ผมนั่งอยู่ในห้องเรียนตามปกติ นี่ก็เป็นวันที่สองสำหรับชีวิตในรั้วโรงเรียนโทคุ กัคคุเอ็นแห่งนี้ หน้าห้องนั้นก็มีจูอิจิที่กำลังพูดพลางเขียนกระดานอยู่ เสียงชอล์กที่กระแทกบนกระดานนั้นดังขึ้นเป็นระยะๆ สายตาของนักเรียนหลายๆคนนั้นจับจ้องไปบนกระดาน มือของนักเรียนเหล่านั้นขยับตามที่อาจาร์ยหน้าห้องเขียน แต่หากทว่านั่นไม่ใช่ผม แม้มือขวาของผมจะจับดินสออยู่ แต่ผมไม่ได้ขยับมือเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกันกับดวงตาของผมที่ไม่ได้มองไปยังหน้าห้อง แต่กลับมองไปยังโต๊ะข้างๆที่ว่างเปล่า โต๊ะของเหมย เธอยังไม่มา มันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเธอยังไม่มา จริงๆแล้วมันก็มักจะวลีที่ว่าคนบ้านอยู่ใกล้มักมาสายกว่าคนบ้านอยู่ไกล แต่ไงก็ตามถ้ามันสายซัก 5-10 นาที ผมคงไม่อะไร แต่นี่ครึ่งชั่วโมงแล้ว หญิงปากร้ายคนนั้นก็ยังไม่มา
“-จิโร่ คุณยูจิโร่” เสียงของอาจารย์จูอิจิ ดึงสติผมกลับมา
ผมสะดุ้งก่อนจะหันกลับไปมองหน้าห้อง เขามองผมผ่านหน้ากากสีเงินของเขา เขาหันไปก่อนจะเขียนกระดานดำ มันเป็นโจทย์คณิตศาสตร์
“ลองตอบข้อนี้ให้ครูหน่อยซิ”
ผมมองก่อนที่จะคำนวณในหัวของผม แม้ผมจะเหม่อ แต่อย่างน้อยๆผมก็ตั้งใจเรียนมาพักใหญ่ๆ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ดังนั้นแล้วการจะตอบคำถามข้อนี้จึงไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่นัก
“25 ครับ” ผมตอบกลับ
“ถูกต้อง คราวหลังอย่าเหม่ออีกล่ะ คุณยูจิโร่” ชายผมสีแทนเอ่ยปากเตือน
“ขอโทษครับ” ผมกล่าวโค้งก่อนจะนั่งลงไป
คาบคณิตศาสตร์นั้นจบลง พวกเราโค้งขอบคุณอาจารย์จูอิจิในขณะที่เขาเดินออกจากห้อง คาบต่อไปนั้นคือคาบพละผมหยิบถุงที่ข้างในนั้นมีเสื้อผ้าไว้ใช้คาบพละ แต่ในขณะที่พวกเราจะเดินไปห้องล็อคเกอร์ที่อยู่นอกอาคารเรียนนั้น ผมกับทานากะเดินหิ้วกระเป๋าสีน้ำเงินก่อนจะเดินออกไปยังห้องล็อคเกอร์ มันอยู่ไม่ไกลจากอาคารเรียนเท่าไหร่ ผมกับทานากะเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน พร้อมกับเสื้อยืดสีขาวและรองเท้าผ้าใบสีเดียวกัน เหล่านักเรียนชายออกมายืนรวมกัน พื้นนั้นเป็นพื้นดินแห้งๆ ข้างหน้าพวกเรานั้นเป็นชายร่างกายบึกบึน ผมของเขาสั้น เขามองมาที่เหล่านักเรียนชายที่ยืนเรียงกัน
“นี่คือคาบพละคาบแรกของที่นี่ และวันนี้เราจะวิ่งรอบสนามกัน”
“แต่ก่อนอื่น พวกแกไปวอร์มให้พร้อมก่อน และชั้นหวังว่าชั้นจะเห็นพวกเธอตั้งใจเต็มที่กับคาบนี้”
“เข้าใจไหม?” ชายผู้บึกบึนผู้นี้ตอบ
“ครับ!!” พวกเราทุกคนตอบพร้อมกัน
สิ้นเสียงของพวกเรานั้น ผมกับทานากะก็ไปวอร์มร่างกายให้พร้อมกับการวิ่ง ข้างๆจุดที่ผมยืนอยู่นั้นมีลูกกรงสีเขียวสูงและหลังลูกกรงนั่นก็มีเพื่อนร่วมห้องที่เป็นผู้หญิงกำลังวอร์มร่างกายเหมือนกัน พวกเธอใส่ชุดคล้ายๆกับพวกชาย แต่ต่างกันที่เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นแดง ผมกวาดสายตามองหาเหมย แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็มองไม่เห็น ในขณะที่ผมกวาดสายตาหาหญิงผมดำคนนั้น ผมก็ได้ยินเสียงจากทานากะที่อยู่ใกล้ๆ
“แอบดูนมหรือขาอ่อนล่ะ เท็ตซึโอะ”
เมื่อผมได้ยินนั้นมันก็ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมทำอะไรอยู่ หน้าผมแดงก่ำ ผมรีบเบือนหน้าหนีจากลูกกรง
“ไม่ใช่ๆ ชั้นหาเหมยอยู่ต่างหาก” ผมรีบปฏิเสธด้วยความเขินอาย
“เห...รสนิยมนายแปลกดีนะ” ชายผมส้มเอ่ยปากแซว
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงโว้ย!!” ผมตะโกน
จอมเวทย์หัวเราะ ไม่ทันไร เสียงนกหวีดก็ถูกเป่าขึ้น มันเป็นสัญญาณให้เรากลับไปรวมตัว เหล่านักเรียนชายกลับไปรวมตัวที่หน้าอาจารย์สอนพละศึกษา เขามองพวกเราก่อนจะสั่งให้เราไปยืนเรียงกัน พวกเราย่อตัวเล็กน้อย เมื่ออาจารย์เป่านกหวีด พวกเราก็ออกตัวและวิ่ง พวกเราต้องวิ่งรอบสนามห้ารอบ ผมวิ่งไปเรื่อยๆ ช่วง ม.ต้น ผมเล่นกีฬาอยู่แล้ว ดังนั้นการวิ่งรอบสนามห้ารอบนั้นไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่นัก ผมวิ่งไปเรื่อยๆ พอผมรู้ตัว ทานากะก็ไม่ได้อยู่ข้างๆผมแล้ว ดูเหมือนเขาจะวิ่งตามผมไม่ทัน ผมหันไปมองฝั่งหญิงที่กำลังวิ่งรอบสนามเหมือนกับฝั่งชาย แต่ผมก็ยังคงไม่สามารถหาตัวของเหมยได้
ทั้งวันนั้นเหมยก็ไม่มาเรียน มันทำให้ผมคิดไม่ตกจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ผมเดินกลับยังอพาร์ทเม้นท์ของผม ผมก้าวขึ้นไป ผมจะเดินกลับห้องตัวเอง แต่ก่อนที่ผมจะถึงประตูห้องของผมนั้น ผมก็หยุดอยู่ประตูหน้าห้องของเหมย ผมสูดหายใจลึกๆก่อนจะใช้มือขวาของผมเคาะประตูห้อง ผมเคาะแล้วก็รอครู่นึง ไม่มีใครตอบรับและไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้น ผมลองเคาะอีกครั้ง คราวนี้ต่างออกไปคือ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของใครกำลังตรงมายังที่ประตู ประตูนั้นถูกเปิดออก เมื่อประตูถูกเปิดออกนั้น ก็เห็นเป็นผู้หญิงผมสีดำ ยืนอยู่ ใบหน้าของเธอนั้นดูงัวเงีย ผมของเธอดูยุ่งเหยิง เธอไม่ได้ไว้ทรงที่ผมเห็นประจำ แต่เธอปล่อยผมยาวลงมา เธอยังอยู่ในชุดนอนสีชมพูของเธอ เมื่อเธอเห็นหน้าผม มันก็ทำให้เธอตกใจ
“นายทำอะไรที่นี่!!” เธอตะโกนถาม
“พอดีผมเห็นคุณไม่มา ผมก็เลยมาเช็คดูน่ะว่าไม่สบายรึเปล่า” ผมตอบกลับไปด้วยความสัจจริง
“ชั้นสบายดีย่ะ!!” เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงโมโห
“อ๊ะ ใช่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมเอาโน้ตวิชาคณิตศาสตร์ให้คุณด้วยแล้วกัน” ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะยื่นสมุดที่ผมใช้จดในวันนี้
“...นี่นายหาว่าชั้นโง่เรอะ?” คำพูดประโยคมะกี้ของผมนั้นดูเหมือนจะทำให้เธอโมโห
“เปล่าๆ ผมไม่ได้ว่าคุณไม่ฉลาด แต่เอ่อ...” ผมพยายามนึกคำพูด
ผมไม่อยากจะพูดว่า เพราะเธอมีปัญหากับสมการง่ายๆ เธอมองผมด้วยสายตาเกรี้ยวกราด เหมยคงอยากจะตะคอกผมเต็มที่แล้ว ตลอดชีวิตนั้นผมเจอคนมากมาย และผมก็ไม่เคยเจอใครที่ผมรู้สึกว่ารับมือยากขนาดนี้ ผมไม่รู้ว่าผมจะใช้คำพูดคำไหนกับเธอดี ผมรู้สึกว่าทุกประโยคที่ออกมาจากปากผมนั้นสามารถจุดฉนวนให้เธอระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ตามจริงแล้วทางที่ดีที่สุดคือไม่ยุ่งกับเธอ แต่ก็ไม่รู้ทำไม มันมีบางอย่างที่ทำให้ผมเมินเฉยต่อหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้
“เท็ตซึโอะ?” เสียงเปิดประตูห้องผมดังขึ้น
ผมหันไปก่อนจะเห็นแม่ของผมยืนอยู่ แม่ของผมนั้นเป็นหญิงผมสีดำ แม่ผมไว้ทรงหางม้า หุ่นของเธอนั้นยังดี มันทำให้เธอดูอ่อนเยาว์กว่าวัยทั้งๆที่จริงแล้วอายุของแม่ผมนั้นใกล้จะ 40 แล้ว ดวงตาของแม่ผมนั้นคมดุจดั่งเหยี่ยว เธอสวมผ้ากันเปื้อนสีขาว ดูเหมือนแม่ของผมนั้นจะทำอาหารอยู่ กลิ่นอาหารนั้นโชยออกมาจากประตูห้องที่เปิดออก มันเป็นกลิ่นหอม ชวนน่ารับประทาน
“เอ่อ นี่เพื่อนจากโรงเรียนผมน่ะครับ เหมย ซูยิน” ผมแนะนำหญิงผมสีดำที่อยู่ข้างๆผม
เหมยเงียบ เธอไม่ได้พูดอะไร
“จ๊อก...” เสียงท้องร้องของใครบางคนดังขึ้นมา
ผมหันไปทางเหมย เสียงนั้นมาจากเธอ ใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำด้วยความเขินอาย ถ้าดูจากสภาพของเธอแล้ว เธอพึ่งตื่นและยังไม่ได้กินอะไรเลย
“ถ้าไม่รังเกียจอะไร มากินข้าวด้วยกันไหม หนูเหมย?” แม่ผมเอ่ยปากชวน
“ได้หรอคะ?” หญิงผมสีดำเอ่ยปากเพื่อความมั่นใจ
“ได้ซิ เพื่อนของลูกนี่นา” แม่ผมพูดกับสาวปากจัดคนนี้
พูดจบผมกับเหมยก็เข้าไปในบ้านของผม เราสองคนเดินตรงไปที่โต๊ะอาหารก่อนจะนั่งบนเก้าอี้ไม้ แม่ผมเปิดหม้อข้าวสีขาวก่อนจะตักข้าวลงชามก่อนจะวางไว้หน้าผมกับเหมย แม่ผมเดินไปหยิบมื้อเย็นวันนี้วางไว้ด้วย มันเป็นสลัดหนึ่งจาน ไก่ทอดอีกจาน คุณแม่ตักข่าวให้กับตัวเองก่อนจะนั่งตรงข้ามกับผมและเหมย พวกเราสามคนพนมมือก่อนจะพูดคำว่า “ทานแล้วนะครับ/ค่ะ” พร้อมๆกัน เมื่อสิ้นประสานเสียงของพวกเรา พวกเราก็เริ่มกิน หญิงผมสีดำที่นั่งข้างๆผมนั้นเอื้อมไปหาไก่ ก่อนจะคีบและนำมันเข้าปาก เธอเคี้ยวก่อนที่เธอจะอุทานออกมา
“อร่อย..”
“ฝีมือทำอาหารของแม่ชั้นสุดยอดอยู่แล้วล่ะ” ผมโอ้อวดด้วยความภาคภูมิใจ
เหมยหันมามองแต่ไม่ได้พูดอะไร เธอคีบไก่อีกชิ้นก่อนจะเอาเข้าปากและเคี้ยว
“จะว่าไป หนูเหมย ใส่ชุดนอนแบบนี้ ไม่สบายหรอ?” แม่ผมเอ่ยปากถาม
“...เปล่าค่ะ หนูนอนตื่นสายเอง” เหมยสารภาพตรงๆ
ผมว่าตื่นบ่ายไม่น่าจะเรียกว่านอนตื่นสายนะ...
“จะว่าไปหนูเหมยพึ่งมาญี่ปุ่นใช่ไหม ตอนอยู่จีนทำอะไรหรอ?” คุณแม่ผมถามต่อ
“...หนูเป็นลูกของประธานบริษัทโมเดริน์ คอล เทคโนโลยีค่ะ” เธอดูลังเลเล็กน้อย แต่เธอก็ตอบ
ประโยคนี้ทำให้ผมกับแม่ผมตกตะลึง บริษัทโมเดริน์ คอล นั้นถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีของจีนที่ใหญ่มากที่สุดบริษัทนึงบนโลก จะว่าไปพอนึกๆดูแล้วนามสกุลของเหมยคือซูยิน ซึ่งเป็นนามสกุลเดียวกันกับประธานบริษัท “โมเดริน์ คอล”
“ปกติแล้วจะมีคนมาปลุกหนู แต่พอไม่มีใครปลุกหนูเลยไม่ตื่น แถมเมื่อวานหนูดูซีรีย์ ถึงตี 3 ด้วย” เหมยเล่าต่อ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนอนไม่ตื่นแบบนั้น...
“แต่เป็นถึงลูกของประธานบริษัทพันล้านแบบนั้นไม่กลัว โดนลักพาตัวหรอ?” ผมถามด้วยความสงสัย
“ชั้นมีปุ่มเรียกองค์รักษ์ติดตัวชั้นอยู่น่ะ แค่ชั้นกดปุ่ม องค์รักษ์ที่เป็นหน่วยรบระดับประเทศก็จะมาหาชั้นภายในไม่ถึงนาที” เธอหยิบแผงควบคุมออกมา โดยตรงกลางนั้นมีปุ่มสีแดงอยู่ ขนาดนั้นเล็ก พกพาง่าย
“จะให้ชั้นโชว์ก็ได้นะ” เหมยพูดพลางเอานิ้วจ่อไปยังปุ่มสีแดง
“อย่าๆ” ผมกับแม่ผมพูดพร้อมๆกัน
เธอเก็บแผงควบคุมของเธอด้วยความเสียดาย ดูเหมือนเธอจะอยากกดปุ่มสีแดงตรงนั้นมาก แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้ากดแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะมีหน่วยซีลกระโดดถีบกระจกของอพาร์ทเม้นท์แบบในหนังรึเปล่า แต่ผมเชื่อว่ามันคงไม่ดีแน่ถ้าหญิงผมดำคนนั้นกดปุ่มสีแดงนั่น พวกเราสามคนกินข้าวเย็นของพวกเรา เหมยหัวเราะเป็นระยะๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอหัวเราะ ดูเหมือนเธอจะเข้ากับแม่ผมได้ดี ซึ่งนั่นก็ดี ถึงแม้เธอจะยังไม่อยากจะคุยกับผมเท่าไหร่ก็เถอะ พอรู้ตัวนั้นก็ค่ำแล้ว จานบนโต๊ะนั้นเหลือแต่เพียงเศษอาหารเล็กน้อย
“ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนค่ะ” เหมยลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเอง
“ผมไปส่งละกัน” ผมลุกขึ้นเหมือนกัน
“ห้องของชั้นอยู่ข้างๆเอง นายไม่จำเป็น” เหมยปฏิเสธ
“เถอะน่า” ผมตื้อเธอ
“เออๆ งั้นมาส่งก็ได้” เธอตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ผมกับเธอเดินออกนอกห้อง เราเดินไม่กี่ก้าวก่อนจะถึงห้องของเหมย เธอใช้กุญแจเพื่อเปิดประตูห้องของเธอ ผมยืนส่งเธอที่หน้าห้อง ในขณะที่เธอกำลังจะปิดประตูนั้น เธอก็จะหยุดก่อนที่เธอจะมองหน้าผม
“เอ่อ...ขะ ขะ” เธอพยายามพูดอะไรบางอย่าง
“ขะ?” ผมถามด้วยความสงสัย
“ขะ ขะ ขอ” หน้าเธอนั้นแดงก่ำในขณะที่เธอพูด
ผมรู้แล้วว่าเธอจะพูดอะไร ผมยิ้มให้กับเธอก่อนจะพูด
“ไม่เป็นไร แล้วมากินข้าวที่บ้านชั้นบ่อยๆล่ะ”
ผมโบกมือลาเธอก่อนจะกลับห้องของตัวเอง มันทำให้ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยๆผมอาจจะใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น ไม่มากก็น้อย