เรซอร์เดินแบกร่างของหญิงสองคน รอบๆตัวเขานั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ใบหน้าของเรซอร์นั้นมอมแมมไปด้วยเขม่าของควัน เหงื่อของเขานั้นไหลอาบแก้มของเขา เขาก้าวเดินอย่างช้าๆ ด้วยน้ำหนักของหญิงสองคนที่อยู่บนหลังของเขาทำให้หนุ่มผมขาวไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่ว บนพื้นนั้นมีร่างไร้วิญญาณมากมาย มันมีทั้งร่างของทหารในชุดเกราะสีแดงและร่างของทหารชุดเกราะสีขาว ร่างกายของชายผมขาวเหนื่อยล้า แต่เขาก็ยังก้าวเท้าขึ้นไปข้างหน้า เขาไม่รู้ว่าเขาต้องก้าวไปเท่าไหร่ แต่เขายังคงก้าวไปข้างหน้า
“ทนหน่อยน่า อีกนิดเดียว” เรซอร์พูดให้กำลังใจร่างกายของตนเอง
เขาไม่รู้หรอกว่าคำว่าอีกนิดเดียวนั้นจะไกลขนาดไหน แต่ถึงกระนั้นเขาก็หยุดไม่ได้ นอกจากชีวิตของเขาแล้ว ยังมีชีวิตของหญิงสองคนที่หมดสติอยู่บนบ่าของเขาด้วย แววตาของเรซอร์มองไปข้างหน้า มันเป็นแววตาที่มีความมุ่งมั่น ณ ตอนนี้เขามีสิ่งเดียวที่ทำได้ คือก้าวเท้าไปข้างหน้า
=====
มันเป็นช่วงวิกาล หลายคนต่างหลับใหลเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง แต่ถึงกระนั้นใช่ว่าทุกคนจะไปท่องเที่ยวในโลกของความฝัน บางคนนั้นยังคงตื่นอยู่ และเช่นเดียวกันกับเหล่าทหารยามที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ดวงตาของเขาเปิดกว้าง เขาต้องคอยสอดส่องว่ามีผู้รุกรานจะมาเยือนอาณาจักรกราเดลเมื่อไหร่ ในขณะที่เหล่าทหารยามยืนอยู่ พวกเขาก็ถูกลมตีหน้าอย่างรุนแรง เหล่าทหารยามต่างยกมือมาป้องแรงลมไว้ สายลมนั้นพัดเปลวเพลิงที่โฉดฉ่วงให้ดับมอด แสงสว่างในค่ำคืนของเหล่าทหารนั้นดับหายไป เหล่าผู้พิทักษ์ไม่เห็นอะไรเลย แต่หูของพวกเขายังสัมผัสเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระฮึ่ม
“เสียงอะไรกัน?” ทหารคนหนึ่งตะโกนพลางอุดหู
“เจ้ารีบไปแจ้งพระราชวังซิ!!” ทหารคนหนึ่งตะโกน
“อะไรนะ? เจ้าพูดว่าอะไร?” ทหารอีกคนที่อุดหูอยู่ตะโกนถาม
คาสซานดร้ายืนอยู่ในห้องๆหนึ่ง มันเป็นห้องที่กว้าง พื้นนั้นถูกปูด้วยพื้นไม้ บนกำแพงนั้นมีหน้าต่างอยู่เรื่อยๆ แต่ด้วยเวลานี้เป็นช่วงวิกาลจึงทำให้แหล่งแสงสว่างมาจากโคมไฟที่อยู่บนเพดานห้อง เธออยู่ในชุดสีขาวและกางเกงขายาว มันคือชุดประจำวันของเธอ ร่างของเธอนั้นอาบไปด้วยเหงื่อ ในมือของเธอนั้นกุมดาบไม้แน่น แววตาสีฟ้าครามของเธอนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เธอมองหุ่นไม้ที่ถูกฟาดหลายรอบ มันเป็นหุ่นไม้ที่ตั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ หญิงผมดำคำรามก่อนจะง้างและฟาดลงไปยังหุ่นไม้ตัวนี้ เธอฟาดไม่ยั้งและฟาดหลายครั้งติดต่อกัน เสียงของดาบไม้กระทบกับหุ่นดังกึกก้องในห้องที่กว้างนี้ เธอฟาดมันต่อไปเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกถึงความเมื่อยล้า เธอหยุดพักหายใจ คาสซานดร้างอตัวลงไปก่อนจะจับหัวเข่าของตัวเอง เสียงหายใจของเธอแสดงให้เห็นว่าเธอเหนื่อยล้า
“เจ้าชอบเรซอร์รึเปล่า?” เสียงของบิลลี่ดังอยู่ในหัวของเธอ
เมื่อเสียงนี้ดังในหัวของเธอ มันก็เหมือนกับสวิตซ์ที่ทำให้เธอตรงไปและใช้ดาบไม้ฟาดกับหุ่นไม้อีกรอบ เธอฟาดจนดาบไม้ของเธอหักออกก่อนจะตกลงบนพื้น นั่นเหมือนเป็นสัญญาณให้เธอหยุด คาสซานดร้านั่งลงไปบนพื้น เธอหยิบผ้าขนหนูที่เธอนำมาด้วยก่อนจะเช็ดใบหน้าของตัวเองเพื่อซับเหงื่อของตัวเอง เมื่อเธอความเหนื่อยเริ่มหายไปจากร่างของเธอแล้ว คาสซานดร้าก็ลุกขึ้นมาก่อนจะตรงไปยังแผงดาบไม้ที่วางพิงอยู่กับกำแพง เธอดึงดาบไม้ออกมา เท้าขององค์ราชินีเดินตรงไปยังหุ่นไม้ที่โดนฟาดหลายครั้ง คาสซานดร้าง้างเตรียมจะฟาดดาบลงไป แต่ก่อนที่เธอจะลงดาบ เธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
“เสียงเครื่องยนต์?” คาสซานดร้าถามตัวเอง
เธอเดินออกจากห้อง หญิงผมดำนั้นสัมผัสได้ถึงแรงลม ผมของเธอนั้นถูกพัดจากแรงลม เสียงของเครื่องยนต์ดังกึกก้องหูของเธอ ถึงกระนั้นคาสซานดร้าก็มองไม่ออกว่าอะไรเป็นต้นเสียง เพราะความมืดที่เป็นเหมือนม่านบังสายตาของเธอ แต่ถึงจะมองไม่เห็น แต่อะไรบางอย่างบอกเธอว่านี่จะเป็นภัยกับตัวเธอและอาณาจักรกราเดล
=====
อีฟยืนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยทหาร เหล่าทหารพวกนั้นเต็มไปด้วยสีหน้ามุ่งมั่น พวกเขาสวมชุดเกราะสีแดงเหมือนดั่งอีฟ บนชุดเกราะมีสัญลักษณ์สิงโต ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลคิโดร่า อีฟยืนเช็คปืนกระบอกสีขาวทั้งสองกระบอกที่อยู่ในมือของเธอ ช่องที่อยู่บนพื้นเปิดออก เหล่าทหารของคิโดร่าต่างกระโดดลงไป ด้วยระยะที่ไม่สูงมาก จึงทำให้ทหารเหล่านั้นลงมาได้อย่างปลอดภัย เสียงของทหารคิโดร่าถึงพื้นนั้น ทำให้เหล่าทหารของอาณาจักรกราเดลหันมาตามเสียง
“ปัง ปัง” เสียงปืนสองนัดระเบิดขึ้นมา
กระสุนสองนัดเจาะร่างของทหารยามแถวนั้น ทหารยามที่ถูกกระสุนปืนเจาะล้มลง เหล่าทหารของคิโดร่าคำรามก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปยังราชวัง ทหารของอาณาจักรคิโดร่าสั่นระฆังเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาถูกรุกราน เสียงของระฆังดังก้องนภาที่มืดมิด อีฟวิ่งนำทัพของตัวเอง เหล่าทหารในชุดเกราะสีขาวพยายามหยุดยั้งผู้รุกราน แต่เมื่อมีใครเข้าระยะสายตาของอีฟ เสียงปืนจะประทุขึ้น และทหารคนนั้นจะล้มลง อีฟวิ่งด้วยความรวดเร็ว ทหารส่วนหนึ่งนั้นตามคิโดร่าไม่ทัน แต่ก็มีกลุ่มหนึ่งยังตามอีฟทัน ในขณะที่หญิงในชุดสีแดงกำลังวิ่งอยู่นั้น เธอก็เห็นทหารเกราะสีขาวตั้งโล่และยืนกันเป็นแนวนอน ข้างหลังของทหารเหล่านั้นมีหญิงผมขาวยืนอยู่
“หยุดพวกมันให้ได้” โซรันที่ยืนอยู่ข้างหลังตะโกนสั่งทหารของเธอ
อีฟวิ่งตรงมาก่อนจะกระโดดข้ามทหารที่ถือโล่ไปอย่างไม่มีปัญหาอะไร อีฟเท้าแตะถึงพื้น เหล่าทหารถือโล่พยายามจะหันมาหยุด แต่พวกเขาทำไม่ได้เพราะทหารของคิโดร่าก็ต่างตรงมาพยายามจะทลายแนวกั้น โซรันรีบตรงมาพร้อมกับดาบแต่อีฟนั้นก้มหลบได้ อีฟคว้าปืนก่อนจะลั่นไก หญิงผมขาวโยกหลบ แต่เธอไม่ไวพอ กระสุนเจาะหัวไหล่ของเธอ โซรันร้องด้วยความเจ็บปวด ดาบในมือของเธอนั้นตกลงไปยังพื้น อีฟก้มตัวก่อนจะใช้ขาของเธอกวาดร่างของหญิงผมขาว โซรันล้มลงไปหลังกระแทกกับพื้น โซรันพยายามจะลุกขึ้นมาและคว้าดาบ แต่อีฟเตะดาบของเธอออกไป อีฟใช้ปินจ่อไปยังหน้าผากของโซรัน หากทว่าอีฟเก็บปืนและไม่ลั่นไก
“เจ้าเป็นสตรีและเจ้าสู้เคียงบ่ากับเหล่าผู้ชาย เจ้าเป็นคนที่มีความกล้าหาญมาก ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าแล้วกัน”
ในขณะเดียวกันที่ท้องพระโรง มันเป็นท้องพระโรงที่ว่างเปล่า มีเพียงแค่แฟลมม่า บิลลี่ และวาริสที่ยืนอยู่ ทหารคนอื่นๆที่ปกติมักจะอยู่ในห้องนี้ต้องออกไปช่วยปกป้องปราสาทแห่งนี้ ทหารที่อยู่ในอาณาจักรกราเดลนั้นยังคงมาไม่ถึงยังสมรภูมิแห่งนี้ สีหน้าของทั้งสามนั้นเต็มไปด้วยความกังวล
“มีข่าวอะไรเกี่ยวกับองค์ราชินีบ้างไหม?” บิลลี่ถามทั้งสองที่อยู่ในห้อง
แฟลมม่าและวาริสต่างส่ายหน้าพร้อมๆกัน บิลลี่กัดริมฝีปากตัวเองด้วยความเครียด
“ข้าจะออกไปตามองค์ราชินีเอง” บิลลี่พูดกับทั้งสอง
“ถ้าเช่นนั้นให้ข้าไปด้วย” แฟลมม่าก้าวเท้าขึ้นมาก่อนจะพูดกับชายผมสีบลอนด์
“ไม่เจ้าอยู่ที่นี่ ถ้าหากองค์ราชินีมาจะได้มีใครช่วยปกป้ององค์ราชินีได้” ชายผมสีทรายพูดกับหญิงผมสีเพลิง
“แล้วพระองค์ล่ะ? ข้างนอกนั้นก็อันตรายเช่นกัน ถ้าหากพระองค์เป็นอะไรไป อาณาจักรนี้ก็คงเสียหายเหมือนกัน” แฟลมม่าเถียงบิลลี่
ชายผมสีทรายเงียบ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทั้งห้องนั้นมีเพียงแต่ความเงียบ แต่หากเงี่ยหูฟังดีๆก็จะได้ยินเสียงความวุ่นวายที่บรรเลงอยู่เบื้องหลัง
“พวกเจ้าไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะอยู่ที่นี่เอง” วาริสพูดแทรกความเงียบขึ้นมา
“วาริส? เจ้าแน่ใจนะ” บิลลี่ถามเอลฟ์คนนี้อีกครั้ง
“ข้าสามารถใช้เวทย์มนต์ของข้าถ่วงเวลาได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าหนีทันอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงข้าหรอก” วาริสพูดด้วยรอยยิ้ม
บิลลี่กับแฟลมม่ามองหน้ากันและพยักหน้า ทั้งสองวิ่งออกจากท้องพระโรงทิ้งให้เอลฟ์ผมดำยืนอยู่คนเดียว เขาหลับตาลงก่อนจะสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ เอลฟ์เริ่มแกว่งมือไปมาในอากาศ ปากของเขาท่องคาถา เมื่อเขาท่องคาถาเสร็จ เหล่าทหารจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นมาในอากาศ มันมามากพอที่จะทำให้ทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยทหารได้
“หวังว่ามันจะมาพอที่จะถ่วงเวลาได้นะ” วาริสพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
=====
ในห้องคุมขังที่มืดมิด ทหารที่เฝ้ายามนั้นกำลังลังเลว่าตัวเขากำลังทำอะไรดี เขาอยากจะขึ้นไปช่วยสหายของเขา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากจะทิ้งนักโทษไว้ที่นี่ เสียงของการต่อสู้นั้นดังผ่านช่องแคบๆ เสียงของผู้คนที่ร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงของดาบปะทะกัน ดังขึ้นอยู่เรื่อยๆ เรซอร์ที่อยู่ในกรงรู้สึกสั่นกลัว แม้เขาจะอยู่เคยอยู่ในสมรภูมิมาแล้วครั้งหนึ่ง เรซอร์ก็ยังรู้สึกถึงความกลัวที่วิ่งไปทั่วร่างกายของเขา บางทีต่อให้เรซอร์ผ่านสมรภูมิเป็นพันครั้ง ก็คงไม่สามารถสลัดความกลัวออกไปจากร่างของเขาได้
ในขณะที่เรซอร์กำลังกลัว เจโน่ย่องมาข้างหลังของยามก่อนจะใช้มือรัดคอของยามคนนี้ ทหารยามผู้ถูกรัดคอนั้นพยายามดิ้น แต่ไม่ว่าจะทำยังไง เขาก็ไม่สามารถหลุดพันพันธนาการของเจโน่ได้ ไม่นานนักทหารคนนี้ก็ล้มลง ดวงตาของเรซอร์นั้นเบิกโพลนด้วยความตกใจ เรซอร์มองเจโน่ด้วยสายตาที่ตั้งคำถามเธอว่า “เจ้าฆ่าเขาหรือ?” แม้เจโน่จะเห็นสายตาของเรซอร์ แต่เธอก็ไม่ได้ตอบ เธอคุกเข่าลงไปก่อนจะหยิบเอากุญแจที่ติดตัวของทหารคนนี้ เธอนำกุญแจนี้มาไขที่ประตูตัวเอง ประตูห้องขังเธอถูกเปิดออก เจโน่เดินตรงมาก่อนจะใช้กุญแจไขห้องไขให้กับเรซอร์
“ไม่ต้องห่วง เขาแค่สลบไปเท่านั้นแหละ” เจโน่ตอบคำถามของชายผมขาว
“เรารีบไปกันเถอะ เรารีบหนีไปจากที่นี่กัน” หญิงผมดำพูดพร้อมกับคว้าแขนของเรซอร์
เจโน่วิ่งแต่หากทว่าคนที่เธอจับแขนอยู่ไม่วิ่ง เรซอร์หยุดอยู่กับที่เจโน่หันกลับไปหาชายผมขาวที่สีหน้าขุ่นมัว
“เป็นอะไรหรือ?” เจโน่เอ่ยปากถาม
“ขอโทษนะเจโน่...ข้ารู้สึกว่าข้ามีอะไรต้องทำที่นี่” เรซอร์ตอบเจโน่ด้วยใบหน้าจริงจัง
=====
ใช้เวลาไม่นานก่อนที่อีฟจะมาถึงยังท้องพระโรง หญิงในชุดเดรสสีแดงเปิดประตูห้องก่อนจะเจอทหารมากมายยืนอยู่เต็มห้อง ด้วยจำนวนแล้ว หากใครเห็นก็คงต้องตกใจกลัวเป็นธรรมดา แต่อีฟที่ยืนอยู่ตรงนี้กลับยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น จังหวะหัวใจของเธอนั้นรัวขึ้น เธอพุ่งตรงเข้าไปยังทหารพวกนั้นโดยไม่มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด เหล่าทหารพวกนั้นพยายามจะแกว่งอาวุธของตัวเองเพื่อหยุดหญิงในชุดสีแดงนี้ แต่ไม่ว่าเหล่าทหารพวกนั้นจะทำอะไร อาวุธนั้นก็ไม่สามารถเธอได้ อีฟใช้ปืนของเธอหญิงไปยังทหารพวกนั้น แต่กระสุนนั้นลอยผ่านร่างของทหารพวกนี้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ภาพลวงตางั้นหรือ? น่าเบื่อ” อีฟพูดกับตัวเองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
เมื่อเธอรู้ว่านี่เป็นภาพลวงตา อีฟก็วิ่งตรงผ่านทหารพวกนี้โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เธอเห็นวาริสผู้เป็นคนบงการ อีฟตรงเข้าไปด้วยความเร็วก่อนจะกระชากคอเสื้อของวาริสที่อยู่เสื้อผ้าสีเขียว เธอออกแรงเหวี่ยงเอลฟ์ร่างบางคนนี้ วาริสโดนขวี้ยงไปลอยก่อนหลังจะกระแทกเข้ากับกำแพงท้องพระโรง วาริสร้องด้วยความเจ็บปวด ภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นหายไปหมด เหลือเพียงแต่วาริสที่นอนอยู่บนพื้น อีฟเดินตรงเข้ามายังเอลฟ์ที่พยายามลุกขึ้นมา หญิงเดรสแดงยกปืนขึ้นก่อนจะเล็งไปยังศีรษะของวาริส
“ของหลอกเด็กแบบนั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอกน่า” อีฟพูดกับวาริสที่ตะเกียดตะกายบนพื้น
วาริสพูดอะไรไม่ออก เขาเงยหน้ามองอีฟซึ่งเป็นผู้กุมชีวิตของเขา ใบหน้าของอีฟนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร เธอไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย เธอไม่กลัวที่จะลั่นไก เธอไม่กลัวที่จะปลิดชีพวาริส
“ถ้างั้นก็ลาก่อน” อีฟพูด
แต่ก่อนที่อีฟจะลั่นไก เธอก็ดึงปืนขึ้นก่อนจะหันไปอีกทาง คาสซานดร้าพุ่งมาก่อนจะกระโดดพร้อมกับจะฟันร่างของทหารเอกของฝั่งคิโดร่า อีฟรีบลังกาตัวเพื่อถอยไปข้างหลัง เธอลุกขึ้นมามองหน้าของคาสซานดร้าที่กุมดาบของตัวเองแน่น คาสซานดร้าหันมามองวาริสที่พยุงตัวขึ้นมาจากพื้นช้าๆ
“เจ้าไปตามท่านพี่และแฟลมม่ามาที่นี่”
“พะยะค่ะ”
วาริสรับคำสั่งก่อนจะวิ่งออกไป หญิงทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายนั้นต่างมีอาวุธอยู่ในมือ ดวงตาของทั้งสองประสานกัน ทั้งสองพุ่งตรงออกไปพร้อมกับอาวุธในมือ การต่อสู้จริงๆมันพึ่งเริ่มขึ้นตรงนี้ต่างหาก