ท้องฟ้านั้นเป็นสีฉาด อากาศนั้นเริ่มเย็นลง ผู้คนบนท้องถนนเริ่มบางตาลง เรซอร์เดินอยู่บนถนน เขามุ่งกลับไปยังบ้านของเขา ในขณะที่เท้าของเรซอร์ก้าวไปข้างหน้า หัวของเขาก็ยังคงคิดถึงเรื่องที่เขาได้ยินเมื่อตอนบ่าย ใช่...เรื่องของอาณาจักรกราเดลที่กำลังจะเข้าสู่สงคราม แต่มันไม่ใช่เรื่องเดียวที่เขานึกถึงมันมีอีกอย่างที่คอยรังควานหัวของเขา มันคือชื่อของ “อาณาจักรคิโดร่า” ชื่อคิโดร่านั้นดังก้องอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา พร้อมกับภาพธงรูปสิงโตมันจะถูกฉายให้เขาเห็นเรื่อยๆ ราวกับตัวของเขานั้นรู้จักอาณาจักรแห่งนี้ดี
เรซอร์ยืนอยู่หน้าบ้านสองชั้นที่มีขนาดกว้างกว่าที่อื่น มันมีป้ายว่า “โรงพยาบาล” แม้ป้ายข้างหน้าจะเขียนว่าโรงพยาบาลแต่ที่แห่งนี้คือบ้านของเขา ชายผมขาวใช้มือเปิดประตูเข้าไป เมื่อเรซอร์เข้าไปเขาก็ได้ยินเสียงคนทำอะไรในห้องครัว เรซอร์เดินตรงไปยังห้องครัว เมื่อเขาถึงห้องครัว เรซอร์ก็เห็นมาร์ตี้ที่กำลังเตรียมอาหารอยู่ มาร์ตี้หันกลับมาก่อนจะเอ่ยปากถาม
“กลับมาแล้วเรอะ?”
“ขอรับ” ชายผมขาวตอบสั้นๆ
“นั่งเลย ข้าทำอาหารจะเสร็จแล้ว” พูดพลางหันกลับไปปรุงอาหารที่อยู่หน้าตัวเองต่อ
เรซอร์ดึงเก้าอี้ไม้ออกมาก่อนจะหย่อนตัวเองลงไปบนนั่งบนเก้าอี้ไม้ ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร มีเพียงแต่เสียงหม้อที่เดือดดังขึ้น
“ท่านมาร์ตี้ ท่านคงได้ยินเรื่องอาณาจักรกราเดลจะเข้าสู่สงครามแล้วซินะขอรับ?” เรซอร์พูดขึ้นมาก่อน
“อืม ข้าได้ยินแล้ว” มาร์ตี้พูดในขณะที่เขากำลังคนซุปที่อยู่ในหม้อ
“พวกเราควรจะทำเช่นไรต่อดี?” เรซอร์เอ่ยปากถามต่อด้วยน้ำเสียงกังวล
มาร์ตี้ไม่ตอบเขาปิดเตาและยกหม้อมาวางไว้บนโต๊ะ คุณหม้อตักซุปและเทลงไปในถ้วยที่วางอยู่หน้าเรซอร์ จากนั้นมาร์ตี้ก็ตักซุปลงไปในถ้วยของตัวเอง ชายผมสีบลอนด์ลงไปตรงข้ามกับเรซอร์ก่อนจะเริ่มตักช้อนเข้าปาก เขาไม่ได้พูดอะไรเลยซักประโยค ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หรือจริงๆแล้วเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคำตอบคืออะไร เมื่อเรซอร์กินข้าวเย็นเสร็จ เขาก็ขอตัวกลับไปยังห้องของตัวเอง ชายผมขาวทิ้งตัวลงไปบนเตียง เรซอร์มองเพดานของห้องของตัวเอง เขาไม่อยากหลับตาลง เขาไม่อยากเห็นความฝันอันน่าสยดสยอง
“ความฝันที่เราเห็นมันคืออะไรนะ? ใช่ความทรงจำของเรารึเปล่า?” เรซอร์พูดกับตัวเองในขณะดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เพดานห้อง
=====
“ตอนนี้พวกคิโดร่าอยู่ไหนแล้ว?” บิลลี่เอ่ยปากถามทหารคนหนึ่งที่กำลังคุกเข่าอยู่
“กระหม่อมเห็นค่ายของพวกคิโดร่าอยู่ไม่ห่างจากอาณาจักรของเราเท่าไหร่ คาดว่าพวกเขาคงจะมาถึงเราในตอนเช้า” ทหารที่ถูกถามตอบ
“งั้นหรือ ขอบใจเจ้ามาก เจ้าไปเถอะ” บิลลี่ตอบ
ชายคนดังกล่าวลุกก่อนจะโค้งให้และเดินออกจากห้องไป ห้องที่บิลลี่อยู่นั้นเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง ตรงกลางนั้นมีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่วางอยู่ ซึ่งบนโต๊ะก็มีแผนที่วางอยู่ กำแพงห้องถูกสร้างจากก้อนหินจำนวนมาก รูปทรงของห้องนี้เป็นทรงแปดเหลี่ยม นอกจากบิลลี่แล้วในห้องยังมีแฟลมม่า คาซานดร้า และชายร่างบางยืนอยู่ ชายร่างบางที่ว่างนี้ตัวเล็กกว่าเพื่อน และหากดูที่หูของเขานั้นก็จะเห็นว่าหูของชายคนนี้แหลมออกมา ผมของเขานั้นเป็นสีดำและยาวประมาณประบ่าได้
“ดูเหมือนเราจะมีเวลาเตรียมตัวไม่มากเท่าไหร่นัก” บิลลี่พูดกับคนในห้องที่เหลือ
“ถ้างั้นข้ากับแฟลมม่าจะออกไปประจำการแถวหน้าประตูเมืองเอง” คาซานดร้าพูดพลางเลื่อนหมากสองตัวไปไว้ที่ประตูเมือง
“แฟลมม่า เจ้าปกป้ององค์ราชินีด้วยนะ” ชายผมสีทรายกำชับหญิงผมแดง
“ไว้ใจกระหม่อมได้เลย” หญิงผมแดงพูดด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“ส่วนข้าจะประจำการแถวใจกลางเมือง” บิลลี่พูดพลางหยิบหมากตัวหนึ่งไปวางไว้ที่ใจกลางของแผนที่
“วาริส ข้าฝากเจ้าปกป้องปราสาทนะ” ชายผมสีบลอนด์หันไปคุยกับเอลฟ์ที่ยืนไม่ไกลออกไปจากตัวเขาเท่าไหร่นัก
“ไว้ใจกระหม่อมได้เลย” เอลฟ์ผู้นี้เอามือทาบไปที่อกของเขาพร้อมกับโค้งให้กับพี่ชายขององค์ราชินี
“ถ้างั้นทุกคนไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน อีก 3 ชั่วโมงเราจะเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบ” บิลลี่พูดกับคนในห้องทั้งสามคน
ทั้งสามพยักหน้าก่อนจะทยอยเดินออกไป ทุกคนไปพักผ่อน และเมื่อถึงเวลานัดหมายทุกคนก็ลืมตาตื่นและไปประจำยังตำแหน่งของตัวเอง องค์ราชินีและแฟลมม่ายืนอยู่หลังประตูเมืองบานใหญ่ บนกำแพงเมืองนั้นมีพลธนูมากมายเตรียมพร้อมที่จะยิงธนู ในขณะเดียวกันที่กลางเมือง บิลลี่พร้อมกับทหารกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ทุกสายตานั้นมองขอบฟ้า มันก็ใกล้เช้าแล้วและนั่นก็แปลว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงสงครามในเมืองนี้จะเริ่มขึ้น แม้จะไม่มีประกาศอะไรแก่ชาวบ้าน แต่การที่ชาวเมืองเห็นจำนวนของทหารที่มากมายขนาดนี้พวกเขาก็พอเดาได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่
ดวงตะวันเริ่มขึ้นจากขอบฟ้า ความมืดมิดนั้นถูกขับไล่โดยแสงสว่างจากดวงตะวัน อากาศนั้นยังเย็นอยู่เล็กน้อย หัวใจของเหล่านั้นนักรบนั้นเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เหล่านักรบต่างกำอาวุธของตัวเองแน่น สีหน้าของทหารเหล่านั้นเต็มไปด้วยความกลัว ความกังวล พวกเขาต่างไม่รู้ว่าเมื่อสงครามนี้จบลง เขาจะกลับไปหาครอบครัวของตัวเองในสภาพไหน จะเป็น? หรือจะตาย? ไม่มีใครรู้นอกจากพระเจ้าผู้เป็นคนขีดเขียนเรื่องราวนี้
“บึ้ม” เสียงระเบิดดังขึ้นมา
ควันนั้นลอยฟุ้งออกมาแถวๆกำแพงที่อยู่ใกล้กับปราสาท เหล่าทหารของคิโดร่าต่างวิ่งกรูผ่านรูของกำแพงที่ถูกทำลายลง
“พวกมันเข้ามาจากด้านข้างงั้นหรือ?” คาสซานดร้าพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
“องค์ราชินี ข้างหน้าประตูเมืองมีทหารพยายามบุกมาอยู่เหมือนกัน” พลธนูที่ยืนอยู่บนกำแพงตะโกนลงมา
“อย่าให้พวกมันเข้ามาในเมืองได้” องค์ราชินีตะโกนสั่ง
พูดจบหญิงผมดันก็หันหลังกลับไป แฟลมม่าที่อยู่ใกล้ๆหันตามมาก่อนจะเอ่ยปากถาม
“พระองค์จะไปที่ไหน?” หญิงผมแดงเอ่ยปากถาม
“ข้าจะไปช่วยตรงลานกว้าง แฟรมม่าข้าฝากเจ้าดูตรงนี้ด้วย”
ไม่ทันที่แฟรมม่าจะตอบอะไร องค์ราชินีก็วิ่งสวนออกไปอีกทาง ในขณะเดียวกันนั้นที่ลานกว้าง ชายผมสีทรายแกว่งดาบของเขา คมดาบของบิลลี่นั้นเฉือนร่างของทหารศัตรู ทหารของพวกคิโดร่าที่ถูกคมดาบเปิดปากแผลนั้นลงไปนอนกองกับพื้น เลือดนั้นกระเซ็นติดใบหน้าของบิลลี่ ทหารอีกคนตรงมาจากข้างหลังก่อนจะง้างหวังจะใช้ดาบฟันร่างของพี่ชายองค์ราชินี แต่ชายสีบลอนด์หมุนตัวก่อนจะใช้ดาบฟันไปที่หน้าท้องของชายที่วิ่งมาข้างหลังเขา ชายคนนั้นล้มลงไปจมกองเลือดอีกคน บิลลี่หันไปก่อนจะเห็นชายผิวแทนใช้ดาบซามูไรของเขาฟันไปยังหน้าท้องของทหารจากคิโดร่า
“เจ้าดูใช้ได้นี่” บิลลี่เอ่ยปากชมชายผิวแทนคนนั้น
“ข้ารู้สึกตื่นตั้นมากที่พระองค์เอ่ยปากชมข้า แต่คำว่าใช้ได้น่าจะดูน้อยไปสำหรับข้า” ชายผิวแทนคนนี้ตอบกลับ
“แล้วเจ้าคือ?” ชายผมสีบลอนด์เอ่ยปากถาม
“ข้ามีนามว่าเวตาล่า ดูลาฮาน” ชายผิวแทนในชุดสีชมพูสดตอบ
บิลลี่หยักคิ้วขึ้นมากับคำตอบของชายปริศนาผู้นี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่มีเวลาจะมามัวคิดถึงคำตอบของชายคนนี้เท่าไหร่ เพราะข้างหน้าของเขายังมีทหารอีกมากที่เขายังต้องจัดการ เพื่อปกป้องอาณาจักรกราเดลแห่งนี้
“ท่านบิลลี่!!” ทหารคนหนึ่งวิ่งมาด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก
“ตอนนี้ประตูเมืองถูกตีแตกแล้วพะยะค่ะ” ชายคนนี้รายงาน
ประโยคนี้ทำให้ดวงตาของบิลลี่เบิกโพลนขึ้นมา
“คาสซานดร้า” บิลลี่พูดชื่อน้องสาวของตัวเองเบาๆ
เท้าทั้งสองของบิลลี่นั้นวิ่งออกไปทันทีโดยไม่ได้คิดถึงอะไร หัวของเขาในตอนนี้นั้นนึกถึงแต่หน้าประตูเมือง ไม่นานเขาก็ถึงยังหน้าประตูเมืองที่เต็มไปด้วยทหาร ทหารของอาณาจักรกราเดลและอาณาจักรคิโดร่านั้นกำลังสู้รบกันเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง บนพื้นนั้นเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณของทั้งสองฝ่าย บิลลี่ใช้ดวงตาสีฟ้าของเขากวาดหาคาสซานดร้า แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือแฟลมม่าที่ในมือข้างนึงถือดาบ และอีกข้างที่กำลังร่ายเวทย์อัคคีเพื่อเผาพลาญศัตรูที่หวังจะทำร้ายเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ระวังข้างหลังของเธอ ข้างหลังของเธอนั้นมีทหารดักเตรียมจะใช้อาวุธของตนเสียบร่างของเธออยู่
“แฟลมม่า ข้างหลัง!!” บิลลี่ตะโกน
แฟลมม่าได้ยินก่อนจะหันกลับเธอ เห็นชายสองคนง้างดาบเตรียมจะฟันร่างของเธอ หญิงผมแดงหลับตาด้วยความ เธอเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะวิ่งเข้ามาในร่างของเธอ แต่หากทว่าเธอได้ยินเสียงดาบปะทะกัน ต่อด้วยเสียงร้องของชายสองคน เธอลืมตาช้าๆก่อนจะเห็นบิลลี่ที่ถือดาบที่เปื้อนด้วยเลือด ข้างหน้าของบิลลี่นั้นคือชายสองคนที่พยายามจะปลิดชีพเธอ บิลลี่หันกลับมายังแฟลมม่าก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมา
“ไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่เป็นไรพะยะค่ะ ขอบคุณพระองค์มาก” แฟลมม่าโค้งให้
“แล้วองค์ราชินีล่ะ?” บิลลี่เอ่ยปากถามหญิงผมสีเพลิง
“องค์ราชินีบอกว่าจะวิ่งกลับไปที่ลานกว้างพะยะค่ะ” มือขวาของราชินีรายงาน
“ว่าไงนะ?” บิลลี่อุทานออกมาด้วยความตกใจ
ตัวเขาพยายามจะวิ่งกลับไปอีกครั้ง แต่ทหารของคิโดร่านั้นยังคงตรงมาหาพวกเขาเรื่อยๆและปิดทางไม่ให้ทหารของอาณาจักรกราเดลไปไหน
“ดูเหมือนเราจะต้องผ่าออกไปแฮะ แฟรมม่าช่วยข้าหน่อยได้ไหม?” บิลลี่หันไปหาแฟรมม่าที่ยืนอยู่หันหลังอยู่ข้างหลังตน
“พะยะค่ะ” เธอหันกลับมาตอบรับบิลลี่
======
ในขณะเดียวกันนั้นคาสซานดร้าวิ่งอยู่ในเมือง เธอเลือกเดินอีกเส้นทางที่มีทหารน้อยกว่า แม้มันจะใช้เวลามากกว่า แต่ด้วยเส้นทางแล้วมันเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด ขาของทั้งสองข้างของเธอเคลื่อนอย่างรวดเร็ว เธออยากจะไปถึงยังลานเมืองให้เร็วที่สุด เธออยากจะปกป้องพสกนิกรของเธอ เธออยากจะปกป้องแผ่นดินของเธอ ในขณะที่หญิงผมสีดำคนนี้กำลังวิ่งอยู่นั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้า เธอรีบหันไปก่อนจะควักดาบเพื่อปัดป้องตัวเธอ เธอหันไปนั้นไม่เจออะไร แต่ประสาทหูของเธอนั้นได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกลงบนพื้น เธอก้มลงไปก่อนจะหยิบขึ้นมา มันเป็นปลอกกระสุนที่ถูกผ่าออกสองครั้ง
“ท่านมีฝีมือตามคำร่ำลือจริงๆนะ” เสียงของใครบางคนดังขึ้น
มันเป็นเสียงที่ดูเย็นยะเยือกและดูไร้อารมณ์ คาสซานดร้าแหงนมองไปตามเสียง เธอเห็นหญิงผมรูปร่างผอมบางยืนอยู่บนหลังคา ชุดของเธอนั้นค่อนข้างเปิดเผย เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่นั้นแสดงให้เห็นถึงหน้าท้องที่มีแผลปรากฏอยู่ ผมของหญิงคนนี้นั้นเป็นสีดำและทรงผมที่เรียกว่าทวินเทล ในมือของเธอถือปืนกระบอกหนึ่งอยู่ ดูเหมือนกระสุนนั้นจะออกมาจากปากกระบอกปืนกระบอกที่เธอถืออยู่ หญิงปริศนาคนนี้กระโดดลงมาจากหลังคาและมองตรงเข้ามายังองค์ราชินีแห่งอาณาจักรกราเดล
“เจ้าคือใคร?” คาสซานดร้าพูดพร้อมยกดาบขึ้นมา
“ข้าน่ะหรือข้าคือเจโน่ รัน และข้าก็มาที่นี่เพื่อเด็ดหัวของท่าน”