Cataclysm: Endless Hellfire
Act XLVI
------------
“ท่านอัลทานิส!”
เสียงของชายหนุ่มผมดำสวนแว่นผู้ใช้พลังปราณสีดำทมิฬรีบตรงเข้าไปหานักดาบเพลิงอัคคีที่ท่าทางไม่สู้ดีนัก กายาทั่วทั้งตัวของชายกล้าอัลทานิสถูกไหม้เกรียมด้วยเพลิงพิโรธแห่งไซอาลอท แม้แต่ส่วนหนึ่งแห่งเพลิงพิทักษ์เองก็มิอาจจะต้านทานต่อไฟแห่งความตายได้ เขานอนนิ่งสลบไสลไร้ความรู้สึกอยู่ไม่ไกลจากตัวของไซอาลอทนัก แต่ดูท่าว่าเพลิงพิโรธจะมัวแต่สนใจบาดแผลที่ตนเองได้รับจากลูเซียสเมื่อครู่นี้เสียมากกว่า จึงทำให้หนุ่มดูบาร์นพอจะมีเวลาเข้าไปดูอาการของสหายตนเอง เมื่อนั้นลูเซียสจึงจับตรวจเช็คดูชีพจรของอัลทานิส โชคดีที่มันยังเต้นอยู่ อาจจะแผ่วเบากว่าปกติเล็กน้อยแต่ไม่ถึงขั้นที่จะเป็นอันตรายอะไรมากนัก ซ้ำแผลไหม้ทั้งหมดทั่วกายาก็เริ่มรักษาตัวช้าๆ กระนั้นมันก็หาได้ดูรวดเร็วอย่างเช่นมารเพลิงสามารถทำได้แม้นว่าทั้งสองจะเคยเป็นหนึ่งเดียวหรือผู้พิทักษ์แห่งเพลิงก็ตามที แต่ดูเหมือนว่าไซอาลอทจะอยู่ในขั้นที่เหนือกว่าอัลทานิสเป็นไหนๆ ในด้านพลังปราณ บัดนี้แผลที่ไหม้เกรียมเริ่มหายเป็นปลิดทิ้ง และลมหายใจก็ถูกขับออกจากร่างของนักดาบผู้นั้น ได้สติตื่นจากการหลับไหลชั่วขณะ
“ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะลูเซียส...” อัลทานิสกล่าวขึ้น “เจ้าควรจะหลบซ่อนตัวให้ห่างจากมารร้ายตนนี้”
วาจาถูกเปล่งออกมาจากปากของนักดาบแลดูไม่ค่อยพึงพอใจเสียเท่าไหร่ มันทำให้ตัวของลูเซียสผู้มีอายุอ่อนกว่าตนหันหน้าไปทางอื่นโดยที่ไม่สบตาเขา ราวกับว่าตนเองก็ไม่พอใจเช่นกันแต่ก็หงุดหงิดกับการที่อัลทานิสกล่าวออกมาเช่นนั้น
“ผมทนเห็นสหายของผมตายต่อหน้าตนเพื่อให้ตัวรอดไม่ได้หรอก!” เด็กหนุ่มกล่าวออกมา เงยหน้าไปมองอัลทานิส นักดาบผู้นั้นมองสายตานั้น มันเป็นดวงตาที่สื่อออกมาซึ่งความจริงจัง แน่นอนว่ามันก็คงจะเป็นการเสียมารยาทหากไม่ยอมรับในสิ่งที่ลูเซียสได้กระทำต่อเขา ยิ่งเป็นการช่วยชีวิตอีกต่างหากถึงอาจจะเป็นสักพักก็ตามที
“ขอบใจ...” อัลทานิสกล่าววาจาของตนขึ้น แสดงถึงการขอบคุณที่ลูเซียสได้ช่วยชีวิตของตนเอาไว้
เมื่อนั้นผู้รู้จักรวาลจึงลุกขึ้นยืน ใช้มือจับดาบของตนเองที่หล่นอยู่ผืนดินขึ้นมา กำมันไว้แน่นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสงครามนี้หาได้จบลง สายตาจดจ้องเข้าไปหามารเพลิงที่เริ่มฟื้นฟูตนเองจากบาดแผลเมื่อครู่จนสมบูรณ์ มันเป็นสายตาที่มองดูด้วยความโกรธแต่ในขณะเดียวกันมันก็สื่อออกมาซึ่งความเกรงกลัวต่อไฟที่เหนือกว่าตนเอง เช่นเดียวกันกับลูเซียส เขาเคยสัมผัสพลังปราณของไซอาลอทมาด้วยตนเองแล้วทั้งด้านกายภาพและจิต จึงรู้ซึ้งดีว่ามารเพลิงตนนี้มีศักยภาพเช่นใด หากมองในด้านดีพวกเขาก็อาจจะมีหนทางที่จะเอาชนะมารเพลิงตนนี้ได้ เพราะพวกเขาทั้งสองรู้ดีที่สุดว่ามารเพลิงเป็นเช่นไร แต่หากจะมองในด้านลบละก็มันคงจะไม่มีโอกาสเลยที่พวกเขาจะสามารถโค่นล้มเพลิงพิโรธนี้ได้ จากสถานการณ์ในตอนนี้มันก็คงบอกไม่ได้ซะทีเดียวว่ามันควรจะมองในด้านดีหรือลบกันแน่ จริงอยู่ที่อัลทานิสจะสามารถสร้างความเสียหายด้านกายภาพได้ แต่การที่จะโจมตีไซอาลอทได้โดยตรงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บุคคลที่มีทักษะ ความเฉลียวฉลาดและสัญชาตญาณในการต่อสู้เช่นเพลิงพิโรธนั้น ต่อให้ผู้ใช้พลังปราณระดับสูงก็แทบจะแตะต้องตัวเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนักที่พวกเขาออกการโจมตีโดยตรงเข้าไปได้ ไหนจะทั้งเรื่องที่ไซอาลอทมีปราณไร้ขีดจำกัดสามารถสร้างม่านพลังคลุมกายได้อีกต่างหาก
มารเพลิงที่ถูกสะบั้นศีรษะของตนไปเมื่อครู่สะบัดคอของตนไปมา ราวกับกำลังเช็คดูว่ามันมีสภาพพร้อมที่จะใช้งานแล้วหรือยัง ทั้งมีที่ลูบคลำไปมาบริเวณลำคอราวกับเกรงว่าจะเกิดแผลฉีกขึ้นมาอีก ไม่นานนักเขาจึงหันไปมองแก่ปรปักษ์ทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าของตน ท่าทางที่แสดงถึงความต่อต้านเช่นนั้นหาได้สร้างความเกรงกลัวต่อเพลิงพิโรธเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกยินดีด้วยซ้ำที่การต่อสู้นี้หาได้จบลงในทันที รอยยิ้มฉีกออกมาจากปากของตน แสยะยิ้มต่อนักสู้เหล่านั้น ใบหน้านั้นมีแต่เป็นการแสดงความน่ารังเกียจแก่ตัวของนักสู้ และมันก็เป็นการขู่ต่ออัลทานิสและลูเซียสในระดับหนึ่งเช่นกัน แน่นอนว่ารอยยิ้มนั้นทำให้นักสู้ทั้งสองขนลุก ตั้งท่าเตรียมสู้ แสดงถึงความเกรงกลัวต่อมารเพลิงออกมาอย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วไซอาลอทจึงกำดาบคาตานะที่ไม่ใช่ของตนเองไว้แน่น ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อกรเช่นกัน ท่าทีเช่นนั้นบวกกับจำนวนคู่ต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นทำให้ข้ารับใช้แห่งเพลิง ราธ รู้สึกตัวว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากตนเองยังคงนิ่งเฉยไม่เข้าไปช่วยต่อนายท่านแห่งตน เขารุดตัวไปข้างหน้าแต่ไม่กี่ฝีก้าวเท่านั้นตัวเขาก็หยุดลงในทันที นั่นเพราะไซอาลอทยกมืออีกข้างของตนขึ้น มันเป็นภาษามือของคำว่าห้าม อย่า หรือหยุด
“ให้ข้าจัดการสองคนนี้... เป็นกาลส่วนตัว” มารเพลิงกล่าวขึ้นโดยมิได้หันไปสบตาราธเลย
เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น ข้ารับใช้ผู้จงรักภักดีผู้นี้ไร้การขัดแย้งอันใดต่อตัวของไซอาลอท แม้นว่าตนจะดูไม่ค่อยพอใจก็ตามทีที่มารเพลิงดื้อรั้นไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากเขาเช่นนี้ แต่เขาก็มิอาจจะทำอะไรได้ นักดาบแห่งวอยด์ถอยฉากกลับไปแต่โดยดี ยืนนิ่งไร้ปฏิกริยาที่แสดงถึงภัยต่อนักสู้ผู้กล้าทั้งสองเลย เมื่อนั้นเพลิงพิโรธจึงหันกลับไปหาตัวของอัลทานิสและลูเซียส ก่อนที่ตัวดาบของอัลทานิสที่อยู่ในมือของไซอาลอทจะเกิดประกายเพลิงขึ้น และกลายเป็นดาบคมไฟไปโดยปริยาย สิ่งนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่เจ้าของดาบอย่างชัดเจน ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่เขาจะคิดเช่นนั้น โดยปกติแล้วศาสตราวุธจะรับพลังปราณเฉพาะจากปราณธาตุเดียวกันและได้รับการยอมรับจากตัวอาวุธนั้นๆ เองเท่านั้น เพราะในหลักความเชื่อของผู้คนของดวงดาวแห่งนี้นั้น อาวุธก็เหมือนกับอุปกรณ์ช่วยเหลือ แต่ไม่ใช่แค่เจ้าของอาวุธจะเลือกมันเท่านั้น แต่ตัวของอาวุธนั้นๆ เองก็ต้องเลือกตัวผู้ใช้งานเช่นกัน มันจึงจะสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ จึงไม่ค่อยเห็นนักในวงการยุทธภพที่จะมีการใช้อาวุธที่ไม่ใช่ของตนเองเช่นนี้ แต่ในกรณีของไซอาลอทกระทำที่ประจักษ์ต่ออัลทานิสนั้นแตกต่างออกไป คงเป็นปราณของมารเพลิงที่แกร่งกล้าจนถึงขั้นทำให้อาวุธของนักดาบสยบต่อเพลิงร้ายได้
“ด้วยความที่พวกเจ้าคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยข้าเอง...”
“และความกล้าที่พวกเจ้ามีมากพอที่จะยืนต่อหน้าของข้า”
“ข้าก็ต้องจัดการพวกเจ้าเป็นกาลส่วนตัวด้วยน้ำมือข้าเอง..” มารเพลิงกล่าววาจาของตนเองขึ้น “ว่าไง... พร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้แล้วรึยัง?”
แม้นวาจาบ่งบอกถึงความเพรียบพร้อมโดยมารร้ายถูกสื่อออกมาแล้วก็ตามที แต่ปรปักษ์ทั้งสองก็หาได้กล้าที่จะเข้าโจมตีโดยตรง ดูท่าว่านักสู้ทั้งสองจะตระหนักดีว่าหากรุดตัวไปอย่างโง่เขลาคงจะมีจุดจบที่ไม่สวยนัก ต้องมีการวางแผนเตรียมการอย่างชาญฉลาดและไม่ทำอะไรบู่มบ่ามจนเกินไป ลูเซียสเริ่มขยับตัวเข้าใกล้อัลทานิสผู้รู้จักรวาลเรื่อยๆ ราวกับว่าตนเองต้องการที่จะพูดอะไรต่อให้โดยให้แค่ชายผู้นั้นเพียงคนเดียวสามารถได้ยินวาจาตน
“หวังว่าท่านคงจะมีแผนการที่จะพอให้เราสามารถต่อกรกับมารเพลิงตนนี้ได้นะ..” เด็กหนุ่มสวมแว่นกล่าวถามขึ้น
มันหาได้มีการตอบรับอันใดจากอัลทานิสเลย ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกในตอนนี้หรอก
“...ไม่มี” นักดาบผู้นั้นกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา “ท่าทางของเราทั้งสองตอนนี้แทบจะไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะมารเพลิงได้เลย”
“ลำพังแค่การโจมตีของข้าไม่อาจจะโค่นมันลงได้อย่างเด็ดขาดแน่ๆ”
“จริงสิ.. รู้สึกว่าในทางทฤษฏีแล้วพลังธาตุเดียวกันจะสามารถหักล้างกันได้” ชายสวมแว่นกล่าวแทรกขึ้นมา
“ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่พลังแห่งบาปของผม ซึ่งก็แกร่งในระดับหนึ่ง... อาจจะพอที่จะทำอะไรมารร้ายก็ได้”
การบรรยายไปโดยหนุ่มมากรู้ผู้นั้นดูท่าจะเป็นการสร้างความสนใจให้แก่อัลทานิสพอควร นักดาบผู้นั้นหันไปมองลูเซียสด้วยสายตาที่ดูแปลก ราวกับไม่ค่อยเชื่อใจในสิ่งที่หนุ่มผู้นี้พูดออกไปเสียเท่าไหร่นัก
“ผมลองอ่านมาจากในหนังสืออ่ะครับ...” เด็กหนุ่มกล่าวพูดเชิงแก้ขัดให้ตัวเองดูไม่ขายหน้านัก
“มันก็มีความเป็นไปได้ละนะ” อัลทานิสกล่าวตอบรับ “ยังไงซะพวกเราก็ควรที่จะร่วมมือกันจัดการมารตนนี้”
“เห็นด้วย”
ทั้งอัลทานิสและลูเซียสแลดูจะตกลงกันได้ พวกเขาเตรียมปราณและอาวุธของตน เพรียบพร้อมที่จะต่อกรกับเพลิงแห่งความตายเบื้องหน้า ปราณสีทมิฬของเด็กหนุ่มสวมแว่นก่อเกิดขึ้นมาทั่วแขนทั้งสองข้างของตนเอง กลายเป็นหัตถ์แห่งอสูรขนาดใหญ่ที่สามารถขย้ำร่างของคนธรรมดาให้ขาดสะบั้นได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เช่นเดียวกับอัลทานิสที่ฝังปราณลงไปในดาบของตนเอง แต่มันหาได้เกิดเพลิงไหม้เฉกเช่นเดียวกับที่ไซอาลอทได้กระทำ มันเป็นการเสริมความแกร่งของดาบให้คมและแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ทันใดที่ไซอาลอทเห็นเช่นนั้นก็แสดงท่าทางอย่างพึงพอใจ ค่อยๆ เดินเข้าไปหาทั้งสองคน แกว่งดาบของศัตรูไปมา มันดูเชื่องช้ายิ่งกว่าไม้พายเรือ แต่พลังปราณกลับหาได้เป็นเช่นนั้น มันดูหนักแน่นน่ากลัว แต่แล้วจู่ๆ มารเพลิงก็หยุดขยับตัวลง พร้อมกับสีหน้าที่แสดงออกมาราวกับตนเองได้ลืมอะไรสักอย่างไปก่อนที่จะหันไปมองแขนของตนเองที่ถูกตัดขาดออกไปโดยคมดาบแห่งอัลทานิส บาดแผลที่ยังลุกไหม้โดยเพลิงรุ่งอรุณ เพลิงที่คอยเผาไหม้เซลล์ชีวิตที่ฟื้นฟูไซอาลอทอยู่ตลอดเวลา
“เกือบลืมไป...”
มารเพลิงกล่าววาจาดูพิกลออกมา จู่ๆ เขาจะปักดาบแห่งเพลิงของอัลทานิสลงบนพื้นปฐพีก่อนที่มารร้ายตนนั้นจะใช้มือข้างเดียวที่ยังเหลืออยู่ปัดเพลิงสีส้มอ่อนออกไปจากบาดแผลที่อยู่บนบาดแผลนั้น น่าแปลกคือไซอาลอทกล่าวออกไปด้วยตัวเองว่าเพลิงนี้มิอาจจะมอบดับได้แม้แต่ว่าตนเองจะใช้วิธีใดก็ตาม แต่สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นว่าเขากำลังพยายามที่จะดับเพลิงนี้ลง และมันก็เริ่มเป็นไปตามที่มารร้ายคาดหวัง... อัคคีแห่งดวงตะวันมอบดับลงด้วยน้ำมือของมารเพลิง ก่อนที่ไซอาลอทจะใช้มือข้างเดิมของตนเองลูบไปตามบาดแผลทุกส่วนที่ลุกไหม้ด้วยเพลิง และเพลิงเหล่านั้นก็หายไปจนสิ้น ไม่เหลือแม้แต่แสงอันริบหรี่ เช่นนั้นแล้วใบหน้าของมารเพลิงจึงแปดเปื้อนไปด้วยรอยแสยะยิ้มอันพึงพอใจ ราวกับว่ามันกำลังเป็นไปตามที่ตนคาดการณ์เอาไว้แทบทุกอย่าง สิ่งนั้นยิ่งเป็นการทำให้อัลทานิสหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าเดิม และไม่เชื่อในสายตากับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า” มารเพลิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าคิดงั้นหรือว่าเพลิงที่เย็นเฉียบเช่นนี้จะทำอะไรคนอย่างข้าได้?!”
“ข้าเพียงแค่หยอกล้อให้เจ้าตายใจเท่านั้น.. เพื่อที่จะให้เห็นความสิ้นหวังของเจ้า”
“และใบหน้าที่กำลังแสดงอยู่นั้น... ช่างเป็นอะไรที่พึงพอใจข้าเสียจริง”
ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นการจัดฉากเสียทั้งหมด ไซอาลอทได้คาดการณ์ถึงเรื่องเพลิงแห่งอัลทานิสมาแล้วแต่แรกเริ่ม มันกลายเป็นว่าทุกการโจมตีที่อัลทานิสได้ออกโจมตีไปนั้นไร้ผลไปโดยปริยาย ระหว่างที่ไซอาลอทกล่าววาจาของตนนั้นบาดแผลทุกส่วนก็เริ่มสมานเข้า ฟื้นฟูอย่างที่เคยเป็นตามปกติราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แผลฉีกขาดที่เกิดขึ้นจากคมดาบแห่งอัลทานิสปิดตัวลงสนิท และแขนข้างซ้ายที่ถูกตัดขาดสะบั้นก็เริ่มมีกระดูกงอกออกมาโดยเร็ว ก่อนที่เนื้อเยื่อจะค่อยๆ รวมตัวจนกลายเป็นอวัยวะ กลายเป็นการรักษาแขนของตนโดยสมบูรณ์แบบ เมื่อนั้นมารร้ายจึงยกแขนข้างนั้นของตนขึ้นดู บิดแขนไปมาดูมันราวกับตนได้ของใหม่ เมื่อนั้นตนจึงใช้มือข้างใหม่นั้นหยิบดาบแห่งเพลิงไว้ พลางเดินไปหานักสู้ผู้กล้าทั้งสองช้าๆ โดยไร้ความเกรงกลัว เสียงฝีก้าวที่ใกล้ตัวเรื่อยๆ เพลิงที่ฝ่าเท้าร้อนระอุขึ้นเรื่อย
ไม่รีรอชักช้าเหล่านักสู้พุ่งตรงเข้าหามารเพลิงอย่างรวดเร็ว ลูเซียสยกแขนของตนขึ้น เหวี่ยงเข้าหามารเพลิงทันใด กงเล็บสีดำดูน่ากลัวเข้าใกล้ร่างของมารร้ายแต่มันกลับถูกชะงักลงด้วยคมดาบคาตานะอัคคี อีกด้านหนึ่งอัลทานิสที่วิ่งเข้าไปหาไซอาลอทอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนทิศทางตรงไปข้างหลังของมารเพลิง ก่อนจะแกว่งคมดาบของตนไปด้วยความเร็วสูง ปลายดาบเข้าแทงใส่กลางหลังของไซอาลอท ตัวดาบฝังลึกลงไปเกือบครึ่งตัวดาบ เป้าหมายการแทงนั้นตรงเข้าสู่หัวใจ ปักลึกราวกับคมดาบได้ถูกบรรเลงออกไปโดยนักฆ่าฉกาจฝีมือ หากเป็นคนธรรมดาหรือต่อให้เป็นผู้มีปราณระดับสูงถูกคมดาบเพลิงเช่นนี้โจมตีเข้าไปยังจุดสำคัญ ร่างคงจะมอดไหม้ไปตามความร้อนระอุไปแล้ว แต่นั่นมิอาจจะโค่นมารเพลิงลงได้ ซ้ำยังเป็นการโจมตีตอบโต้โดยมารเพลิง แผลที่อัลทานิสได้สร้างขึ้นก่อให้เกิดโลหิตเพลิงลาวาพุ่งออกมา ก่อตัวเป็นโครงสร้างเป็นดั่งหนวดปลาหมึกจำนวนมาก มันเข้าจู่โจมใส่อัลทานิสทันใด ชายหนุ่มจึงรีบดึงดาบของตนออกมา ก่อนจะรับการโจมตีอันมากมายเหล่านั้นด้วยดาบเพียงเล่มเดียว ด้วยความเป็นยอดนักดาบมากฝีมือ ดาบเพียงเล่มเดียวจึงเพียงพอที่จะตั้งรับได้ ไม่ต่างจากการใช้โล่ขนาดยักษ์กำบังกายาจากภัยทั้งปวล
ในระหว่างเดียวกันนั้นเองไซอาลอทใช้ขาของตนถีบร่างของเด็กหนุ่มผู้เป็นบุตรของตนออกไป ร่างของเด็กหนุ่มกลิ้งเกลือกตามแรงกระแทก เขาลุกขึ้นทันใดแต่ไม่ทันความว่องไวของมารเพลิง ปีศาจร้ายใช้มือของตนบีบเข้ากลางลำคอของเด็กหนุ่ม สร้างความเจ็บปวดทรมาณให้แก่บุตรของตน มือแห่งเพลิงแผดเผาผิวหนังอย่างไร้ปราณีโดยที่ลูเซียสมิอาจจะต่อกรกลับได้ เพียงชั่วพริบตานั้นเองอัลทานิสกระโจนตัวเข้าไปหาไซอาลอทอย่างรวดเร็ว ใช้เท้าเตะเข้าไปกลางอกของมารเพลิง ดูเหมือนว่านักดาบเพลิงผู้นี้จะจัดการกับโลหิตลาวาไปจนหมดสิ้นแล้ว แรงเตะนั้นทำให้เด็กสวมแว่นผมสั้นสีดำหลุดจากการจับกุมของเพลิงพิโรธอีกทั้งมารเพลิงที่ปลิวออกไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เช่นนั้นแล้วทั้งสองจึงออกแรงโจมตีใส่มารเพลิงเข้าเต็มแรง ดาบคมไฟฟาดฟันใส่อกของมารร้ายจนเปิดแผลกว้าง ผู้ใช้ปราณดำจึงเปลี่ยนรูปร่างของดูบาร์นกลายเป็นหอกขนาดใหญ่แทงเข้าไปใส่ร่างของเพลิงพิโรธ มันหาได้ทะลุร่างของไซอาลอทแต่ดูบาร์นเหล่านั้นติดเข้าไปในร่างของมารเพลิง ผนึกเข้าไปในร่างแห่งเพลิง
ดูบาร์นเริ่มซึมตัวเข้าไปภายในกายาแห่งเทพอัคคี กัดกินเนื้อเยื่อของปีศาจร้ายช้าๆ ดูเหมือนมันจะเป็นไปตามที่เด็กหนุ่มมผู้นี้คาดการณ์ไว้ สสารธาตุเดียวกันสามารถหักล้างกันได้ และทฤษฏีการใช้งานของศพเดินได้แห่งไซอาลอทก็เป็นวิชาแห่งบาป มันจึงมีปฏิกิริยาอย่างแรงต่อร่างของมารเพลิง พลังเมือกสีดำกลืนกินเซลล์ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยพลังของไซอาลอท ทำให้เขามิอาจจะฟื้นฟูร่างกายได้ตามต้องการ มารร้ายกรีดร้องอย่างทรมาณกับการโจมตีที่ตนได้รับเข้ามาโดยที่ตัวของผู้ใช้ดูบาร์นกดแขนที่คลุมไปด้วยเมือกหนาเข้าไปในบาดแผลลึกลงไปเสียยิ่งกว่าเดิม คงคิดจะแพร่กระจายละอองปราณทั้งหมดเพื่อกัดกินเซลล์ภายในร่างกายจนสิ้น ฟังดูเหมือนจะได้เปรียบแต่มันหาใช่แบบนั้นซะทีเดียว เมือกสีดำคลุมแขนของชายหนุ่มเริ่มเปลี่ยนสีไปเรื่อย กลายเป็นสีส้มเรืองแสงคล้ายดั่งเหล็กไหลที่กระทบกับไอร้อนเป็นเวลานาน หากปล่อยไว้เช่นนี้คนที่จะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบคงจะเป็นตัวของลูเซียสเสียเอง เขาพยายามที่จะดึงมือของตนเองออกจากแผลใหญ่นั้น แต่มันก็ไม่ได้ผล เหมือนกับถูกบีบรัดไว้โดยโลหิตที่จับตัว พันธนาการแขนของลูเซียสจากภายในกายาแห่งเพลิง ทันใดนั้นไซอาลอทผสานปราณเข้าร่างของตน สร้างไอร้อนระดับสูงขึ้น หากไม่รีบดึงแขนออกมาโดยเร็ว แขนของลูเซียสรวมไปถึงร่างกายทั้งหมดคงละลายไปกับความร้อนระอุเป็นแน่
“ท่านอัลทานิส!” ลูเซียสตะโกนเรียกทันใด “ตัดแขนของข้า!”
“อะไรนะ?!”
“ตัดแขนของข้า! เร็วเข้า!”
เช่นนั้นแล้วอัลทานิสจึงทำตามในสิ่งที่ลูเซียสร้องขอ ดาบอัศวินแห่งคมเพลิงฟาดฟันเข้าไปใส่กงเล็บแห่งดูบาร์น สะบั้นแขนของลูเซียสออกจากร่าง เมื่อนั้นแล้วชายหนุ่มจึงรีบถอยฉากออกไป จับแขนของตนที่โลหิตไหลรินออกจากบาดแผลขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับอัลทานิสที่ถอยฉากออกตามเพราะความร้อนที่เกิดขึ้นจากกายาของมารเพลิงนั้นรุนแรงเกินกว่ากายหยาบของตนจะรับได้ ชิ้นส่วนอวัยวะที่ถูกตัดขาดออกไปหลอมละลาย สลายไปกลายไปกับอากาศด้วยเพลิงลาวาก่อนที่บาดแผลขนาดใหญ่ใจกลางอกของมารเพลิงจะค่อยๆ คืนสภาพกลับเป็นปกติ เพียงชั่วพริบตาความเร็วอันน่าเหลือเชื่อประจักษ์แก่ชายหนุ่มนักสู้ทั้งสอง อัลทานิสถูกคมดาบที่ไซอาลอทมีอยู่ในกำมือเหวี่ยงเข้าไปอย่างจัง โชคดีที่เขาสามารถมองการเคลื่อนไหวนั้นทันและรับคมดาบไว้ได้โดยไม่เป็นอันตรายอันใด แน่นอนว่าแรงเหวี่ยงที่ไซอาลอทได้กระทำรุนแรงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แต่อัลทานิสหยั่งถึงสิ่งนั้นดีจึงต้านทานมันไว้ได้โดยที่ไม่ได้รับอันตราย คมดามดึงกลับเข้าหาตัวก่อนที่มันจะบรรเลงวิชาเพลง ความเร็วมันดูผิดปกติแตกต่างจากที่มารเพลิงมักจะกระทำ มันหาใช่ความเชื่องช้าดั่งไม้พายกลางสมุทรอีกแล้ว มันรวดเร็วราวกับกำลังจะสร้างร้อยกรีดสลาตันอย่างใดอย่างนั้น
แรงเหวี่ยงอันรวดเร็วสร้างคลื่นวายุร้อนระอุ พัดร่างของอัลทานิสกระทบไปมาตามแรงลมโดยที่ลูเซียสมิอาจจะเข้าไปช่วยได้ เด็กหนุ่มสวมแว่นรวบรวมปราณทั้งหมดเข้าที่แขนที่ถูกตัดออกไปเมื่อครู่ ดูบาร์นผุดออกจากบาดแผลปรับเปลี่ยนโครงสร้างจนก่อตัวเป็นสภาพคล้ายอวัยวะแขน ไม่ต่างจากแขนปกติของลูเซียสเสียเท่าไหร่นัก ยกเว้นเพียงแค่มันดูเป็นสีดำทมิฬคล้ายกับโลหะ หมัดเหล็กไหลแห่งดูบาร์นพุ่งตรงเข้าไปหาไซอาลอทด้วยความเร็วที่เทียบเท่ากับกระสุนปืน แต่มันก็หยุดชะงักลงด้วยคมดาบไฟที่มารเพลิงใช้ ในจังหวะนั้นเองอัลทานิสจึงรีบออกเพลงดาบฟันเข้าใส่ขาของมารเพลิง การโจมตีนั้นทำให้ไซอาลอททรุดตัวลงในทันที คงจะเป็นเพราะบริเวณที่ถูกตัดออกไปเป็นเส้นเอ็น แม้นจะมีกระบวนการรักษาตัวแต่ก็คงใช้เวลาสักพักจนกว่าที่จะตั้งตัวได้ การโจมตีนั้นทำให้มารเพลิงตื่นตัว ตกใจจนเสียจังหวะ ทำให้หมัดของลูเซียสซัดเข้าใส่ดาบคาตานะเพลิง ทำให้ดาบเล่มนั้นหลุดออกจากมือของมารร้าย ในช่วงเวลาที่คมดาบกำลังลอยไปตามอากาศ อัลทานิสไม่ชักช้ารีรอรีบหยิบดาบเล่มนั้นกลางอากาศ เมื่อนักดาบคู่ผู้นี้มีดาบทั้งสองเล่มอยู่ในมือ จึงบรรเลงเพลงกระบวนท่าคมดาบซัดเข้าใส่มารเพลิงนับพัน พันดาบเพลิงวายุถูกขับออกโดยดาบทั้งสองเล่ม เร็วจนเหลือเชื่อ
ในระหว่างที่เพลิงพิโรธถูกคมดาบมากมายเหล่านั้นฟันเข้าใส่ร่างกาย ลูเซียสกระโดดถอยตัวกลับไปข้างหลัง นั่งคุกเข่าลงก่อนที่จะปักมือทั้งสองลงผืนดิน ปล่อยพลังปราณสีดำออกไปตามพื้นจนสร้างบริเวณรอบๆ นั้นให้กลายเป็นเมือกตมดิ่งร่างของผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นให้จมลงไป อัลทานิสเริ่มรู้สึกถึงผืนดินที่นุ่มลงจนแทบจะเป็นน้ำ เขารีบกระโดดออกจากบริเวณดังกล่าว ทิ้งให้มารเพลิงจมลง ไซอาลอทพยายามจะดิ้นตัว ใช้มือกดผืนดินเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากบ่อพันธนาการที่ลูเซียสได้สร้างขึ้น แต่การทำงานของบ่อดูบาร์นนี้ก็เหมือนดั่งทรายดูด ยิ่งขยับตัวมากเท่าไหร่ร่างก็ยิ่งจมลงไปมากเท่านั้น จนท้ายที่สุดกายาทุกส่วนถูกบ่อแห่งดูบาร์นกลืนกินเข้าไป เหลือเพียงแค่มือที่ยื่นออกมาจากโคลนตมสีดำที่มิอาจจะขยับได้ มันค่อยๆ จมลงไปตามร่างของไซอาลอท จนท้ายที่สุดก็หายไปในพริบตา ทางด้านของผู้ใช้วิชาปราณนี้ดึงมือที่ปักใต้ผืนดินขึ้น ก่อนที่จะผสานพลังเข้าที่มือทั้งสองและตบลงไปกับพื้น ทันใดที่ปราณถูกขับออกสู่ผืนดินมันให้พันธนาการแห่งดูบาร์นแข็งตัวในทันที กลายเป็นวิชาผนึก สุสานดูบาร์น...
อัลทานิสรอบไปโดยรอบ มันเป็นท่าทางของคนที่ยังคงระแวงอยู่ อย่างกับกำลังมองหาอะไรสักอย่างที่ตนสามารถรู้สึก แต่ไม่อาจจะมองเห็นด้วยตาเปล่า ท่าทีเช่นนั้นสร้างความสงสัยให้แก่ลูเซียส แต่เขาก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะถามมันออกไป เด็กหนุ่มผู้นี้ใช้ปราณไปมากกว่าครึ่งส่วนของร่างกาย เหลือเพียงแค่ปราณโดยมากที่ใช้เป็นตัวช่วยในการทำงานของร่างกายเท่านั้น
“ข้ายังคงรู้สึกถึงไอปราณของมัน...” อัลทานิสกล่าว
“ผมก็รู้สึกเช่นกันครับ แต่.. มันจะไม่ใช่ปราณที่เอ่อล้นออกมาจากกายาของไซอาลอทหรอกหรือ?”
“เป็นไปได้” อัลทานิสกล่าว “แต่มันขยับไปมาผิดธรรมชาติเกินกว่าที่จะเป็นปราณที่ล้น”
“ระวังตัวให้ดี!”
คำเตือนของอัลทานิสสร้างความสนใจให้แก่ลูเซียส เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมา ผสานดูบาร์นเข้าทั่วทั้งกายาให้กลายเป็นดั่งโลหะคลุมกาย วิชาป้องกันชนิดหนึ่งที่ลูเซียสจะพอทำได้ ทั้งสองมองไปรอบข้างโดยที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าไซอาลอทจะทำอะไร หรือโจมตีตอบโต้พวกเขาด้วยวิธีอันใด แม้เวลาจะล่วงเลยกว่าหลายนาทีแล้ว แต่ความคาใจ ระแวงก็หาไม่ที่จะถูกสลัดออกไปจากจิตใจของนักสู้ทั้งสอง คนระดับอย่างไซอาลอทเองก็คงไม่ใช่พวกที่จะถูกจัดการได้ง่ายเพียงนี้อยู่แล้ว
“ครืดดดด!” เสียงการไหวตัวของผืนปฐพีดังขึ้น ก่อนที่จะแหวกออกกลายเป็นรูขนาดที่ใหญ่พอที่จะให้ชายร่างสมส่วนไปใหญ่สามารถรอดผ่านได้ ไซอาลอทผุดตัวขึ้นมาจากช่องผ่านนั้นโดยไว มันอยู่เบื้องหลังของชายหนุ่มนักดาบ อัลทานิสหันกลับไปหามารเพลิงแต่ไม่ทันกาล ถูกไซอาลอทใช้หัตถ์ของตนบีบคอของเขาไว้ก่อนที่จะเหวี่ยงออกไปโดยเร็วด้วยกำลังมหาศาล ร่างของอัลทานิสพุ่งเข้ากระแทกใส่กับอาคารเรือนหลายช่วงตึก ทะลุผ่านตึกเหล่านั้นจนทำให้อาคารเหล่านั้นพังทลายจนสิ้น ลูเซียสพยายามตอบโต้ด้วยแขนเทียมของตน พุ่งหมัดตรงไปหาไซอาลอทแต่กลับถูกจับไว้ได้อย่างรวดเร็ว เขาสู้พลกำลังที่เหนือกว่าตนหลายเท่าไม่ได้ จึงไม่อาจจะดึงหมัดนั้นกลับเข้าหาตัวได้ มืออีกข้างของมารเพลิงยกขึ้นที่เบื้องหน้าของบุตรชายแห่งตน รวมรวบพลังมหาศาลไว้ราวกับจะยิงมันออกไปด้วยพลังทำลายล้างระดับสูง ผู้ใช้ปราณดูบาร์นพยายามจะปลีกตัวออกแต่ไม่เป็นผล สิ่งเดียวที่ตนมองเห็นเบื้องหลังแสงเพลิงแห่งปราณมีเพียงใบหน้า รอยแสยะยิ้มอย่างมีความสุขของมารร้ายเท่านั้น จนเมื่อเขารู้สึกตัวอีกทีอานุภาพพลังการทำลายล้างมหาศาลนั้นก็กระทบใส่ร่างกายของตนแล้ว
“บรึมมมมมมม!” คลื่นพลังปราณขนาดใหญ่ซัดเข้าใส่ร่างของลูเซียส มันสร้างแรงทำลายล้างจนทำให้ทุกอย่างเบื้องหน้าที่ถูกกระทบด้วยปราณเหล่านั้นแหลกเป็นผุยผง
โชคดีที่ลูเซียสพอจะตระหนักถึงความรุนแรงของพลังปราณ จึงใช้ปราณดูบาร์นคลุมกายไว้ให้ตนพ้นจากอันตราย แต่ก็พอได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและปลิวออกไปตามแรงที่ซัดเข้าใส่ ชายหนุ่มพยายามตั้งหลักแต่ปรปักษ์แห่งตนหาได้ยอมให้เป็นเช่นนั้น ไซอาลอทพุ่งตัวเข้าหาลูเซียสโดยไว กำหมัดก่อนที่จะซัดเข้าใส่ท้องของเด็กหนุ่ม มันทำให้ร่างผู้ใช้ปราณดูบาร์นปลิวออกไปไกล มารเพลิงทำซ้ำเช่นนี้ไปเรื่อยโดยที่หัวเราะอย่างเริงร่า รู้สึกสนุกสนานกับสิ่งที่ตนกำลังกระทำ ลูเซียสไม่มีโอกาสที่จะสามารถตั้งรับการโจมตีที่ไวยิ่งกว่ากระสุนปืนได้ เขาถูกหมัดเหล่านั้นซัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างลอยไปตามอากาศอย่างไร้สิ้นสุด
ชั่วพริบตานั้นเองนักดาบฟื้นสติ กระโจนตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ตั้งดาบทั้งสองเล่มหน้าฉากขนานเบื้องหน้าของตน พุ่งเข้าชนใส่ไซอาลอทด้วยความเร็วสูงอย่างกับปืนใหญ่เพลิงที่ถูกขับออกจากปากกระบอกปืน มันซัดร่างของมารเพลิงลอยขึ้นไปเหนืออากาศ ปลิวไปไกลจากตัวของอัลทานิส นักดาบผู้นั้นหยุดตัวลงทันใดก่อนที่จะเก็บดาบทั้งสองเข้าฝัก รวมปราณเข้าที่มือและเสกอาวุธปืนคู่ที่มือทั้งสองข้าง เมื่อนั้นกระสุนจึงถูกขับออกไป ลั่นไกปืนรัวออกราวกับกระสุนปืนหาได้มีคำว่าสิ้นสุด ห่าฝนเพลิงขนาดเล็กพุ่งเข้าใส่ไซอาลอท ก่อนที่บอลเพลิงเหล่านั้นจะเข้าใกล้ตัวของมารร้ายได้ ไซอาลอทได้หยุดตัวลงกลางอากาศ ลอยอยู่เหนือผืนดินราวกับผู้วิเศษ ทันใดนั้นหน้าอกของเขาจึงเปล่งแสงขึ้น แปรสภาพกลายเป็นหัวมังกรที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มันยิงกระสุนบอลเพลิงตอบโต้ใส่กับพลังปราณที่อัลทานิสขับออกมา กลายเป็นคลื่นพลังซัดใส่กัน ต้านพลังกันโดยที่ทั้งคู่หาได้หยุดกระบวนท่าเลย ราวกับว่าจะวัดดวงกับการโจมตีนี้ซึ่งผู้ใดที่มีปราณเหนือกว่าก็ย่อมมีความได้เปรียบหลายเท่าอยู่แล้ว และผู้ที่ได้เปรียบก็คือไซอาลอท ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ บอลเพลิงสีส้มเข้มแห่งความตายเริ่มทำลายล้างกระสุนปราณแห่งรุ่งอรุณมากขึ้นและมากขึ้นเท่านั้น
“ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปท่านอัลทานิสคงรับกาารโจมตีเหล่านั้นไม่ไหวแน่...”
“ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”
เด็กหนุ่มลูเซียสพร่ำบ่นขณะที่ตนกำลังมองการต่อสู้อันดุเดือดของผู้พิทักษ์แห่งเพลิงอยู่ เขาก้มลงไปมองดูพลังดูบาร์นของตนที่เริ่มกรีดร้อง มันเป็นท่าทางที่แม้แต่ตัวของลูเซียสก็ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน มันหาใช่ความกลัวที่มีต่อไซอาลอทแต่มันเหมือนกำลังพยายามสื่อสารอะไรสักอย่างกับลูเซียส ราวกับมันมีความคิดเป็นของตนเอง เด็กหนุ่มหาได้พูดกล่าววาจาอะไรตอบ แต่ปฏิกริยาของเขาก็คงเป็นคำตอบที่มากพอว่าเขาคิดจะทำอะไร เมื่อนั้นพลังปราณแห่งดูบาร์นทั้งหมดจึงเริ่มคลุมร่างของเด็กหนุ่มทั่วทั้งกายา กลายเป็นชุดเกราะแห่งดูบาร์นที่มีสภาพคล้ายดั่งปีศาจร้ายแห่งเงามืด กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพลังแห่งบาป หนึ่งเดียวกับดูบาร์น ผสานชีวิตเข้าจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เหนือกว่าสิ่งที่เขาเคยเป็นมาโดยตลอด ปีศาจบ้าคลั่งแห่งดูบาร์น