Cataclysm: Endless Hellfire
Act XXXIII
------------
หัตถ์แห่งเพลิง มือแห่งปีศาจ มันกำลังกดลงบนใบหน้าของเหยื่ออย่างแรง ปราณแห่งเพลิงที่อยู่รอบมือนั้น เพลิงลาวาที่หยาดลงออกจากมือแห่งความตายสร้างความทรมาณให้แก่คาสเตอร์ ผ่านไปไม่นานนักกลิ่นไหม้ของการแผดเผาก็เริ่มโชยขึ้นมา ควันดำลอยออกมาจากใบหน้าของเจ้าของแห่งสำนักดาบทมิฬ เขาไม่สามารถขัดขืนกำลังที่เหนือความเป็นมนุษย์ได้ ด้วยแรงของไซอาลอทที่เหนือกว่าเป็นเท่าตัว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่เหยื่อจะสามารถลุกขึ้นมาจากพื้นสู้แรงกดสู่ผืนโลกได้ มารเพลิงหัวเราะเริงร่าพลางใช้กระบวนท่าที่สังหารสมาชิกนักฆ่าทั้งสองไปตอนเมื่อครู่ เขาเริ่มดูดพลังชีวิตของคาสเตอร์ออกมาทีละเล็กทีละน้อย แต่สิ่งที่เพลิงแห่งความตายต้องการจริงๆ คือพลังปราณแห่งบาปของมือขวาที่ตายไปแล้วของตน ที่มันสถิตอยู่ส่วนใดส่วนของภายในกายชายผู้นั้น ไซอาลอทสามารถรู้สึกถึงมันได้ เขาจึงเร่งกระบวนการดูดพลัง มันเริ่มทำให้คาสเตอร์อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ร่างกายที่ขยับดิ้นพล่านไปมา ทุกส่วนที่เหยื่อขยับด้วยความทรมาณ มันเริ่มอ่อนแรงลงและหยุดไปช้าๆ และช้าๆ...
ไม่นานนัก เหยื่อแห่งเพลิงพิโรธได้หยุดขยับกายาแห่งตน นอนนิ่งดั่งว่าตนน้อมรับความตายแม้นดวงตาทั้งสองยังจะคงเบิกโพลงอยู่
“จงอย่าได้หาญกล้าต่อต้านกับความตาย...” มารเพลิงกล่าวมันขึ้นมาเบาๆ
ในลักษณะนี้เขาพูดมันเหมือนกับว่ากำลังพยายามที่จะกล่อมคาสเตอร์ให้หลับอย่างสงบ สู่โลกอีกมิติหนึ่ง หาใช่ความฝันแต่เป็นความมรณา สู่โลกแห่งความทรมาณที่ยมทูตจะลงทัณฑ์ การกระทำนี้เป็นดั่งว่ามารเพลิงคือผู้ส่งแขกลงไปสู่นรก
“แต่ไม่ต้องห่วง เจ้าจะไม่ทรมาณ..”
“เจ้าจะไม่รู้สึกเหมือนกับที่เจ้าเคยทำต่อผู้บริสุทธิ์... ที่เจ้าพรากชีวิตพวกเขาไป”
“จงอย่าได้กลัวความตายคาสเตอร์ จงอย่าได้กลัว”
“เพราะข้านำมันมาให้เจ้าแล้ว”
สักวาเปล่งออกอย่างแผ่วเบา วาจาดั่งความเมตตาถูกกล่าวขึ้น ไซอาลอทกำลังมอบความตายอันแสนสงบให้คนชายผู้มีบาปผู้นี้ หากแต่ว่าความเป็นจริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ถ้อยคำพูดที่ทำให้มันดูเริศหรู ไม่ว่าจะฆ่ายังไงมันก็ถือว่าไร้ความเมตตาเช่นกัน กระนั้นเองมารเพลิงยังคงกระทำดั่งว่าให้ความตายนี้เงียบสงบ ไม่ให้ผู้ตายรู้ตัว อันที่จริงน่าจะบอกว่าไม่ให้คนที่บริเวณนี้รู้ตัวเสียมากกว่า เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้วทั้งเพลิงแห่งความตายและราธเองคงจะมีปัญหาไม่น้อย ที่จะต้องเคลียร์กับนักสู้ นักฆ่าที่อยู่ภายนอกสำนักอยู่นับร้อยเป็นแน่แท้ แม้นว่าทั้งสองจะเหนือกว่าคนพวกนั้นลิบลับก็ตามที แต่ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่าเสมอ บัดนี้ร่างกายของคาสเตอร์เริ่มซูบผอมลง ผิวพรรณเปลี่ยนสีไปดูจืดจาง อีกไม่นานประตูแห่งความตายจะได้ถูกออกแน่ ท่าทางของไซอาลอทแลดูว่าตนเองกำลังรู้สึกสบายที่ได้กลืนกินพลังแห่งชีวิตของมนุษย์ เขาแสดงใบหน้าพึงพอใจ รู้สึกเคลิ้มไปกับชีวิตที่ได้รับมา แต่เมื่อนั้นใบหน้าที่เริงรมย์ก็เริ่มเปลี่ยนไป... มันเริ่มมีเส้นเลือดปูดออกมา มารเพลิงเริ่มกัดฟันราวกับทรมาณ จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที
มือข้างนั้นของตนก็ได้หายไปกับตาแล้ว!
เขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเพราะเหตุใดมันจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมมือของเขาถึงหายไปได้ ไม่สิ! มันละลาย... ดั่งว่าถูกกัดกร่อนโดนสารเคมีหรืออะไรสักอย่างที่แรงมาก สายตาของไซอาลอทแสดงความตกใจออกมา เขาไม่เชื่อในสายตากับสิ่งที่เห็น นั่นเพราะร่างของเจ้าของสำนักหาได้มีแผลไหม้หรืออันใดทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ปรากฏนั้นหาใช่ร่างของมนุษย์ด้วยซ้ำ มันเป็นของเหลวสีม่วงสนิทดั่งพิษร้ายแรง มีปราณสีเดียวกันเอ่อล้นออกมาอย่างชัดเจนเช่นว่าเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ของเหลวนั้นมีรูปลักษณ์เหมือนดั่งมนุษย์ สรีระร่างกายคล้ายกับตัวของคาสเตอร์ผู้ใช้พลังพิษมิผิดเพี้ยน ทันใดนั้นเองของเหลวเหล่านั้นก็ทำปฏิกริยาอะไรสักอย่าง มีหนามจำนวนมากพุ่งออกมาจากร่างนั้น จากหนามที่ดูเป็นของเหลวแปลสภาพกลายเป็นของแข็ง พุ่งทะลุร่างของมารเพลิงไปโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบอันใดจากความร้อนและร่างกายที่หนาผิดมนุษย์ของเพลิงแห่งความตายเลย มันสร้างบาดแผลให้แก่ปีศาจร้าย สร้างความทรมาณดั่งเช่นที่ตนเพิ่งทำให้กับเหยื่อ เมื่อนั้นของเหลวจึงไหลออกจากจุดนั้น ถอยฉากออกไป รวมตัวจนกลายเป็นร่างของมนุษย์ที่ยืนเตรียมท่าสู้
“ข้ามิได้ต่อต้านความตายไซอาลอท” ชายผู้นั้นกล่าว
“แต่ข้าคือความตาย!”
ไซอาลอทที่มีบาดแผลรูเหวอะจำนวนมากมองดูบาดแผลของตนเองในระหว่างที่บทพูดของคาสเตอร์ได้เปล่งออก เมื่อนั้นเพลิงหนึ่งเดียวจึงแสยะยิ้ม รู้สึกตลกกับคำพูดของคาสเตอร์ที่กล่าวออกมา สำหรับผู้ที่ทั้งโพรโตเนี่ยนเรียกว่าความตายเช่นนี้ เมื่อได้ยินคนอื่นที่เป็นมนุษย์อ้างตนว่าตัวเองคือความตายที่แท้จริง มันย่อมเป็นเรื่องขบขันสำหรับไซอาลอทอยู่แล้ว เขาถุยโลหิตของตนออกจากปากซึ่งเป็นโลหิตที่ปนไปด้วยเพลิงลาวา เมื่อเลือดนั้นกระทบลงสู่ผืนไม้ซึ่งเป็นโรงฝึกประจำสำนัก มันจึงเกิดรอยไหม้เล็กน้อยและบริเวณนั้นในรัศมีของโลหิตจึงสลายตัวเป็นดั่งธุลี
“แน่นอนว่าเจ้าจะได้เป็นแน่คาสเตอร์”
“ถ้าข้ามอบมันให้กับเจ้า!”
ทันใดที่คาสเตอร์ได้ยินเช่นนั้น เขารู้ตัวว่าตนเองกำลังจะเข้าสู่การต่อสู้ครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของตน เมื่อนั้นตนจึงดึงดาบสองเล่มของตนออกมาจากฝักทั้งสองที่อยู่ที่เอวทั้งข้างซ้ายและขวา มันเป็นดาบแฝดเหล็กไหลขนาดยาวเกือบครึ่งตัวของผู้ใช้เลย สำหรับดาบทั้งสองเล่มนี้มีนามว่าอัลด้า และอาร์คินมาจากนามของอดีตนักรบกล้าแฝดชายหญิงในอดีตผู้ซึ่งเคยเป็นเจ้าของดาบ หญิงอัลด้า และชายอาร์คิน ผู้เคยสยบมังกรทองแห่งภูเขาอัลทาลิคเพียงแค่ฉับเดียว ว่ากันว่าดาบเล่มนี้ได้ถูกปราณแห่งพิษสลักลงไปพร้อมกับพิษกว่าร้อยชนิดสะกัดจากดอกไม้ เลือดของสัตว์หรือเซลล์ชีวิตของอะไรก็ตามที่สามารถให้ผลผลิตเป็นพิษได้ ใครก็ตามที่โดนมันแม้แต่เฉือนเดียวอาจจะลงโลงได้เลย ถือว่าเป็นหนึ่งในศาสตราวุธที่ทรงพลังและน่ากลัวที่สุดของโพรโตเนี่ยนเลยทีเดียว จากเรื่องเล่าขานกันมาในวงการของนักฆ่า เขาว่ากันว่าคาสเตอร์แทบจะไม่เคยใช้ดาบเล่มนี้เลยสักครั้งในการต่อสู้ และทุกครั้งที่เขาจะใช้นั้นย่อมเป็นการต่อสู้ระดับมหากาพย์โดยตลอด หนึ่งในการต่อสู้ที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้คนเมื่อดาบเล่มนี้ได้โลดแล่นคือเมื่อครั้นที่คาสเตอร์ใช้มันในการต่อกรกับอดีตเจ้าของสำนักแห่งนี้โดยมีตำแหน่งเป็นเดิมพัน นั่นจึงถือว่าเมื่อใดก็ตามที่ชายผู้นี้ใช้มัน นั่นคือเขาเอาจริงแล้ว
ไซอาลอทเองก็พอจะเคยได้ยินและเห็นดาบทั้งสองโลดแล่นครั้นสมัยที่อัลด้า และอาร์คินเจ้าของดาบเดิม กระนั้นเขาก็ตกใจไม่น้อยที่จะได้มาเห็นมันอีกครั้งต่อหน้าของตนแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะตกใจก็จริง แต่มันกลับยิ่งเป็นการสร้างความสนุกให้แก่ผู้รักการต่อสู้เช่นมารเพลิงผู้นี้
“อัลด้าและอาร์คิน... กระบี่ในตำนานที่เคยสยบแม้กระทั่งยักษ์ใหญ่”
“ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นมันอีกครั้ง” มารเพลิงกล่าวขึ้นแสดงความประหลาดใจ
“เป็นเกียรติมากที่จะได้ประลองกับดาบในตำนานทั้งสอง..”
“แต่ข้าคงต้องเอาจริงเหมือนกันล่ะนะ!” ไซอาลอทกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป ข่มเสียงของตนลงแสดงถึงความน่ากลัว
มิใช่แค่ว่าผู้ใช้พลังแห่งพิษที่เอาจริงเท่านั้น หากแต่ว่าปรปักษ์แห่งตนก็แสดงปฏิกริยาในลักษณะเดียวกันออกมา เมื่อนั้นจึงเกิดไอปราณแรงกล้าเอ่อล้นทั่วร่างของความตาย มันแรงพอๆ กับจิตสังหารที่อาฆาตชีวิตของคาสเตอร์ ร่างกายของไซอาลอทเริ่มมีปราณแห่งเพลิงปะทุออกดั่งภูเขาไฟที่ปะทุลาวาเพลิงอันร้อนระอุ ผู้คนในบริเวณนั้นต่างสามารถจับกระแสปราณนั้นได้และรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทันใดนั้นเองเหล่านักรบแห่งดาบทมิฬจึงรุดตัวเข้ามาในโรงฝึกของสำนัก เห็นหัวหน้าสำนักและเพลิงแห่งความตายยืนจ้องหน้ากันใจกลางโรงฝึกอันกว้างขวาง พวกเขาต่างตกตะลึงที่ได้เห็นนายท่านของตนเองใช้ดาบในตำนานนั้น และหวาดกลัวในพลังมหาศาลของไซอาลอท มันทำให้พวกเขาทั้งหมดรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่เศษฝุ่นเท่านั้นเมื่อยืนอยู่ใจกลางสนามรบนั้น แม้นว่าไซอาลอทจะฮึด ชาร์จพลังของตนออกมาจำนวนมากก็ตามที แต่มันก็มิสามารถรักษาบาดแผลที่เกิดจากปราณแห่งพิษได้ดั่งเช่นที่เขาควรจะเป็น ปกติแล้วไม่ว่าการโจมตีใดก็ช่างไซอาลอทจะสามารถฟื้นฟูร่างกายของตนได้ในไม่ช้า แต่ด้วยความที่ถูกโจมตีด้วยคุณสมบัติของธาตุพิษซึ่งคือการกัดกร่อน คล้ายกับพลังแห่งบาป ร่างกายจึงสร้างเซลล์ขึ้นมาไม่ทัน จึงถือว่าคาสเตอร์ได้เปรียบไซอาลอทในด้านนี้
แม้นว่ามือข้างหนึ่งจะละลายไป มันแทบจะไม่มีความหมายเลยที่แขนขวาข้างนั้นจะมีประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นมือข้างที่ไซอาลอทถนัดอีกด้วย จึงถือว่ามารเพลิงเข้าขั้นวิกฤตและเสียเปรียบอย่างสุดๆ หากมองในแง่ของหลักเบื้องต้น แต่หากมองเรื่องด้านพลังปราณและพลกำลังนั้น ไซอาลอทได้เปรียบกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว คาสเตอร์รู้ซึ้งถึงข้อนี้ดี เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เขาสามารถจะทำได้คือการที่ไม่ต่อสู้ซึ่งๆ หน้า แต่ต้องใช้กลยุทธ์เข้าช่วย
“ราธ.. ฆ่าพวกหนอนแมลงนั่นให้หมด!” ไซอาลอทกล่าว
“ข้าจะเด็ดหัวของดาบทมิฬไว้ขึ้นหึ้งบูชา.. แก่พระเจ้าของพวกมันที่ไม่มีจริง!”
ที่ไซอาลอทกำลังพูดถึงคือเทพแห่งความตาย ผู้ซึ่งเคยอยู่เทวาก่อนที่จะตกสวรรค์ลงมาในช่วงระหว่างสงครามระหว่างเทพพิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยนและวอยด์ได้สิ้นสุดลง ก่อตั้งสมาคมดาบทมิฬ เขาผู้นั้นคือเออร์คิวรัส ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในเทพที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาเทพทั้งหมดของดวงดาวแห่งนี้ แต่เทพตนนั้นได้ตายไปด้วยน้ำมือของเพลิงแห่งความตายเอง เช่นนั้นสิ่งที่เขากล่าวออกมาจึงเป็นเหมือนดั่งการเย้ย และมันยิ่งจะเป็นการเย้ยเออร์คิวรัสมากกว่าถ้าหากเขาสามารถเด็ดหัวของคาสเตอร์ ทำลายสำนักดาบทมิฬลง เมื่อนั้นไซอาลอทจึงรีบออกตัวไป ใช้มือข้างเดียวของตนที่มีออกหมัดไปอย่างแรง เร็วพอๆ กับกระสุนปืนใหญ่ พุ่งเข้าไปหาคาสเตอร์เพียงไม่กี่อึดใจ ด้วยความที่มันเป็นการโจมตีแบบเห็นกันจะๆ เช่นนี้ จึงทำให้ผู้ใช้ดาบคู่หลบมันไปได้โดยง่าย และชายผู้นี้ก็อาศัยจังหวะนั้นใช้ดาบของตนเฉือนแขนข้างนั้นของไซอาลอทจนเป็นแผลบาดโดยของมีคมจำนวนมาก แม้นว่าดาบมันจะใหญ่พอควรก็จริง แต่ความเร็วกลับน่าเหลือเชื่อ มันเร็วเสียยิ่งกว่าสายตาของเพลิงพิโรธจะตามทันเสียอีก
แน่นอนว่าบาดแผลที่ไซอาลอทได้รับมามิอาจจะรักษาคืนได้ แถมยังสร้างความเจ็บปวดให้มารเพลิงทุกวินาที ทุกครั้งที่เขาขยับมัน
“นี่ล่ะที่เขาจะเรียกว่าสนุก” ไซอาลอทกล่าวโดยที่ไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยสักนิด
ดั่งว่าผู้ทำลายล้างผู้นี้กำลังเริงรมย์ไปกับความเจ็บปวด เขาเริ่มขยับกายาดั่งเช่นว่าร่างกายของตนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กวาดกงเล็บมังกรของตนไปกระแทกเข้าใส่กับดาบของคาสเตอร์ ชายผู้นั้นใช้คมดาบรับกงเล็บนั้นไว้ก่อนที่จะหวังใช้ดาบอีกเล่มแทงเข้ากลางอก สู่หัวใจเป็นจุดตาย ไซอาลอทรู้ตัวว่าหากตนเองโดยโจมตีเช่นนั้นย่อมไม่ใช่ผลดีเป็นแน่แท้ กระนั้นเองบาดแผลที่เป็นรูทั่วทั้งตัวของเขาก็ผุดออกมาซึ่งลาวาโลหิตที่จับตัวเป็นก้อน พุ่งออกไปรับคมดาบนั้นเอาไว้ แม้ว่าความร้อนระดับที่สามารถละลายเหล็กไหลได้โดยง่ายก็ตามที แต่มันก็ไม่สามารถละลายดาบพิเศษเล่มนี้ได้ คาสเตอร์พยายามจะดึงมันออกมาแต่ไม่เป็นผล เขาสู้แรงของเพลิงโลกันต์ไม่ไหว เพียงชั่วพริบตามารเพลิงจึงออกหมัดกระแทกใส่ใบหน้าของคาสเตอร์เข้าอย่างจัง ร่างกายของชายผู้นั้นปลิวออกไปพร้อมกับดาบทั้งสองเล่ม กระแทกใส่กำแพงของโรงฝึก มันทำให้คาสเตอร์มึนพอควร
ชายเจ้าของสำนักจับใบหน้าของตนดู พลางครางร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อรู้สึกตัวอีกทีใบหน้าของตนก็เกิดรอยไหม้เช่นกับหมัดของมารเพลิงแล้ว ในครั้งนี้เขามิอาจจะรักษาแผลได้เหมือนครั้งที่แล้วที่โดนบีบใบหน้า เพราะมันเป็นการโจมตีกายภาพโดยตรง เขาจับดาบทั้งสองที่อยู่ใกล้ตัว ลุกขึ้นยืนก่อนที่เห็นปรปักษ์แห่งตนรัวหมัดข้างเดียวดั่งเช่นปืนกลเมื่อมันถูกยิง แม้นว่าเพลิงพิโรธจะเสียสมดุลจากแผลกัดกร่อนที่แขนข้างขวา แต่ความเร็วของหมัดซ้ายก็หาได้เชื่องช้าเลย โชคดีสำหรับคาสเตอร์ที่สามารถหลบมันไปได้ แต่ความเร็วของมนุษย์มิอาจจะเอาชนะไซอาลอทได้ เขาจึงรับหมัดเหล่านั้นเข้าเต็มๆ ร่างกายของคาสเตอร์ปลิวติดเข้ากำแพงแต่ปืนกลหมัดหาได้หยุดลง มันต่อยไปเรื่อยๆ จนกำแพงไม้เริ่มเกิดเป็นเสียงการแตกหัก แตกออกเป็นรูขนาดร่างของมนุษย์และคาสเตอร์ก็ปลิวออกไปตามแรงหมัดของมารเพลิง ร่างของเจ้าของสำนักดิ่งลงเหวในทันทีที่ปลิวออกจากสำนักของตนที่ตั้งบนเทือกเขา กระแทกลงกับผืนดิน ทำให้ร่างของคาสเตอร์มิอาจจะขยับได้ชั่วขณะจากการปวดมึนของศีรษะ เขาสะบัดหน้าเพื่อคืนสติจนกระทั่งเห็นเพลิงแห่งความตายพุ่งลงมาเป็นดั่งดาวตกเพลิงสังหาร
“ตูมมมมมมมมมม!” หมัดของไซอาลอทกระแทกลงสู่ผืนดินดั่งเช่นเป็นกิโยตินดาวตกลงทัณฑ์ แต่มันหาได้โจมตีถูกเป้าหมายเลยสักนิด การกระแทกเมื่อครู่ของไซอาลอทสร้างหลุมขนาดยักษ์ แต่หาได้มีโลหิตของศัตรูสาดกระเซ็นเลย มารเพลิงค่อยๆ ลุกขึ้นท่ามกลางฝูงดินควันที่ตนสร้างขึ้น ไม่สามารถจับทิศทางได้ว่าคาสเตอร์อยู่แห่งหนใดกัน เพลิงแห่งความตายยกแขนข้างซ้ายที่ยังใช้งานได้ขึ้นมา เสกลูกบอลเพลิงบนหัตถ์ข้างนั้น ก่อนจะปามันออกไปในทิศทางเบื้องหน้าราวกับไม่รู้ทิศทางของมัน ดูเหมือนว่าการที่เขาทำเช่นนั้นเพื่อที่จะตีฝุ่นออกทำให้ตนมีวิสัยทัศน์ที่ดีกว่าเดิม แต่มันก็มิเป็นผลอันใดนัก พลังบอลเพลิงนั้นไม่พอที่จะแหวกอากาศเพื่อให้ฝุ่นแยกตัวออกได้ตามที่ไซอาลอทต้องการ เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินผ่าฝูงควันออกไป เข้าไปในดงฝุ่นดินที่ทำให้ตนเองมองอะไรไม่ค่อยสะดวก แต่เมื่อไซอาลอทสังเกตมันดีๆ แล้วดงควันที่เขากำลังอยู่ภายในนั้นหาใช้ฝุ่นดิน แต่มันเป็นระเบิดควันที่ส่งกลิ่นประหลาดออกมา เหมือนจะเป็นพิษอันใดสักอย่างที่สามารถคร่าสิ่งมีชีวิตออร์แกนิคภายในเวลาอันสั้น
“ฟิ้วววว!” เสียงอะไรสักอย่างดังขึ้นมาเบาๆ เป็นเหมือนการขยับตัวของวัตถุขนาดเล็กอย่างรวดเร็ว
มันกระแทกใส่ร่างของไซอาลอทเข้ากลางอก เมื่อนั้นมารเพลิงจึงก้มลงไปดูว่าสิ่งนั้นมันคืออะไรกัน เขาพบว่ามันคือกระสุนอะไรสักอย่างสีม่วงขนาดเล็ก ฝังเข้าไปในร่างของเขา มันไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยสักนิด แทบจะไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำเมื่อมันกระทบใส่ร่างของเพลิงพิโรธ ไม่นานนักกระสุนนั้นก็เริ่มเปลี่ยนสภาพกลายเป็นดั่งของเหลวและฝังร่างของมารเพลิง ทันใดที่สิ่งนั้นเกิดขึ้น มันทำให้ไซอาลอทกรีดร้องออกมาอย่างทรมาณ ไม่ทันไรก็มีกระสุนเหล่านั้นพุ่งเข้ามาใส่ร่างกายแต่ละส่วนที่สามารถรับกระสุนนั้นได้ ด้วยความที่ไซอาลอทอยู่ในดงควันเช่นนี้ เขาจึงแทบจะไม่รู้เลยว่าการโจมตีมันมาจากแห่งหนใดกัน เขากวาดสายตาไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากความเจ็บปวดที่ตนเองได้รับมามากขึ้นเรื่อยๆ และกระสุนเหล่านั้นหาได้ถูกสลัดออกไปแม้แต่น้อย แม้ว่าผู้ถูกโจมตีจะพยายามดึงมันออกหรือสะบัดร่างไปก็ตามแต่ เพลิงแห่งความตายเริ่มสู้กับความทรมาณที่ตนได้รับ ลุกขึ้นยืนก่อนที่ร่างกายของเขาจะเปล่งแสงเป็นปราณสีแดงฉานดูน่ากลัว มันสว่างจ้าดั่งเช่นว่าเป็นตะวันขนาดเล็ก ความร้อนนั้นกลับยิ่งสร้างควันมากขึ้น แต่ไซอาลอทดูเหมือนจะไม่สนใจ
ทั้งฝุ่นควันและควันพิษต่างตลบอบอวน รวมตัวกันเป็นหนึ่งเมื่อมารเพลิงกำลังรวบรวมพลังแห่งตน กระนั้นเองกระสุนพิษแห่งความทุกข์ระทมก็ยังโหมกระหน่ำเข้าจู่โจมแสงปราณสีแดงอยู่ ไซอาลอทเริ่มไม่รู้สึกเจ็บกับพิษที่กัดกินเนื้อหนังของตน ไม่นานนักเหล่าพิษที่จับตัวเกาะร่างของไฟจึงเริ่มระเหยขึ้นไปตามอากาศ ทำให้การโจมตีของคาสเตอร์เริ่มไร้ผลไปในทันที เพลิงพิโรธเหลือบมองไปทางด้านตะวันออกของตน ดั่งว่าตนเองรู้ทิศทางของกระสุนแล้ว ตนหันตัวไปเบื้องหน้าอย่างกับจะรับกระสุนเหล่านั้น แต่แล้วกายาก็เริ่มประกายแสงออกรุนแรงมากขึ้น และกระสุนแห่งเพลิงจึงถูกยิงออกมาจากร่างของปีศาจร้ายอย่างบ้าคลั่ง แรงยิงนั้นทำให้เกิดการแหวกของลมอากาศ พัดฝุ่นควันจะสลายหายไป ปรากฏเป็นบอลเพลิงขนาดเล็กเท่ากระสุนปืนพุ่งไปหาคาสเตอร์ที่ยิงกระสุนพิษออกจากกายาแห่งตนเช่นกัน
กระสุนสองสีจากคนละฝั่งมากมายดั่งเช่นห่าฝนเข้ากระแทกใส่กันโดยที่แทบจะไม่มีการเล็ดลอดไปถูกเป้าหมายเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองคนยืนต้านพลังของตนเพื่อที่จะเอาชนะอีกฝ่ายและดูไม่มีทีท่าว่าจะเลิกราโดยง่าย มันยังคงดำเนินเช่นนี้ไปเรื่อย ผ่านมาได้สักครึ่งนาทีแล้วและไม่มีฝ่ายใดที่ดูว่าพลังปราณจะถดถอยไปเลยแม้แต่น้อย แต่หากจะสู้เช่นนี้ต่อไปคนที่จะเสียเปรียบก็มีแต่ตัวของคาสเตอร์เอง เรื่องพลังปราณนั้นไซอาลอทถือว่าถือไพ่เหนือกว่าเป็นไหนๆ แม้นว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก และไม่ได้พักผ่อนเลยตั้งแต่ที่ตนเองตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลเป็นเวลานาน ถือว่าได้นี่คือเฟสที่เขาอ่อนแอที่สุดแต่เขาก็ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครอื่น จากสัมผัสพลังที่รู้สึกได้ คาสเตอร์รู้ซึ้งดีว่าหากประลองเช่นนี้ต่อไปเขาจะกลายเป็นผู้ที่ถูกลูกปราณเพลิงแห่งความตายนั้นซัดจนร่างไหม้เกรียมเป็นแน่ แต่หากจะหยุดวิชาของตนกลางคันก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน เพราะในช่วงเวลาที่เขาหยุดนั้น มันจะไม่มีอะไรปกป้องเขาจากบอลเพลิงเลย ด้วยความที่ช่วงเวลามันสั้นไปเกินกว่าที่จะสามารถหลบได้ เขาจึงต้องหาวิธีอื่นในการรับมือนี้
ไซอาลอทเริ่มเพิ่มอานุภาพการโจมตีให้สูงขึ้น ส่งผลให้บอลเพลิงเหล่านั้นเริ่มเล็ดลอดไปได้ มันปลิวไปไม่ถูกตำแหน่งนักเนื่องเพราะกระแทกใส่กับกระสุนพิษของปรปักษ์เข้า แต่ด้วยมวลที่เหนือกว่าจึงทำให้มันสามารถเอาชนะพิษได้ แต่การกระทบกันของกระสุนทั้งสองสร้างการหักเหให้แก่บอลเพลิงที่เหนือกว่า ทำให้มันปลิวไปไม่ถูกตามตำแหน่งที่ต้องการ เลยไม่ทำให้การโจมตีนี้สร้างความบาดเจ็บให้แก่คาสเตอร์ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง คาสเตอร์เห็นเช่นนั้นจึงปักอัลด้าลงกับผืนดิน แต่ยังถืออาร์คินไว้ เช่นว่าอาร์คินเปรียบเสมือนขุมพลังเพื่อที่จะใช้กระบวนท่ากระสุนอวตารมรณา ทันทีที่คมแห่งอัลด้าปักลงไปกับผืนพิภพ สีของธุลีดินจึงเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากสีธรรมชาติที่เป็นสีน้ำตาล กลายเป็นสีม่วงดั่งพลังปราณของคาสเตอร์ได้ซึมลงไป ทันใดนั้นเองก็มีปราณพิษเอ่อล้นขึ้นมาจากบริเวณนั้น ก่อตัวเป็นร่างอวตารยักษ์ใหญ่ เช่นอสูรกายที่โครงไม่เหมือนกับมนุษย์โดยสิ้นเชิง
อวตารพิษปรากฏเบื้องหน้าของคาสเตอร์ มันยืนนิ่งในลักษณะที่ดูคล้ายว่าจะปกป้องผู้อัญเชิญตนออกมา ดั่งผู้พิทักษ์ดาบทมิฬ
“ฆ่ามัน..” คาสเตอร์กล่าวออกคำสั่งอสูรสีม่วงร่างใหญ่
มันพยักหน้าตอบรับคำสั่ง ก่อนที่จะพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วดูพิลึก มันขยับร่างได้อย่างอิสระดั่งเช่นว่าความใหญ่ยักษ์ของร่างกายไม่มีอุปสรรคอันใดต่อการเคลื่อนไหวเลย ดวงตามแห่งเพลิงเห็นภัยอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้ตนเรื่อยๆ แต่ก็มิทันความว่องไวของอสูรพิษ มันพุ่งเข้าจับหัวของไซอาลอทอย่างจัง จับศีรษะนั้นไว้แน่นก่อนที่จะเหวี่ยงลงไปกระแทกใส่กับพื้นดั่งกอลิล่ายามบ้าคลั่ง การเหวี่ยงแบบนั้นดั่งว่าจะเด็ดหัวของเพลิงพิโรธให้หลุดออกจากบ่า ว่าแล้วมันก็โยนร่างของไซอาลอทขึ้นไปบนฟากฟ้า มันจึงกระโดดตามขึ้นไป ไซอาลอทยังมิทันจะได้ตั้งสติก็ถูกมารใหญ่นั่นจับไว้อีก มันเหวี่ยงร่างของเพลิงพิโรธลงกระแทกใส่ผืนดินอีกครั้ง ไม่ยอมให้ตัวเองมีช่องโหว่แต่ไม่ให้มารเพลิงได้พักเลย มารเพลิงพยายามที่จะลุกขึ้นมาจากผืนดินแต่ก็ถูกร่างของอสูรทับลง มันหาได้ทับทางกายภาพแต่เป็นเหมือนดั่งดูดกลืนไซอาลอทเข้าไปในร่างพิษของตน เพลิงแห่งความตายติดอยู่ภายในร่างของปีศาจพิษ ไม่สามารถหายใจได้ดั่งตัวเองแหวกว่ายอยู่ใต้มหาสมุทรลึก
ไซอาลอทติดอยู่ในพันธนาการอสูรพิษอย่างสมบูรณ์ มิอาจจะออกมาสู่โลกภายนอกได้ แม้นว่าเพลิงพิโรธจะรวมรวมพลังไปที่หัตถ์ข้างซ้ายที่ยังอยู่ กดไปที่เนื้อหนังภายในของอสูรพิษแต่ก็ไม่เป็นผล ซ้ำความเข้มขันของพิษยังทำให้ผิวหนัง เนื้อเยื่อและปราณของเพลิงพิโรธเริ่มถดถอยไปช้าๆ ถูกกัดกร่อนจนสติของไซอาลอทเริ่มเลือนลาง เมื่อคาสเตอร์เห็นเช่นนั้นเขาจึงยกกระบี่อัลด้าของตนขึ้นมาจากผืนดิน และเก็บทั้งอัลด้าและอาร์คนใส่ฝักดาบที่เอวเช่นเดิม ดั่งเป็นการบ่งบอกว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้ว เขาเริ่มเดินไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ ฝีเท้าที่เหยียบลงพื้นค่อยๆ สะบัดฝุ่นเคลอะที่ติดชุดของตน อย่างกับว่าตัวเองคือผู้มีฐานะยิ่งใหญ่ เขาหยุดลงที่หน้าอสูรพิษที่นอนกดผืนดินอยู่ เป็นคุกของเพลิงพิโรธ แสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ ในความหมายที่เย้ยหยั่นต่อความตาย
“นี่น่ะหรือสิ่งที่ผู้คนทั้งโลกหวาดกลัว?” คาสเตอร์กล่าววาจาดั่งเป็นการเฉือนดาบด้วยวาจาเสียดสี
“สุดท้าย... มันก็แค่มารร้ายดั่งนิทานหลอกเด็ก..”
“ที่มันจะถูกปราบโดยมนุษย์” เขากล่าว “แต่ไม่ต้องห่วงไซอาลอท..”
“พลังของเจ้าจะไม่สูญเปล่า เพราะข้าจะเอามันมาเป็นของๆ ข้า”
“และใช้มันเอง”
คาสเตอร์กล่าวมันออกไปโดยที่ไซอาลอทหาได้ตอบกลับอันใด สติของเขาแทบจะเลือนลางไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แทบจะเป็นภาพที่หาดูได้ยากเลยที่จะเห็นไซอาลอทดูอ่อนแอเช่นนี้ต่อหน้าของใครอื่น เพราะเขาคือความตายที่สังหารทุกอย่างๆ ไร้ความปราณี เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วมันจึงทำให้ดูตลก และยิ่งสำหรับคาสเตอร์เองก็ดูตลกมากยิ่งขึ้น เขาฉีกยิ้มออกอย่างพึงพอใจที่ได้เห็นเช่นนั้น ก่อนจะหันหลังให้กับพันธนาการแห่งพิษของตน เริ่มเดินถอยฉากออกไปช้าๆ คิดว่าการต่อสู้มันได้จบลงไปแล้ว
“หลับให้สบายล่ะมารร้าย.. เดี๋ยวข้าจะมาเก็บศพและพลังของเจ้าภายหลัง”
“เพราะข้าจำเป็นต้องอวดชาวโลกในฐานะผู้ฆ่าปีศาจล่ะนะ” คาสเตอร์กล่าวไปพลางหัวเราะออกมา
เมื่อนั้นร่างของอสูรพิษจึงเริ่มหดตัวลง เหมือนว่ามันกำลังจะบีบรัดร่างของไซอาลอทช้าๆ มันแปลงสภาพไปจนแทบจะดูไม่เป็นร่างกายของสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป ดั่งยางลมที่ถูกปล่อยลมออกมาจนหดตัวเข้าไปสู่ใจกลาง แต่มันหาใช่ว่าพลังปราณแห่งพิษเริ่มหายไปแต่เป็นว่ามันกำลังพยายามที่จะรัดตัวเข้าสังหารไซอาลอทเสียต่างหาก มันบีบรัดจนปราณพิษแนบชิดติดกับผิวหนังกายหยาบของอัคคีร้าย จนเกิดเสียงดังขึ้นมาคล้ายว่าเป็นเสียงของกระดูกที่แตกหักทีละซี่ๆ หากเป็นเช่นนี้ไปอีกสักพักก็จะหมายถึงร่างของไซอาลอทที่จะแหลกเป็นชิ้นๆ จากแรงกดดันนั้น และเมื่อสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นใันก็จะถือว่าเป็นความตายของไซอาลอทอย่างแท้จริง จะถือว่าคาสเตอร์ได้ส่งสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดลงสู่ประตูนรก
แต่....
เสียงนั้นมันดูแปลกไปเกินกว่าที่จะเป็นการแตกหักของกระดูกมนุษย์ มันเริ่มมีเสียงประหลาดแบบนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปราณพิษที่รัดร่างของไซอาลอทขยายตัวออก จนมันทนไม่ไหวและ... ฉีกออก! แตกออกเป็นชิ้นๆ! ดั่งว่ามีระเบิดจากภายในที่สร้างแรงแหวกลมมหาศาล ทันใดที่เสียงนั้นระเบิดออกก้องสู่โลกาชายผู้ที่อยู่ภายหลังของสิ่งนั้น คาสเตอร์ จึงหันกลับไปด้วยความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แรงลมที่ซัดจากแรงระเบิดซัดใส่ร่างของหนุ่มผู้นั้นจนเซออก ฝุ่นควันที่ตามมาทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นดูติดชัดจนไม่สะดวก เขาใช้แขนของตนบังฝุ่นเอาไว้ มันทำให้เขาไม่ค่อยเห็นเบื้องหน้าว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกันแน่ จนเมื่อเขารู้ตัวอีกทีก็มีอะไรสักอย่างพุ่งเข้าหาตัว กระแทกใส่ใบหน้าของชายผู้นั้นจนร่างกระเด็นออกไป มันเป็นหัตถ์ซ้ายของไซอาลอทที่ยังสามารถใช้งานได้กดคอและหัวของชายผู้นั้นลง ไถลลงไปกับผืนดินตามแรงการพุ่งตัวของไซอาลอท ไม่นานนักมันก็หยุดลงและเป็นฝ่ายของมารเพลิงที่อยู่เหนือกว่า เขาบีบใบหน้าของคาสเตอร์อีกครั้ง ดั่งว่ามีจุดประสงค์ที่จะทำลายใบหน้านั้นให้ได้