Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire XLIII

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XLIII Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire XLIII   Cataclysm: The Endless Hellfire XLIII EmptySun Apr 23, 2017 4:32 am

Cataclysm: Endless Hellfire
Act XLIII

------------

“จากรูปการณ์แล้ว... คงจะใช้เวลาประมาณสัปดาห์เพื่อรักษาตัวเจ้าค่ะ”

  เสียงของเด็กหญิงร่างเล็กผมหยิกสีม่วงกล่าวขึ้นพลางบิดผ้าขนหนูขนาดเล็ก บีบน้ำออกมาจากตัวผ้าที่ดูดซึม ไหลรินลงสู่ขันน้ำที่อยู่เหนือตัวผ้าขนหนู หญิงสาวเอลิซ่าข้ารับใช้แห่งปราสาทอาร์ชเดลค่อยๆ ยื่นผ้าขนหนูไปเหนือหัวของหนุ่มคาร์เอลนักดาบล่าปีศาจที่นอนหมดสติอยู่ วางมันลงบนหน้าผากของชายผู้นั้น ที่ข้างกายของชายผู้นั้นมีหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนมองดูอาการของคาร์เอลด้วยความเป็นห่วง เขาคือเนลเรี่ยนชายผู้ที่ช่วยชีวิตหนุ่มผู้นั้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน วาจาที่ถูกกล่าวออกมาจากปากของหญิงสาวผู้นั้นเป็นบทสนทนาแก่ตัวของนายท่านเนลเรี่ยนของเธอเอง เช่นนั้นแล้วเด็กผู้นั้นจึงค่อยๆ เดินเข้ามาหานายท่านผมสีทองของเธอ จ้องมองหนุ่มด้วยสายตาที่ดูจริงจัง กับสถานการณ์แบบนี้การที่จะแสดงสายตาแบบนั้นก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกเสียเท่าไหร่นัก

“แล้ว... อาการของคาร์เอลเป็นยังไงบ้าง?” เนลเรี่ยนกล่าวถาม
“ถือว่าหนักพอควรเลยค่ะ” เด็กหญิงตอบกลับ “บาดแผลฟกช้ำหลายจุดที่เกิดจากอาวุธของหญิงสาวตัวตลกที่ท่านคาร์เอลได้เผชิญค่อยๆ บวมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างผิดสังเกต...”
“เช่นเดียวกับกระดูกหลายส่วนที่แตกหัก... เท่าที่ข้าได้ตรวจร่างกายตามความรู้ที่มี..”
“ก็พอจะสังเกตและเดาได้ว่าร่างกายของชายผู้นี้คงจะรักษาตัวช้ากว่าความน่าจะเป็น”

“แต่คาร์เอลก็เป็นชายผู้มีพลังปราณในระดับที่สูงพอที่จะทำให้ร่างกายของตัวเองฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วมิใช่หรือ?” ชายหนุ่มถามต่อ
“อีกอย่างด้วยความสามารถแห่งปราณเหล็กย่อมสมานโครงกระดูกทุกส่วนได้เร็วกว่าคนปกติอยู่แล้วนิ..”

“มันก็จริงอย่างที่ท่านว่ามาค่ะ” เธอตอบ “แต่... พลังปราณแห่งบาปของหญิงผู้นั้นก็อยู่ในระดับสูงที่ไม่แพ้กัน”
“ท่านก็น่าจะรู้ว่าพลังแบบนั้นเป็นภัยต่อร่างกายขนาดไหน?”
“ต่อให้เป็นสุดยอดวรยุทธ์แห่งปฐพีถูกโจมตีแบบนี้เข้าไป ก็ต้องอยู่ในสภาพปางตายมิต่างกันหรอกค่ะ”
“อย่างน้อยก็โชคดีที่หนังหุ้มกระดูกเหล็ก วิชาปราณโลหะแห่งคาร์เอลยังคงทำงานอยู่ต่อเนื่องแม้ปราณในตัวจะเหลือน้อยและสติที่เลือนลางก็ตามที”
“มันจึงเป็นสิ่งเดียวที่ปิดกั้นการเข้าถึงของพลังแห่งบาปไปยังอวัยวะทุกส่วนของกายาได้...”

“คล้ายกับการปรับตัวของเหล่าสัตว์ป่าที่ได้รับพิษอันตรายงั้นหรือ?”

“ใช่ค่ะ”
“แต่ในระหว่างนี้... ท่านคาร์เอลควรที่จะต้องทำการรักษาร่างกายของตัวเองอยู่ที่นี่”
“ข้ากับเฟร์ย่าจะดูแลตัวของท่านคาร์เอลเองค่ะ”

  หนุ่มผู้เป็นนายที่ได้ยินวาจากล่าวเช่นนั้นจึงค่อยๆ ถอนหายใจออก รู้สึกโล่งอก แต่มันเป็นเพียงการแสดงอาการจากภายนอกเท่านั้น แต่ในใจของชายผู้นี้ยังคงรู้สึกไม่ดีและเป็นห่วงสหายของตน อย่างที่ตัวเขาทราบว่าพลังแห่งบาปนั้นร้ายแรงเพียงใด และไม่เคยมีใครเลยที่จะสามารถรอดชีวิตไปจากความตายนั้นได้ แม้แต่เทพแห่งการต่อสู้อย่างโคลริมเองก็สยบต่อพลังนี้มาแล้วเช่นกัน อีกทั้งตัวเนลเรี่ยนยังได้ประจักษ์เองว่าในตัวของคาร์เอลนั้นได้รับปราณแห่งความตายเข้าไปมากเพียงใด จูบหว่านเสน่ห์ที่ลัคนีย์มอบให้กับนักดาบล่าปีศาจก็ไม่ต่างอะไรไปจากการจุดระเบิดเวลาในตัวของคาร์เอลเท่านั้น จึงพูดได้ว่าหากไม่ทำการรักษาอย่างเร่งด่วน หากไม่หยุดระเบิดนั้น... ตัวของคาร์เอลคงจะมีสภาพไม่ต่างไปจากนักสู้คนอื่นๆ ที่ท้าทายพลังแห่งบาป นั่นคือความตายที่รออยู่เบื้องหน้า

  เช่นนั้นแล้วตัวของเนลเรี่ยนจึงรุดตัวไปข้างหน้า เดินไปเบื้องหน้าประตูก่อนจะใช้มือขวาเพียงข้างเดียวกดลงบนบานประตูขนาดใหญ่ของห้องๆ นี้ เปิดมันออกก่อนที่จะเดินจากไปโดยไม่มีวาจาอันใดกล่าวตอบกลับหญิงข้ารับใช้ของตัวเองเลยสักนิด เขาเริ่มเดินไปตามทางเดินโล่งของตัวปราสาทที่ถูกสร้างด้วยผลึกสะท้อนแสงดูสวยงาม แท่งเสาที่ใช้เป็นฐานรากของตัวสิ่งก่อสร้างก็มีลักษณะดั่งผลึกน้ำแข็งไม่ต่างจากตัวพื้นที่ปูเอาไว้นัก ภายในทางเดินโล่งยาวของปราสาทร้างแห่งนี้มีเพียงบุรุษผู้เดียวที่กำลังย่างกรายอยู่ ทุกฝีก้าวที่เหยียบย่ำลงตัวพื้นปราสาทก่อเกิดเป็นเสียงแก้วสะท้อนดังขึ้นตลอดทาง แต่นั่นหาได้ทำให้เนลเรี่ยนสนใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าภายในใจของเขากำลังมีความคิดอื่นที่ใหญ่มากอยู่ ท่าทางของหนุ่มผู้มักจะหยอกล้อเล่นติดตลกอยู่เสมอจนเป็นบุคลิกได้ผันเปลี่ยนไป กลายเป็นดั่งชายนักคิดผู้ที่มองโลกในแง่ร้าย หรือระแวงต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ระหว่างที่กำลังเดิน ครุ่นคิดไปเรื่อย เขาได้หายใจออกมาถี่ๆ ราวกับเป็นการถอนหายใจออกจากจมูก รู้สึกหนักอกจนต้องเปล่งลมออกมาแบบนั้นอยู่ตลอดเวลา

(ให้ตายสิ... ในตอนนี้มีแต่เรื่องชวนน่าปวดหัวไปหมด!)
(ไหนจะคาร์เอลที่สภาพไม่สู้ดีแบบนี้ แล้วไหนจะข้าศึกที่ถอยฉากกลับไปได้)
(ชารอนเองก็บาดเจ็บพอควรถึงแม้ว่าหล่อนจะบอกกับปากว่าไม่เป็นอะไรก็ตามเถอะ..)
(ที่สำคัญคือในตอนนี้ไซอาลอทก็รู้แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน การที่จะมาอยู่ที่นี่ต่อไปก็หาใช่เรื่องที่ฉลาด)
(แถมยังกล้าที่จะให้ลูกน้องคู่ใจของตัวเองบุกมาแบบนี้... แสดงว่ามันต้องมีแผนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เป็นแน่แท้)
(แต่ที่น่าแปลกคือทำไมเรากลับไม่ได้ยินข่าวหรือเห็นการปรากฏตัวของเพลิงพิโรธเลยสักครั้งละ?)

คำถาม คำกล่าว วาจาที่พูดกับตัวเองวนเวียนอยู่ในหัวของเนลเรี่ยน ชนกันไปกันมาจาสมองแทบจะระเบิด เขาต้องการคำตอบที่จะใช้ในการแก้ปัญหาใหญ่ที่กำลังอยู่ตรงหน้านี้ ยิ่งข้อสงสัยที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ผุดเข้ามาในหัวปานใด ท่าทางของเนลเรี่ยนก็เริ่มแปลกไป ร้อนรน โมโห จนแทบจะบ้าคลั่ง...

  เมื่อนั้นเขาจึงหยุดตัวชะงักลงทันใด พร้อมกับกายาที่เกร็งตัวแข็งราวกับกำลังจะระเบิดสติของตนออกมา จากนั้นจึงสะบัดหน้าไปมา ท่าทางราวกับกำลังพยายามสลัดความคิดทั้งหมดออกไปจากหัวของตน ไม่นานนักชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง มันเป็นลมหายใจที่ถูกปล่อยออกมายิ่งกว่าครั้งก่อนๆ แล้วเริ่มเดินตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง ผ่านไปได้สักพัก เนลเรี่ยนจึงหยุดลงที่หน้าประตูห้องแห่งหนึ่ง มันมีรูปทรงที่ไม่แตกต่างอะไรไปจากห้องเมื่อครู่ที่เขาเพิ่งออกมา เขาเปิดมันออกช้าๆ ภายในตัวห้องนั้นดูค่อนข้างมืดครึ้ม เหมือนกับไม่มีใครอยู่ภายในห้องนั้นเลย แต่แล้วก็มีเสียงฝีก้าวดังขึ้นมาจากเบื้องหน้า มันค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะปรากฏเป็นขาของหญิงสาวเรียวสวยที่เห็นได้จากแสงนอกห้องที่ส่องเข้าไป ปรากฏเป็นหญิงสาวผมสีแดงที่ค่อยๆ เดินออกมาจากความมืดภายในห้องนั้น มันหาได้ทำให้เนลเรี่ยนตกใจเลยสักนิด สีหน้าของเขาดูนิ่งเฉย มองชารอนที่เดินออกมา

“เป็นยังไงบ้าง?” เนลเรี่ยนกล่าวถามขึ้นเกี่ยวกับอะไรสักอย่าง
“เหมือนจะไม่ได้ผลเลยค่ะ..” หญิงสาวแวมไพร์ส่ายหน้าและกล่าววาจาออกมา
“ข้าได้ลองหลายวิถีทางแล้วแต่เหมือนว่าเธอจะมิยอมปริปากอะไรออกมาเลย..”
“งั้นหรือ?..”

  ทันใดที่เนลเรี่ยนสิ้นวาจาลง เขาจึงเดินเข้าไปในห้อง ตามด้วยหญิงสาวแวมไพร์ที่เดินตามหลังเขาเข้าไปในมุมมืด มิทันไรเสียงประตูก็ดังขึ้นจากตัวของชารอนที่ปิดประตูลง พวกเขาอยู่ในห้องที่มืดมิดมองไม่เห็นอะไรที่อยู่ต่อหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่แล้วแสงไฟก็ส่องสว่างโดยตัวของชายหนุ่มเนลเรี่ยน เขาจุดตะเกียงที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น มันวางอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งใกล้ตัวของบุรุษผู้นั้น ผู้ใช้ปราณน้ำแข็งค่อยๆ ยกตะเกียงขึ้นมา มองไปยังเบื้องหน้า มันเป็นมุมของห้อง ติดกับกำแพงมีร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งยืนอยู่.. ไม่สิ เป็นปีศาจร้ายภายใต้เครื่องแต่งหน้าเป็นตัวตลก นั่นคือลัคนีย์ที่ถูกตรึงไว้ติดกำแพง มือทั้งสองถูกยกขึ้นสูงและพันธนาการด้วยโซ่ตรวนขนาดหนัก และเท้าทั้งสองที่ขนานกับตัวกำแพงมิอาจจะขยับร่างได้ตามที่เธอต้องการ บวกกับศีรษะของเธอที่ก้มลงไป ท่าทางของเธอดูเหมือนกับคนไร้สติ สลบไป แต่ยังมีลมหายใจอ่อนๆ แผ่วเบาออกมา นั่นคงจะเป็นลมหายใจของเธอเอง

ไม่นานนักชายหนุ่มผู้ถือตะเกียงเพลิงอยู่ในมือจึงย่างกรายเข้าไปต่อหน้าตัวของลัคนีย์ มองใบหน้าของเธอที่ก้มลง และมือที่ว่างอยู่ได้จับเก้าอี้ไม้ตัวเก่าไว้แน่น ดึงมันเข้าหาตัวก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น

“ไซอาลอทมีแผนการอะไร?” เนลเรี่ยนกล่าวถามหญิงสาวปีศาจผู้นั้น

ถึงแม้ว่าคำถามจะถูกกล่าวออกไป แต่เหมือนว่าจะไม่มีปฏิกริยาตอบกลับมาอย่างใด คงจะเป็นเพราะกายาของลัคนีย์นั้นยังคงหมดสติอยู่ กระนั้นเองตัวของหนุ่มเนลเรี่ยนนั้นรู้ว่าเธอคงจะได้ยินวาจาของเขาเป็นแน่ ด้วยท่าทางของชายผู้กล่าววาจาถามนั้นที่ไม่ยังคงแสดงออกมาถึงความที่อยากจะรู้คำตอบที่ตนถามออกไป

และแล้วหญิงสาวผู้นั้นจึงขยับกายาของตน เริ่มหัวเราะคิกคักอย่างแผ่วเบาตามกำลังที่ตนมี ด้วยความที่เธอถูกแขวนตัวติดกับพันธนาการ และไหนจะทั้งแผลที่ตนได้รับมาจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ จึงทำให้พลกำลังที่จะต่อต้านไม่เหลืออยู่ แม้แต่จะหัวเราะออกมายังเป็นเรื่องที่ยากเสียด้วยซ้ำ แม้นน้ำเสียงหัวเราจะดูเบาบางก็ตาม แต่มันกลับมีแต่อารมณ์สะใจ รู้สึกสนุกสนานทั้งที่ตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบกว่าเป็นไหนๆ แน่นอนว่าทั้งชารอนและตัวของเนลเรี่ยนเองหาได้เพลิดเพลินไปตามอารมณ์ของหญิงสาว

“แหม่.. พอแฟนตัวเองทำให้ไม่ได้ดั่งใจ...”
“ก็ถึงกับถ่อตัวมายังที่นี่เพื่อที่จะมาถามเองเลยงั้นหรอจ๊ะ?”
“รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ เลยนะแหม่...”

หญิงสาวตัวตลกกล่าวโดยที่ไม่รู้สึกถึงภัยที่ตนกำลังเผชิญเลย แถมยังเหมือนกับเริงรมย์ไปกับมันเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่ามันทำให้เนลเรี่ยนรู้สึกโมโหเหมือนกันกับคำพูดแบบนั้นที่เธอกล่าวออกมา

“ไม่เอาน่าทูนหัว... ต่อให้เธอทำหน้าบูดแบบนั้นมันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกค่ะ”
“หรือถ้าคิดที่จะทรมาณเค้าก็เหมือนกัน”
“ตอนนี้ต่อให้พวกเธอจะทำยังไงก็ตามแต่.. ปากของข้าจะไม่ปริบอกอะไรเป็นแน่!”
“บางทีนะ... ถ้าเกิดเจ้าจูบข้า... ข้าอาจจะเผลอใจบอกไปก็ได้นะ” หญิงผู้นั้นกล่าวออกไปพลางกระพริบตาเชิงหว่านเสน่ห์

“นี่เจ้า!” เนลเรี่ยนตะโกนขึ้นมาพร้อมกับรุดตัวขึ้นจากเก้าอี้ไปด้วยอารมณ์ที่ร้อนระอุ แต่เขากลับถูกชารอนห้ามเอาไว้เสียก่อน หญิงสาวแวมไพร์ดึงร่างของสหายเธอเอาไว้ไม่ให้เขาไหลไปตามอารมณ์และเกมจิตวิทยาที่ลัคนีย์กำลังพยายามที่จะเล่นอยู่ กำลังของชารอนที่ดึงตัวเนลเรี่ยนเอาไว้กลายเป็นการตั้งสติให้ชายผู้นั้นหยั่งถึงว่าเขากำลังเสียสติ แต่มันก็หาใช่เรื่องแปลกเลยที่เนลเรี่ยนจะดูหงุดหงิดในช่วงเวลาแบบนี้ นั่นเพราะตัวเขาเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องทุกอย่างนี้ มันเลยกลายเป็นการทำให้เขาครุ่นคิดจนแทบจะไม่ได้พักผ่อน เมื่อนั้นชารอนจึงค่อยๆ ดึงตัวเนลเรี่ยนเข้ามาหาตัวเอง ถอยฉากออกไปจากหญิงสาวลัคนีย์ราวกับว่าเธออยากจะพูดคุยเรื่องอะไรเป็นกาลส่วนตัวกับชายหนุ่มผู้นี้

“ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” ชารอนกล่าวถามเนลเรี่ยนด้วยความเป็นห่วง
“ไม่” หนุ่มผู้นั้นกล่าวตอบกลับอย่างหยน้าตาเฉย ราวกับว่าตัวเองไม่มีอารมณ์ที่จะมาคุยอะไรแบบนี้
“ท่านกำลังโกหกข้า...” ชารอนกล่าวตอบกลับทันใด
“นี่!” เนลเรี่ยนกล่าวสวนขึ้น “ข้าไม่มีอารมณ์ที่จะมาคุยอะไรแบบนี้ในตอนนี้หรอกนะ”
“หากเรายิ่งชักช้าบวกกับสถานการณ์ยิ่งย่ำแย่แบบนี้เรายิ่งจะเสียเปรียบ!”

สิ้นวาจานั้นเนลเรี่ยนจึงหันขวับกลับไป เหมือนกับกำลังเมินชารอนยังไงยังงั้น ท่าทางของเขาดูจะสนใจกับตัวของลัคนีย์เพื่อที่จะรู้เรื่องราวทั้งหมดเสียมากกว่า ไม่ทันไรชารอนจึงใช้มือของตนดึงตัวของเนลเรี่ยนกลับมาอีกครั้ง

“แล้วท่านจะทำอะไรละคะ?” เธอกล่าวถาม “ข้าทรมาณหญิงสาวผู้นั้นด้วยทุกอย่างที่สามารถทำได้”
“แต่มันก็หาได้ทำให้เธอปริปากพูดอะไรออกมา... และอันที่จริงแล้วหล่อนแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเสียด้วยซ้ำ”
“ตอนแรกข้าก็คิดว่าการทรมาณจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราได้คำตอบจากปากเธอ”
“แต่จากสภาพในตอนนี้... ดูเหมือนเราจะทำอะไรกับศพเดินได้นั่นไม่ได้แล้ว!”

เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังเอามากๆ แน่นอนว่าด้วยอารมณ์ของเธอที่หลุดไปเมื่อครู่เช่นกันจึงทำให้ตัวหล่อนกล่าววาจาเหล่านั้นด้วยเสียงดังจนลืมไปว่าลัคนีย์อาจจะได้ยินในสิ่งที่เธอพูดก็เป็นได้ เมื่อสิ้นวาจาเหล่านั้นตัวของชายหนุ่มผมทองก็เงียบไป เขาเพียงแค่มองหน้าของชารอนด้วยความหงุดหงิดไม่ต่างไปจากหญิงสาวผมแดงผู้นั้นเลย

“ว๊าาาาาา.... ดูท่าคู่รักจะทะเลาะกันแล้วสิเนี่ย..” จู่ๆ ลัคนีย์ก็กล่าววาจาชวนหงุดหงิดออกมาอีกครั้ง
“ข้าว่าการที่พวกเจ้าทั้งสองมาเถียงกันต่อหน้าแบบนี้ มันทรมาณข้าเสียยิ่งกว่าทุกอย่างที่เจ้าทำกับข้าเมื่อครู่อีกนะชารอน”

  มันคงจะเป็นการประชดประชันทั้งสองที่แหกปากน่ารำคาญต่อเธอที่ชวนปวดหูจนเจียนตาย มันทำให้ชารอนและเนลเรี่ยนเงียบไปทันที แถมยังแสดงท่าทางหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจนอีกต่างหาก โดยเฉพาะตัวของเนลเรี่ยนเอง สำหรับชารอนแล้วเธอรู้อยู่แล้วว่าลัคนีย์มีบุคลิกเช่นนี้ การพูดจาหว่านล้อมก่อกวนหรือหว่านเสน่ห์ลุ่มหลงให้ผู้คนคล้อยตามเป็นเรื่องที่หญิงสาวผู้นั้นถนัดมากที่สุด และยังเป็นอาวุธหลักที่น่ากลัวที่สุดของลัคนีย์ ซึ่งหากพูดกันตรงๆ ละก็วาจาลมปากของหญิงสาวตัวตลกนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าปราณแห่งความตายและกระบองไม้คู่ใจของเธอเสียอีก เช่นนั้นแล้วชารอนจึงไม่ตกภายใต้หลุมพรางของลัคนีย์ที่กำลังขุดเชื้อเชิญให้พวกเขาตกลงไป แต่เนลเรี่ยนหาได้เป็นเช่นนั้น ท่าทางของเขานั้นแปลกไปตั้งแต่ครั้นที่การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแล้ว ไม่สิ.. หญิงสาวแวมไพร์สามารถรู้สึกได้เลยว่าตั้งแต่ครั้นที่พวกเขาพรากจากกัน และได้กลับมาพบชายผู้นี้ เขาหาใช่เนลเรี่ยนคนเดิมที่เธอเคยรู้จักมา..

  ทันใดนั้นเองชายหนุ่มผู้นั้นจึงเดินเข้าไปหาลัคนีย์ ไม่พูดจาอะไรแม้แต่คำเดียว ท่าทางที่ดูเงียบขรึมพลางมือที่ค่อยๆ หยิบมีดของตนขึ้นมาจากฝักเก็บมีดหนังสัตว์ที่แขวนไว้บนเอวข้างซ้ายของตน เขากำมีดสั้นเล่มนั้นไว้แน่น เข้าใกล้ตัวของลัคนีย์ขึ้นเรื่อยๆ จริงอยู่ที่หญิงสาวตัวตลก หรือศพเดินได้ผู้นี้จะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดกับการโจมตีธรรมดาหรือจากใครอื่น แต่เธอก็ยังมีความรู้สึกธรรมดาอื่นๆ อย่างที่บุคคลปกติทั่วไปเป็นอยู่ ทันใดที่มีดน้ำแข็งแห่งเนลเรี่ยนเข้าใกล้ ผิวหนังของหล่อนจึงเกิดปฏิกริยา... ขนลุกขึ้นมากับความหนาวเหน็บที่อยู่เบื้องหน้า จากมีดสั้นขนาดเล็กเล่มเดียวกลับสามารถรู้สึกได้ดั่งว่าเธอกำลังยืนอยู่ใจกลางทุ่งหิมะลมกรรโชกที่สามารถสะบัดร่างให้แหลกขาดไปได้ ท่าทีของศพเดินได้ที่ถูกแขวนตรึงอยู่ก็เริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน เธอดูตื่นกลัวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้า ดูแตกต่างออกไป

“จะ.. เจ้าคิดจะทำอะไร?!” ลัคนีย์เอ่ยปากถามขึ้นมา
“ก็อยากทดสอบเฉยๆ” ชายหนุ่มกล่าว “เห็นชารอนบอกว่า... ทำยังไงก็ไม่ได้ผลเสียที”
“ข้าก็เลยอยากจะลองดูด้วยมือตัวเอง”
“ทีนี้จะบอกได้หรือยัง... ว่าไซอาลอทมีแผนอะไรอยู่?”

  ด้วยความที่เนลเรี่ยนนั้นกำมีดสั้นแห่งความเย็นไว้แน่น ทำให้หญิงสาวตัวตลกรู้เลยว่าเขากำลังคิดที่จะทำเอาจริงแน่ ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่แน่ใจก็ตามทีว่าสิ่งที่เนลเรี่ยนหวังจะทำ พึงคิดอยู่ในใจมันคืออะไร จริงอยู่ที่ว่าชารอนจะทำทุกอย่าง ทรมาณเพื่อที่จะรีดไถข้อมูลจากตัวของปีศาจแห่งบาปตนนี้ นอกจากที่ชารอนจะไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดได้ ชารอนก็มิอาจจะรับรู้อะไรจากตัวของลัคนีย์เลย แต่ในกรณีนี้มันต่างออกไปและลัคนีย์ก็รู้ซึ้งถึงข้อนี้ดี คนที่อยู่เบื้องหน้าของเธอหาใช่บุคคลที่เหมือนใครเล่าทั่วแดนดินยุทธภพ เขาคือหนึ่งเดียวผู้กุมกุญแจสำคัญทั้งหมดของเรื่องราวนี้ หนุ่มผู้ครอบครองพลังที่มีอานุภาพเหนือกว่าปราณอื่นใด ปราณหนึ่งเดียวที่สามารถสยบได้แม้กระทั่งเหล่ากองทัพปีศาจแห่งวอยด์เมื่ออดีตกาล พลังที่ตัวไซอาลอทต้องการเพื่อบรรลุความต้องการสูงสุด มันคือพลังหนึ่งเดียวที่เป็นกุญแจของความเป็นอยู่แห่งโพรโตเนี่ยนเลย มันจึงอาจจะเป็นสิ่งเดียวก็ได้ที่จะสามารถทำร้ายเหล่าผู้ใช้พลังแห่งบาปที่เป็นศพเดินได้ให้รู้สึกเจ็บปวด ทรมาณเจียนตายก็เป็นได้ มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมลัคนีย์จึงลังเล

  เพราะหากพูดออกไป... แน่นอนว่าไซอาลอทจะไม่ไว้หัวเธออีกต่อไป แม้นจะไร้ความรู้สึกแต่ก็สามารถตายได้ ต่อให้ไม่กลัวตายก็กลัวฤทธิ์เดชแห่งเพลิงพิโรธที่อาจจะแผดเผากายา กลัวนายท่านของตนเองที่อาจจะลงทัณฑ์ที่ล้มเหลวแล้วยังปริปากบอกข้อมูลต่อปรปรปักษ์แห่งตน แต่หากเงียบปากเฉยก็อาจจะได้ลิ้มลองพลังแห่งซินโดร่าที่อาจจะทรมาณร่างของเธอจนถึงแก่ความตายก็ได้ ไม่ว่าทางใด.. สำหรับคนเช่นหล่อนก็ถือว่าร้ายพอๆ กัน กระนั้นปากของเธอก็ยังไม่เปล่งออกซึ่งวาจาอันใดที่จะเป็นข้อมูลสำคัญแก่ตัวของนักสู้ที่อยู่เบื้องหน้าเธอเลย ยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่ควรจะทำ กลับกันชายผมทองหาได้มีเวลาที่จะมารีรอไม่ ในเมื่อเธอเลือกที่จะเงียบปากไม่บอกอะไรต่อเขา เขาจึงเริ่มขยับใบมีดของตนเข้าไปช้าๆ พุ่งเข้าไปเฉื่อยช้า เป็นดั่งคมมีดที่ไร้ความรีบเร่ง รอเวลาที่จะแทงเข้าไป เพื่อบาดแผลที่ทรมาณที่สุดของผู้ที่ถูกกระทำ ความเย็นของน้ำแข็งทมิฬแห่งซินโดร่า เริ่มคืบคลานเข้าใกล้ตัวของลัคนีย์ทุกที มันแผ่ซ่านซึ่งปราณอ่อนๆ ที่ทำให้ผู้ใกล้ตัวรู้สึกหนาวเหน็บจนขนลุก ยิ่งตัวคมมีดที่ตรงเข้าไปกลางอกของหญิงสาวตัวตลก ตรงเข้าสู่หัวใจ... มันยิ่งทำให้เธอหวาดกลัว จนแทบจะทำอะไรไม่ถูก

บัดนี้ยังหาได้มีใครที่จะกล่าววาจาออกไป และตัวของเนลเรี่ยนเองคงไม่คิดจะถามซ้ำสองเธอเป็นแน่ ดวงตาศพเดินได้เบิกโพลนขึ้น สั่นไปมาด้วยความหวาดกลัว

“ฉึก!”

มันทิ่มแทงเข้ากลางอก เข้าสู่เรือนร่างของหญิงสาวผู้นั้น แต่มันหาได้มีเสียงกรีดร้องของผู้ถูกกระทำแต่อย่างใด สิ่งนั้นหาได้เป็นการสร้างความงุนงงให้แก่เจ้าของมีดเท่านั้น แต่กลับเป็นทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น เพราะมันหาได้เป็นไปตามที่เนลเรี่ยนแห่งซินโดร่าประสงค์เลยแม้แต่น้อย

“เอ๋... ดูเหมือนจะเก่งแค่ปากสินะคะที่รัก” ลัคนีย์กล่าวขึ้นมาอย่างเริงร่า
“อุ๊ยขอโทษค่ะนังแวมไพร์ เผลอเรียกที่รักเธอเป็นที่รักของฉันเฉยเลย”

หล่อนหัวเราะคิกคักราวกับพึงพอใจ และโล่งอกเอามาก

“แล้วทีนี้จะทำไงดีละคะ? เนลเรี่ยนนักกอบกู้โลก..” หล่อนพูดต่อเชิงยั่วยุ

สีหน้าหนุ่มผมทองดูตึงเครียด เหงื่อของเขาหยาดบนผืนหน้า แสดงถึงความเครียดที่เขามีอยู่ภายในใจ

แต่เขากลับเงยหน้าขึ้น... พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป

มันเป็นสีหน้าของคนที่มั่นใจ ยิ้มมุมปากราวกับตัวเองสำเร็จผลอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นสร้างความสงสัยให้แก่ลัคนีย์ จนเกิดความระแวงในหนุ่มเนลเรี่ยนผู้นี้ ไม่นานนักชายหนุ่มจึงดึงมีดสั้นของตนออกจากหน้าอกลัคนีย์ ก่อนจะหันหลังให้ปีศาจตนนั้น เดินถอยฉากออกมา แวมไพร์สาวที่สังเกตเห็นหนุ่มผมทองที่เดินเข้ามาใกล้ตัวเธอแสดงความสงสัยต่อชายผู้นั้น กับรอยยิ้มที่ยังเปื้อนบนใบหน้าของหนุ่มเนลเรี่ยนอยู่

“ท่านยิ้มเรื่องอะไรกัน...” เธอกล่าวถาม “ก็เห็นกันอยู่ว่าเมื่อครู่มันไม่ได้ผลเลยนะคะ”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันได้ผล..” หนุ่มผมทองกล่าวตอบ
“หมายความว่ายังไงหรอคะ?”

  ชายหนุ่มไม่ตอบอะไรกลับต่อเธอ แต่เขากลับทำอะไรสักอย่างราวกับเป็นการเมินเฉยที่จะตอบคำถามนั้น ชายหนุ่มก้มลงไป ยื่นแขนของตนออกมาโดยที่สายตาได้จดจ้องไปยังแขนข้างนั้น เมื่อนั้นเขาจึงใช้มีดสั้นกรีดเข้าที่แขนข้างนั้น กรีดผิวหนัง เนื้อเยื่อของตนเป็นแผลบาดขนาดเล็ก จนโลหิตแปดเปื้อนบนคมมีด ทันใดนั้นเขาจึงยื่นมีดสั้นเล่มนั้นให้กับชารอน เธอดูค่อนข้างสงสัยว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น ท่าทีที่ยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เนลเรี่ยนกำลังกระทำจึงไม่ทำให้ตัวหล่อนรับมีดมาจากชายผู้นั้น กระนั้นท่าทางของเนลเรี่ยนบ่งบอกชัดเจนว่าเขาต้องการให้เธอรับมีดเล่มนั้น หญิงสาวแวมไพร์จึงรับมีดน้ำแข็งเล่มนั้น ทันใดที่เธอจับมัน หล่อนสามารถรู้สึกถึงความเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วตัวมีด แต่มันหาได้เป็นมีดเล่มนั้นเองที่ปล่อยความเย็นยะเยือกออกมา หากแต่เป็นโลหิตของชายผู้นั้นเสียต่างหากที่ปล่อยความเย็นชวนให้เธอขนลุก

“พอจะมีแก้วหรืออะไรที่สามารถรองโลหิตของข้าได้บ้างหรือเปล่า?” ชายหนุ่มกล่าว
“ก็... พอจะมีแก้วอยู่...”
“รีบเอามาเลย..”

  สิ้นวาจาแล้วหญิงสาวชารอนจึงย่างกรายไปยังโต๊ะไม้ตัวเก่าตัวหนึ่งใจกลางห้องที่อยู่ไม่ไหลนัก ซึ่งที่โต๊ะตัวเดียวกับที่ชายหนุ่มเนลเรี่ยนได้วางตะเกียงเพลิงไว้มีแก้วและขวดน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งขวดโดยประมาณวางอยู่ คงจะไว้สำหรับตัวของชารอนไว้ดื่มกินในยามที่เธอเฝ้าสังเกตการณ์ลัคนีย์อยู่ เธอหยิบแก้วขนาดพอมือขึ้นมาก่อนที่จะยื่นมันใต้แขนข้างที่มีบาดแผลอยู่ เช่นนั้นแล้วเนลเรี่ยนจึงใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ บีบแขนที่มีบาดแผลเพื่อให้โลหิตนั้นไหลรินออกมา มันไหลลงใส่แก้วอย่างรวดเร็วราวกับน้ำที่ถูกรินออกมาจากขวดน้ำ จนเมื่อโลหิตมีอยู่ครึ่งแก้วโดยประมาณชายหนุ่มจึงหยุดการกระทำ แล้วใช้มือที่บีบแขนเมื่อครู่ลูบบาดแผลนั้น ปราณความเย็นที่แผ่ออกมาจากมือข้างนั้นทำให้บาดแผลแข็งตัว โลหิตจับตัวเป็นก้อนทำให้หยุดไหล

“ข้าไม่เข้าใจ...” ชารอนกล่าวขึ้นมา “ท่านกำลังคิดที่จะทำอะไรกันแน่?”
“เธอพอจะเคยได้ยินเรื่องการปราบผีสางนางไม้หรือเปล่า?” เนลเรี่ยนกล่าวถามขึ้น
“ไม่...” หล่อนลากเสียงยาวตอบกลับด้วยความงุนงง “มันเกี่ยวอะไรกันหรือคะ?”
“ก็ถ้าลองมองว่าโลหิตของข้าคือน้ำศักดิ์สิทธิ์ใช้ปราบมาร แล้วยัยปีศาจนั่นก็คือมาร”
“โลหิตของข้าก็อาจจะได้ผล... ยังไงซะเลือดของข้าก็ประกอบด้วยพลังแห่งซินโดร่าอยู่แล้ว”
“และศพเดินได้พวกนั้น ไม่สิ... พวกผู้ใช้พลังบาปรวมไปถึงตัวของไซอาลอทเองก็รู้ซึ้งดี”
“ว่าพลังของข้าสามารถสยบพวกมันได้..”

สีหน้าของหญิงสาวแวมไพร์ยังคงดูงุนงง แต่ก็เหมือนจะพอเข้าใจในสิ่งที่หนุ่มเนลเรี่ยนสื่อออกไป

“ท่านไปได้ยินเรื่องแบบนี้มาจากไหนกัน?”
“เจ้าก็รู้ว่าแม่ข้ารู้เรื่องมนตรา ไสยศาสตร์... หล่อนกระซิบบอกข้าว่าวิธีนี้น่าจะทรมาณปีศาจพวกนี้ได้” เนลเรี่ยนตอบ
“ก็ถือว่าลองๆ ดูก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรอ?” เขาพูดต่อ “จะได้ผลหรือไม่ มันก็ไม่ใช่ประเด็นสักเท่าไหร่หรอกนะ”
“แต่ถ้ามันได้ผล เราก็มีโอกาสที่จะดึงข้อมูลมาจากยัยนั่นได้”

แม้นเนลเรี่ยนจะกล่าวเช่นนั้นก็ตามที แต่ชารอนก็ยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อออกมา

“ก็ได้ๆ” เขากล่าวขึ้นมาโดยพลัน “เอาแก้วนั่นมา เดี๋ยวข้าทำให้เห็นเอง”

หนุ่มผู้ใช้ปราณน้ำแข็งรีบดึงขวดแก้วที่เต็มไปด้วยโลหิตของตน แต่หญิงสาวหาได้ปล่อยมันออกจากมือ ราวกับว่าเธอไม่ยินยอมให้เขาทำเช่นนั้น สิ่งนั้นสร้างความงุนงงและความโมโหให้แก่ชายหนุ่มผู้นั้นเอามาก เขาพยายามที่จะดึงมันกลับเข้าหาตัว แต่แน่นอนว่าพลกำลังของชารอนที่เป็นแวมไพร์ย่อมเหนือกว่าเนลเรี่ยนผู้เป็นมนุษย์หลายเท่าตัวนัก มันจึงทำให้เขามิอาจจะทำได้แม้กระทั่งจับขวดแก้ว แถมเธอยังกำมันไว้แน่นราวกับพยายามจะบีบให้แก้วนั้นแตกคามืออีกต่างหาก

“นี่! เอามาให้ข้า!”

เนลเรี่ยนกล่าวมันออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดังลั่นห้อง พร้อมกับอารมณ์ที่โกรธสุดขีด แต่ชารอนหาได้ยินยอมเลย ไหนจะทั้งดวงตาที่จดจ้องมองไปยังโลหิตของเนลเรี่ยนที่อยู่เต็มแก้ว เพ่งสายตาและแสดงสีหน้า เลียปากของตน... ราวกับว่า... คนอยากที่จะดื่มโลหิตนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกเสียเท่าไหร่ที่หล่อนจะแสดงอาการแบบนี้ออกมาในเวลาเช่นนี้ ยังไงซะหล่อนก็คือแวมไพร์อยู่แล้ว และสิ่งที่แวมไพร์โปรดปรานก็คือโลหิตของสิ่งมีชีวิต มิหนำซ้ำตัวของชารอนเองก็หาได้ดื่มโลหิตของคนเป็นๆ มาเป็นเวลานาน เธอคงจะกระหายต่อมันอย่างมากเมื่อเห็นเลือดที่มีอยู่มากเพียงนี้

“ไม่ ไม่ ไม่!” ชายหนุ่มตะโกนกล่าว “ไม่ใช่ตอนนี้ชารอน...”
“ละ.. โลหิต... ของเนลเรี่ยน..” เธอกล่าวด้วยเสียงสั่น และท่าทางที่อยากเป็นอย่างมาก
“บอกว่าไม่ไง!” ชายหนุ่มตะโกนกล่าวพลางมือที่พยายามจะแย่งแก้วใบนั้นมา

“เพี้ยะ!”

เสียงกระทบของมือที่ตบเข้าใบหน้าของหญิงสาวแวมไพร์เข้าอย่างแรงเพื่อคืนสติเธอจากความอยาก ด้วยแรงมือของเนลเรี่ยนที่ค่อนข้างหนัก ขนาดที่ว่าทำให้หน้าของชารอนหันไปตามแรงเลย แต่การกระทำเช่นนั้นทำให้เธอหลุดจากอารมณ์ความหิวโหย เธอสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ หลังจากนั้นจึงแสดงออกมาซึ่งสีหน้าที่เขินอาย คงจะอายกับท่าทางที่แสดงออกมาต่อสหายของเธอเมื่อครู่เป็นแน่

“อะไร?! อะไร?! อะไร?!” เธอตะโกนสะดุ้งออกมาราวกับว่าตนเองเพิ่งคืนสติ
“นะ.. นี่ข้า.. เป็นอีกแล้วใช่ไหมคะ... ท่านเนลเรี่ยน” หล่อนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เขินอาย
“ถ้าเธอหมายถึงว่าแสดงท่าทางที่อยากจะดื่มเลือดของข้าละก็... ใช่!”
“นะ... นี่ข้าแสดงท่าทางน่าอายออกไปต่อท่านเนลเรี่ยนงั้นหรือ?”
“อย่ามองข้านะคะ!”

เธอกล่าวมันพร้อมกับถอยฉากออก ปิดหน้าปิดตา ก้มลงด้วยความเขิน เหมือนกับพยายามจะไม่ให้หนุ่มเนลเรี่ยนเห็นใบหน้าแดงก่ำของตนเอง มันเป็นอะไรที่ประหลาดใจแก่ชายผู้ใช้ปราณน้ำแข็งพอควร เขาไม่เคยเห็นเธอแสดงอาการเช่นนี้ออกมาเลย นี่น่าจะเป็นครั้งแรกเสียด้วยซ้ำสำหรับเนลเรี่ยนที่มองชารอนเป็นเหมือนดั่งผู้หญิงธรรมดา ถึงแม้ว่ามันจะดูน่ารักก็ตามที แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เนลเรี่ยนจะมัวแต่หลงไหล เขาเอามือกดใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างของตนเอาไว้ ราวกับว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหาได้เป็นที่พอใจของตนเองเสียเท่าไหร่

“ชารอน!” เขาตะโกนขึ้นเรียกหญิงสาวเป็นการตั้งสติ “ตั้งสติ... และทำเรื่องนี้ให้มันเสร็จก่อนจะได้ไหม?”
“ขะ... ขอโทษค่ะ” เธอขานตอบรับ
“เอาแก้วใบนั้นมาให้ข้า...”

  เธอยื่นแก้วที่เต็มไปด้วยเลือดของเนลเรี่ยนกลับคืนสู่เจ้าของโลหิต ก่อนที่ชายผู้นั้นจะเดินตรงไปหาตัวตลกศพเดินได้ที่ถูกแขวนอยู่ ก่อนที่หนุ่มผู้นั้นจะยกแก้วนั้นขึ้นเหนือแผลใจกลางอกของลัคนีย์ แล้วรินโลหิตของตนเข้าไปในแผลนั้น ทันใดที่โลหิตสีแดงฉานไหลเข้าสู่กายาของศพตนนั้น เธอจึงดิ้นพล่านราวกับผีเข้า รู้สึกเจ็บปวดทรมาณกับสิ่งที่เนลเรี่ยนได้กระทำต่อเธอ ดูเหมือนว่าที่เขาพูดมาเมื่อครู่จะได้ผล นั่นคือทางเดียวที่จะสามารถทำให้ศพพวกนี้สามารถรู้สึกเจ็บปวดได้ มีเพียงแค่โลหิตของผู้ถือครองเท่านั้นที่จะทำปฏิกริยากับร่างกายเหล่านั้น ลัคนีย์กรีดร้องรู้สึกถึงความเจ็บปวดแผ่ซ่านทั่วร่างกาย มันเป็นความรู้สึกอย่างกับเมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่ก็มิปาน เธอเกร็งตัวแต่ก็มิอาจจะต้านทานพลังซินโดร่าอันร้ายกาจที่กัดกินร่างของเธอ หล่อนรู้สึกถึงความร้อนภายในกายทั้งที่มันควรจะเป็นพลังความเย็นของน้ำแข็ง ไม่ต่างจากถูกน้ำร้อนลวกภายในอวัยวะภายใน เสียงของปีศาจถูกขับออกมาอย่างน่ากลัว ชวนขนลุกแก่ผู้ที่อยู่ภายในตัวห้อง ไม่นานนักชายหนุ่มเนลเรี่ยนจึงยกแก้วกลับ หยุดการไหลรินของโลหิต มันยังเหลืออยู่เกินครึ่งเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่าเขาเพียงแค่รินมันลงไปได้ไม่กี่ส่วนเท่านั้น

“น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่คนที่เก่งในการทรมาณใครเท่าไหร่...”
“เช่นนั้นแล้วข้าจึงจะไม่ทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

เมื่อนั้นชายหนุ่มแห่งซินโดร่าจึงยื่นแก้วโลหิตนั้นให้แก่หญิงสาวแวมไพร์

“เพราะงั้นเธอจะต้องทำแทนข้า” เนลเรี่ยนกล่าว “แต่อย่าเผลอให้ความอยากทำให้งานเราเสียอีกละ”
“แม่บอกว่าเธอเก่งในการดูด....” ทันใดนั้นเขาก็หยุดวาจา
“เลือดน่ะก็จริง” และกล่าววาจาต่อ เขาพูดติดขัดราวกับให้ดูเป็นความหมายอื่น
“แต่เรื่องนี้ขอละ... ข้าไม่อยากเลือดหมดตัวตายก่อนที่จะกอบกู้โลก”

สตรีผมแดงไม่ตอบอะไรกลับ แสดงความเขินอายที่ยังมีอยู่ ซ้ำยังถูกล้อเล่นโดยเนลเรี่ยนเช่นนี้ เธอจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา

“รู้แล้วละน่า...” เธอตอบกลับ “เมื่อครู่ข้าแค่เผลอไปเท่านั้นเองค่ะ”

เช่นนั้นแล้วเธอจึงรับแก้วนั้น ก่อนที่หนุ่มเนลเรี่ยนจะเดินไปยังประตูห้อง เปิดประตูห้องโถงก่อนที่จะเดินจากไป เหลือเพียงแต่สตรีทั้งสองที่อยู่ภายในห้องนั้น

“เอาล่ะ... ถึงเวลาสนุกแล้วสิ!”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire XLIII
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire I
» Cataclysm: The Endless Hellfire II
» Cataclysm: The Endless Hellfire XIX
» Cataclysm: The Endless Hellfire III
» Cataclysm: The Endless Hellfire XX

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: