้นอย่างเราต้องเร่งเครื่องแค่ไหน ฉันหวังว่าพวกนายจะรู้ดี เอาละ คอร์ดซ้อมตามนี้ เริ่มเซสชั่นสำหรับวันนี้ได้!”
การซ้อมแรกของฤดูกาลเริ่มต้นขึ้น ผู้เล่นกรอสเวเนอร์แบ่งเป็นสองแถวเพื่อวิ่งจ๊อกกิ้งสลับกับสปริ้นท์คู่กัน นำโดย เจย์ กอร์ดอน และ แฟรงค์ แมตต์ โดย แกรี่ ริคเกอร์ เริ่มการซ้อมแรกของเขาด้วยการวิ่งคู่กับ เควิน มอนทาน่า
“เควิน ผมยินดีจริงๆ ที่ได้ยินว่าคุณติดทีมชาติ U-21 แล้ว” แกรี่เปิดประเด็น
“ขอบใจไอหนู แกเองก็รีบตามมาหละ การได้เล่นในพรีเมียร์ลีกมันสร้างโอกาสให้เราได้มากกว่าซีซั่นที่แล้วอีกนะ” เควินตอบพลางวิ่งจ็อกไปด้วย เขาแลดูตั้งใจซ้อม นั่นคือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงก้าวกระโดดขึ้นมาได้ไกลขนาดนี้
“ผะ…ผมเชื่อมาตลอดเลย ว่าคุณคือกองหลังดาวรุ่งเบอร์หนึ่งของอังกฤษตอนนี้เลย” แกรี่ยังไม่หยุดพูด เขาดูตื่นเต้นกับการได้มาซ้อมกับทีมชุดใหญ่
“อวยกันเกินไป ถ้าในแชมเปี้ยนชิพอาจจะใช่ แต่ในพรีเมียร์ลีก มีอยู่คนนึง หมอนั่นอยู่ในระดับเดียวกับฉันเลย” เควินตอบพร้อมยิ้มแห้งๆ
“คุณหมายถึง จอห์น สโตนส์ ของเอฟเวอร์ตันนั้นหรอครับ? มีข่าวว่าเขากำลังจะได้ย้ายไปแมนฯ ซิตี้” แกรี่ถามด้วยความสงสัย
“นี่ ฟังนะ ถึงหมอนั่นจะติดทีมชาติชุดใหญ่ ไปลุยยูโรมาแล้ว แต่ใครที่ฉันไม่เคยวัดฝีเท้ากับตา ฉันจะไม่ประเมินค่าฝีเท้าของมันหรอก…ฉันไม่ได้กำลังจะพูดถึงคนที่กำลังจะไป แมนฯ ซิตี้ แต่ฉันกำลังพูดถึงคนที่เล่นให้แมนฯ ซิตี้ อยู่ต่างหาก”
คำตอบของเควินสร้างความประหลาดใจให้แกรี่ เควินหันไปตั้งหน้าตั้งตาซ้อมพลางยิ้มเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
--------------------------------------------------------
เอติฮัด แคมปัส สนามซ้อมของ แมนฯ ซิตี้ , แมนเชสเตอร์
“เยี่ยมมาก แอชลี่ย์!” เสียงตะโกนจากข้างสนาม ชื่นชมเด็กหนุ่มในชุดซ้อมของทีมเรือใบ เขาสูงยาวจนดูโย่ง ผิวขาวผมสีทอง จากจังงหวะล้มตัวสกัดบอล จนทำให้ดาวเตะร่างเล็กผู้ครอบครองบอลอยู่ถึงกับเสียหลัก ก่อนที่เขาจะแก้ไขสถานการณ์กลับมาได้
“ไม่เบานี่ แอชลี่ย์ เบรดี้” ชายร่างเล็กเก็บบอลมาเล่นต่อ เขาเดาะบอล พูดชมพลางยิ้ม
“แต่ถึงยังไงผมก็แย่งบอลจากคุณไม่ได้อยู่ดี” เด็กหนุ่มนามแอชลี่ย์ เบรดี้ ยิ้มพร้อมส่ายหัว
เด็กหนุ่มคนนี้คือ "แอชลี่ย์ เบรดี้" เขาคือกัปตันทีมชาติอังดฤษ U-21 ที่แมนฯ ซิตี้ ทุ่มเม็ดเงินคว้าเขามาร่วทีมหมาดๆ เขาคือตัวรับอนาคตไกลที่น่าจับตามองคนหนึ่งของอังกฤษ
ส่วนชายร่างเล็กนั้น เป็นที่รู้จักของแฟนฟุตบอลทั่วโลก เขามีผิวสีแทน ผมสีดำหางม้าทิ้งยาวสลวย รอยสักหลากหลายลายเต็มตัวของเขา ดาวเตะอัจฉริยะทีมชาติสเปนนาม “บิคตอร์ เออร์นันเดซ” วัย 27 ปี เขาคือเบอร์ 1 ของพรีเมียร์ลีกในขณะนี้ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี อีกทั้งยังมีชื่อเข้าชิงบัลลังดอร์ 3 คนสุดท้ายอีกด้วย
“พรีเมียร์ลีกเดี๋ยวนี้ไม่ง่ายเลยนะว่าไหม บอร์นมัธยังมีนักเตะแบบนาย ปีที่แล้วเลสเตอร์ก็แซงหน้าทีมใหญ่คว้าแชมป์ลีก ปีนี้ต้องเป็นอีกปีที่สนุกแน่ๆ สงสารพวกน้องใหม่จริงๆ เคี่ยวๆ แบบนี้คงอยู่ยาก” บิคตอร์พูด ในขณะที่เท้าของเขายังโชว์สกิลแพรวพราว
“ก็ไม่เสมอไปมั้งครับ น้องใหม่บางทีม ก็มีนักเตะเจ๋งกว่าผมอยู่อีกนะ” แอชลี่ย์พูดแบบถ่อมตัว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เห…เอาจริงดิ แต่ก็นะ จะเก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาชนะพวกเราหรอก ฟิ้ววว” บิคตอร์กระดกบอลขึ้นแล้ววอลเล่ย์บอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมอย่างสวยงาม ทำเอาแอชลี่ย์อึ้งกับความสุดยอดของบิคตอร์
“ระ…หรอครับ” แอชลี่ย์ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ฉันจะรอดูนะ ว่าถ้าเป็นนาย จะหยุดเขาได้หรือเปล่า…เควิน”
--------------------------------------------------------
แช็ดเวลล์ ฮีธ ย่าน สแตร็ตฟอร์ด , ลอนดอน ที่ตั้งของสโมสรฟุตบอล เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ณ ห้องประชุม
“ปีนี้เรามีความจริงจังง และพร้อมที่จะลงทุนมากขึ้นเพื่อผลงานที่ดีของทีม บิ๊กดีล อย่าง ดีโน่ มาซโซลินี่ เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ผมอยากให้คุณบอกแผนของคุณมา สลาเวน” ชายแก่ผมขาว รูปร่างอ้วน เขาคือ เดวิด ซัลลิแวน ประธานสโมสร เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
“ผมค่อนข้างพอใจในแนวรุกของทีมอย่างมากในตอนนี้ โดยเฉพาะการได้ตัวดีโน่มา จะสามารถแกปัญหาในระยะยาวได้ ตอนนี้ผมอยากโฟกัสในเกมรับและแดนกลาง ผมต้องการผู้เล่นคุณภาพที่มากขึ้นเพื่อใช้ในการโรเตชั่น ตอนนี้ผมมองไปยังพวกทีมน้องใหม่ นักเตะของพวกเขาอยู่ในฟอร์มที่ดี และมีราคาถูก โดยเฉพาะกรอสเวเนอร์ ที่กำลังเสิรมผู้เล่นดาวรุ่ง พวกเขาดูเหมือนเตรียมที่จะสร้างทีมสายเลือดใหม่ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องดล๊ะนักเตะซีเนียร์ออก นักเตะมีประสบการณ์ ฝีเท้าดี และราคาถูก เราสามารถติดต่อพวกเขาได้ ผมเชื่อว่านักเตะของพวกเขาอยากจะจบอันดับดีๆ มีเงินใช้ มากกว่าหนีตกชั้น” สลาเวน บิลิช ผู้จัดการทีมมากฝีมือของทีมขุนค้อนอธิบาย
--------------------------------------------------------
ในขณะเดียวกัน
เมลวู้ด , ลิเวอร์พูล
ห้องทำงานห้องหนึ่ง ประตูห้องถูกติดชื่อของเจ้าของห้องไว้อย่างชัดเจน มันคือห้องของผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลคนปัจจุบัน “เจอร์เก้น คล็อปป์”
ประตูถูกเปิดขึ้น ชายผิวขาวในทรงผมโมฮอว์ค เดินออกมาจากห้อง ตาของเขาแดงก่ำ เขาเดินก้มหน้าตรงดิ่งโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น กระทั้งเขาเดินชนกับใครบางคน จนหยุดกึก
“เป็นอะไรไป โจเซ่ นี่แกร้องไห้มางั้นเหรอ?” ชายที่ถูกเรียกว่า โจเซ่ เงยหน้าขึ้นไปหาต้นตอของเสียง เขาเป็นชายผิวแทน ผมหยักศก เป็นที่รู้จักดีของแฟนบอล “ฟิลิปเป้ คูติญโญ่”
“เขาจะปล่อยตัวผมออกไป…ฟิล” โจเซ่เริ่มหลั่งน้ำตา
“เขาจะปล่อยตัวผมออกไป! เขาต้องการผู้รักษาประตูเพิ่ม เขาก็ต้องการ เบน เคิร์กส์ ของ กรอสเวเนอร์ เบนเป็นอิงลิช เขาได้โควต้าโฮมโกรว์น* นั่นทำให้บอสไม่จำเป็นที่จะต้องปล่อยซิมง แต่ทำไมต้องกลายเป็นผม!!”
“คุณก็น่าจะรู้ดีว่าผมรักทีมนี้ขนาดไหน…ผมเสียใจ”
โจเซ่ วิ่งออกจากตรงนั้นไป คูติญโญ่ ไม่ได้พูดอะไร เขาได้แต่หันหลังกลับบไปมองว่าที่อดีตเพื่อนร่วมทีมเท่านั้น
ผู้เล่นตัวหลักของกรอสเวเนอร์เริ่มถูกทีมใหญ่ไล่ล่าแล้ว!!
--------------------------------------------------------
*กฎ Home-Grown คือโควต้าสหราชอาณาจักร
ส่งรายชื่อได้ 25 คน ต้องเป็นนักเตะสหราชอาณาจักร 8 คน ไม่นับนักเตะอายุต่ำกว่า 21 ปี
ในกรณีเป็นนักเตะต่างชาติ กรณีเล่นอยู่ในสหราชอาณาจักรครบ 3 ปีก่อนอายุ 21 ปีจะนับเป็น Home-Grown
ยกตัวอย่างเช่น พอล ป๊อกบา และ มอร์กก็อง ชไนเดอร์แลง เป็นชาวฝรั่งเศส แต่อยู่ในอคาเดมี่ทีมในอังกฤษครบ 3 ปี ก่อนที่จะอายุ 21 ปี ทั้งคู่ถือเป็น Home-Grown