Cataclysm: Endless Hellfire
Act XXXIV
------------
นับเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้วนับจากครั้นที่อสูรเพลิงเหยียบฝ่าเท้าตนลงบนผืนดินแห่งสตอร์มโฮล์ม ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะสิ่งก่อสร้าง ทหารหรือแม้กระทั่งตัวของโครนอสอดีตกษัตริย์แห่งดินแดนนี้เอง ล้วนแต่สลายหายไปเป็นธุลีจากเงื้อมมือของเพลิงพิโรธทั้งสิ้น แต่กระนั้นหลายคนก็เริ่มสลัดความเศร้าออกไป หันไปมองสู่อนาคต หลายคนที่อพยพหลบหนีในครั้งนั้นไปยังเมืองต่างๆ เริ่มพากันกลับมายังสตอร์มโฮล์ม ทำในสิ่งที่ตนเองสามารถจะทำได้ ก่อร่างสร้างเมือง บูรณะให้มันกลับมาดูดีดั่งเมื่อก่อน ภายนอกเหล่าชายชาตรี หนุ่มแกร่งมีกำลังต่างพากันช่วยยกข้าวของ ตอกตะปู ก่ออิฐตามที่ตนสามารถจะทำได้ แม้แต่เหล่าผู้กล้าจากเมืองต่างๆ ที่มาแวะเยี่ยมเมืองนี้เองก็ยังให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดี ทำให้งานไวขึ้นและสบายยิ่งขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว ถือเป็นการลดภาระให้แก่องค์ราชาคนใหม่ลงไปเยอะพอควร บัดนี้เหล่าชาวเมืองต่างก็พากันรับรู้กันหมดแล้ว และได้เป็นพยานในพิธีขึ้นบัลลังก์ของโบล์ทาห์ เฮเมอร์สันไปแล้ว และชาวเมืองแทบทั้งหมดต่างยอมรับองค์ราชาคนใหม่โดยไม่มีการคัดค้านอันใด
แม้นว่าชาวเมืองจะทำงานอย่างหนักก็ตามที แต่ตัวของโบล์ทเองก็หาได้มีเวลาว่างเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มผู้รับตำแหน่งนี้ยืนอยู่กับชายเฒ่านามไฮล์มใจกลางสวนของปราสาทแห่งสตอร์มโฮล์ม สถานที่ซึ่งใช้เป็นการฝึกฝนของโครนอสและเหล่าทหารเสือระดับสูง มองดูการฝึกฝนของกลุ่มนักสู้จำนวนหนึ่ง ทั้งทหารหน้าใหม่และเหล่าผู้ที่ได้รับการเล่นตำแหน่ง เนื่องเพราะการบุกรุกของมารเพลิงเมื่อครั้งก่อนคร่าชีวิตของผู้กล้าในชุดรบไปกว่าหลายร้อยคน ทำให้ขาดกำลังพลที่จะใช้ในการตอบโต้หรือปกป้องดินแดนในภายหลัง เลยมีความจำเป็นที่จะต้องมีการคัดเลือกทหารใหม่ อีกทั้งตำแหน่งแม่ทัพแห่งสตอร์มโฮล์มก็ว่างลงเช่นกันจากการเข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองของโบล์ท โดยคนตัดสินก็จะเป็นองค์ราชาของดินแดนนี้เอง เพราะหน้าที่นี้ก็มีเพียงแค่ตัวเขาเท่านั้นที่จะสามารถทำมันได้อย่างเต็มศักยภาพ ด้วยความที่ตนเคยเป็นถึงแม่ทัพของดินแดนและมีความชำนาญด้านการต่อสู้ จึงทำให้เขาสามารถมองออกได้ว่าใครที่สมควรที่จะเข้าร่วมกองทหารนี้
เสียงของกระบี่กระทบกันรัวเป็นหลายชุด จากกลุ่มคู่ที่ได้จับคู่ประลองกันฟาดฟันดาบเป็นการฝึกฝน โบล์ทมองดูทหารเกือบหลักร้อยโดยที่ไม่กระพริบตา แสดงความตั้งใจออกมาดั่งว่าตนเองได้เข้าไปอยู่ในโลกนั้นอย่างเต็มตัว ตัดขาดจากภายนอกโดยสิ้นเชิง แม้นว่าจะมีทหารอยู่มากก็ตามที แต่ตัวของโบล์ทเองก็สามารถมองเห็นได้แทบทุกคน เห็นความผิดพลาดของคนนั้นๆ ในจังหวะการเหวี่ยงดาบ การยืนทรงตัว และฝีมือทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าโบล์ทจะดูตั้งใจกับการคัดเลือก แต่อีกแง่หนึ่งเขาก็ค่อนข้างเบื่อที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้เป็นเวลานานเหมือนกัน
“เป็นยังไงบ้างขอรับท่านโบล์ท” ชายเฒ่านามไฮล์มที่ยืนอยู่เบื้องหลังของโบล์ทกล่าวถาม
“คนอื่นๆ ก็พอจะเป็นทหารหน้าทัพได้ล่ะนะ” เขากล่าวตอบ “แต่ข้าไม่รู้สึกเลยว่าบุคคลเหล่านี้ดูเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งเดิมของข้าเลย”
“ท่านกำลังจะบอกว่าแต่ละคนฝีมือยังไม่ถึงขั้นหรอครับ?” ชายเฒ่ากล่าวถาม
“ก็ไม่เชิงหรอก” องค์ราชาตอบ “อันที่จริงก็พอมีอยู่คนหนึ่ง..”
“ใครหรือขอรับ?”
เมื่อชายเฒ่ากล่าวถามด้วยความอยากรู้ ผู้เป็นองค์กษัตริย์จึงหันไปมองยังเหล่าบุคคลที่กำลังทำการฝึกซ้อมอยู่ เขามองไปยังเกือบท้ายสุดของกลุ่มที่อยู่ไกลจากสายตาของเขา แม้เหล่าทหารท่านอื่นจะบังจนแทบมองไม่เห็นก็ตามที แต่วิสัยทัศน์ของราชาผู้นี้ยังคงสามารถเห็นมันได้ ณ จุดนั้นมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังฟาดฟันดาบของตนอยู่ โบล์ทรู้สึกถึงความพิเศษที่กลุ่มสองคนนั้น มันแตกต่างออกไปจากการทุกคู่ที่กำลังฝึกซ้อมเพื่อคัดตัว โบล์ทไม่เพียงแค่สามารถสัมผัสเสียงกระทบของดาบพวกนั้นได้เท่านั้น แต่เขายังจับกระแสปราณอันแรงกล้าที่ถูกฝังลงไปในดาบของหญิงคนนั้นด้วย จึงทำให้องค์ราชาโฟกัสสายตาไปยังสาวผู้นั้นคนเดียวโดยไม่สนใจอันใดเลย เขาสามารถสัมผัสได้ถึงปราณแห่งวารีไหลรินอยู่ทั่วทั้งดาบ ส่งผ่านจากร่างกายของเธอไปยังดาบเล่มนั้น แถมดาบของหล่อนยังดูมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งด้วย ทุกครั้งที่มันกระทบใส่กับดาบคู่ต่อสู้ของเธอ มันหาได้มีเสียงกระทบของเหล็ก แต่เป็นเหมือนกับดาบของคู่ต่อสู้ถูกซัดใส่น้ำเสียมากกว่า แถมกระบวนท่าการใช้เพลงดาบของเธอยังดูแตกต่างจากคนอื่นด้วย มันดูอ่อนช้อยเหมือนเป็นการร่ายรำ สง่างามดั่งหงส์แต่แลดูหนักแน่นดั่งหินผาในเวลาเดียวกัน
“เจ้าพอจะรู้จักผู้หญิงคนนั้นไหม?” โบล์ทหันกลับไปถามไฮล์มพลางชี้ไปยังหล่อน
“เอ่อ.. เหมือนผมจะเคยได้ยินมาว่าเธอเคยอยู่ในกองเดียวกับท่านมิใช่หรือขอรับ?” ชายเฒ่าตอบ
“ข้าไม่ได้มีเวลาไปจดจำหน้าทุกคนหรอกนะไฮล์ม..” องค์กษัตริย์กล่าวต่อ
“เธอคือลีอา วาร์ชิน” ชายเฒ่ากล่าว “สาวผู้ใช้กระบี่แหวกวารี ข้าว่าท่านพอจะเคยได้ยินเรื่องดาบเล่มนี้มาก่อน”
“วาร์ชิน?” จู่ๆ โบล์ทก็กล่าวนามสกุลของเธอออกมาด้วยความตกใจ “มันไม่ได้เป็นนามของ..”
“เทพวารีขอรับ” ไฮล์มตอบ
ทันใดที่คำตอบถูกกล่าวออก โบล์ทจึงหันกลับไปมองหญิงผู้นั้นอีกครั้ง
“แต่.. นามอันยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ทำไมถึงเป็นแค่ทหารหน่วยกองของเมืองนี้ล่ะ?” โบล์ทกล่าว
“มันก็ใช่” ไฮล์มเอ่ย “แต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน..”
“แต่ชื่อเสียงของเธอก็ไม่ได้น้อยหน้าไปจากนามของตัวเธอเลย” เขากล่าวต่อ
“ใช่ ข้าเคยได้ยิน” โบล์ทเอ่ยสวนขึ้นมา
“เพลงดาบเพียงกระบวนท่าเดียวสามารถสยบได้แม้กระทั่งคราเค่น เด่นเช่นว่าตัวเองเป็นธิดาแห่งวารี”
“แม้นฝีมือจะมาก แต่ความหุนหันพลันแล่นก็เช่นกัน มันจึงทำให้ตัวเธอพ่ายต่อนักดาบคนอื่นอยู่หลายหน”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนาเรื่องหญิงผู้นั้น ตัวเธอนั้นก็สามารถเอาชนะคู่ซ้อมของหล่อนเองไปได้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ การที่โบล์ทเห็นแบบนั้นยิ่งเป็นการสร้างความสนใจให้กับเขาเกี่ยวกับตัวเธอ ไม่แน่เธออาจจะเหมาะกับการเข้ามารับดำแหน่งแม่ทัพเดิมแทนที่ตัวเขาก็ได้ ทันใดนั้นเองโบล์ทจึงเดินรุดหน้าไปเข้าสู่กลุ่มทหารเหล่านั้น เมื่อโบล์ทเดินผ่านกลุ่มคนเหล่านั้นไป พวกเขาก็หยุดเพลงดาบของตนลง หันไปมององค์ราชาที่มุ่งตรงไปเรื่อยๆ ด้วยความสงสัย ไม่นานนักตัวขององค์กษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มจึงหยุดที่เบื้องหน้าคู่ของหญิงสาวคนนั้น เธอจึงหยุดเพลงดาบลงตามด้วยคู่ซ้อมของเธอ เกิดความสงสัยในใจว่าเพราะเหตุใดผู้เป็นใหญ่จึงเดินเข้ามาหาพวกเขาได้ ด้านฝั่งชายที่เป็นคู่ซ้อมของลีอาก้มโค้งคำนับแสดงความเคารพต่อโบล์ทก่อน ตามด้วยตัวของลีอาเอง แต่เธอก็แสดงอาการแปลกๆ ออกมาก่อนที่จะโค้งตัวลง หญิงสาวผู้นี้มีผมสีขาวสั้น ดวงตาสีส้มสวยงาม สรีระหุ่นดูอย่างกับสาวรำในปราสาท ทั้งเรียวสวยและหน้าอกที่ค่อนข้างใหญ่ในเครื่องแบบของทหารแห่งสตอร์มโฮล์ม
“เงยหน้าขึ้นเถิด” โบล์ทกล่าวด้วยวาจาแลดูสุภาพ
เมื่อนั้นทั้งสองจึงทำตามในสิ่งที่องค์ราชาประสงค์ คู่ชายหญิงเงยหน้าขึ้นแต่ไม่สบตากับโครนอสเลยสักนิด พวกเขาแค่มองตรงไปข้างหน้าเหมือนดั่งหุ่นอัศวิน
“มีกาลอันใดให้พวกเรารับใช้หรือองค์ราชัยน์?” ชายหญิงทั้งสองกล่าวขึ้นมาพร้อมกัน
ทันใดนั้นโบล์ทจึงหันหน้าไปหาหญิงสาวผมสั้นสีขาว
“เธอคือลีอาใช่ไหม?” เขาถามขึ้น “ลีอา วาร์ชิน?”
“คะ.... ค่ะ” เธอตอบ
ทันทีที่หล่อนขานตอนรับคำถามของโบล์ท เหล่าทหารที่อยู่ในระแวกนั้นก็ตกใจ ซิบซุบนินทากันโดยมีเรื่องของหญิงผู้นี้ขึ้นเป็นดั่งพาดหัวข่าว ไม่ถือว่าแปลกสักเท่าไหร่ที่ใครหลายๆ คนจะตกใจไปกับตัวเธอ ด้วยความที่นามของตนถูกประดับด้วยชื่อเดียวกันกับเทพแห่งวารี จึงเกิดเป็นความสงสัยว่าเธอมีกาลอันใดเกี่ยวพันกับหนึ่งในผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยน อนิม่อน วาร์ชินกัน กระนั้นเองหญิงสาวผู้นั้นก็ดูตกใจเล็กน้อยเหมือนกันที่ได้ยินโบล์ทกล่าวเรียกนามของเธอออกมาจากปากแบบนั้น แถมยังดูสั่นแปลกๆ ไม่ต่างจากเมื่อครูก่อนทำการโค้งคำนับต่อนายท่านของตัวเองเลย
“ข้าได้ยินว่าตัวเจ้ามีความสามารถในการต่อสู้” โบล์ทกล่าวขึ้นต่อ
“ก็... ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ” เธอตอบกลับด้วยเสียงสั่นดูเขินอาย
ไม่ถือว่าแปลกเท่าไหร่ เพราะการที่ได้มีบทสนทนากับองค์ราชาอย่างกะทันหันแบบนี้ มันก็ต้องทำให้ผู้คนนั้นๆ รู้สึกประหม่าได้เหมือนกัน
“ประลองกับข้าหน่อย” องค์ราชากล่าวขึ้น “ถ้าเจ้าชนะข้าได้ตำแหน่งแม่ทัพเป็นของเจ้า”
เมื่อวาจานั้นถูกเปล่งออก กลายเป็นการสร้างความฮือฮาให้แก่ฝูงชนและตัวของไฮล์มเองก็ดูตกใจไม่น้อยเหมือนกันที่ได้ยินแบบนั้น เหมือนกับว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับการตัดสินใจของโบล์ทเสียเท่าไหร่ มันดูเหมือนว่าตำแหน่งแม่ทัพจะสามารถเป็นใครก็ได้ถ้าสามารถทำงั้นงี้ได้ตามปากของราชาประสงค์ แบบนั้นมันจะคัดเลือกไปเพื่อกาลอันใดและความสำคัญของการเป็นแม่ทัพมันจะไปมีได้ยังไงล่ะ มันไม่ใช่แค่ฝีมือเก่งกาจจะสามารถเป็นได้ มันต้องมีความเป็นผู้นำสูง ความสุขุมและใจเย็น เรื่องแบบนี้ตัวของโบล์ทเองก็น่าจะรู้นี่ ด้านของหญิงสาวค่อนข้างช็อคไปกับวาจาของโบล์ท ยืนนิ่งไปจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก เมื่อนั้นโบล์ทจึงยื่นมือทั้งสองข้างออกไปด้านข้าง สื่อให้คนโดยรอบถอยออกไป สร้างสนามประลองการต่อสู้ให้กับตัวขององค์ราชาและทหารหญิงผู้นี้ ทันใดนั้นเหล่าทหารก็พากันถอยออกไปตามที่โบล์ทประสงค์ จึงเหลือเพียงแค่โบล์ท ไฮล์มและตัวของผู้มีนามแห่งเทพวารีลีอาเท่านั้น เธอยังคงไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เหมือนว่าคงต้องทำตามในสิ่งที่องค์ราชาของเธอประสงค์จริงๆ
“แบบนั้นมันจะดีหรือขอครับท่านโบล์ท?” ไฮล์มกล่าวกระซิบขึ้นเพื่อให้นายท่านเพียงคนเดียวได้รับรู้
“ข้าต้องการเห็นพลังอันแท้จริงของเธอ” โบล์ทกล่าว “และจากที่ข้าสัมผัสพลังปราณของหลายๆ คนในตอนนี้”
“ก็ไม่มีใครเก่งเกินไปกว่าเธอแล้ว”
“ถึงแบบนั้นก็เถอะขอรับ.. แต่ว่า..”
“อย่าได้เป็นห่วงอันใดไฮล์ม” องค์กษัตริย์กล่าวต่อ “ข้าได้คาดคะเนทุกอย่างไว้แล้ว”
ทันใดที่ไฮล์มได้ยินเช่นนั้น เขาจึงถอยฉากออกไป เหลือเพียงแค่ชายหญิงคู่ที่กำลังจะทำการประลอง เช่นนั้นแล้วโบล์ทจึงชักดาบของตนขึ้น มันมีเพียงด้ามจับเท่านั้น แต่มิทันไรจู่ๆ ก็มีปราณระดับสูงไหลรวมไปที่มือที่จับดาบนั้นก่อนจะเกิดเสียงฟ้าคำรามขึ้นปรากฏเป็นดาบสายฟ้าขนาดกลางที่ดูมีอานุภาพในการทำลายล้างสูง หญิงสาวที่้เห็นเช่นนั้นจึงรับรู้ด้วยตัวเองว่าโบล์ทเอาจริงเป็นแน่แท้ เธอจึงหยิบกระบี่ของตนขึ้นมาเช่นกัน มันเป็นเหมือนกับดาบคาตานะธรรมดาที่ถูกหล่อด้วยช่างตีเหล็กในตัวเมืองเท่านั้น แต่พลังที่ดาบนั้นหาได้ดูธรรมดาดั่งเช่นตัวดาบเลย มันมีปราณไหลรินอยู่เต็มไปหมดไม่ต่างจากกระบี่ขององค์กษัตริย์เองเลยด้วยซ้ำ เธอยกดาบขึ้นในท่าตั้งรับเตรียมที่จะทำการประลองทุกเมื่อ ทันทีที่ชายผมทองผู้เป็นเจ้าเมืองแห่งนี้เห็นเช่นนั้น ท่าทางของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มเดินวนหญิงสาวไปรอบๆ ดั่งว่ากำลังดูเชิงของเธออยู่ ทุกฝีก้าวที่โบล์ทได้ย่างกราย ทุกการเคลื่อนไหวของหนุ่มผู้นี้ได้กระทำ หญิงสาวก็หันตามไปเรื่อยหาได้สร้างช่องโหว่ให้กับตัวของผู้ใช้ปราณสายฟ้าเลยแม้แต่นิด
“เอาล่ะ... จงนึกภาพว่าข้าเป็นศัตรูคนหนึ่ง” เจ้าเมืองกล่าวพลางเดินไปเรื่อย
“อย่าได้คิดที่จะอ่อนข้อให้กับข้าแม้แต่น้อย”
ทันใดที่วาจานั้นถูกเปล่งออก เสียงกรีดร้องก็ตามมาจากปากของหญิงสาว เธอวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ง้างดาบของตนฟาดฟันใส่กับโบล์ทด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวดั่งเด็กใหม่ที่ฝึกฝนกระบี่กระบอง แน่นอนว่าคนมากฝีมือเช่นแสงสีทองแห่งซินโดร่าย่อมหลบมันไปได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว เขาแทบจะไม่ได้ขยับฝีก้าวของตัวเองด้วยซ้ำ เพียงแค่โยกตัวออกไปด้านข้างเพื่อหลบคมดาบไร้ความยั้งคิดแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากเลย การโจมตีจากตัวของลีอาเองได้สร้างช่องโหว่ให้กับตัวเธอ เมื่อนั้นแล้วโบล์ทจึงยกเท้าขวาของตนขึ้นอย่างรวดเร็ว เตะใส่กลางท้องของหญิงสาวเข้าอย่างแรงโดยไม่มีความปราณีอันใด เธอจุกจนแทบจะลอยขึ้นเหนืออากาศจากแรงกระแทกนั้น แต่เธอก็ใช้แรงฮึดของตนเหวี่ยงดาบไปอย่างแรง ความเร็วของมันแทบจะมองไม่ทันด้วยสายตา แต่ระดับโบล์ทที่เร็วยิ่งกว่าเสียงกลับมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน เขาเร็วจนถึงขั้นที่จะรับมันได้ด้วยมือด้วยซ้ำ แต่เปล่าเลย ชายผู้นั้นกลับถอยฉากออกไป ตั้งท่าของตนตามด้วยลีอาที่ตั้งรับในท่าของเธอเอง จู่ๆ ใบหน้าของโบล์ทก็เกิดแผลบาดจากของมีคมตามด้วยโลหิตที่ไหลรินออกมาเล็กน้อย มันสร้างความตกใจให้กับหนุ่มผู้นี้ไม่น้อย เขามั่นใจด้วยซ้ำว่าตัวเองหลบเพลงดาบนั้นได้แต่ทำไมถึงมีรอยบาดนี้ได้ล่ะ
ชายหนุ่มยกมือที่ไม่ได้จับดาบขึ้นมาเช็ดเลือดของตน มองไปหาหญิงสาวที่ตั้งรับอยู่ น่าแปลกที่ตัวเธอหาได้ออกตัวโจมตี เช่นนั้นแล้วเขาจึงเป็นฝ่ายพุ่งตัวเข้าไปหา แกว่งดาบไปมาก่อนจะฟาดฟันเพลงดาบของตนใส่หญิงสาว เธอสามารถรับคมดาบเหล่านั้นได้ทั้งหมดด้วยดาบของเธอเอง ทุกครั้งที่ดาบทั้งสองกระทบกัน มันสร้างสะเก็ดไฟที่เกิดขึ้นจากการกระทบของปราณและเสียงของมันก็หาได้ดังดั่งเช่นว่าเหล็กมันได้กระทบกันจริงๆ โบล์ทเองรู้สึกได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้ดาบนั้นฟันกระแทกใส่คมดาบของหญิงผมสีขวาผู้นั้น มันหาได้เป็นเสียงเหล็กไหล แต่เหมือนกับกำลังกระทบกับอะไรสักอย่างที่ดูนุ่ม เหมือนกับที่เขาเห็นและได้ยินไปเมื่อครู่ในตอนที่เธอประลองกับทหารคนอื่นเลย แม้นว่าเธอจะสามารถรับคมดาบสายฟ้าเหล่านั้นได้ก็ตามที แต่เธอก็ไม่มีโอกาสที่จะโจมตีโบล์ทได้เลยเช่นกัน ความเร็วมันต่างกันเกินไป วารีอันอ่อนช้อยมิอาจจะสู้สายฟ้าอันบ้าคลั่งได้แน่ถ้าเทียบกันเรื่องความเร็ว และความเร็วของแสงสีทองก็เริ่มมากขึ้นในขณะที่หญิงสาวเองก็ต้องป้องกันตัวเองหนักมากขึ้น เช่นนั้นแล้วคมดาบที่ถูกเหวี่ยงอย่างแรงและเร็วจึงฟาดฟันเข้าใส่กลางดาบของเธออย่างจัง
“จุ๋มมมมม” เสียงของวัตถุกระทบลงสู่ผืนน้ำดังขึ้นมา
ปรากฏเป็นดาบของลีอาที่แตกออกเป็นสองส่วนอย่างอิสระ กระนั้นแล้วส่วนบนของดาบหาได้หล่นลงไปสู่พื้น แต่มันกลับพุ่งไปตามแรงเหวี่ยงของเธอที่เหวี่ยงด้ามของดาบออกไป มันผ่านดาบสายฟ้าของโบล์ทไปในทันทีก่อนที่จะรวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง กลายเป็นคมดาบที่แข็งกล้าไปต่างจากเมื่อครู่นี้ หญิงสาวยิ้มขึ้นทันทีที่เห็นภาพนั้น ดั่งว่าเธอได้หยั่งถึงไว้แต่แรกแล้วว่ามันจะออกมาเป็นเช่นนี้ ตัวของโบล์ทเองมิอาจจะดึงดาบกลับมาป้องกันตัวได้ทันแน่นอน เช่นนั้นแล้วเขาจึงแปลงสภาพของตนกลายเป็นสายฟ้า ทำให้คนที่อยู่ใกล้ตัวเขาหรือลีอาตกอยู่ในสภาพอัมภาตไปชั่วคราวและมิอาจจะมองเห็นได้เนื่องเพราะแสงจ้าที่เกิดขึ้นทำให้เธอเจ็บตาจนต้องปิดดวงตาคู่นั้นลง โบล์ทถอยฉากออกไป ยืนนิ่ง คิดถึงสิ่งที่เขากำลังจะกระทำต่อไป ส่วนลีอาเองก็สามารถขยับตัวได้ในทันทีที่โบล์ทกลับสู่สภาพเดิม เธอค่อนข้างโมโหกับสิ่งที่เกิดขึ้นพอดู ก่อนที่ตัวเองจะแกว่งดาบไปกับลมก่อเกิดเป็นคลื่นน้ำในสภาพคมดาบคลื่นปราณขนาดใหญ่พุ่งเข้าไปหาโบล์ทอย่างรวดเร็ว
แต่ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าของสายฟ้า มันจึงทำให้องค์กษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มหลบมันไปได้ กระนั้นเองเธอก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ลีอากวัดแกว่งเพลงดาบไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นคลื่นน้ำอย่างบ้าคลั่ง แต่สายฟ้าสีทองก็สามารถหลบมันไปได้ทุกครั้ง โบล์ทเริ่มเข้าใกล้เธอขึ้นทุกที เมื่อนั้นหล่อนจึงหยุดเหวี่ยงเพลงดาบของตน ก่อนที่จู่ๆ จะจับดาบด้วยมือทั้งสองข้าง ยกมันขึ้นเหนือไหล่ขวาเป็นท่าเตรียมจะฟาดฟันอย่างรุนแรงในฉับเดียวหวังจะเอาชนะศึกนี้ด้วยกระบวนท่านี้ ทันใดที่โบล์ทอยู่ต่อหน้าเธอแล้ว หล่อนจึงเหวี่ยงดาบลงไปกับพื้น สร้างเป็นคลื่นน้ำดั่งว่ามันเป็นคลื่นซัดจากมหาสมุทรเอง มันพุ่งใส่ร่างของโบล์ทจนปลิวออกไป แต่ในขณะเดียวกันโบล์ทก็ใช้มือของตนจับดาบของลีอาเอาไว้ก่อนจะปล่อยคลื่นพลังไฟฟ้าเข้าไปสู่ดาบ ส่งมันเข้าร่างเธอ ทันใดที่ปราณน้ำที่แพ้ทางของสายฟ้ารวมตัวกัน มันจึงเกิดปฏิกริยาช็อคในบริเวณผืนน้ำ และทั่วทั้งผืนน้ำก็คือปราณน้ำของเธอที่ไหลเวียนทั่วกายของหญิงผมขาว มันจึงทำให้เธอกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ถูกช๊อตโดยไฟฟ้าแห่งแสงสีทอง หญิงสาวทรุดลงไปกับพื้นดิน ใช้ดาบปักผืนปฐพีไว้เพื่อพยุงตัว ส่วนชายหนุ่มโบล์ทก็กระแทกใส่กับกลุ่มคน ตามแรงคลื่นที่ซัดเขาเข้ากระแทกคนพวกนั้น โชคดีที่สายฟ้านั้นทำปฏิกริยากับหญิงสาวเสียก่อน มิเช่นนั้นแล้วพลังคลื่นน้ำที่เธอสร้างขึ้นเมื่อครู่นี้อาจทรงอานุภาพยิ่งกว่านี้และทำร้ายคนรอบข้างก็ได้
กระนั้นเองตัวโบล์ทก็บาดเจ็บไปไม่ต่างจากเธอนัก ยังพอที่จะทำการต่อสู้ต่อได้ ส่วนลีอาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาโดยที่ตัวเองกัดฟัน แสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน แต่เธอก็ยังไม่มีที่ท่าว่าจะยอมแต่โดยง่าย โบล์ทเห็นอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังโมโห ปล่อยให้อารมณ์เป็นตัวนำพาในการต่อสู้
“อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบครอบงำจิตใจของเธอ” เจ้าเมืองกล่าว
“มิเช่นนั้นเจ้าจะมิอาจเอาชนะใครได้” เขาพูดต่อ
“แต่ข้าว่าข้าอาจจะเอาชนะท่านได้ค่ะ” เธอกล่าวสวนขึ้น
โบล์ทยิ้มตอบรับวาจาของเธอก่อนที่ดาบของเขาจะเริ่มเปล่งแสงออกมามากยิ่งขึ้น พร้อมกับเสียงของสายฟ้าที่เสียดสีกันดังสนั่น มันแทบจะเหมือนว่าฟ้าคำรามกะจะปล่อยสายฟ้าฟาดออกมาจากดาบเล่มนั้น ตัวของลีอาเองรู้ว่าท่าไม่ดีแน่ เธอจึงไม่คิดจะบุกเข้าไปโดยดื้อ ท่าทางเหมือนเธอจะฟังสิ่งที่โบล์ทแนะนำตัวเธออยู่เหมือนกัน เพราะหากคิดจะบุกไปดื้อๆ ในยามเช่นนี้อาจทำให้เธอได้รับอันตรายจากการโจมตีสวนกลับของโบล์ทก็เป็นไปได้ มิทันไรท่าการจับดาบของเธอก็เปลี่ยนไป หล่อนยื่นดาบออกไปข้างหน้าของตนก่อนจะหมุนมันไปมาเหมือนดั่งกำลังแกว่งกระบองจนเกิดเป็นกังหันลมยังไงยังงั้น มันค่อนข้างดูแปลกสำหรับเหล่าทหารที่กำลังจดจ้องดูการต่อสู้นี้ เพราะท่าทางแบบนั้นมันดูไม่เหมือนว่าเป็นการเตรียมโจมตีหรือตั้งรับเลยสักนิด มันแทบจะเหมือนเป็นเธอกำลังทำการละเล่นอันใดสักอย่างเลย ตัวของโบล์ทเองก็สงสัยเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ก็มิได้สบประมาท เมื่อนั้นสายฟ้าจึงพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เหนือความเร็วของลมและเสียงไป เขาขยับกายาอย่างอิสระในขณะที่รอบข้างต่างเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเสียยิ่งกว่าเต่า จนแทบจะมองดูกังหันดาบนั้นทัน
“จบเพียงเท่านี้ล่ะ!” เสียงของชายหนุ่มกล่าวขึ้นก่อนจะปิดฉากการต่อสู้
เขาพุ่งดาบสายฟ้าของตนไปโดยหวังจะปัดดาบที่กำลังหมุนอยู่ด้วยกำลังของหญิงสาวผู้นั้นออกจากมือ
แต่!
ทันใดที่ปลายดาบสัมผัสกับตัวกระบี่ของลีอา เขากลับไม่สามารถปัดมันออกได้ อันที่จริงมันเหมือนเขาทิ่มมันลงไปใส่กับอ่างน้ำยังไงยังงั้น ถึงแม้ว่าภาพมันจะช้าก็ตามที แต่ความรู้สึกของโบล์ทมันกลับไม่ใช่แบบนั้น แต่นั่นคือสิ่งที่เขาสัมผัสได้ ดาบสายฟ้ามันทะลุเข้าไปในตัวดาบของลีอา ไม่สิ... มันเข้าไปต่างหาก! เพราะตัวดาบหากได้ทะลุออกพุ่งแทงไปหาหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่เขาควรจะได้เปรียบแล้วจากความเร็วที่เหนือกว่าเป็นร้อยเท่าแบบนี้
พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็หลุดจากกระบวนท่าสายฟ้าเคลื่อนกายแล้ว แต่ดาบของเขาเองยังคงจมลงไปในตัวดาบวารีของหญิงผมขาวอยู่
“ข้าพอจะเดาออกว่าท่านคิดที่จะปัดดาบของข้าออกแน่” ลีอาพูดขึ้นมา
“ข้าเลยแกว่งดาบเป็นการล่อท่านเพื่อให้ติดกับ”
“ท่านคงจะคิดว่าข้าทำไปเพราะกำลังคิดจะใช้กระบวนท่าอันใดสักอย่างสินะ”
“แต่ไม่เลย...” เธอยังคงกล่าววาจาของตนต่อไป “ข้าเพียงแค่ทำมันเพื่อสร้างความสับสนให้กับท่านเท่านั้น”
“และท่านก็ติดกับของข้าเข้าอย่างจัง!”
และเมื่อนั้นเธอก็เป็นฝ่ายยิ้มขึ้นมา
“กระบี่แหวกวารีของข้าน่ะ มิอาจจะถูกทำลายหรือปัดออกไปจากมือของข้าได้หรอกค่ะ”
“งั้นก็ถือว่าข้าเป็นฝ่ายชนะนะคะ~”
สิ้นวาจาของลีอา เธอยกมือของตนขึ้นมาต่อหน้าของโบล์ท ก่อเป็นปราณน้ำดั่งลูกศรที่จะพุ่งเข้าจัดการตัวขององค์ราชา
“โอ้.. ลืมบอกไป.. ข้าก็สามารถใช้ดาบได้โดยที่ไม่ต้องจับมันเหมือนกัน”
“และน้ำน่ะ ค่อนข้างนำไฟฟ้าพอควรเลย”
กษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มกล่าวจบจึงปล่อยมือออกจากดาบ ดึงมือออกมาจากดาบวารีนั้น มันทำให้ลีอาตกใจพอควร ทันใดนั้นกระสุนปราณน้ำจึงถูกขับออกจากมือของหล่อน พุ่งเข้าใส่กลางอกของโบล์ทในทันที ในขณะเดียวกันนั้นเองชายผู้นั้นก็ได้ผสานมือเข้าด้วยกับ บัดนั้นดาบปราณวารีของหญิงสาวก็เกิดเป็นสายฟ้าสถิตขึ้น มันช็อตใส่ร่างของเธออีกครั้งแต่ด้วยพลังที่เหนือกว่าในครั้งแรกมาก เธอจึงรีบปล่อยดาบนั้นออกจากมือแต่ก็สายเกินแก้ สายฟ้าได้ไหลเข้าไปสู่กายาของหล่อนเสียแล้ว มันจึงทำให้หญิงสาวทรุดตัวลง ไม่สามารถยืนขึ้นได้ ล้มลงไปนอนทับใส่โบล์ทที่เป็นฝ่ายล้มก่อน ทั้งสองนอนนิ่งโอดครวญด้วยความเจ็บปวดที่ได้รับมา และดูเหมือนว่าผลที่ออกมาจะเสมอกัน
“โอ๊ยยย...” เสียงของสาวผมขาวครางออกมาอย่างเจ็บปวด โดยที่เธอนอนหัวหนุนอยู่บนอกของโบล์ท
“ดูเหมือนว่าเราจะเสมอกันนะ” โบล์ทก้มหัวลงไปหาสาวคนนั้น กล่าววาจาออกมาเบาๆ
“แต่ข้า... ยังไหวนะคะ” เธอกล่าวขึ้นมาสวน
“อย่าเหลวไหลน่า..” กษัตริย์ตอบ “สายฟ้าแล่นไปทั่วตัวแบบนั้น แค่ขยับยังจะไม่ไหวเลย”
เมื่อนั้นโบล์ทจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากผืนดิน ตัวของเขาเปียกชุ่มไปด้วยปราณน้ำที่ลีอาโจมตีใส่ และเขาก็ยื่นมือไปหาหญิงที่นอนสั่นเกร็งเพราะโดนปราณสายฟ้าช็อตร่างกายอยู่ เธอมองมือข้างนั้นของชายผู้นั้น ก่อนที่จะจับมือของเขา องค์ราชาดึงร่างของเธอขึ้นมาแต่เธอก็มิสามารถยืนด้วยขาของตัวเองที่ยังสั่นอยู่ หล่อนทรุดลงไปอีกครั้งแต่ในครั้งนี้โบล์ทกลับรับร่างของเธอเอาไว้ได้ หญิงสาวร่วงลงในอ้อมอกขององค์ราชา ทันทีที่เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นในร่างของชายผู้ใช้ปราณสายฟ้า ความเขินอายก็ผุดขึ้นมา ทำให้หน้าของเธอแดงก่ำจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก ด้วยความที่เขินอายแบบนั้น เธอจึงดีดตัวจากชายหนุ่มผู้นั้นในทันที ผลักตัวของนายตัวเองออกสุดแรงจนโบล์ทแทบจะปลิวออก
“ท่านทำอะไรของท่านน่ะ?” เธอตะโกนขึ้นด้วยเสียงสั่นๆ
โบล์ทยิ้มตอบรับกลับเฉยๆ โดยไม่กล่าววาจาอันใด มันสร้างความรู้สึกค่อนข้างแปลกให้แก่ทั้งสองพอควร
“บรึ๊มมมมมมมมมม!” จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นแต่ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันมาจากแห่งหนใดกัน เสียงของมันแรงซะอย่างกับลูกระเบิดที่สามารถทลายได้ทั้งแผ่นดิน ความแรงของมันแทบจะสร้างแรงลมซัดใส่พวกคนเหล่านั้นจนแทบปลิว ทันใดที่แรงระเบิดนั้นเกิดขึ้นมันทำให้ท้องฟ้าทั่วทั้งปฐพีกลายเป็นสีแดงฉานราวกับเลือด ทุกคนต่างมองไปบนฟากฟ้าสามารถจับกระแสปราณอันทรงพลังได้ โบล์ทรับรู้ถึงมันได้ทันที เขารู้สึกคุ้นเคยกับปราณนี้เมื่อครั้นที่โดนบุกรุกโดยเพลิงพิโรธ มันเป็นปราณแห่งความตาย
เมื่อนั้นไฮล์มก็วิ่งเข้ามาหาตัวขององค์กษัตริย์ในทันทีด้วยสีหน้าที่ดูตื่นตระหนกน่าดู เข้าไปกระซิบชายผู้เป็นใหญ่
“ท่านครับ... แรงปราณแบบนี้มัน..” ไฮล์มกล่าวขึ้น
“ไซอาลอทไม่ผิดแน่” โบล์ทตอบกลับ
“ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ไกลมากด้วย.. หรือว่ามันจะ..”
“จะอะไรงั้นหรือไฮล์ม?”
“สถานที่ในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะทำการคุยน่ะขอรับ” ไฮล์มเอ่ยต่อ “ผมว่าเชิญท่านตามผมมาดีกว่าครับ...”
ชายหนุ่มผู้นั้นพยักหน้าก่อนที่จะเดินตามชายเฒ่าเข้าไปยังปราสาท ส่วนหญิงสาวผู้ใช้ปราณวารียืนนิ่ง มองแผ่นหลังขององค์ราชาด้วยความสงสัยที่จู่ๆ โบล์ทก็รุดตัวไปโดยที่การต่อสู้มันยังไม่จบ... อย่างน้อยๆ ก็ยังไม่จบสำหรับตัวเธอเอง เพราะผลที่ออกมานั้นมันไม่เป็นที่พอใจเสียเท่าไหร่ และตัวหล่อนก็ไม่อยากที่จะมีผลเสมอกับใครแบบนี้ด้วย
“นี่ท่าน! แล้วการต่อสู้กับข้าล่ะคะ?!” เธอตะโกนขึ้นสุดเสียงเชิงไม่พอใจ
“เอาไว้ทีหลังล่ะกัน..” โบล์ทกล่าว “ข้ามีเรื่องจำเป็นกว่าที่จะต้องทำ”
แม้นวาจานั้นจะถูกกล่าวออกมาจากองค์ราชาก็ตามที ซึ่งแน่นอนว่ามันบ่งบอกถึงความสำคัญเป็นอย่างมาก มันก็ยังทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่เหมือนกัน แต่เธอก็มิสามารถทำอะไรได้เลย
------------
ชายในชุดผ้าคลุมสีดำกำลังเดินอยู่ท่ามกลางช่องระหว่างอาคารบ้านเมืองของนครแห่งหนึ่ง ชุดของเขามีรอยไหม้จากเพลิงประหลาดเต็มไปหมด แม้นว่าไฟจะดับลงไปนานแล้วก็ตาม แต่ควันดำยังคงลอยฟุ้งขึ้นเหนืออากาศไปเรื่อย เขามีบาดแผลมากมายเต็มตัวจากการต่อสู้เมื่อครู่ที่ตนได้เผชิญ ทั้งที่ตัวและใบหน้าของเขาเองก็เช่นกัน เขาถูกเพลิงแผดเผาใบหน้าจนเสียโฉม แทบไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นคนเดิมอีกต่อไป ชายผู้นี้คือคาสเตอร์เจ้าแห่งสำนักดาบทมิฬที่เพิ่งหลบหนีจากอัคคีแห่งความตายที่ตนเผชิญ เขาเดินไปเรื่อยตามทางจนทรุดตัวลงไปกับพื้น พยายามดันตัวไปติดกำแพงเพื่อทำให้ตัวเองมีที่พยุงตัว เขาใช้มือทั้งสองเกาะกำแพงเอาไว้เพื่อไม่ให้ขาที่ไร้กำลังล้มตัวลงไป หายใจติดขัดและจามเป็นเลือดออกมา ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะเสียหายพอควรแต่ก็ยังถือว่ารอดมาได้แบบหวุดหวิดอยู่
เขายังคงไม่ยอมแพ้ เดินต่อไปเรื่อยๆ หยุดลงที่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่งก่อนจะดันตัวเพื่อที่จะเปิดประตูออก ทันใดที่ประตูขยับตามแรงของชายผู้นั้น เขาก็ล้มลงไปใส่กับพื้นภายในบ้านที่มืดทึบหลังนั้นทันที สร้างความตกใจให้แก่คนที่อยู่ภายในตัวบ้านพอควร
“ท่านอัลทานิส!” เสียงของเด็กหนุ่มผมดำนามลูเซียสตะโกนขึ้นเสียงดัง
นามของเจ้าของบ้านถูกเอ่ยขานเรียกตัวของชายผู้นั้น เขาที่กำลังทำการรักษาหญิงสาวอยู่หยุดกระบวนการก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหาเด็กหนุ่มที่เรียกตัวเขา ทั้งคู่เห็นร่างกายของเจ้าของสำนักที่แทบจะหมดลมหายใจ สัมผัสปราณที่ไหลไม่เป็นจังหวะ แลดูว่าตัวเขาใกล้จะสิ้นใจ
“อัลทานิส.. รักษาข้า...” เสียงของคาสเตอร์กล่าวขึ้นช้าๆ และแหบ
“นี่เขาคือใครกันหรือขอรับ?” เด็กหนุ่มกล่าวถามเจ้าของบ้าน
“ลูกค้าขาประจำของข้าเองล่ะ”