กลับมาอีกครั้งกับ เปิดตำนาน ก่อนอื่นก่อนใดเลย เรามาลองดูประวัติของ มนุษย์รับประทานเนื้อคน กันก่อนดีกว่า ว่าดึกดำบรรพ์เนี่ย เค้าเป็นใคร
มนุษย์กินคน คือมนุษย์ที่กินมนุษย์ด้วยกันเอง มักจะพบในชนเผ่าต่างๆเช่นชนเผ่าใน ปาปัวนิวกินี เรื่องของมนุษย์กินคนนั้น มีอยู่ในตำนาน แทบทุกชาติทุกภาษา แต่ชนเผ่ามนุษย์ กินคนที่โด่งดังที่สุด คือมนุษย์กินคนแห่งเกาะปาปัวนิวกินีชนผิวขาวโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย บางคนยังคิดว่าชาวปาปัวนิวกินียังนิยมกินเนื้อมนุษย์กันอยู่
ในสมัยแรกๆที่ชาวยุโรปเดินทาง ไปถึงปาปัวนิวกินีนี้เอง พวกหมอสอนศาสนาคริสต์ ผู้ซึ่งมีอุดมการณ์แก่กล้าในการที่จะเผยแพร่ศาสนาคริสต์ให้ถึงดินแดนลึกลับนี้ ได้เดินทางเข้าไปยังประเทศนี้ และได้เกิดเรื่องที่น่าสยดสยองขึ้น
ประมาณต้นศตวรรษที่ 19 มีคณะสอนศาสนา ซึ่งเป็นหญิงล้วนคณะหนึ่ง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อารักขา ซึ่งมีอาวุธปืนทันสมัยประจำกายเดินทางไป ยังหมู่บ้านของชนเผ่าหนึ่งเพื่อสอนศาสนา เมื่อเดินทางล้ำเข้าไป ในเขตครอบครองของชนเผ่า ชนเผ่านั้นก็ออกมาสกัดกั้นเพราะถือว่าเป็นการบุกรุก จึงต้องให้พวกคณะสอนศาสนาเดินทางกลับเสีย แต่คณะสอนศาสนาไม่ยอมทำตามและยังคงเดินทางต่อไป ชาวพื้นเมืองจึงได้ใช้อาวุธอันมี มีด หอก หลาว แหลน หน้าไม้ เข้าโจมตี การต่อสู้นองเลือดจึงได้อุบัติขึ้น ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บและตายกันเป็นจำนวนมาก แต่ในที่สุดคณะสอนศาสนาก็ยอมแพ้
เมื่อสามารถรบชนะพวกรุกรานได้แล้ว คืนนั้นจึงมีพิธีเฉลิมฉลองชัยชนะ และกินเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริก
ซุปเนื้อมนุษย์เป็นรายการอาหารสำคัญของงาน วิธีปรุงอาหารรายการนี้ง่ายมาก นำน้ำใส่หม้อดินขนาดใหญ่ต้มให้เดือด บั่นศพมนุษย์ที่ตายทั้งสองฝ่ายให้มีขนาดที่จะใส่ในหม ้อนั้นได้ใส่ลงในหม้อ นำผักชนิดต่างๆ รวมทั้งมันและเผือกใส่รวมลงไปด้วย ต้มจนสุกและเปื่อยดีแล้วก็ตักออกมากินกัน ส่วนคนที่ยังไม่ตายก็มัดไว้ก่อนและค่อยๆ ฆ่าให้ตาย นำมาปรุงเป็นอาหาร กินเลี้ยงกันในคืนต่อๆ มา
มนุษย์กินคนในประเทศไทย นายซีอุย แซ่อึ้ง เป็นมนุษย์กินคนที่ถูกจับได้ที่ระยอง ถูกพิพากษาให้ประหารชีวิตเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2502 ณ เรือนจำบางขวาง และเมื่อวันที่ 27 กันยายนปีเดียวกัน มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ได้ทำหนังสือขอศีรษะซีอุยจากเรือนจำบางขวางมาเก็บไว้ ยังตึกกายวิภาค ภายหลังการประหารนั้นมาทำการผ่าตัด เพื่อวิเคราะห์และศึกษาถึงสาเหตุแห่งความวิปริตผิดประหลาดจากผู้คนธรรมดา
ถึงแม้เรื่องราวของมนุษย์กินคนในสมัยโบราณจะเลือนหายไปจากโลกนี้แล้วก็ตาม แต่ทว่าพฤติกรรมของพวกเค้า ยังคงแฝงอยู่ภายใ้ต้จิตใจของโจรโรคจิตทั้งหลาย สิ่งที่แปลกประหลาดและเป็นที่น่าสงสัยก็คือ อะไรดลใจให้พวกเค้านั้น ทำสิ่งที่ผิดมุนษยธรรมแบบนี้ ว่าไปแล้วก็ขอแนะนำ 12อันดับมนุษย์รับประทานมนุษย์ให้รับชมกันเลยดีกว่า
อันดับ 12
คณะเดินทางของดอนเนอร์ (Donner Party timeline) 14 เมษายน ปี 1846 จอร์จ ดอนเนอร์(Donner Party,)นำเพื่อนและครอบครัว(บุตร สตรี และเด็ก) จำนวนกว่า 89 เดินทางข้าเทือกเขาเนวาด้า(หรือ Illinois )เพื่อไปยังคาลิฟอร์เนีย 2,500 ไมล์ (4,023 กิโลเมตร) แต่การเดินทางมีอุปสรรคอย่างมากเนื่องจากพื้นที่เหล่านั้นมีภาวะอากาศแปรปรวน และการเดินทางที่วกวนไปมาไม่เป็นตามที่กำหนดไว้ เสบียงอาหารและข้าวของจำเป็นในการดำรงชีวิตก็หมดลง ผู้คนในคณะก็ล้มตายด้วยความหนาวเหน็บและอดอยาก
ผู้รอดชีวิตครึ่งหนึ่งเริ่มตะหนักถึงอันตรายในสถานการณ์ในครั้งนี้ หากไม่หาทางเอาชีวิตรอดเฉพาะหน้ารับรองได้เฝ้ายมบาลกันยกแก๊งแน่นอน
ดังนั้นดอนนอร์หัวหน้าคณะจึงตัดสินใจกินเนื้อของผู้ตายเหล่านั้นเป็นอาหาร(กินดิบๆ นี้แหละ) ยังชีพระหว่างการเดินทางอย่างไร้จุดหมาย เป็นเวลาถึง 6 เดือนเต็ม(
เริ่มกินเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 1846 – 1 มีนาคม 1847 ) ผลปรากฏว่าการเดินทางครั้งนี้มีผู้รอดชีวิต 46 และเมื่อได้รับการช่วยเหลือก็ได้สารภาพว่าได้กินเนื้อคนเพื่อประทังชีวิต ส่งผลให้พวกเขาถูกกักพื้นที่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะออกสู่สังคมอีกครั้ง และเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกบันทึกเป็นไดอารี่เพื่อระลึกถึงการเดินทางที่ไม่มีมีการวางแผนจนเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
ปัจจุบันเราสามารถรำลึกเหตุการณ์นี้ได้ที่อนุสาวรีย์ ดอนเนอร์ที่ Springfield, Illinois. อันดับ 11
สังหารหมู่ที่มาร์ร่า (Siege of Ma'arrat al-Numan) บางครั้งสงครามก่อให้เกิดมนุษย์กินคนได้เหมือนกัน……วันที่ 12 ธันวาคม 1098 ในสงครามครูเสด กองทัพของ Raymond de Saint Gilles มาถึงเมืองในมาร์ร่า Marre (พวกครูเสดเรียกเมืองนี้) หรือเมือง Ma'arat al-Numan (ภาษาอาหรับ) เป็นเมืองเล็กๆ รักสงบ ผู้คนใจดี แต่ดูเหมือนกองทัพ Raymond ไม่ใจดีด้วย เพราะพวกเขาแต่ละคนกำลังตกสภาพที่หิวโหย บางคนมีอาการขาดอาหารด้วยซ้ำ บวกกับทหารครูเสดบางคนได้มีจิตสำนึกว่าฆ่าคนนอกศาสนาไม่บาป ดังนั้นพวกเขาจึงบุกเข้าเมืองอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้ชาวเมืองราว 2 หมื่นคนถูกฆ่าอย่างโหด และเมื่อจัดการเสร็จปรากฏว่าในเมืองมีอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้นทางแก้ปัญหาคือการกินเนื้อชาวเมืองมาร์ร่าหรือพวกนอกศานาอย่างที่พวกเขาว่านั้นแหละ
โดยเรื่องนี้ยังปรากฏในบันทึกของ Radulph แห่ง Caen, ดังนี้ "........constrained by the lack of food, they boiled pagan adults in cooking-pots, impaled children on spits and devoured them grilled." แปล(แบบชุ่ยๆ) ก็ (..... เนื่องจากการขาดแคลนอาหาร กองทัพทหารของเราจึงจับพวกนอกรีต นอกศาสนาต้มทั้งเป็นในหม้อต้มอาหาร พวกเขาเสียบทะลุเด็กและนำพวกเขาไปย่าง)
ส่วนนี้เป็นของ Fulcher แห่ง Chartres เขียนไว้ว่า "I shudder to tell that many of our people, harassed by the madness of excessive hunger, cut pieces from the buttocks of the Saracens already dead there, which they cooked, but when it was not yet roasted enough by the fire, they devoured it with savage mouth. "แปล(แบบชุ่ยๆ) ก็ (ฉันละอายที่ต้องบอกว่ากองทัพของเราบ้าคลั่งเพราะความหิว ต้องตัดแก้มก้นของคนที่ตายแล้ว เพื่อทำอาหาร แต่ไม่ทันที่ปิ้งสุกดี พวกเขาก็กลืนมันเข้าปากอย่างมูมมาม)
อันดับ 10
อัลเฟร็ด แพคเกอร์ (Alfred Packer) อัลเฟร็ด แพคเกอร์ เป็น นักขุดทองชาวสหรัฐอเมริกา เขาถูกตัดสินกระทำผิดฐานเป็นมนุษย์กินคน จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1874 ตอนนั้น อัลเฟร็ด แพคเกอร์ และคณะ 5 คน ได้เดินทางไปเทือกเขาโคโลราโดที่แสนหฤโหดและสภาพอากาศเลวร้าย แต่ว่ากันว่าที่นี้มีแร่ทองคำอยู่มากมายมหาศาล เหมาะอย่างยิ่งจะขุดทองเพื่อรวยทางลัด
อัลเฟร็ด แพคเกอร์ และคณะ เดินทางไปที่นั้น จากนั้นสองเดือนต่อมา เขากลับจากที่นั้นเพียงคนเดียว ทำให้คนอื่นๆ ตั้งคำถามว่า “อีก 5 คนหายไปไหน” อัลเฟรดบอกว่า “ฉันกินพวกเขาเองแหละ” พอดีตอนไปถึงสภาพอากาศเลวร้ายมากๆ และอาหารเริ่มหมด เลยมีการต่อสู้เพื่อแย่งอาหาร เขาฆ่าคนอื่นเพื่อป้องกันตัวเอง และถูกบังคับให้กินเนื้อคนที่ตายเพื่อรอดชีวิต เรื่องราวของเขาดูไม่เหมือนน่าเชื่อ แต่การตรวจสอบศพแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ร่องรอยบนกระดูกเห็นได้ชัดว่าสี่คนถูกตีจนตายด้วยด้ามขวานและมีร่อยรอยการใช้มีดแล่เนื้อออกอย่างระมัดระวัง เขาถูกจำคุกเป็นเวลาสั้นๆ และถูกปล่อยตัวออกมา
และปัจจุบันมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์อัลเฟร็ด แพคเกอร์ เพื่อระลึกถึงโศกนาฏกรรมของเหตุการณ์ในครั้งนั้น อันดับ 9
อัลเบิร์ต ฟิช (Albert Fish) 1870 – 1936 ใน ปี 28 พฤษภาคม 1928 ที่อพาร์เมนต์ของครอบครัวบัดด์ในกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา มีชายชราแต่งตัวดีคนหนึ่งแนะนำตนว่าเป็นเจ้าของฟาร์มใหญ่ที่ลองไอส์แลนด์ และสนใจอยากจะหาลูกมือสักคนมาช่วยงานเขา ครอบครัวบัดด์เชื่อใจคนแก่คนนั้นจนกระทั้งวันหนึ่งพวกเขาได้ให้ลูกสาว เกรซ บัดด์อายุ 10 ขวบ ไปกับชายชราที่อ้างว่าจะพาเธอไปงานเลี้ยงของหลานสาวของเขาด้วย
โดยหารู้ไม่ว่านี้คือครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวบัดดด์เห็นลูกสาวตอนยังมีชีวิตอยู่ เพราะเด็กน้อยหายตัวไป และตอนนี้เธอก็ถูกฆ่าและถูกนำไปทำอาหารอยู่ในท้องของชายชราคนนั้นเรียบร้อยแล้ว.....
ชายชราคนนั้นก็คือ อัลเบิร์ท ฟิช เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เขาถูกจับในเวลาต่อมาเมื่อเขาส่งจดหมายให้ครอบครัวบัดด์โดยบอกว่า “เขากินลูกสาวของพวกเขาแล้ว มันอร่อยมากๆ” นอกจากนี้เขายังสารภาพอีกด้วยว่าเขาเคยย้ายบ้านมาแล้วกว่า 23 รัฐ และในแต่ละรัฐได้ก่อคดีฆาตกรรมไว้อย่างน้อยรัฐละ 1 ครั้ง เหยื่อของเขาเป็นเด็กชายหญิงซึ่งจากปี
1910 ถึง 1934 เขาได้สังหารไปกว่า 400 คนเลยทีเดียว แต่กระนั้นก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอัลเบิร์ทพูดจริงแค่ไหน เขาถูกประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าเมื่อวันที่ 16 มกราคม 1936
อันดับ 8
กลุ่มอาร์ยูเอฟ (Revolutionary United Front) ใครเคยดูภาพยนต์เรื่อง Blood Daimond คงทราบถึงความโหดร้ายของ กลุ่ม Revolutionary United Front (RUF) เป็นอย่างดี กลุ่มอาร์ยูเอฟ (RUF Revolutionary United Fronts)
เป็นกลุ่มกองกำลังปฏิวัติในเซียร์ราลีโอนก่อตั้งโดยโฟเดย์ แซนโกห์ เป็นนักรบเก่าในกองทัพ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะแย่งชิงความมั่งคั่งคืนจากชาวยุโรปที่เข้ามากอบโกย (แต่อาวุธซื้อมาจากพวกยุโรป) และคว่ำรัฐบาลคอรัปชั่นของประเทศตัวเอง นั้นเป็นจุดเริ่มต้นการเกิดสงครามการเมืองสุดมหาโหด เพราะส่วนใหญ่วีกรรมของกลุ่มนี้ก็ดีๆ ทั้งนั้น เพราะจะฆ่าชาวบ้านตาดำๆผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วน วันดีคืนดีพวกมันจะรบแบบกองโจร บุกเข้ามาในเมือง หรือไม่ก็หมู่บ้านคนธรรมดา แล้วให้เด็กใช้ปืนยิงชาวบ้าน แบบปูพรม.....เพื่อสังหารทหารรัฐบาลดะ ทำลาย ฆ่าชาวบ้าน ปล้น จี้ ข่มขืน ฆ่าผู้ใหญ่ต่อหน้าเด็ก รวมทั้งเอาเด็กอายุ 6 ขวบ (ขึ้นไป) เอาไปเป็นกองทัพสัตว์นรกหากใครไม่เข้าพวกยิงทิ้งทันที หรือไม่ก็ตัดแขนตัดมือ ส่วนผู้หญิงจะนำไปเป็นบำเรอกามเพื่อการข่มขื่นซ้ำซ้อนอย่างทารุณ(ผู้หญิง 75 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศ มีประวัติถูกข่มขื่น)
นอกจากนี้ยังมีการกินเนื้อคนในหมู่บ้านอีก...เนื่องจากเป็นความเชื่อของ กลุ่มว่ากินเนื้อศัตรูจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นและเป็นเครื่องที่สร้างความหวาด กลัวต่อผู้คนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว อันดับ 7
อิสเซ ซากาวะ (Issei Sagawa) 1949 “
ผมไม่ได้อยากจะฆ่า ผมเพียงแต่อยากจะกินเธอเท่านั้นเอง "
ข้างต้นนี่คือประโยคที่อิสเซ ซากาวะ พูดไว้หลังถูกจับกุมคดีฆาตกรรมเพื่อนหญิงสาวและนำเนื้อมาทำอาหาร พ่อยุ่นคนนี้ ฆ่าคนแค่คนเดียวแต่พี่แกดังไปทั่วโลก แถมได้อันดับ 1 ฆาตกรที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้
อิสเซ ซากาวะ ขณะ ที่ก่อเหตุนั้นเขาอายุ 16 ปี เขาเป็นเด็กทุนได้เรียนที่ปารีส ที่มีความฝันว่าเขาอยากจะกินคนสักครั้งในชีวิต และวันนั้นก็มาถึงเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 1981 (วันเกิดครบ 32 ปีของเขา)ซาคาว่าเชิญเรนี ฮาร์เทเวลท์นัก ศึกษาชาวดัชต์มาที่ห้องพักของเขาโดยอ้างว่าต้องการจ้างเธอมาอ่านบทกวีภาษาเยอรมันให้ฟัง
และเมื่อเธอมาถึงและเมื่อเธอหันหลัง เขาก็ใช้ปืนยิงที่ศีรษะของเรนีจนเสียชีวิต จากนั้นก็ข่มขื่นและแล่เนื้อเธอออกเอามาทำอาหารและกิน ใช้เวลา 2 วันเพื่อทดลองว่าเนื้อของคนในส่วนไหนอร่อย เขาปรุงรสด้วยเกลือ พริกป่นและพริกไทย เขาถูกจับได้ในเวลาต่อมาหลังจากเอาศพเรนีไปทิ้ง เขาตัดสินว่ามีความบกพร่องทางจิตจนไม่สามารถรับผิดชอบคดีได้ เขาถูกตัดสินให้ต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตจนตลอดชีวิต จะอย่างไรก็ดี อิซเซเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอังรีโครันเป็นเวลา 14 เดือนก่อนจะถูกส่งตัวกลับญี่ปุ่น ที่โตเกียวนั้นพ่อของเขาก็วิ่งเต้นจนเขาออกมาสู่สังคมภายนอกในที่สุด
ปัจจุบัน อิสเซ ซากาวะ ใช้ ชีวิตอยู่อย่างเป็นอิสระเท่าที่ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งจะสามารถมีได้ เขาออกหนังสือหลายเล่มและเคยได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ในฐานะแขก กิตติมศักดิ์หลายครั้ง อันดับ 6
อันเดร ชิกาทิโล (Andrei Chikatilo) 1936 – 1994 อันเดร ชิกาทิโล เป็นฆาตกรต่อเนื่องฆาตกรที่โหดร้ายที่สุดของรัสเซีย ที่สังหารเด็กและผู้หญิงกว่า 50 คน ใน รอสตอฟ (โซเวียตเก่า) เขาก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องตั้งแต่ ปี 1978-1990
เขาเป็นชายไร้สมรรถภาพทางเพศ แต่เขาไปถึงจุดสุดยอดได้เมื่ออีกฝ่ายขัดขืน หรือหวาดกลัว ดังนั้นเวลาจะทำการฆาตกรรมทุกครั้งเขามักจะเล่นกับศพเหยื่อเพื่อให้ถึงจุดสุดยอดทุกครั้ง ไม่ว่าจะแทงศพเหยื่อด้วยมีดซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ้างก็ถูกควักลูกตา หลายศพถูกเฉือนอวัยวะภายในและอวัยวะเพศไปเพื่อกิน บางครั้งก็นำกลับไปประกอบอาหารที่บ้าน และบางครั้งที่กินสดๆเลยก็มี อันเดร ชิกาทิโล ถูกปล่อยให้ลอยนวลอยู่ถึง 12 ปี จนกระทั่ง 20 พฤศจิกายน 1990 จิกาทีโล่ก็จับกุมในที่สุด 14 เมษายน 1992 อันเดร ชิกาทิโล ก็ขึ้นศาล แต่เขาไม่สนเรื่องการพิจาณาคดีในศาลเลย เขาเอาหนังสือโป๊มาอ่านระหว่างการขึ้นศาล เดี๋ยวก็ร้องเพลงชาติรัสเซีย เดี๋ยวก็ร้องเรียนให้จัดหาล่ามภาษายูเครน แล้วอยู่ๆก็กระโดดขึ้นมาถอดกางเกงของตนพร้อมกับร้องท้าทายผู้เข้าฟังคดี ซึ่งการกระทำเหล่านี้สร้างความโกรธแค้นให้กับญาติของผู้เคราะห์ร้ายเป็นอย่างมาก ทำให้ศาลต้องเอาตัว อันเดร ชิกาทิโล โล่ไปขังกรงเพื่อป้องกันการถูกรุมประชาทัณฑ์
แล้วในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1994 อันเดร ชิกาทิโล ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้ารวมอายุเมื่อเสียชีวิต 57 ปี อันดับ 5
Mauerova Family ครอบครัว Mauerova เป็นครอบครัวสมาชิกบูชาลัทธิกินเนื้อคนจากสาธารณรัฐเชค พวกเขาออกอาละวาดฆ่าคนเพื่อกินคน(เน้นเด็กและทารก)ในระยะเวลา 8 เดือน นอกจากนี้ยังมีการถ่ายวีดีโอศพเด็กที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ในตู้เย็นอย่างน่าสยดสยอง โดยมีแม่เป็นพวกหน้ากลุ่ม สมาชิกทั้งหมด 6 สมาชิกประกอบไปด้วยแม่ Klara Mauerova อายุ 34 ปี Skrlova Barbaracและพี่ชาย และยังนมีเด็กสองคนคือ Ondrej Mauerova อายุ 8 ปี และ Jakub Mauer อายุ 10 ปี ทุกคนถูกจับเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2007 ทั้งหมดถูกตัดสินจริง(ในเว็บไซต์มีการโหวดว่าพวกเขาทุกคนโดนประหารแล้วตกนรก หรือเปล่าผลปรากฏว่า 97 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าสมควร)
อันดับ 4
อาร์มิน เมเวส (Armin Meiwes) 1961 อาร์มิน เมเวส ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ชาวเยอรมันวัย 42 ซึ่ง ได้รับฉายาว่ามนุษย์กินคนแห่งโรเธนบวร์ก เยอรมัน ถูกศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต แต่รายนี้มาแปลกเพราะเหยื่อเป็นคนยินยอมให้ฆ่าและกินตัวเองได้
เรื่องราวจากในคดีจริงนั้น อาร์มิน เมเวส ได้ใช้มุมมืดของไซเบอร์สเปสเป็นที่หาเหยื่อประมาณว่าทิ้งข้อความว่า “
ต้องการหาเหยื่อ ที่เป็นชายมีอายุระหว่าง 18-25 ปี ให้มาพบแล้วจะกินเป็นอาหาร สนใจติดต่อมาที่ XXX " จนกระทั้งได้พบกับเหยื่อของเขาคือเบิร์นด์ เจอร์เกน แบรนเดส (Bernd-Juergen Brandes ) ชายวัย 43 ปีซึ่งมีอาชีพเป็นผู้จัดการฝ่าย IT ในบริษัทแห่งหนึ่ง หลังจากที่ได้ตอบรับคำโฆษณาของเขาที่ฝากทิ้งไว้ในอินเทอร์เน็ต โดยผ่านทางการพบปะบนอินเตอร์เน็ตเมื่อปี 2001 แบรนเดส พูดว่าเขากำลังมองหาคนที่สามารถช่วยทำลายร่างกายของเขาให้สิ้นซากโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ ซึ่ง อาร์มิน เมเวส ตอบสนองโดยการใช้มีดแทงลำคอของเขา แขวนเขาเอาไว้บนตะขอแขวนเนื้อ หั่นศพของเขาออกเป็นชิ้นๆ และนำเนื้อบางส่วนมากิน ภายหลังศาลตัดสินให้เขาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าเขาจะอ้างว่า แบรนเดส เป็นคนที่ขอให้เขากินเนื้อของตัวเองก็ตาม คดีของอาร์มิน เมเวส
ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และกระแสความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยถูกนำมาเขียนเอาไว้ในหนังสือหลายเล่ม นอกจากนี้ยังนำมาทำเป็นภาพยนตร์และแต่งเพลงอีกด้วย อันดับ 3
เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer) 1960-1994
22 กรกฎาคม 1991 เวลา 23.30น. รัฐวิสคอนซิน เมืองมิลวอกี้ อเมริกา ขณะที่นายตำรวจสายตรวจ 2 คน กำลังลาดตระเวณอยู่บริเวณดาวน์ทาวน์ มีชายผิวดำซึ่งใส่กุญแจมือไว้ยังมือข้างซ้ายวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ เมื่อตำรวจตามชายดังกล่าวไปยังออกซ์ฟอร์ดอพาร์ทเมนท์ ห้อง 213 ก็พบกับชายหนุ่มผิวขาวผมบรอนด์เปิดประตูออกมารับด้วยท่าทีสงบเงียบใจเย็น เขาแนะนำตัวว่าชื่อ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ จากนั้นตำรวจก็รู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นแปลก ๆ และพวกเขาก็พบที่มาของกลิ่นเหม็น.....หัวคนในตู้เย็น มีหัวคน 4 หัวกับชิ้นเนื้อและเครื่องในมนุษย์ที่ถูกแพ๊คไว้ในถุงพลาสติก ชั้นบนของที่วางของมีกระโหลกมนุษย์ 3 หัวเก็บอยู่ ส่วนชั้นล่างวางกระดูกชิ้นส่วนอื่นๆ ในกล่องกระดาษมีกระโหลกอีก 2 หัวและอัลบั้มภาพถ่ายอันสุดจะบรรยาย หม้อบนเตากำลังต้มส่วนศีรษะมนุษย์ 2 หัวซึ่งกำลังเปื่อยได้ที่ บนพื้นมีเศษผิวหนังกับนิ้วมือตกอยู่ และในถังสีฟ้าซึ่งวางไว้ที่โถงประตูภายในคือส่วนร่างกายมนุษย์ 3 คนซึ่งถูกทำให้ละลายด้วยกรดเกลือ จากการตรวจสอบรูปถ่าย ตำรวจพบภาพสยองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพที่ถ่ายเป็นร่างของเหยื่อจะถูกตัดออกเป็นชิ้นเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย ใส่ลงในอ่างน้ำ ผสม ทา ราดด้วยน้ำกรดและน้ำยาเคมี เนื้อถูกย่อยสลายส่งกลิ่นร้ายกาจเช่นเดียวกับกระดูกที่ถูกกัดจนเป็นสีดำ กลิ่นน่าคลื่นไส้ และยังมีของสะสมต่างๆ เป็นกะโหลกที่ถูกทาสีเทา และองคชาติที่ตัดออกมาจากศพที่ดองเก็บไว้ในขวดแก้วบรรจุยา ฟอร์มัลดีไฮด์ ส่วนหัวที่ตัดออกเขาเอาไปต้มหม้อจนเปื่อยยุ่ย จากนั้นลอกเนื้อหนังให้เหลือแต่กะโหลกแล้วทำความสะอาดให้สวยงามเหมือนของ เล่นพลาสติก เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ถูกจับกุม และถูกตัดสินในข้อหาสังหารคนไป 17 ราย แต่เนื่องจากรัฐวิสคอนซินได้ยกเลิกโทษประหารไปแล้ว เจฟฟรีย์จึงถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต และในวันที่ 28 พฤศจิกายน 1994 ก็ถูกนักโทษคนอื่นทุบด้วยท่อนเหล็กจนตายขณะรับเวรทำความสะอาด อันดับ 2 เผ่าคาริบ(Carib West Indian Tribes) เผ่ากินคนนี้แหละครับที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า คานิบาลิสม์(Cannibalism) เป็นชนเผ่าที่คณะนักสำรวจคริสโตเฟอร์ โคลัมปัสและคณะไปพบเขาที่หมู่เกาะเวสท์ อินดิส ที่นั้นเขาได้พบชาวพื้นเมืองคาริบ ซึ่งเป็นเผ่ากินคนกินเป็นอาหาร ทว่าคริสโตเฟอร์แกเป็นสเปนนะครับเขาสะกดชื่อชาวพื้นเมืองนี้ผิดจากคำว่า “คาริบ” กลับเขียนเป็น “คานิบส์” จากนั้นก็เพี้ยนมาเป็นคำว่า “คานิบาเลส” อันมีความหมายว่าดุร้ายกระหายเลือด และชาวอังกฤษก็เปลี่ยนคำนี้มาเป็น “คานิบาลิสม์” ในที่สุด ซึ่งความหมายจริงๆ ของมันคือมนุษย์ที่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองอย่างโหดเหี้ยมทารุณวิปริตผิดไปจากมนุษย์โดยทั่วไป เผ่าคาริบ เป็นเผ่าชาวอินเดียน เผ่านี้อยู่ในเกรนาดาเป็นเกาะภูเขาไฟเล็ก ๆ ในทะเลแคริบเบียน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตรินิแดดและโตเบโก และเวเนซุเอลา และอยู่ทางทิศใต้ของเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ชาวอินเดียน เผ่าคาริบมีประเพณีกินเนื้อคน เวลาจับเชลยได้ ชาวอินเดียนเผ่านี้ก็จะใช้ไฟจี้ตามตัวจนเป็นแผลพุพองแล้วเอาพริกทา และเมื่อเชลยเสียชีวิตลงเนื้อของเชลยก็จะถูกแล่เอาไปปรุงด้วยพริกเป็นอาหาร แม้จะยังไม่มีหลักฐานปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่า การกระทำเช่นนี้มีจริงหรือเปล่า นักวิชาการบางคนกล่าวว่า เรื่องราวการกินเนื้อมนุษย์โดยชาวเผ่าคาริบ อาจเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นโดยนักล่าอาณานิคม เพื่อใช้เป็นข้ออ้างถึงความจำเป็นที่ต้องทำให้คนป่าทั้งหลายได้พัฒนาตนเองให้มีอารยธรรมเหมือนซีกโลกที่เจริญแล้ว เอาล่ะ มาถึงอันดับที่ 1 กันแล้ว ขอบอกก่อนเลยว่า อันดับที่ 1 นี้ เรื่องราวของพวกเขาถูกนำไปอ้างอิงในการสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ALIVE ด้วย ลองไปหารับดูรับชมกันเอาเองแล้วกันนะครับ อันดับ 1 นักรักบี้ผู้หิวโหย (Stekka Maris College Rugby Team) วันที่ 12 ตุลาคม 1972 นักเล่นลักบี้ทีม"โอลด์คริสเตียนส์"ของมหาวิทยาลัยสเตลล่ามาริสกับเพื่อนสนิทและครอบครัว(อีกหลายคนเป็นผู้โดยสารทั่วไปที่กำลังเดินทางไปเยี่ยมญาติ ลูกเรือ 3 คนและนักบินอีกสองนาย) พากันบินจากอูรุกวัยไปยังชิลีโดยเครื่องบินสายอุรุกวัย แฟร์ไชด์ FH-227D(Uruguayan Air Force Flight 571) ขณะที่แฟร์ไชด์กำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาแอนเดส พวกเขาประสบกับสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนักจน ประสบอุบัติเหตุตกลงไปเทือกเขาแอนดิสที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มีผู้ถึงแก่ความตายทันที 13 ศพจากผู้โดยสารทั้งหมด 45 คน อีกหลายสัปดาห์ต่อมามีผู้บาดเจ็บจากเครื่องบินตกตายไปอีกหลายศพ ส่วนคนที่รอดหมดหนทางที่จะติดต่อจากโลกภายนอกได้ หิมะในบริเวณที่เครื่องตกนั้นมีความหนาถึง 15 เมตร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร และไม่มีเครื่องมือรักษาพยาบาลหรือยาที่เพียงพอ ผู้ใหญ่ประทังชีวิตด้วยช็อคโกแล็ตที่มีจำนวนจำกัดและน้ำที่ได้จากการละลายหิมะ เมื่อมีคนตาย พวกเขาก็ได้แต่ขนศพออกไปข้างนอกและฝังไว้ใต้กองหิมะ วันที่ 9 นับจากเครื่องตก ความหิวโหยทำให้พวกเขาอ่อนแอลงจนอยู่ในขั้นอันตราย นักรักบี้คนหนึ่งได้เสนอให้กินศพเพื่อให้อยู่รอด มีหลายคนทำตาม หลายคนนำเนื้อมาย่างบนแผ่นฟอยล์ หลายคนกินดิบเพื่อให้ได้สารอาหาร และผู้ที่ไม่ยอมกินก็อดตายทีละคนสองคน สุดท้าย 72 วันนับจากเครื่องบินตกมี ผู้รอดชีวิตจำนวน 16 ราย ที่ได้รับการช่วยเหลือและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในซานดิเอโก้ในทันที และพวกเขาก็สารภาพสิ่งที่ได้กระทำลงไป (พวกเขาสารภาพกับคณะแพทย์และบาทหลวงไปเรียบร้อยแล้ว) 18 มกราคม 1973 กองทัพอากาศอุรุกวัยได้ส่งคนไปยังจุดที่เครื่องบินตกและรวบรวมศพผู้เสียชีวิตมา ทำการฝังในที่นั้น พวกเขาตั้งกางเขนไว้เหนือหลุมศพแล้วจุดไฟเผาซากเครื่องบินที่เหลืออยู่ และนี่คือ ฉากเล็กๆน้อยๆในภาพยนตร์เรื่อง AliveVIDEO
Credit : http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=52590 Credit : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99