Cataclysm: Endless Hellfire
Act XXXI
------------
เจ้าของบ้านนามอัลทานิสเดินเข้าไปยังห้องพักผ่อนของตน บนเตียงของชายผู้นั้นมีร่างของหญิงสาวมาเดียร่านอนสลบตกอยู่ภายในโลกแห่งความฝันอยู่ เธออยู่บนเตียงของเขาตั้งแต่เมื่อตอนไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ชารอนวางร่างของหล่อนลง แม้ว่าจะผ่านไปได้สักพักแล้วท่าทีของเธอก็ยังดูไม่เหมือนว่าสาวพลังชีวิตผู้นี้จะตื่นขึ้นมาเสียที ชายหนุ่มนักปราชญ์ผมสั้นลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาที่ข้างเตียงตัวนี้ก่อนที่จะนั่งลงไป ด้านนอกของห้องมีนักดาบล่าปีศาจคาร์เอลยืนพิงขอบประตูและแวมไพร์ผมสีแดงชารอนยืนอยู่ข้างกายอัลทานิส แสดงอาการเป็นห่วงต่อหญิงสาวผมสีน้ำตาล มองดูเธอด้วยสายตาที่ไม่มีความร่าเริงปะปนอยู่แม้แต่น้อย ผู้เป็นเจ้าของสถานที่ค่อยๆ ทาบมือของตนลงบนหน้าผากของหญิงผู้มีปราณแห่งพลังชีวิต ฝ่ามือที่ชายผู้นั้นวางหัตถ์ลงเริ่มเกิดประกายแสงดั่งเหล็กไหลที่ถูกหลอม อัลทานิสรีบดึงมือตนเองขึ้น แสดงปฏิกริยาบ่งบอกว่าเขารู้สึกร้อนอย่างเห็นได้ชัด มือข้างนั้นก่อควันและแผลไหม้ได้กลิ่นไปทั่ว แม้นว่าชายผู้นี้จะใช้ปราณเพลิงก็ตามแต่ แต่เขาก็รู้สึกแสบร้อนได้
“ปราณแห่งไซอาลอท... ไหลเวียนในกายาของเธอเต็มไปหมดเลย” เขากล่าวขึ้นด้วย ก่อนจะจับมือของตนเอง
วาจาที่ถูกกล่าวโดยชายหนุ่มผมสั้นผู้นั้นสร้างความตกใจให้กับชารอนอยู่เล็กน้อยเหมือนกัน แต่หล่อนก็พอจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้ ในช่วงเวลาที่เบลล์แห่งบาปได้ทำพิธีการเรียกไซอาลอทกลับมายังดินแดนแห่งโพรโตเนี่ยน ให้ตื่นจากการหลับไหลเป็นเวลานานนั้น วิธีการของพิธีกรรมนั้นคือการโอนถ่ายพลังชีวิตที่สามารถทำอะไรก็ได้แม้กระทั่งคืนชีวิตให้แก่ความตายเข้าไปสู่ร่างของมารเพลิง ด้วยความที่มันถูกส่งไปอีกร่างหนึ่งนั่นก็เท่ากับว่าร่างของทั้งสองได้ทำการเชื่อมโยงกันเป็นระยะเวลาอันสั้น มันจึงไม่ใช่แค่ปราณของมาเดียร่าเท่านั้นที่เข้าไปในร่างของไซอาลอทแต่เป็นปราณแห่งความตายเช่นกันที่ถูกส่งเข้าไปในร่างของหญิงสาวเช่นกัน แม้นจะไม่ได้เป็นการขับส่งไปอย่างเต็มที่ก็ตามที แต่มันก็มีเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งดั่งอณูเล็กนิดเดียวเท่านั้น มันก็ยังถือว่าอยู่ในตัวของมาเดียร่าอยู่ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมอัลทานิสรู้สึกถึงพลังปราณของมารเพลิงในตัวของมาเดียร่าได้ ซึ่งถ้าหากเป็นคนอื่นล่ะก็ป่านนี้หัตถ์ของบุคคลนั้นๆ คงไหม้เกรียมไปโดยสมบูรณ์แล้ว
“อาการหนักแฮะ..” อัลทานิสกล่าว
หลังจากที่ชายผู้นั้นกล่าว เขาดันร่างกายตัวเองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไปพร้อมกับเก้าอี้ตัวนั้น ไปยังตู้เก็บของตัวเล็กข้างเตียงของเขา เปิดลิ้นชักชั้นบนออกซึ่งภายในมีข้าวของเครื่องใช้เล็กกลางเต็มไปหมด ชายหนุ่มผู้นั้นเอามืออีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรคว้าลงไปในลิ้นชักนั้น ควานหาของภายในกล่องไม้ก่อนจะหยิบอะไรสักอย่างออกมา ปรากฏเป็นเครื่องมืออะไรสักอย่างขนาดเล็ก เป็นวัตถุทรงกลมแปลกตา แต่ที่ยิ่งน่าแปลกก็คือมันดูไม่เหมือนผลึกหรือกระจกอะไร แต่เป็นดั่งพลังปราณที่รวมตัวกันเป็นก้อนกลมจนจับตัวแน่นกลายเป็นมวลที่ไม่แตกสลายไปตามกาลเวลา ดั่งลูกแก้ว แต่ไม่สะท้อนแสง หากพูดง่ายๆ หรือไม่เข้าใจกับหลักการของการรวมตัวปราณล่ะก็ลองคิดซะว่ามันเป็นปราณน้ำแข็งที่จับตัวเป็นก้อนก็ได้ เพียงแค่สิ่งนี้มันดูไม่เหมือนปราณน้ำแข็งเท่านั้น ทันใดที่ชารอนเห็นแบบนั้นหล่อนก็เกิดความสงสัยว่าชายผู้นี้กำลังคิดที่จะทำอะไร
“ท่านกำลังคิดจะทำอะไรหรือคะ?” เธอถาม
“จุดประสงค์การมาที่นี่ของเธอคือการให้ข้ารักษาเด็กคนนี้ไม่ใช่หรอ?” อัลทานิสกล่าว พลางหยิบบอลลูกนั้น
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าหมายถึงค่ะ”
เมื่อเธอกล่าววาจานั้นออกไป อัลทานิสจึงหันกลับไปมองหล่อน เห็นสีหน้าที่ดูจริงจังดั่งว่าเธอกำลังคิดว่าหนุ่มผู้นี้กวนเธออยู่
“อ๋อๆๆๆๆ” เขากล่าวขึ้นมารัวๆ “เข้าใจล่ะๆ”
“เจ้าหมายถึงตอนนี้ข้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่สินะ..” อัลทานิสกล่าวต่อ
“ก็.. เมื่อครู่ที่ข้าทาบมือลงไปบนหัวของเด็กคนนี้ ก็เพื่อเช็คดูว่ามีอาการผิดปกติอันใด”
“และเมื่อข้ารู้แล้วว่ามันเป็นที่สาเหตุอะไร ข้าก็เลยจะแก้ปัญหานั้นไป”
“เจ้าก็พอจะรู้ว่าทำไมมือของข้าจึงไหม้เมื่อสัมผัสกับผิวหนังของเด็กคนนี้”
“ก็ใช่.. ข้ารู้ค่ะ” เธอตอบ
“แต่ข้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าท่านจะทำอะไรอยู่ดี”
“ก็ข้าจะสูบพลังปราณเพลิงที่ติดค้างในร่างของหล่อนออกให้หมด ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้ร่างของเธออ่อนแอลง”
“หลังจากนั้นข้าก็คงต้องเช็คดูอาการของหล่อนหน่อยว่าร่างกายเสียหายเช่นไรบ้าง”
“เธอสลบตั้งแต่เมื่อครั้นพิธีกรรมคืนชีพไซอาลอทสิ้นสุดลง จนถึงตอนนี้...”
“มันก็เกือบจะวันนึงแล้ว”
“อาการน่าจะหนักพอควร...” ชายหนุ่มอัลทานิสตอบกลับ
“เอาล่ะ..”
ทันใดที่อัลทานิสกล่าวคำนั้นขึ้น เขาจึงหันกลับไปหาร่างของหญิงสาวมาเดียร่า ยกลูกแก้วปราณนั้นขึ้นมา เมื่อนั้นบอลปราณนั้นจึงลอยออกจากหัตถ์ของผู้รู้จักรวาลผู้นี้ มันหยุดลงบนอกของผู้มีปราณแห่งชีวิตที่สลบไสล เหนือร่างของมาเดียร่า ไม่นานนักบอลปราณนั้นก็ค่อยๆ ขยายตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แม้นจะขยายตัวใหญ่ขึ้นก็จริงแต่ก็หาได้ใหญ่เกินเท่าตัวของขนาดเดิมมัน ในช่วงเวลาเดียวกันอัลทานิสได้ยกมือทั้งสองข้างขึ้น ยื่นไปข้างหน้าของตน ให้หัตถ์ทั้งสองอยู่ใกล้กับบอลดั่งเช่นว่าเขากำลังถือมันอยู่ อัลทานิสค่อยๆ หมุนบอลไปตามแรงที่ตนออก ลูกแก้วปราณที่หมุนไปตามแรงเริ่มแสดงปฏิกริยาประหลาดออก มันมีสายปราณพุ่งออกมาจากวัตถุปราณนั้น พุ่งลงไปที่ร่างของมาเดียร่าหลายจำนวนนับร้อยพันเห็นจะได้ มันเป็นดั่งเส้นด้าย ทั่วทั้งบอลและสายพลังปราณในตอนนี้มันแสดงลักษณะออกเป็นปราณสีขาว เป็นปราณที่ไม่แสดงถึงลักษณะพิเศษของธาตุใดๆ ออกมา โดยปกติแล้วปราณทุกชนิดจะมีสีเฉพาะของตน ตัวอย่างเช่นปราณเพลิงจะมีสีส้ม ปราณวารีจะออกเป็นสีฟ้า เป็นต้น
ไม่นานนักเหล่าสายปราณที่พุ่งเข้าไปที่ร่างของมาเดียร่าเริ่มเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จากสีขาวมันค่อยๆ เปล่งสีอื่นออกมา กลายเป็นสีส้มออกแดงฉานเปล่งแสงบ่งบอกว่าเป็นปราณแห่งความตายได้ไหลรินออกมา มันเริ่มทำให้เส้นด้ายสายปราณเหล่านั้นเปลี่ยนไปจนเป็นสีปราณนั้นโดยสมบูรณ์ ดั่งเช่นว่ามันกำลังดูดปราณนั้น เช่นเดียวกันกับลูกบอลปราณนั้นที่เริ่มเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ แต่มันหาได้เป็นสีปราณเข้มดั่งเช่นเส้นด้ายขนาดเล็กเหล่านั้น ด้วยความที่มันเป็นบอลขนาดใหญ่กว่าด้ายหลายเท่าตัว มันจึงไม่เป็นสีเช่นปราณนั้น ภายในลูกบอลต่างมีเซลล์พลังปราณเพลิงแห่งความตายไหลรินอยู่ เป็นอณูเล็กๆ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนสีขาวให้กลายเป็นส้มเข้มได้ อัลทานิสยังคงขยับแขนของตนไปเรื่อยเป็นดั่งการทำพิธี นี่คงเป็นสิ่งที่เขากำลังพูดถึงว่าจะทำอยู่ การดูดปราณแห่งเพลิงออกจากร่างของมาเดียร่าผ่านลูกบอลปราณตัวนี้
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านหยุดการกระทำนั้น เขาเลิกขยับแขนของจนก่อนที่จะถอยฉากออกมา นั่งลงไปกับเก้าอี้ตัวเดิมของตน ถึงแม้ว่าเขาจะทำยังงั้นก็ตามแต่ แต่เหมือนกระบวนการดึงพลังปราณแห่งความตายจะยังคงดำเนินต่อไปอยู่ เหมือนว่าเขาไม่จำเป็นที่จะต้องไปควบคุมการกระทำของมันและปล่อยให้มันทำไปของมันเอง ดั่งกำลังใช้งานเครื่องจักรอัตโนมัติ ชายหนุ่มที่เหมือนจะเพียงแค่ขยับแขนของตนไปมาแสดงอาการดั่งว่าเขาเหนื่อยล้ากับการกระทำเมื่อครู่มาก เหงื่อไหลออกมาจากผิวหนัง รูขุมขนทุกส่วน สิ่งที่เขาได้ทำลงไปเมื่อครู่ก็แค่ขยับแขนของตนกับบอลปราณนั้นเล็กน้อย แต่สิ่งที่ปรากฏกับตัวของชายผู้นี้นั้นดั่งว่าเขาได้ทำการฝึกฝนอะไรสักอย่างเป็นเวลาหลายชั่วโมงเลย เขาหันไปด้านข้างของตนที่ชารอนยืนอยู่ เห็นหญิงสาวผู้นั้นยื่นผ้าให้กับชายหนุ่ม เขามองผ้าผืนนั้นก่อนที่จะรับมันมา เช็ดหัวของตนเองให้เหงื่อไคลแห้งไป
“ขอบใจ...” เขากล่าวตอบโดยที่ตัวเองยังหายใจหอบๆ อยู่
“ทำไมท่านถึงเหนื่อยหอบแบบนั้นล่ะคะ” เธอถามขึ้น
“ไม่ค่อยขยับร่างกายงั้นหรือคะ?”
“เปล่า...” เขาตอบกลับ หายใจค่อนข้างติดขัดและดวงตาที่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่
“ไอ้นั่นน่ะ.. เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าใช้มัน ไม่สิ.. ไม่ว่าใครก็ตามที่ใช้มันในกระบวนการดึงพลังปราณ”
“ผู้ใช้จะต้องดึงพลังปราณตัวเองเข้าไปในบอลนั้นเพื่อเป็นพลังงานในการดึงปราณออกมาจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วย”
“เพราะงั้นข้าถึงต้องขยับมือรอบๆ บอลนั่นเพื่อให้ปราณของข้าเข้าไปในบอลนั้น”
“กล่าวคือข้าใช้พลังปราณข้าเองในการขับให้พลังของไซอาลอทมารวมที่บอล”
“แต่มันใช้ปราณหลายส่วนของร่างกายเลยล่ะ ข้าเลยเหนื่อยหอบแบบนี้..” เขาตอบ
“งั้นหรอกหรือ..” เธอลากเสียงยาวตอบกลับ มองดูปราณทรงกลมนั้นที่กำลังทำหน้าที่ของมันไปเรื่อย
“เราคงต้องปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปสักพักล่ะนะ”
“อาจจะสักชั่วโมง...” เขากล่าว
“เออนี่!” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นและหนักกว่าเดิม ก่อนจะหันไปหาชารอน
“ข้าอยากช่วยให้เจ้าดูเส้นด้ายเหล่านั้นให้ข้าหน่อย ถ้าเกิดเส้นด้ายเหล่านั้นเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีอื่นที่ไม่ใช่สีส้มก็เรียกข้าด้วยล่ะกัน”
“แล้วท่านจะทำอะไรหรือคะ?” สาวแวมไพร์กล่าวถามขึ้น
“ข้าจะนอน..”
“ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะคะ?!” เธอกล่าวตะโกนใส่ชายผู้นั้น
แต่เขาหาได้สนไม่ หนุ่มผู้นั้นหลับตาลง เอนหลังไปกับเก้าอี้หย่อนตัวลงไปเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองหลับสบายขึ้น สิ่งที่ชายหนุ่มกำลังกระทำสร้างความหงุดหงิดให้กับชารอนพอควร แต่หล่อนก็มิอาจจะทำอะไรชายผู้นั้นได้ เธอคงยอมที่จะทำตามที่เขาบอกแต่โดยดี ถึงว่าจะแบบนั้นก็ตามทีทำไมเขากลับไม่บอกกับเธอว่าหากเส้นด้ายเหล่านั้นเปลี่ยนสีขึ้นมามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างไรก็ดีมันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอยู่แล้ว ทำตามที่เขาบอกไปคงจะดีเสียกว่าที่จะเมินเฉยต่อมัน เพราะมันขึ้นอยู่กับชีวิตของมาเดียร่าเลย ไม่นานนักเธอจึงหันไปหานักดาบล่าปีศาจที่พิงอยู่กับขอบประตู เหมือนว่าเขาจะพอเข้าใจถึงอารมณ์ที่เธอกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ ชายร่างใหญ่ผู้นั้นหาได้กล่าววาจาอันใดออกมา เขาเพียงแค่มองเธอก่อนที่จะหยุดพิงขอบประตู เดินออกจากห้องนั้นไป แม้แต่การกระทำของชายผู้นี้ก็ไม่ต่างกัน มันทำให้เธอหงุดหงิดพอๆ กับที่อัลทานิสกระทำ แต่หล่อนจะทำอะไรได้ เธอหันกลับไปมองร่างของเด็กสาวผู้นั้น ถอนหายใจออกก่อนที่จะทำตามที่อัลทานิสขอไว้
หล่อนยืนมองบอลปราณนั้นโดยที่ไม่รู้สึกเมื่อยล้าเลย แม้นเวลาจะผ่านไปนานก็ตามที เหมือนว่าเธอไม่รู้สึกปวดขาอันใดเลยสักนิด กระนั้นเองท่าทางของเธอคงจะเบื่อหน่ายน่าดูที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ในเวลาแบบนี้ด้วย แต่หล่อนก็มิสามารถไปไหนได้เช่นกัน เพราะอัลทานิสถือเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขาเอาชนะศึกใหญ่ในครั้งนี้ได้ เธอก็จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่และทำตามสิ่งที่เขาต้องการ อีกอย่าง... หากสิ่งที่เขาพูดทั้งหมดเป็นความจริงสิ่งที่เธอจะสามารถทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่รอเท่านั้น หล่อนเริ่มหันไปมองรอบข้างเป็นการแก้เบื่อไปพลางๆ มันน่าจะผ่านไปได้สักครึ่งชั่วโมงแล้วหลังจากที่อัลทานิสได้ขอให้เธอดูการทำงานของบอลปราณนั้นแทนเขา และเจ้าตัวยังคงนอนหลับโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่จากนิสัยแล้วคนอย่างเขาคงไม่คิดที่จะมานั่งดูอะไรแบบนี้รอจนกว่าจะถึงเวลาเป็นแน่แท้ ไม่แปลกหรอกที่เขาจะใช้เวลานี้ในการพักผ่อน เพราะมันคงเป็นการฆ่าเวลาที่เร็วที่สุดสำหรับเขา
บอลนั้นค่อยๆ แสดงปฏิกริยาที่แปลกไปเรื่อยๆ มันเริ่มหดตัวลงและในขณะเดียวกันมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ เช่นนั้น เส้นพลังปราณที่อยู่เต็มร่างของมาเดียร่าก็เริ่มเปลี่ยนสีไปทีละเล็กที่ละน้อยดั่งที่อัลทานิสได้บอกเอาไว้ มันเปลี่ยนจากสีส้มจนกลายเป็นเหลืองและไม่นานนักก็มีปราณสีเขียวที่ดูเป็นคุณสมบัติของพลังปราณธาตุไม้ พลังแห่งชีวิตปรากฏอยู่ทั่วเส้นด้ายเหล่านั้น ทันใดที่เธอเห็นแบบนั้น หล่อนมิรอช้าที่จะปลุกให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านผมสีน้ำตาลตื่นขึ้นมาทันที หล่อนใช้มือของตนตบไหล่ของอัลทานิส เธอตบมันรัวๆ พลางเรียกให้เขาตื่น แต่ชายผู้นั้นเหมือนกับจะไม่รู้สึกเลยสักนิด แม้นจะลงแรงมากเสียกว่าเดิมเป็นเท่าตัวก็ตามที อย่างกับว่าเขาค่อนข้างจะชินชากับความเจ็บปวดทั้งปวลยังไงยังงั้น แต่ไม่นานนักเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สลึมสลือดั่งว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไร ทันใดที่เขาเห็นที่อยู่ต่อหน้าของตน ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที อัลทานิสดีดตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ ท่าทางดูตกใจ
“แย่ล่ะสิ..” เขากล่าวมันขึ้นมา
ทันใดที่ชายผู้นี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขารุดตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ใช้มือข้างหนึ่งผ่าเข้าระหว่างบอลที่อยู่ข้างบนและร่างกายของมาเดียร่าที่อยู่ข้างล่าง ตัดผ่านเส้นพลังปราณทั้งหลายเหล่านั้นจนขาดเป็นสองส่วน ทันใดที่เส้นปราณเหล่านั้นถูกตัด มันจึงสลายไปในทันทีและบอลปราณนั้นก็หยุดที่จะผลิตเส้นปราณออกมา เมื่อนั้นอัลทานิสจึงหยิบบอลปราณนั้นมาหาตัว วางไว้บนตู้เก็บของขนาดเล็กตัวเดิม
“ดีนะที่เธอปลุกฉันขึ้นมาทัน มิเช่นนั้นเราคงได้เห็นคนตายแทนแน่นอน” เขากล่าว
“อย่าบอกนะว่าปราณสีเขียวเมื่อครู่นี้มัน...” ชารอนกล่าวขึ้นมาต่อ
“ใช่” อัลทานิสตอบกลับโดยที่เธอยังกล่าววาจาไม่จบ “มันคือปราณของเด็กคนนี้เอง”
“ด้วยความที่ตัวของเธออยู่ในสภาพที่อ่อนแอผิดปกติแบบนี้”
“หากถูกดูดปราณออกไปเพียงแค่นิดเดียวก็อาจถึงตายได้เลย”
ถือว่าดีที่อัลทานิสทำการหยุดกระบวนการดึงปราณของมารเพลิงในตัวของมาเดียร่าได้เสียก่อนที่มันจะทำการดูดกลืนปราณของเธอเอง ดูเหมือนว่าเครื่องมือชนิดนี้จะไม่มีฟังก์ชั่นในการแยกแยะปราณแต่ละชนิด สิ่งที่มันทำมีเพียงแค่ทำในสิ่งที่มันทำได้หรือดึงปราณออกเท่านั้น หากชารอนปลุกอัลทานิสขึ้นมาไม่ทันล่ะก็ตัวของมาเดียร่าอาจจะตายไปเพราะปราณหมดตัวเป็นแน่แท้ ถือว่าโล่งอกไปในระดับหนึ่งที่ปราณร้ายเหล่านั้นถูกขับออกไปจนหมดสิ้น เมื่อนั้นแล้วชายหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลจึงทำในสิ่งที่เขาจำเป็นจะต้องทำต่อ เขาต้องตรวจเช็คสภาพร่างกายของหญิงสาวเจ้าของพลังชีวิตดูว่าเธอได้รับความเสียดายมากเพียงใด ชายหนุ่มสะบัดหน้าไปมา พยายามจะทำให้ตัวเองหลุดออกจากความง่วงที่ยังคงอยู่ ก่อนที่กระพริบตาซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ทันใดนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มกระบวนการรักษาขั้นต่อไปของเขาในทันที เขาใช้มือทั้งสองข้างลูบคลำผิวพรรณอันเนียนนุ่มของเด็กสาววัยเจริญเติบโต สัมผัสมันอย่างอ่อนโยนแต่หนักแน่นเมื่อรู้สึกถึงปราณที่แขนทั้งสองข้าง นี่ถือเป็นกระบวนการตรวจร่างกายโดยพื้นฐานสำหรับคนที่มีความรู้ด้านแพทยศาสตร์เชิงปราณ ใช้ปราณแรงกล้าในระดับหนึ่งคลุมทั่วมือทั้งสองข้างไว้ แต่ไม่แรงพอที่จะทำลายอวัยวะอันใด ใช้มันในการตรวจจับชีพจรการเต้นของแต่ละส่วน การเดินของโลหิต และปราณในกายของบุคคลนั้นๆ เพียงแค่สัมผัสคนเหล่านั้นก็จะรุ้ได้ทันใดว่าคนไข้บาดเจ็บอันใด ถึงกระบวนท่านี้จะเป็นพื้นฐานก็ตามที แต่มันก็ถือว่าทำได้ยากในระดับหนึ่งเช่นกัน
ชายหนุ่มยังคงทำแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมา เพียงแค่น้ำหนักของมือเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาหยุดมือของตนที่หน้าอกของเด็กหญิงไร้เดียงสา บนเนินอกเล็กๆ ของหญิงสาว
“อืม.... หุ่นกำลังเจริญเติบโต... แน่น” จู่ๆ อัลทานิสก็กล่าววาจาออกมาโดยไม่มียางอาย
หญิงสาวแวมไพร์ผู้ซึ่งเป็นหญิงเช่นเดียวกับมาเดียร่าหันหน้าควับไปหาอัลทานิสอย่างทันใดเมื่อชายผู้นั้นกล่าววาจาแบบนี้ออกมา สำหรับผู้หญิงมันคงเป็นเรื่องน่าอายหน่อย อัลทานิสหันกลับไปมองอย่างกับตัวเองไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป
“โอ้ๆๆๆ ข้าหมายถึง.. เนี่ยจุดนี้น่ะมันแน่น”
“มีปราณรวมตัวอยู่เต็มไปหมด... ผิดปกติน่ะ” ชายหนุ่มตอบกลับ
เขากล่าวออกมาสั่นๆ เล็กน้อย ในเชิงพูดแก้ขัดที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่ หันกลับไปที่ร่างของคนไข้
“ดูเหมือนเราจะทราบปัญหาแล้วล่ะว่าทำไมหล่อนถึงยังมีชีวิตอยู่ได้” เขากล่าวต่อ
เมื่อนั้นชายหนุ่มจึงกดมือข้างนั้นลงไปบนหน้าอกของมาเดียร่า ใจกลางอกที่สื่อว่าเป็นหัวใจ เมื่อนั้นที่จุดที่ถูกกดลงไปด้วยแรงของชายหนุ่มจึงเกิดประกายแสงออกมาเป็นสีเขียวสว่างจากภายในร่างของเจ้าของปราณสีนั้น มันเปล่งแสงออกมาจนเห็นอวัยวะภายในร่างกายของหญิงสาวและหัวใจก็สามารถเห็นเป็นเงาจากภายในเช่นกัน สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าของชารอนและอัลทานิสเป็นเรื่องน่าประหลาดน่าดู เพราะปราณแทบทั้งตัวของเด็กสาวมาเดียร่ารวมตัวอยู่ใจกลางกายาหรือหัวใจหมด ดั่งว่ามันกำลังปกป้องหรือพยายามทำทุกอย่างให้อวัยวะส่วนนั้นทำงานต่อไปโดยที่ไม่หยุด เป็นการรักษาจากภายใน แม้นว่าใจนั้นจะเห็นเป็นแค่เงาเท่านั้นแต่พวกเขาก็พอจะมองเห็นแผลจากภายในนั้นได้ มันเป็นแผลขนาดใหญ่พอควรที่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้เลย และแผลนั้นก็พยายามจะขยายตัวดั่งว่าถูกกัดกิน กระนั้นในเวลาเดียวกันนั้นเองปราณชีวิตทั่วกายเธอก็พยายามรักษามันอยู่ตลอดจนลดขนาดของแผลนั้นลงไป ทุกครั้งที่เลือดสูบฉีด จังหวะหายใจเข้าแผลจะลดขนาดลง และเมื่อหายใจออก แผลก็จะขยายตัวขึ้น เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด
“นี่คือเหตุผลที่ทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่..” อัลทานิสกล่าว
“พลังชีวิตของเธอช่วยให้ร่างกายของเธอยังคงทำงานอยู่ โชคดีที่ตัวหล่อนมีพลังมากพอที่จะรักษากายาของเธอได้”
“หากไม่พอล่ะก็.. เธอคงตายไปนานแล้ว”
“ดูสิ!” ชายหนุ่มกล่าวต่อ เอามือชี้ไปที่แผลของหัวใจนั้นให้ชารอนดูมันอย่างชัดๆ
“พลังปราณแห่งไซอาลอทน่ะมันได้กัดกินร่างของเธอช้าๆ แม้นมันจะถูกขับออกก็ตามที”
“เธอคงรู้สินะว่ามันเป็นแบบนี้เพราะอะไร?”
“คุณสมบัติพลังแห่งบาป... กำลังกัดกินเซลล์ชีวิตงั้นสินะคะ” ชารอนกล่าวตอบ
“ใช่...” ชายหนุ่มขานรับ “พลังที่อันตรายที่สุดในโพรโตเนี่ยน กัดกินทุกอย่าง”
“น้อยคนนักที่มีพลังนี้ไม่ว่าจะเพื่อการใช้งานหรือถูกส่งออกไปโดยมิยินยอม แม้กระทั่งถูกโจมตี..”
“ที่จะรอดจากความตายได้!”
“ที่ท่านกำลังจะกล่าวคือ...” หญิงสาวผมแดงกำลังจะกล่าว
“เธออาจจะตายได้.. ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง” เขาตอบด้วยสีหน้าที่จริงจัง ต่างไปจากเมื่อครู่ที่ยังคงใช้วาจากวนอยู่
“แต่คาร์เอลบอกว่าท่าน..”
“ข้าไม่แน่ใจ” อัลทานิสตอบกลับทันที “ข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะรักษาเธอได้ไหม..”
“เจ้าก็รู้ชารอน แม้แต่โคลริมเองยังสิ้นใจเพราะถูกพลังนั้นทำร้ายมิใช่หรือ?”
“แม้นเขาจะชนะสงคราม ชนะการต่อสู้กับมารเพลิงก็ตามที”
“แต่ไม่มีใครสามารถชนะพลังแห่งความตายได้!”
“แล้วท่านจะบอกให้เด็กคนนี้รอความตายงั้นหรือคะ?” ชารอนตอบรับกลับไปในทันที
“แบบนั้นข้าไม่เอาด้วยหรอก... แต่ข้าก็มาที่นี่เพื่อให้ท่านรักษาเธอ”
“ไม่ว่าจะหนทางใดก็ตามแต่”
อัลทานิสที่ได้ยินไปเช่นนั้นเงียบตัวไปในทันที เหมือนเขาจะคิดหนักกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้น่าดู หญิงที่ต้องการให้เขารักษา แต่อาการที่เป็นอยู่เขากลับไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำให้มันลุล่วงไปได้ไหม
“ข้าพอจะยืดเวลาให้หล่อนได้สักพัก” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เงียบลงไปจากเดิม ดูสิ้นหวัง
“ข้าจะพยายามดูล่ะกัน.. สุดความสามารถของข้า”
“แค่นั้นไม่พอหรอก” ชารอนเอ่ยกลับ
“ท่านต้องสัญญากับข้าว่าหญิงสาวคนนี้จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง”
“ก็ได้..” ชายหนุ่มตอบ “แต่ข้าคงใช้เวลานานสักหน่อย”
คำตอบแสดงความพึงพอใจให้แก่สาวผมแดง แต่กระนั้นมันก็ยังไม่ถือว่าเป็นการยืนยันว่ามาเดียร่าจะหายเป็นปกติได้ จากท่าทางของอัลทานิสและวาจาการกล่าวของเขา ดูท่าว่าเขาจะไม่มั่นใจกับเคสนี้เสียเท่าไหร่ คงอาจจะเพราะตัวเองไม่เคยเจอมาหรือเพราะอะไรสักอย่าง อีกทั้งจากที่เขาเคยกล่าวกับเธอเอาไว้ เขาดูเหมือนจะเกรงกลัวไซอาลอท และตัวของไซอาลอทเองก็เกรงกลัวเขาเช่นกัน ซึ่งการทำอะไรกับพลังแห่งบาปอาจมีผลกระทบต่อทั้งสองก็ได้ หรือว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ และอัลทานิสกำลังพยายามปิดบังชารอนอยู่ กระนั้นเขาก็จำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นอยู่ดี ชายหนุ่มจึงเริ่มทำการรักษามาเดียร่าในทันที
“ตึง” “ตึง” “ตึง” เสียงเคาะประตูไม้ของบ้านดังขึ้นมา แต่หาได้มีเสียงใครกล่าวออกมาหลังจากที่คนๆ นั้นได้เคาะประตู เหล่าผู้คนที่อยู่ภายในตัวบ้านทั้งหลายต่างตกใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะอัลทานิส เขาดูจะระแวงดั่งเกรงว่าคนๆ นั้นจะเป็นไซอาลอทยังไงยังงั้น เมื่อนั้นเขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยุดทำการรักษามาเดียร่าชั่วขณะ เดินไปที่หน้าประตูโดยที่ในบริเวณนั้นมีคาร์เอลนั่งอยู่บนเก้าอี้พักผ่อนกลางบ้าน ชายร่างกำยำจับดาบเตรียมเอาไว้ คิดว่าคงจะเป็นศัตรูหรืออะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่มั่นใจคือพวกเขาไม่ไว้ใจกับใครก็ตามที่กำลังอยู่เคาะประตูอยู่ภายนอก และคนผู้นั้นก็หาได้หยุดที่จะกระทำเช่นนั้น เขาเคาะประตูไปเรื่อย แต่ไม่กล่าววาจาอันใดเลย
“ท่านอัลทานิส... ข้าว่ามันแปลกๆ นะ” คาร์เอลกล่าวขึ้น กำดาบไว้แน่นดั่งว่าเตรียมจะฟาดฟัน
“ข้าก็คิดงั้น เวลาแบบนี้จะมีใครมาหาข้าได้”
“และอีกอย่าง... ข้าสัมผัสได้ถึงปราณแห่งบาปอันแรงกล้าจากภายนอกด้วย” เจ้าของบ้านกล่าวกลับ
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านหันไปหานักดาบล่าปีศาจ พยักหน้าเตรียมตัว
“เอ.. แปลกจังแฮะ” เสียงของคนที่อยู่นอกบ้านกล่าว มันเป็นเสียงของเด็กหนุ่มวัยรุ่นเห็นจะได้
“จากที่ข้าถามจากคนในเมือง พวกเขาก็บอกว่าท่านอัลทานิสอยู่ที่นี่นี่หน่า..”
“หรือว่าเราจะมาผิดที่กัน?” เด็กคนนั้นกล่าวในเชิงบ่นกับตัวเอง
“เดี๋ยวก่อนพวกท่าน!” หญิงสาวผมแดงกล่าวตะโกนขึ้นมา
“ข้าว่าข้ารู้จักชายคนนั้น...”
เมื่อนั้นแวมไพร์ชารอนจึงรุดตัวไปที่หน้าประตูบ้าน และชายทั้งสองที่อยู่ข้างกายเธอจึงลดอาวุธและท่าทางระแวงลง หญิงสาวค่อยๆ เปิดประตูออกช้าๆ ปรากฏเป็นเด็กหนุ่มที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยจากดินแดนแห่งสตอร์มโฮล์ม ชายสวมแว่นลูเซียสยืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้น สวมผ้าคลุมและหมวกคลุมหัวเอาไว้เพื่อบังแดดอันร้อนระอุ ทันใดที่เด็กหนุ่มผู้นั้นเห็นหญิงสาวที่เขาคุ้นหน้า ท่าทางของเขาก็ดูตกใจกับสิ่งที่เห็นในทันที ดั่งว่าตนคาดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับชารอนในที่แบบนี้และตรงเวลา สถานการณ์เช่นนี้อีกด้วย
“เข้ามาก่อนสิ..” เธอกล่าวบอกคนรู้จักของเขา
ลูเซียสที่ยังคงตกใจอยู่ยืนนิ่งไร้การตอบรับอันใด ชารอนจึงพยายามเรียกเขาให้ตั้งสติก่อนที่ชายสวมแว่นจะเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น
“ท่านมาอยู่ที่แห่งนี้ได้ยังไงกัน?..” เขากล่าวขึ้น
“เรื่องมันยาวน่ะ” เธอตอบ “แล้วตัวท่านล่ะลูเซียส?”
“ข้ามาตามที่องค์ราชาโครนอสประสงค์ขอรับ..”
“แล้วท่านเนลเรี่ยนล่ะ?” เด็กหนุ่มผมดำถามต่อ
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก”
“งั้นหรอกหรือ..”
เด็กหนุ่มกล่าวตอบรับอย่างผิดหวัง ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยที่จะยินดีเสียเท่าไหร่ ไม่นานนักเด็กหนุ่มผมดำผู้นี้ก็เห็นร่างของหญิงสาวมาเดียร่านอนหมดสติอยู่ภายในห้องนอนของบ้าน แม้นว่าสภาพภายในบ้านตอนนี้จะไม่ค่อยมีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในตัวบ้านจนมองอะไรไม่ค่อยเห็นเพราะความมืดปลกคลุมก็ตามที แถมด้วยความที่บ้านหลังนี้ค่อนข้างเล็กจึงทำให้ลูเซียสมองเห็นหญิงสาวผู้นั้นหลับไหลภายในห้องที่ไม่ได้ปิดประตูเอาไว้ เมื่อนั้นเขาจึงรีบรุดตัวไปในห้องนั้นทันที วิ่งไปหามาเดียร่าด้วยสีหน้าที่ดูตกใจและเป็นห่วงในเวลาเดียวกัน สภาพของเธอที่เขาเห็นนั้นมันมิอาจทำให้หนุ่มผู้นี้สามารถรับมันได้ การหายใจอันแหบแห้ง เบาจนแทบจะไม่ได้ยินภายในห้องอันเงียบงันนั้น ดั่งว่าเธอกำลังจะตายในไม่ช้า แน่นอนว่ามันทำให้ลูเซียสรู้สึกไม่ดีที่เห็นแบบนั้น
“มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน?!” ชายหนุ่มกล่าวถาม หันหน้าไปหาชารอนที่กำลังเดินตามเข้ามาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
“เธอถูกดึงพลังออกไปจากพิธีการคืนชีพมารเพลิงน่ะ...”
“และร่างกายของเธอดูท่าจะอ่อนแอลงไปมากหลังจากที่ได้รับเศษพลังแห่งความตายเข้าสู่ร่าง” หญิงสาวตอบกลับ
“ไม่จริงน่า.. แบบนั้น..”
“เจ้าน่าจะรู้ถึงอาการของเธอในตอนนี้” หล่อนกล่าวขึ้นอีก “แต่เรากำลังทำทุกอย่างเพื่อที่ให้เธอกลับมาเป็นปกติอยู่”
ระหว่างนั้นอัลทานิสจึงเดินเข้ามาหาชายหนุ่มลูเซียส ยื่นมือออกไปเป็นการทักทายตามมารยาท
“เห็นเจ้าบอกว่าองค์ราชาของเจ้าส่งตัวเจ้ามาที่นี่.. เพื่อมาหาข้าขอเดานะ”
“ตัวข้าคืออัลทานิส บุคคลที่เจ้าตามหา” เขากล่าวขึ้น
“คะ... ครับ”
ชายหนุ่มตอบกลับ ยื่นมือออกไปจับผู้เปิดการทักทาย อัลทานิสรู้สึกได้ถึงมือข้างนั้นที่ลูเซียสจับมือของเขา มันหาได้เป็นการทักทายที่ยินดีเสียเท่าไหร่ การกำมือแบบไม่เต็มมือแบบนั้น ปล่อยให้มือของตนเองอ่อนและไม่กำมือของผู้ทักทายตน ดั่งว่ามันไม่มีเรี่ยวแรงที่จะจับ การกระทำแบบนี้สำหรับการทักทายแบบนี้ถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างแท้จริง และมันก็ดูน่าเกลียดเสียด้วยซ้ำ ความรู้สึกของผู้ที่จับมืออันไร้เรี่ยวแรงนั้นมันก็ไม่ต่างจากกำลังจับปลาที่ตายอยู่นั่นแหละ แต่มันก็หาได้มาจากการเกลียดชังของตัวผู้ทักทายกันและกันแต่เป็นดั่งว่าเวลาแบบนี้เขามีอะไรที่ห่วงมากกว่า และกำลังคิดถึงอะไรสักอย่างภายในจิตใจ แน่นอนว่าตัวของผู้รู้จักรวาลผู้นี้ย่อมรู้สึกถึงความคิดของลูเซียสอยู่แล้ว
“เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกไอ้หนุ่ม...” อัลทานิสกล่าวขึ้นมาต่อลูเซียส
“ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าหญิงสาวที่เจ้ากำลังแอบชอบเนี่ยลุกขึ้นมาสวิงกิ้งกับเจ้าได้” เขากล่าวโดยพยายามที่จะให้ลูเซียสอารมณ์ดีขึ้น
“พะ... พูดอะไรของท่านน่ะ?” ลูเซียสหน้าแดงก่ำ บ่งบอกว่ากำลังเขินอาย กล่าวด้วยเสียงสั่น
“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเด็กคนนี้ล่ะนะ” อัลทานิสตอบ “มันไม่ได้น่าอายมิใช่หรือที่จะคิดอะไรพวกนี้บ้างในหัวน่ะ?”
“นี่ท่าน...” ลูเซียสพยายามจะกล่าววาจาขึ้น
“เดี๋ยวก็ชินเองล่ะลูเซียส” ชารอนพูดสวนขึ้นมา พยายามสงบสติอารมณ์ของลูเซียส
“แต่ว่านะ... ไอ้หนู” จู่ๆ อัลทานิสก็กล่าวขึ้นมา
“ไม่คิดจะบอกสิ่งที่เจ้ารู้กับสหายสาวสวยของเจ้าหน่อยหรือ?”
“เรื่องใหญ่มิใช่หรือ?”
มันทำให้ลูเซียสงุนงงพอควรกับสิ่งที่ชายที่อยู่เบื้องหน้าของเขากล่าวขึ้น ดั่งว่าเขารู้อะไรหลายๆ อย่างเพียงแค่เห็นหน้าและทักทาย จับมือแต่เมื่อครู่นี้ ทั้งเรื่องตัวเขาชอบมาเดียร่าเอง และไหนจะรู้ถึงสิ่งที่เขาคิดจะบอกต่อชารอนอีกต่างหาก
“จริงสิ” เขาอุทานขึ้น “ท่านชารอน...”
“ข้ามีข่าวร้ายจะแจ้งให้ท่านทราบขอรับ”
“คือว่า...”