Cataclysm: Endless Hellfire
Act XLIV
------------
“ไม่ๆ...” เสียงของชายหนุ่มกล่าวดังขึ้นมา “เจ้าควรจะลดระดับพลังดูบาร์นของเจ้าลง...”
“ไม่งั้นมันจะกลายเป็นว่าเจ้าจะดูดปราณของตัวบุคคลแทนนะ”
มันเป็นเสียงของนักปราชญ์ผู้ใช้ปราณพลังเพลิง ส่วนหนึ่งแห่งปราณไซอาลอทนามอัลทานิสได้กล่าววาจาออกไปต่อชายหนุ่มลูเซียสผู้ครองปราณสีทมิฬ ดูเหมือนว่าสิ่งที่ลูเซียสกำลังกระทำอยู่คือกระบวนการดูดพลังปราณแห่งความตายที่อยู่ในร่างของผู้ป่วยทั้งสอง มาเดียร่าสตรีผู้เป็นสหายของเขา และคาสเตอร์ กราเวทท์เจ้าสำนักแห่งดาบทมิฬ ผู้ที่ถูกตั้งค่าหัวโดยรัฐบาลแห่งสตอร์ม ครูเซเดอร์ แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มสวมแว่นดำได้โฟกัสไปกับหญิงสาวสหายของตนเสียมากกว่า นั่นเพราะอาการของเธอไม่สู้ดีนัก แย่เสียยิ่งกว่าที่คาสเตอร์เป็นในตอนนี้เสียอีก สำหรับชายหนุ่มนักฆ่าผู้นั้นยังพอที่จะสามารถพูดคุย ขยับร่างกายของตัวเองได้เหมือนกับผู้ป่วยปกติต่างจากมาเดียร่าโดยสิ้นเชิง หญิงผู้นี้ร่างกายแทบจะขยับไม่ได้ นอนสลบไสลมาสัปดาห์เต็มแล้ว ไม่เคยลืมตารับแสงตะวันเลยแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากเหตุการณ์ที่เธอถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยเรียกมารแห่งความตายกลับมายังผืนแผ่นดินโลก การป้อนอาหารก็จำเป็นต้องส่งผ่านทางพลังปราณ สกัดเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่สามารถซึมเข้าผ่านทางรูขุมขนได้ คนที่สามารถใช้วิธีการให้อาหารเช่นนี้ได้จะต้องเป็นผู้รู้เรื่องศาสตร์ปราณระดับสูงเท่านั้นซึ่งก็คือตัวอัลทานิสเอง หากจะบอกว่าหญิงสาวมาเดียร่าผู้นี้เป็นเจ้าหญิงนิทรามันก็คงไม่ผิดเพี้ยนนัก
หัตถ์ทั้งสองข้างของลูเซียสเต็มไปด้วยปราณมีทมิฬของตน มีละอองควันอ่อนๆ จับตัวกันเป็นก้อน เหล่าละอองขนาดเล็กพวกนั้นเอ่อล้นออกมาจากมือ ลอยไปตามร่างกายสรีระของเด็กสาว พยายามดึงเอาปราณสีเขียวมรกตออกมา ปราณสีเขียวใสสว่างเหล่านั้นกระทบกับแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากกระจกจนแทบจะเปล่งแสงออกมาสว่างจ้าทั่วทั้งห้อง มันคือปราณแห่งบาปที่ลูเซียสจำเป็นที่จะต้องดึงมันออกมาจากร่างของมาเดียร่าให้หมดสิ้น หากไม่ทำโดยเร็วเธอก็อาจจะสิ้นใจเพราะไม่สามารถทนพิษบาดแผลก็เป็นได้ สภาพของหล่อนในตอนนี้ถือว่าโคม่าพอควร ผิวพรรณที่เริ่มซีดจาง ร่างกายที่เริ่มซูบผอมจนเริ่มเห็นกระดูก แล้วไหนจะมีแผลที่เกิดจากการกัดกร่อนของพลังบาปนี้อีก จึงถือว่าลูเซียสจำเป้นต้องรีบเร่งการรักษา แต่หากจะใช้พลังมากเกินไปก็ใช่ผลดี ตามที่อัลทานิสเคยกล่าวกับลูเซียสไปเมื่อครั้นก่อนที่จะทำการรักษา หากกระบวนการดูดกลืนพลังปราณนั้นมากเกินคำว่าพอดีแล้วจะกลายเป็นผลเสียต่อคนไข้เสียเอง กล่าวคือจะไม่ใช่แค่ดูดพลังปราณแห่งความตายเท่านั้น แต่เป็นปราณของเจ้าของร่างด้วย นั่นคือสามารถถึงแก่ความตายของคนไข้ได้เลย แล้วไหนจะเรื่องที่ชายหนุ่มผมสีดำผู้นี้ไม่เคยทำการรักษาเช่นนี้มากับใครอีก การที่จะรักษาพลังปราณให้คงอยู่ในระดับเสถียรจึงถือเป็นเรื่องยากของเขาพอดู และอัลทานิสเองก็มิอาจจะเข้าช่วยได้เลย
ละอองปราณที่จับตัวกันเป็นก้อนเริ่มรวมตัวเป็นตมเหลวเหนือหน้าอกของมาเดียร่า มันฝังตัวลงเข้าสู่ผิวหนัง เหล่าตมที่ฝังเข้าไปในรูขุมขมมีขนาดเล็กราวกับเข็มที่ใช้ในการฝังเข็ม มันตรงเข้าไปภายในอวัยวะภายใน เข้าสู่หัวใจก่อนที่จะปักหลักอยู่ในบริเวณนั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะพลังแห่งบาปมักจะเกาะติดตามอวัยวะสำคัญภายในๆ แต่ละจุด ซึ่งหัวใจคือหนึ่งในจุดที่พลังปราณแกนหลักฝังตัวอยู่ จึงถือเป็นแหล่งพลังงานสำคัญต่อพลังแห่งบาป อย่างที่ทราบว่าพลังร้ายชนิดนี้เป็นดั่งพลังที่มีชีวิตเป็นของตัวเองและอาหารของมันก็คือปราณบริสุทธิ์จากสิ่งมีชีวิตอื่น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมลูเซียสจึงต้องเพ่งเล็งการรักษาไปยังจุดนั้นแต่แรก แต่ยิ่งเป็นการดูดพลังร้ายออกมาจากหัวใจ โดยไม่ให้พลังบริสุทธิ์ของคนไข้เจือจางมาด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แล้วยิ่งกับลูเซียสอีกก็ยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่ สามารถสังเกตได้จากสีหน้าของหนุ่มผู้นี้ืที่ดูตรึงเครียด เหงื่อที่ไหลรินอาบหน้าของชายหนุ่มแต่ก็มิอาจจะยกมือที่กำลังทำการรักษาอยู่ไปเช็ดเหงื่อเหล่านั้นได้เลย
“เมื่อใดก็ตามที่เจ้ารู้สึกว่าดูบาร์นของเจ้าได้ฝังตัวเข้าร่างของเธอโดยสมบูรณ์แล้ว...”
“ตอนนั้นเจ้าก็สามารถหยุดรักษาความเสถียรของปราณได้”
“หรือถ้าพูดง่ายๆ ก็... เจ้าจะไปนอนพักตรงไหนก็ไปได้ละ” อัลทานิสกล่าวขึ้นมาพลางดูลูเซียสกำลังทำการรักษา
“แล้วผมจะรู้ได้ยังไงละครับว่าตอนนี้จะสามารถหยุดได้?” เด็กหนุ่มกล่าวถามด้วยความสงสัย
“เปล่า.. เจ้าไม่รู้หรอก... แต่ข้ารู้ว่าจะสามารถหยุดได้ตอนไหน”
“เดี๋ยวข้าบอกเจ้าเอง..” เขาตอบกลับแบบวกวนชวนปวดหัว คงพยายามจะหยอกเล่น แต่สภาพแบบนี้มันไม่ใช่เวลาที่ควรจะมาทำอะไรแบบนี้เลย
วาจาแบบนั้นทำให้ลูเซียสรู้สึกหงุดหงิดพอควร จนเกือบจะหลุดทำให้พลังปราณไม่เสถียร โชคดีที่หนุ่มผู้นี้เป็นหนุ่มที่ใจเย็น สามารถยับยั้งอารมณ์ของตนเองได้เป็นอย่างดี จึงไม่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อัลทานิสจะกล่าววาจาอะไรแบบนี้ต่อเขา ชายหนุ่มนักปราชญ์มักจะพูดอะไรที่ชวนปวดหัวเป็นตลกร้ายออกไปอยู่สม่ำเสมอราวกับว่าตัวเองไม่ใช่คนที่แคร์อะไรมากมายต่อให้เป็นใหญ่ขนาดไหนก็ตาม แน่นอนว่าลูเซียสก็หาได้ชอบนิสัยของชายผู้นี้เลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องศาสตร์ความรู้แล้วเขาไม่ต่างอะไรไปจากผู้รู้จักรวาลตามที่ผู้คนเรียกขานกล่าวนามกันเลย มันจึงน่าจะเป็นเหตุผลเดียวที่ลูเซียสสามารถยอมรับชายผู้นี้และเข้ากับเขาได้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกนักที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะตัวของชายสวมแว่นผู้นี้เองก็เป็นผู้สนใจความรีู้เชิงศาสตร์เหมือนกัน ไม่แน่ว่าตัวเขาอาจจะมีความคิดเคารพและอยากเป็นลูกศิษย์เสียด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าอัลทานิสมีนิสัยแย่ๆ แบบนั้นอยู่
“โอเค... หยุดได้!” อัลทานิสกล่าวขึ้นมาในทันที ทำเอาลูเซียสสะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับร่างของมาเดียร่าที่สะดุ้งขึ้นโดยบังเอิญ เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ชายหนุ่มผู้สวมแว่นสะดุ้งตกใจพอดี
เช่นนั้นแล้วเด็กหนุ่มผู้นั้นจึงดึงแขนของตนขึ้น หยุดการใช้ดูบาร์นของตนเองในทันที กระนั้นเหล่าพลังตมสีดำของเขาที่ติดอยู่บนหน้าอกของมาเดียร่าก็หาได้จางหายไปแม้นจะหยุดส่งพลังแล้วก็ตาม เหมือนกับปราณนั้นเกาะติด ควบแน่นจนเป็นเหมือนกับวัตถุชนิดหนึ่งที่สามารถคงอยู่ชั่วขณะยังไงยังงั้น ผิดวิสัยจากพลังปราณปกติที่ถูกขับออกมาสู่สภาพแวดล้อมโดยมนุษย์ ซึ่งมันน่าจะจางหายไปทันทีหลังจากผู้ใช้ปราณหยุดใช้งาน อย่างไรก็ตามแต่ดูเหมือนว่าพลังดูบาร์นที่ฝังเข้าหัวใจของมาเดียร่าจะทำงานต่อในส่วนของลูเซียสเอง เมื่อนั้นแล้วชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลจึงทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงเก้าอี้ใกล้ตัวเขาในทันที มันสร้างเสียงกระแทกดังสนั่นทั่วห้อง เขานั่งลงโดยที่แทบจะทำท่านอนแผ่ไปกับแผ่นไม้ที่ใช้รองหลังของผู้นั่งแล้ว ดูท่าเขาคงจะเหนื่อยกับการใช้พลังปราณเมื่อครู่แม้นว่าจะเพียงแค่ยืนเหยียดแขนออกไปข้างหน้าแล้วเปล่งพลังออกมาก็ตามที แต่การที่จะรักษาสมดุลพลังปราณได้ มันเหนื่อยเสียยิ่งกว่าเวลาที่โยนพลังปราณทิ้งขว้างเสียอีก เด็กหนุ่มมองอัลทานิสผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเขาราวกับมีคำถามภายในใจที่ต้องการจะกล่าวออกไป
“ทำไมท่านถึงรู้ได้ละว่าเมื่อใดข้าจะหยุดการใช้พลังปราณ?” ลูเซียสถาม
“การดูดพลังปราณจากหัวใจมันก็เหมือนกับการฝังเข็มนั่นละ” เขาตอบ
“เมื่อใดก็ตามที่เธอดีดตัวขึ้น นั่นแสดงว่าเจ้าได้ฝังปราณเข้าถูกจุด เมื่อนั้นดูบาร์นที่เกาะตัวเธอผู้นั้นก็จะทำหน้าที่ของมันเอง”
“โคลนตมที่เจ้าสร้างขึ้นเหนือร่างของหล่อนก็เหมือนกับเครื่องดูดพลังปราณของข้า”
“ต่างที่ของเจ้าคือปราณดูบาร์นบริสุทธิ์... ต่างจากของข้าที่เป็นเครื่องมือ”
“ทันใดที่เธอดีดตัว นั่นก็คือสัญญาณว่าดูบาร์นนั้นได้เชื่อมต่อกับหัวใจอย่างสมบูรณ์แบบ”
ฟังดูค่อนข้างเป็นอะไรที่น่าสับสนงุนงงแก่ชายหนุ่มลูเซียส เขาไม่ค่อยเข้าใจกับที่อัลทานิสสื่อเท่าไหร่นัก ที่น่าแปลกใจคือเหตุใดกันที่ชายผู้นี้จึงรู้วิธี กลไกการทำงานของพลังดูบาร์นมากเสียยิ่งกว่าเจ้าตัวเช่นเขาที่เป็นผู้ครองพลัง ผู้อยู่กับมันมาเป็นเวลานานแท้ๆ
“แล้วท่าน... รู้ได้ยังไงว่าข้าคือคนเดียวที่สามารถดึงเอาพลังบาปได้ละ?”
“ดูบาร์นก็คือพลังแห่งบาป... มันปรับตัวเข้ากับพลังแห่งบาปพื้นฐานได้เป็นอย่างดี..”
“โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน” เขาตอบกลับ “ข้าว่าแค่นี้น่าจะทำให้เจ้าพอเข้าใจละนะ”
“แต่ข้าไม่เคยคิดเลยนะ...” จู่ๆ ลูเซียสก็กล่าวขึ้นมาโดยพลัน “ว่าพลังของข้ามันจะมีประโยชน์ต่อผู้อื่นเช่นนี้”
“ทั้งที่แต่ก่อน... ข้าทำได้เพียงแค่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คน.. รวมไปถึงท่านโครนอสด้วย”
ทันใดที่อัลทานิสได้ยินเช่นนั้น เขาก็ยิ้มเจือนๆ ออกมาก่อนที่จะเอามือตบไหล่ของชายหนุ่มลูเซียสอยู่ข้างตน
“ข้าว่าโครนอสน่าจะเคยบอกอะไรเจ้าไว้มาก” เขากล่าว “เกี่ยวกับพลังเจ้าเอง...”
“และเจ้าก็รู้ว่าพลังหาใช่ทุกอย่าง มันสามารถสร้างความเดือดร้อน ความสุขให้แก่ผู้คนได้ไม่ว่ามันจะเป็นพลังสายขาวหรือดำ ธรรมะหรืออธรรมก็ตาม...”
“ที่สำคัญคือเจ้าต่างหาก... ที่จะเลือกใช้มันยังไง”
“แน่นอนว่าที่ข้าพูดอยู่เนี่ยมันก็ไม่ต่างอะไรจากที่โครนอสเคยพร่ำสอนเจ้าหรอกนะ”
“แต่ว่า..” หนุ่มสวมแว่นกล่าวขึ้นมาโดยที่ตนแลดูไม่ค่อยมีความมั่นใจ “ข้าคือปีศาจนะ.. และข้าก็มิอาจจะควบคุมมันได้เลย”
“งั้นก็เอาชนะมันสิ!” อัลทานิสกล่าวไปโดยที่ไม่มีความลังเลอันใด “เจ้าคือผู้ครองพลัง... ไม่ใช่ภาชนะที่ฝังกาฝากไว้ในตัว”
“ข้าจะไม่พูดอะไรมาก... นอกจากใช้มันให้ถูกต้องละนะ”
“ว่าแต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ..” จู่ๆ อัลทานิสก็กล่าวขึ้นมาราวกับตัดเรื่องไปซะอย่างนั้น
“ข้าอยากจะรู้มากกว่าว่าเจ้ากับมาเดียร่าเนี่ยเคยเอ่อ... มีอะไรกันบ้างหรือเปล่า?”
ทันใดที่วาจานั้นถูกกล่าวออกไป มันทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นแดงก่ำราวกับมะเขือเทศ บ่งบอกว่าตัวเขากำลังเขินอายที่อัลทานิสกล่าวอะไรออกไป หรือว่าเขากำลังคิดภาพตามที่อัลทานิสกล่าวไปจึงทำให้เขาแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมา ทันใดนั้นเขาจึงรุดตัวขึ้นด้วยความเขินอาย
“ทะ... ท่านพูดเรื่องอะไรน่ะ?! คนอย่างข้า...”
เขาไม่ทันจะพูดมันจนจบก็หยุดวาจาของตนเองลงในทันที พร้อมกับแสดงสีหน้าประหลาดใจกับท่าทาง ปฏิกริยาของอัลทานิสพอควร เขาได้ประจักษ์กับปฏิกริยาตอบรับของอัลทานิสกับท่าทางที่เขาแสดงออกมาเมื่อครู่ มันเป็นสีหน้าของคนที่ตื่นตกใจเอามาก ราวกับเพิ่งได้รับรู้เรื่องสุดเซอร์ไพร์สอะไรสักอย่างเข้า มือทั้งสองที่ประทับอยู่บนแก้มจนแทบจะปิดปาก แต่เรื่องอะไรล่ะที่มันทำให้อัลทานิสรู้สึกช็อคเช่นนั้น แม้แต่ตัวของลูเซียสเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดกันชายผู้นั้นจึงแสดงท่าทางประหลาดแบบนี้ออกมา
“โอ้!” ในช่วงเวลานั้นอัลทานิสก็ได้เปล่งเสียงออกมา “นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้ายังบริสุทธิ์งั้นหรอ?!”
“โอ้ตายแล้ว... นี่เจ้าแอบชอบเด็กคนนี้นี่เอง ไอ้ข้าก็หลงนึกว่าเธอเป็นแฟนเจ้าไปเสียตั้งนาน!”
สีหน้าของลูเซียสแลดูเขินอายและโมโหเข้าขั้นสุดขีดกับวาจาคำพูดของอัลทานิสที่กล่าวออกไปเช่นนั้น เมื่อนั้นเขาจึงรุดตัวไปหาอัลทานิสด้วยท่าทางที่ดูรุนแรง ก้าวร้าว แต่ไม่นานนักเขาก็หยุดตัวลงไปในทันที บวกกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทันทีทันใด ไม่นานนักเด็กหนุ่มจึงหันไปมองรอบข้าง มันเป็นอาการของคนที่ระแวง ราวกับว่าเขารู้สึกถึงอะไรสักอย่างที่อยู่ใกล้ตัวของเขา ภัยอันตรายหรืออะไรกันก็มิอาจจะทราบได้ ไม่ต่างอะไรไปจากอัลทานิสเลยแม้แต่น้อย เขาแสดงสีหน้าที่ดูตื่นตระหนกตกใจออกมา เฉกเช่นว่าทั้งคู่กำลังรู้สึกถึงสิ่งเดียวกันมิผิดเพี้ยน
“เจ้ารู้สึกบ้างหรือเปล่า?..” อัลทานิสกล่าวถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจัง ต่างไปจากเมื่อครู่โดยลิบลับ เขาหาได้มีท่าทางที่เล่นสนุกสนานอยู่กับตัวแล้ว
“ข้ารู้สึกได้ครับ...” ลูเซียสตอบกลับ “ถึงแม้มันจะแผ่วเบาก็ตามทีแต่ข้ารู้สึกได้”
“พลังอันมหาศาล... พลังที่แสนน่ากลัวมันอยู่ใกล้ตัวเรา... แถมแรงอาฆาตนั้น..”
“ไม่ผิดแน่ มันต้องเป็นไซอาลอท” อัลทานิสกล่าวเสริม
“แล้วมันมาทำอะไรกันในที่แบบนี้กันหรอครับ?”
“จากที่ข้าคาดเดา มันคงพอจะคาดการณ์ไว้ทั้งหมดแล้วว่ากองกำลังต่อต้านเหล่าปีศาจระดับสูงได้มารวมตัวกันที่แห่งนี้... มันจึงเดินทางมาเพื่อฆ่าล้างทุกคนเป็นแน่”
“มันพอจะเดาออกมาทุกคนต้องมาหาข้าเพื่อขอความช่วยเหลือในการจัดการเพลิงพิโรธ” อัลทานิสกล่าว
“แล้วมารเพลิงจะรู้ได้เช่นไรหรอครับว่าพวก....” ลูเซียสกำลังพยายามจะกล่าววาจา แต่เขาก็เงียบไป พร้อมกับสีหน้าที่ตกตะลึงเสียยิ่งกว่าเดิม ดั่งว่าความตกใจนั้นทำให้เขาพูดไม่ออก
“เจ้าคิดถูกแล้วลูเซียส...” อัลทานิสกล่าวแทรกขึ้น “เพราะตัวข้าไง..”
“ข้าคือส่วนหนึ่งของมัน มันจึงรู้ว่าข้าอยู่ที่ใด!”
สิ้นวาจานั้นผู้รู้จักรวาลจึงรีบรุดตัวออกไปโดยพลัน เขาเดินไปตามทางเดินของบ้านตนเองด้วยความเร่งรีบ ตามด้วยลูเซียสที่งุนงงกับการกระทำของอัลทานิสที่กำลังปรากฏนี้ ไม่ทันไรเขาก็หันขวับกลับมาหาลูเซียสอย่างรวดเร็ว
“พาตัวมาเดียร่าลงไปยังชั้นใต้ดินของบ้านข้าเดี๋ยวนี้!” เขากล่าวขึ้น
“แล้วท่านจะไปไหนหรอครับ?”
“ข้าต้องไปเตือนภัยคาสเตอร์ และให้เขาไปห้องใต้ดินในทันที!”
ทันใดนั้นเองบุรุษทั้งสองจึงแยกตัวออกจากกัน มุ่งตรงไปหาคนไข้ทั้งสองที่อยู่ประจำจุดคนละห้อง เด็กหนุ่มรีบยกตัวของสหายสาวของตนขึ้นมาอยู่ในอ้อมอก เขาค่อยๆ ยกเธอขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง เกรงว่าหากรุนแรงไปหล่อนอาจจะเป็นอันตรายได้ ซ้ำกระบวนการดูดพลังปราณของดูบาร์นที่ฝังตัวเธออยู่ยังคงทำงานของมัน จึงยิ่งต้องระวังตัวให้มากเสียยิ่งขึ้น มันน่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้อุ้มเธอเต็มอ้อมอกเช่นนี้ แม้นมันจะหาใช่สิ่งที่เขาต้องการในเวลานี้ก็ตามแต่ เช่นนั้นแล้วเขาจึงค่อยๆ ย่างกรายไปยังห้องนั่งเล่นที่ซึ่งอัลทานิสกับคาสเตอร์ประจำอยู่ เหมือนกับว่าในตอนนี้อัลทานิสกำลังพยายามบอกกล่าวอะไรสักอย่างกับชายผู้บาดเจ็บที่นอนอยู่บนโซฟาของบ้านอยู่ สีหน้าของคาสเตอร์ที่รับฟังคงตกใจไม่แพ้กัน คงไม่ใช่เรื่องแปลกมากนักหาชายผู้นั้นจะตื่นตกใจเช่นกัน เขารู้ดีว่ามารเพลิงเก่งกาจเพียงใด เช่นนั้นแล้วคาสเตอร์จึงค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นั่งตัวนั้นแม้นอาการจะยังคงบาดเจ็บอยู่ก็ตามที เขาค่อยๆ ตามอัลทานิสไปโดยมีลูเซียสอยู่ข้างหลัง เมื่อนั้นอัลทานิสจึงค่อยๆ เลื่อนชั้นวางหนังสือซึ่งมีทางไปสู่ชั้นใต้ดินอยู่เบื้องหลัง มันถูกเปิดออกปรากฏเป็นประตูอุโมงค์ที่มีประตูปิดกั้นไว้อยู่
“พวกเจ้าทั้งสามรีบลงไป... ข้าจะอยู่ที่นี่และต้านมันไว้” อัลทานิสกล่าว
“ไม่ได้นะท่าน! ขืนทำแบบนั้นก็มีแต่จะกลายเป็นการฆ่าตัวตายเท่านั้น...”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเจ้าถึงต้องรีบลงไปข้างล่างนั่น”
“ไซอาลอทจะต้องรู้ไม่ได้ว่าพวกเจ้าอยู่ที่แห่งนี้!” อัลทานิสกล่าวสวนกลับ
“ขะ... เข้าใจแล้วครับ”
สิ้นบทสนทนานั้นชายหนุ่มผู้แบกร่างของหญิงสาวผมสีน้ำตาลสหายของตนจึงเริ่มเดินเข้าไปในประตูอุโมงค์ที่จะนำพาพวกเขาลงไปสู่ชั้นใต้ดิน ที่ซ่อนที่น่าจะปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ ตามด้วยคาสเตอร์ที่เดินไปข้างในนั้น อัลทานิสที่ยืนอยู่เบื้องหน้าประตูหาได้ตามเข้าไปอย่างที่เขากล่าวบอก เพียงแค่มองดูเหล่าแขกของพวกเขาที่อยู่เบื้องหลัง ทันใดที่เงาพวกเขาหายไปตามความมืดชายหนุ่มผู้นี้จึงปิดประตูอุโมงค์ไว้ พร้อมกับดันตู้หนังสือกลับเข้าไปที่่เดิมอย่างที่มันเคยเป็น ไม่นานนักเขาจึงค่อยๆ เดินตรงไปข้างหน้า ดึงเอาเก้าอี้ไม้ที่อยู่ใกล้ตัว ลากมันเข้าหาตัวช้าๆ ก่อนที่จะนั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวนั้น ด้วยลักษณะจุดที่เก้าอี้ตั้งอยู่พร้อมกับผู้นี้ มันให้อารมณ์เหมือนกับชายผู้นั้นกำลังทำท่าเฝ้าประตู ขวางกั้นศัตรูหนึ่งเดียว แถมท่าทางการนั่งที่ดูไม่ค่อยตื่นตระหนกเท่าไหร่แตกต่างไปจากเมื่อครู่ ดูเหมือนเป็นการรอให้ไซอาลอทมาหาเขาเองยังไงยังงั้น อัลทานิสคงจะรู้สึกได้ว่าไม่ช้าก็เร็วเพลิงพิโรธจะยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา สิ่งเดียวที่เขาจะสามารถทำได้ในตอนนี้... คือรอเท่านั้น
------------
ก่อนหน้านั้นไม่นานนัก...
บนเนินเขาทะเลทรายอันร้อนระอุแห่งดินแดนทะเลทรายแห่งเวสเทิร์น ไลท์ไมล์ โดยเบื้องหน้าเนินเขานั้นมีนครขนาดใหญ่อันเจริญรุ่งเรืองก่อตั้งอยู่ มันคือนครแห่งซันดาซัส ในจุดนั้นบนที่สูงของเนินสามารถมองเห็นทั่วทั้งเมืองหลวงแห่งซันดาซัสนี้ได้ บัดนี้ได้มีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่เหนือเนินเขาแห่งนั้น คนผู้นั้นคือมารเพลิงแห่งความตายไซอาลอทผู้ซึ่งมองดูทั่วทั้งนครราวกับตัวเองไม่รู้สึกถึงไอร้อนตามผืนทรายและแดดที่แผดเผาผิวเลยแม้แต่น้อย แม้นว่าลมพายุทรายจะพัดปลิวขนาดไหนก็ตาม มันก็หาได้กระทบอะไรต่อเขาเลยสักนิด แม้นแดดจะร้อนเพียงใดก็มิอาจจะสู้ฤทธิ์เดชแห่งเพลิงของตนได้แม้แต่น้อย ดวงตาที่จดจ้องไปยังชาวเมืองทั้งหลายที่ไม่รู้ถึงภัยที่อยู่ใกล้ตัว มันเป็นดวงตาที่บ่งบอกถึงความสมเพศ สังเวชต่อชีวิตอันไร้ค่าของพวกมนุษย์ทั้งหลาย... แต่เพราะอะไรกันเขาถึงเดินทางมายังดินแดนแห่งนี้ด้วยตัวเองกันล่ะ? เพราะอันที่จริงแล้วตัวเขาก็น่าจะรู้แก่ใจว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของตนหาได้อยู่ในที่แห่งนี้อยู่แล้ว จากการที่เขาส่งราธและลัคนีย์ไปยังดินแดนแห่งสโนวเพลกเพื่อชิงตัวเนลเรี่ยนมาก็ชัดเจนแล้วว่าเป้าหมายของผู้ครองพลังแห่งซินโดร่าได้อยู่แห่งหนใดกัน
ไม่นานเสียงครืนของอะไรสักอย่างดังขึ้นมา มันคล้ายคลึงกับเสียงในยามที่ประตูมิติถูกเปิดออก เสียงของมิติที่บิดเบือนและฉีกออกจนเป็นรูหนอนใช้ในการเดินทาง ตามมาด้วยเสียงฝีก้าวที่เหยียบย่ำลงบนผืนทะเลทราย มันเป็นชายผู้ใช้อาวุธดาบ ผู้ทรยศนามราธได้เดินออกมาจากประตูนั้นก่อนที่มันจะถูกปิดลงด้วยฝีมือของตัวเขาเอง เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหาผู้ซึ่งเป็นนายท่านของตนโดยที่ไซอาลอทหาได้มองกลับหลังราวกับรู้ว่าราธกำลังมาหาเขา หรืออาจจะไม่รู้แต่หาได้เกรงกลัวต่อใคร ดูเหมือนว่าจอมทรยศผู้นี้จะเพิ่งมาจากดินแดนหิมะที่ซึ่งเขาได้รับภารกิจในการชิงตัวเนลเรี่ยนมา สังเกตได้จากชุดผ้าคลุมสีดำทั่วตัวที่ปกคลุม เปื้อนเต็มไปด้วยสะเก็ดน้ำแข็ง หิมะสีขาวสำลีอยู่เต็มตัวไปหมด ไม่นานนักหิมะเหล่านั้นจึงเริ่มละลายไปตามความร้อนของผืนดินแห่งนี้ เหลือเพียงแค่หยาดน้ำที่ค่อยๆ ระเหยไปตามอากาศ เขาเริ่มเดินตรงไปหาเพลิงพิโรธด้วยสีหน้าที่หวาดกลัวเล็กน้อย คงตระหนกว่าไซอาลอทจะไม่พึงพอใจแก่ตัวเขาที่ทำหน้าที่ล้มเหลว
“เจ้ากลับมาโดยไม่มีอะไรอยู่บนมือของเจ้า...” ไซอาลอทเอ่ยกล่าวโดยไม่หันหลังมองกลับ ราวกับรู้ว่าชายผู้นั้นคือใคร โดยสิ่งที่เขาพูดถึง... อะไรที่อยู่บนมือคงจะสื่อถึงเนลเรี่ยนผู้ครองพลังแห่งซินโดร่าที่ราธและลัคนีย์ได้รับภารกิจจากเขาเองในการชิงตัวคนผู้นั้นมา
“ขออภัยด้วยขอรับนายท่าน...”
ราธกล่าวตอบพลางคุกเข่าลงแสดงถึงความเคารพแม้นว่าไซอาลอทจะหาได้หันไปหาเขาก็ตามที ชายหนุ่มพยายามที่จะก้มลงสุดหัวปิดบังสีหน้าของตัวเองที่กำลังตระหนก หวาดกลัวอยู่ ทันใดที่เขาได้กระทำเช่นนั้น ปีศาจแห่งเพลิงจึงค่อยๆ หันกลับไปหาเขา ดิ่งนัยน์ตาลงมองบนศีรษะของราธด้วยสายตาที่ดูน่ากลัว ราวกับกำลังโกรธหรือไม่พอใจเอามาก แรงอาฆาตนั้นแทบจะสามารถคร่าชีวิตของมนุษย์ธรรมดาให้ตายได้เลยหากว่าได้มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น แน่นอนว่าราธที่ล้มเหลวต่อหน้าที่มิกล้าแม้จะมองดวงตาแห่งเพลิงคู่นั้นเลย ซ้ำเหงื่อยังเริ่มไหลอาบใบหน้า แต่มันหาใช่ความร้อนที่ทำให้เป็นแบบนั้น แต่เป็นความกลัวเสียต่างหาก เมื่อนั้นไซอาลอทจึงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ตัวของราธช้าๆ ที่ยังคงคุกเข่านิ่งแสดงความจงรักภักดีอยู่
“นี่เป็นครั้งที่สองที่เจ้าล้มเหลวแก่ข้าราธ...”
“คงจักรู้หรือไม่ว่าความพิโรธแห่งข้าเหนือกว่านามของเจ้าที่สื่อถึงมันเสียอีก”
“เพราะงั้น... เจ้ามีอะไรที่จะพูดถึงเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?”
มารเพลิงกล่างน้ำเสียงที่ดูเยือกเย็น แต่ทุกวาจาสามารถรู้สึกได้ถึงพลังที่แทบจะกัดกินจิตใจภายใน ทำให้รู้สึกขนลุกซู่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ต้องขออภัยแก่นายท่าน... ทะ... ที่ข้าล้มเหลว... ข้าหาได้มีข้อแก้ตัวอันใดที่จะ.. กล่าวขอรับ” ราธพูดออกไปด้วยเสียงสั่นๆ
“แล้วลัคนีย์ล่ะ?” เพลิงพิโรธกล่าวถาม
“คะ... คือหล่อนถูกจับตัวไป... โดยพวกนั้นขอรับ”
“ดูท่าหล่อนจะประมาทศัตรูมากไปหน่อย มัวแต่หยอกล้อเล่นจนเสียท่า.. แถมยังรุดตัวทำอะไรเกินเหตุจนทำให้แผนของข้าต้องพังขอรับ..” เขากล่าวออกไปเพื่อหว่านล้อมให้ไซอาลอทเชื่อถือ
วาจาเหล่านั้น แม้ว่ามันจะมีความจริงปะปนอยู่แต่ก็หาใช่ทั้งหมด ราธกล่าวโกหกต่อไซอาลอทเกี่ยวกับเรื่องแผนที่เขาวางเอาไว้ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเขาหาได้เตรียมกาลอันใดเลยแม้แต่น้อย ซ้ำลัคนีย์ยังเป็นผู้ที่วางแผนการและรู้ถึงอะไรต่างๆ มากกว่าที่ราธจะหยั่งถึงเสียอีก
“งั้นหรือ?”
มันเป็นเพียงวาจาเดียวที่ไซอาลอทพูดออกไป แต่มันกลับทำให้ราธสะดุ้งตื่นด้วยความเกรงต่อเพลิงพิโรธมากกว่าเดิมเสียอีก วาจาที่สามารถคิดออกได้เป็นสองแง่สองง่ามมิอาจจะรู้ได้ว่าไซอาลอทนั้นเชื่อถือในคำพูดทุกอย่างที่เขาพูดออกไปจริงๆ หรือเพลิงผู้นั้นกำลังประชดกับราธ ด้วยน้ำเสียงที่ดูขรึมแบบนั้นตัวราธเองก็มิอาจจะคาดเดามันได้เลยแม้แต่น้อย เขากลืนน้ำลายด้วยความตระหนก กระนั้นเองไซอาลอทก็หาได้ทำอะไรต่อตัวเขาเลยแม้แต่น้อย แม้นว่าดวงตาอาฆาตนั้นจะยังคงมองทะลุร่างของราธเข้าไปก็ตามที มิทันไรจู่ๆ ฝีก้าวก็ถูกย่างกราย มันค่อยๆ ดังห่างออกไป ไซอาลอทเดินปลีกตัวออกจากราธราวกับว่าตนเองเชื่อในคำพูดของชายผู้นั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วชายหนุ่มผู้ใช้พลังแห่งวอยด์จึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนทั้งที่เนื้อตัวยังคงสั่นเกร็งด้วยความกลัวอยู่
“ลัคนีย์มันก็เป็นแค่หมากตัวนึงที่ข้าวางเอาไว้...”
“ทุกอย่างมันมีผิดพลาดกันได้” ไซอาลอทกล่าว “แต่ทันใดที่ข้าได้ยินเช่นเจ้าว่าแล้วก็ทำให้ข้าโล่งใจขึ้น”
“ด้วยเหตุอันใดท่านถึงคิดเช่นนั้นกันหรือขอรับ?” ราธถาม
“ยัยนั่นมีความคิดฉลาดเป็นกรด... ข้าเชื่อว่าหล่อนต้องทำอะไรสักอย่างและได้ตัวเด็กหนุ่มผู้นั้นมาในที่สุด”
“คงขึ้นกับเวลาละนะ...”
ระหว่างที่ไซอาลอทกำลังกล่าวไป เขาก็จ้องไปยังนครแห่งซันดาซัส ก่อนจะแสยะยิ้มของตนอย่างมีเล่ย์นัยออกมา มันสร้างความสงสัยให้แก่ราธ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าสิ่งที่มารเพลิงผู้เป็นนายท่านแห่งตนประสงค์มันคืออะไรกัน
“มงกุฏมองคำแห่งเอสซิโอนิค.... นครแห่งซันดาซัส...” จู่ๆ ไซอาลอทก็กล่าวมันออกมา
มงกฏทองคำแห่งเอสซิโอนิค มันคือนามฉายาของเมืองแห่งซันดาซัส เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะนครแห่งนี้เป็นหนึ่งในดินแดนที่มีการค้าขายรุ่งเรืองที่สุดในทวีปแห่งนี้โดยเฉพาะเครื่องประดับอัญมณี ไม่ว่าจะทองคำหรือเครื่องเพชรมักจะถูกส่งเข้ามาขายภายในเมืองแห่งนี้ตั้งแต่สมัยอดีตกาล จะพูดว่าเป็นเมืองการค้าก็คงไม่แปลกนัก... หลังจากวาจากล่าวชื่อนามของเมืองอันยิ่งใหญ่นั้นสิ้นสุดลง กายาของมารเพลิงผู้นั้นจึงเริ่มลุกเป็นไฟ พลังปราณเอ่อล้นทั่วทั้งตัวราวกับว่าคิดจะใช้พลังปราณในระดับมหาศาลในการทำอะไรสักอย่าง ไม่นานนักตัวของราธจึงรู้สึกได้ว่าพลังปราณทั้งหมดได้รวมเข้าไปที่หัตถ์ข้างขวาของเทพอัคคีผู้นั้น มันก่อเป็นลูกเพลิงสีส้มเข้มที่ควบตัวแน่นเป็นก้อนพลังขนาดเต็มมือ จากสภาพในตอนนี้หากมันถูกโยนออกไปโดยพลันคงสามารถทลายได้ทั้งเมืองเลยก็เป็นได้
“ท่านกำลัง... คิดจะทำอะไรกัน?” ราธกล่าวถาม
“เดี๋ยวเจ้าก็จักได้รู้เอง...”
เสร็จสิ้นวาจาแห่งเพลิง ชายผู้นั้นจึงกำบอลอัคคีที่อยู่ในมือของตนจนแน่น ขนาดที่ว่าบอลนั้นสามารถระเบิดได้หากแรงบีบของมือนั้นแรงยิ่งกว่านี้อีกเพียงเล็กน้อย เพียงชั่วพริบตาบอลเพลิงนั้นก็ได้หายไปจากมือของไซอาลอทเสียแล้ว เหลือเพียงแค่ควันโขมงของบอลเพลิงที่เพิ่งแผดเผาผิวหนังของมารร้าย การกระทำนั้นของไซอาลอทมีเพียงแต่สร้างความงุนงงให้แก่ราธ ว่าเพราะอะไรกันทำไมไซอาลอทจึงเสกลูกบอลเพลิงด้วยปราณระดับมหาศาลเพียงเพื่อที่จะทลายมันให้แหลกคามือไปเท่านั้นอย่างกับพยายามที่แสดงถึงพลังของตนที่ตัวราธก็รู้ถึงฤทธิ์เดชแห่งเพลิงที่เหนือกว่าตัวเขาอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะเสียปราณโดยใช่เหตุแล้ว มันกลับกลายเป็นการสร้างจุดสนใจ บ่งบอกถึงจุดที่พวกเขาอยู่อีกด้วย เพราะพลังปราณมหาศาลเช่นนั้น มันจะต้องถูกเหล่าผู้ชาวยุทธ์ระดับสูงของเมืองตรวจจับได้เป็นแน่แท้ ไม่สิ... ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างละ
แต่ทันใดนั้นเอง!
“บรึ้มมมมมมมม!” เสียงระเบิดถล่มปฐพีกัมปนาทสะท้านผืนฟ้า เบื้องหน้าของบุคคลทั้งสองปรากฏเป็นแรงระเบิดขนาดยักษ์ทลายมงกุฏทองคำจนพินาศสิ้น ปราณสีส้มแห่งเพลิงพิโรธแผ่ออกไปทั่วแรงระเบิดนั้น ความตกใจปรากฏบนใบหน้าของราธอย่างชัดเจน เขาดูตกตะลึงและคงจะเข้าใจเหตุผลแล้วว่าเพราะเหตุใดไซอาลอทจึงกระทำเช่นนั้นไปเมื่อครู่นี้ ถึงแม้ว่ามันจะดูมีเล่ย์นัย์ไปกับการกระทำนั้น แต่ตัวเขาก็มิได้คาดคิดแต่น้อยว่าชายผู้นี้จะระเบิดเมืองแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยผู้คนจนหมดสิ้น ราวกับปีศาจไร้จิตใจ ซ้ำใบหน้าของมารร้ายตนนั้นแปดเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่แลดูสะใจกับผลที่ออกมา มองดูเหล่าชาวเมืองไม่ว่าจะชาย หญิง หรือแม้กระทั่งเด็กถูกแผดเผาด้วยเพลิงแห่งความตาย ร่างกายหลอมละลายจากความร้อน สลายกลายเป็นผุยผงสีดำ สิ่งเหล่านั้น เสียงกรีดร้องของเหล่ามนุษย์บริสุทธิ์มีแต่เป็นการสร้างความบันเทิงให้แก่ไซอาลอท ซึ่งแม้แต่ตัวราธเอง... ก็หาได้มีความรู้สึกเช่นเดียวกับไซอาลอทเลยแม้แต่น้อย