มือทั้งสองข้างที่เคยถูกใช้งานท่ามกลางสมรภูมิรบมาหลายต่อหลายครั้ง ต่อให้ผมใช้สบู่ชั้นดีล้างมันอย่างประนีประนอมก็ตามที แม้สายตาของเหล่าผู้คนที่ใช้ชีวิตเป็นอยู่อย่างมีความสุขที่มาจากการเสียสละของพวกเรา มันก็ดูสะอาดในสายตาของพวกเขา แต่สำหรับผมมันไม่... มันเหมือนกับมีคราบที่ไม่สามารถล้างออกไปได้ มันไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า... ไม่เลย! หากเสียว่าใช้ความรู้สึกเพื่อที่จะสัมผัสมัน ผมสัมผัสมันได้ตลอด คราบเลือดที่มาจากหลายชีวิตที่เปื้อนมือผมนั้น มันยังคงอยู่เป็นตราบาปที่ผมไม่สามารถลบมันออกได้ แม้ว่าจะขัดสักกี่พันครั้ง ล้างสักกี่พันรอบ มันก็ยังอยู่! ผมใช้เวลานับหลายปีเพื่อรักษามัน มันก็ไร้ประโยชน์
ผมอาศัยอยู่ที่โลกที่ต่างจากคนอื่น โลกที่ไม่ได้รับความสุข โลกที่ไม่ได้เปื้อนคราบโคลนจากการเล่นเบสบอลในยามฟ้าหลังฝนยามเย็น ผมไม่ได้รับการพูดคุยอย่างสนุกสนาน ผมไม่ได้รับฟังเสียงพลุที่ระเบิดเหนือน่านฟ้าในยามคืนหลังปีใหม่ อันที่จริงผมก็อาจจะรู้ถึงความรู้สึกเมื่อได้รับมันมาก็ได้ ผมหมายถึงอีกด้านหนึ่งล่ะนะ เสียงระเบิดผมก็แทนมันเป็นเสียงพลุซะสิ คราบเลือด... ผมก็แทนมันเป็นคราบโคลนจากการเล่นเบสบอลกับเพื่อนฝูง การพูดคุย... มันก็มีเหมือนกัน รับสั่งภารกิจ ผู้ส่งยื่นคำสั่งให้อย่างเย็นชา ไม่สนชีวิตพวกเราเว้นเสียแต่ให้ภารกิจลุล่วงเท่านั้น นี่คือโลกที่ผมอาศัยอยู่มานาน
แต่ตอนนี้... ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป โลกสงบสุข ระบบทุกอย่างถูกปรับแต่งให้มีความสมดุล ไร้ซึ่งปัญหาภายในประเทศหรือนอกประเทศก็ตามที มันถูกควบคุมด้วยระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ควบคุมทุกอย่าง เศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้กระทั่งการกลาโหม ผมรู้สึกไม่ค่อยชินกับการอยู่อะไรแบบนี้นะ คงเป็นเพราะมันแค่สี่ปีหลังจากที่ผมรีไทร์จากกองทัพก็คงจะเป็นไปได้ บางคนอาจจะถามว่าตอนนี้ผมอายุเท่าไหร่ ผมทำอะไรอยู่ ผมมีอาชีพอะไรหลังจากสงครามที่เคยผ่านมา ผมไม่แน่ใจว่าจะตอบกลับให้พวกคุณว่ายังไงดี มันเป็นเรื่องส่วนตัวล่ะนะ ถ้าจะพูดให้ถูก... ผมพูดมันออกไปไม่ได้ซะมากกว่า
แล้วตอนนี้ผมคือใคร? ก็แค่ชายวัยกลางคนๆ หนึ่ง ไม่ได้ออกไปทำอะไรมากมายสักเท่าไหร่ พอจะมีงานให้ทำอยู่ก็จริง แต่ไม่มีความสุขในการทำมันเอาซะเลย แปลกดีนะ ผมคาดหวังไว้ว่าชีวิตหลังนรกที่ผมเคยผ่านมาจะเป็นอะไรที่ดูสนุก น่าตื่นเต้น และมีความสุข แต่มันไม่มีอะไรที่ช่วยสร้างความสุขให้กับผมได้ นอกจากเหล้าราคาถูกและบุหรี่ร้อนๆ ได้ ฟังดูแล้วก็เหมือนชายที่หมดอาลัยตายอยากที่มีชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีอะไรเลยก็คงจะไม่แปลก ใช่! ผมไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยจริงๆ ผมเสียอะไรหลายๆ อย่างไปในช่วงสงคราม ทั้งเพื่อนรักและครอบครัว ผมไม่เหลือใครที่จะช่วยผมสร้างสีสันชีวิตด้วยซ้ำ เจอแต่คนหักหลัง สาปแช่ง เข็นฆ่า มันน่าเศร้านะ แต่ไม่เท่ากับการเสียคนที่เรารักไปหรอก
ฟังดูพูดจาวกวนรึเปล่า ก็อาจจะใช่ล่ะนะ...
“คุณรูเพิร์ต.. เฮ้!” เสียงของชายคนหนึ่งกล่าวเรียกชื่อของชายอีกคนที่นั่งเหม่อต่อหน้าเขา ชายผู้ที่กำลังเรียกขานอยู่แสดงปฏิกริยาเพื่อสร้างความสนใจให้ชายอีกคน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ฟังอะไรเลย
“เฮ้!” เขาเปล่งเสียงดังมากกว่าครั้งที่แล้วพร้อมกับดีดนิ้วเพื่อดึงสติของชายผู้นั้น
“อะ.... อืม!” ชายนามรูเพิร์ตตอบกลับ เหมือนเพิ่งคืนสติกลับมา
“คุณโอเคนะ” ชายคนนั้นถาม
“ใช่!” เขาตอบ “ขอโทษที เมื่อกี้เหมือนผมจะคิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่า?” รูเพิร์ตถามชายคนนั้นกลับไป
“เอิ่ม...คือผมจะบอกว่าเราก็หมดเวลาไปสำหรับสัปดาห์นี้แล้วนะ” ชายคนนั้นลุกขึ้นจากโซฟาที่ตนนั่งอยู่ ซึ่งเห็นกันโทนโท่ว่าพวกเขากำลังอยู่ในห้องนั่งเล่นในบ้านของใครสักคน
ชายคนนั้นเริ่มเดินไปที่เสาแขวนเสื้อบริเวณประตูซึ่งท่าทางจะเป็นประตูหน้าของบ้าน ทันใดนั้นเขาก็หยิบเสื้อคลุมกันหนาวสีน้ำตาล ผ้าค่อนข้างหนา เขาสวมมันทันทีก่อนที่จะหันไปหาชายนามรูเพิร์ต ซึ่งรูเพิร์ตก็ลุกจากเก้าอี้โซฟาเดี่ยวของตนก่อนที่จะมุ่งตรงไปหาชายผู้นั้น
“นี่!!” เขายื่นธนบัตรจำนวนหนึ่งให้กับชายที่กำลังสวมผ้าคลุม ซึ่งชายคนนั้นก็รับเงินมาก่อนที่จะเช็คดู เขานับธนบัตรที่ได้รับมาจนครบทุกใบ
“ครบอยู่แล้วล่ะน่า...” รูเพิร์ตกล่าวพร้อมกับหยิบบุหรี่มาจากกระเป๋ากางเกงขาสั้นตัวเอง
เมื่อนั้นชายสวมผ้าคลุมกันหนาวก็ถอยฉากไปเปิดประตูหน้าบ้าน เขาเตรียมที่จะออกไปโดยที่รู้เพิร์ต ผู้ซึ่งท่าทางจะเป็นเจ้าของบ้านจุดบุหรี่อยู่ เขาสูดอย่างเต็มปอด ก่อนที่จะพ่นควันออกมา ชายสวมเสื้อกันหนาวสีน้ำตาลกำลังจะรุดตัวออกจากบ้าน แต่เขาก็ชะงักตัวเสียก่อนและหันกลับไปหารูเพิร์ต
“จะว่าไปแล้ว สัปดาห์หน้าผมจำเป็นต้องเก็บค่าชั่วโมงกับคุณเพิ่มนะ” ชายคนนั้นด้วยความรุกรี้รุกรนเล็กน้อย “คือ... มันจำเป็นน่ะ คุณคงเข้าใจนะ” เขาพูดต่อ
“ได้ๆ” รูเพิร์ตตอบกลับโดยที่ยังคาบบุหรี่ไว้ในปาก “ขอให้คุณมาให้ทันเวลาก็พอคุณหมอ”
“ขอบคุณ” ชายผู้ที่ถูกเรียกว่าหมอตอบกลับ ก่อนที่เขาจะปิดประตูและจากไป
ไม่นานนักเสียงยานพาหนะสี่ล้อก็ดังขึ้นมา มันคือเสียงสตาร์ตเครื่องก่อนที่จะแล่นจากไปพร้อมกับเสียงที่ค่อยๆ จางหางไปช้าๆ เจ้าของบ้านผมสั้นสีน้ำตาลนั่งลงไปกับโซฟาเดี่ยวที่ตนนั่งเมื่อครู่อีกครั้ง สูดลมควันจากบุหรี่อีกครั้ง พ่นออกมาด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ ภายในห้องนั่งเล่นแห่งนี้ตกอยู่ในความเงียบงันในทันที สำหรับหลายๆ คน มันช่างเป็นอะไรที่แสนจะน่าเบื่อ แต่กับชายผู้นี้แล้ว เขาดูราวกับว่าเขาพึงพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ บุหรี่และเหล้าถูกๆ ราวกับอยู่สวรรค์บนดินในช่วงเวลาวันหยุดเลยไม่มีผิด กับช่วงเวลายามเย็นแบบนี้ ดูแล้วน่าจะสักบ่ายสี่โมงเย็นเห็นจะได้ หลังจากที่เขาสูบบุหรี่จนหมดมวนแล้ว เขาลุกขึ้นพร้อมกับหยิบขวดเหล้าที่วางบนโต๊ะข้างโซฟา เดินไปที่มุมห้องที่มีกระจก เขามองเห็นเพื่อนบ้านที่กำลังเล่นกับลูกน้อยของตนเองกลางสนามหลังบ้านอย่างสนุกสนาน กระดกเหล้าราวกับขี้เมา กลืนน้ำเมาลงไปเต็มอึก และยังคงจดจ้องอยู่กับชีวิตครอบครัวอีกหลังด้วยสายตาที่ดูเศร้าสร้อย เขาเหม่อลอย ตกอยู่ในภวังค์กับสิ่งที่ประจักษ์แก่เบื้องหน้า อย่างกับต้องการเป็นแบบเดียวกับสิ่งที่เพื่อนข้างบ้านกำลังกระทำอยู่ อยากสนุกกับครอบครัว...
กริ๊งงงง!!
เสียงกดกริ่งหน้าบ้านของเขาดังขึ้น ทำให้เจ้าของบ้านผมสีน้ำตาลหลุดจากภวังค์ เขาเหลือบหันไปมองที่ประตูหน้าบ้านทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่บ่งบอกถึงผู้มาเยือน เขายืนนิ่งสักพักก่อนเสียงกริ่งจะดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง เมื่อนั้นเขาจึงเริ่มเดินตรงไปที่ประตูหน้าบ้านโดยที่ตนยังถือขวดเหล้าขวดเดิมนั้นไว้ตลอด เขาแสดงอาการเหมือนกับไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังถือขวดเหล้าและกำลังจะเดินไปเปิดประตู นั่นเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีสำหรับแขกที่มาเยือนเมื่อได้เห็นสภาพของชายผู้นี้อย่างแน่นอน แต่มันสายเกินที่จะกล่าวเช่นนั้นแล้ว รูเพิร์ตเปิดประตูหน้าบ้าน เขาเห็นชายสองคนสวมเครื่องแต่งกายเต็มยศ สูทสีดำสนิท เชิ้ตสีขาวและไทน์สีกรมท่า แน่นอนว่าการมาเยือนอย่างกะทันหันของคนเหล่านี้ย่อมสร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าของบ้านผู้นี้อยู่แล้ว เขาดูช๊อคเล็กน้อย
“รูเพิร์ต บราวน์ ใช่คุณหรือเปล่าครับ?” ชายผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ชายผู้นั้นมีผมสีน้ำตาลอมดำ อายุดูยังเป็นแค่หนุ่มวัยกลางคน แลดูอายุน้อยกว่าเจ้าของบ้านด้วยซ้ำ ทรวดทรงมาตรฐานชายปกติ แต่สูงกว่าเจ้าของบ้านเล็กน้อย นั่นคือผู้ที่ซักถามนามของรูเพิร์ต ส่วนอีกคนที่ไม่มีผมนั้น แลดูอายุเทียบๆ กันก็จริง แต่เหมือนจะดูขึงขังมากกว่าอีกคน และดูเป็นคนที่จริงจังกับอะไรตลอดเลยยังไงยังงั้น คนๆ นี้ร่างกายกำยำดุดัน ถึงแม้ว่าจะสูงน้อยกว่าชายอีกคนก็ตามที
“ใช่” รูเพิร์ตตอบกลับ ''แล้วพวกคุณเป็นใครกัน?”
“ผมอดัม ลินด์เวิร์ช และคนที่อยู่ข้างหลังนี่คือธีโอดอร์ เวลสัน เรามาจากสหพันธ์โลก หน่วยงานรักษาความปลอดภัยระดับโลก” ชายผู้ซักถามนามของชายผมสีน้ำตาลเอ่ย ซึ่งอดัมคือนามของเขา
“ขอพวกเราเข้าไปคุยอะไรกับคุณข้างในจะได้หรือเปล่าครับ?”
“แน่นอน...” เจ้าของบ้านตอบกลับไป โดยที่ลังเลถึงสิ่งที่จะตอบกลับไปเสียตั้งนาน
เจ้าของบ้านต้อนรับเหล่าผู้มาเยือนเข้าสู่สถาที่ๆ ตนพักอาศัย ซึ่งเหล่าพนักงานของสหพันธ์โลกก็รับเชิญ พวกเขาเข้ามาก่อนที่รูเพิร์ตจะปิดประตูบ้าน เหล่าผู้มาเยือนเดินนำหน้าเจ้าของบ้านไป ก่อนที่รูเพิร์ตจะวางขวดเหล้าบนกล่องเก็บของขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเสาแขวนเสื้อผ้า และเปิดลิ้นชักของกล่องเก็บของออกซึ่งเป็นมีดสั้นโดยที่ไม่ให้เหล่าผู้มาเยือนรู้ตัว เขาเก็บมีดไว้ที่แขนเสื้อของตนก่อนที่จะเดินตามเหล่าพนักงานไปยังห้องนั่งเล่น
“เชิญทำตามสบายเลยครับ” รูเพิร์ตกล่าวให้กับผู้มาเยือน
“งั้นก็รบกวนด้วย” ชายนามอดัมกล่าวขานรับและนั่งลงโซฟาที่ใช้รับแขก โดยที่อีกคนกลับยืนนิ่ง สร้างความแปลกใจให้กับเจ้าของบ้าน
“เชิญนั่งครับ” รูเพิร์ตหันไปกล่าวแก่ชายร่างกำยำ
“อ่อ.. พวกเราไม่ได้มานานหรอกครับ และเขาก็ไม่ชอบที่จะนั่งบ้านของคนอื่นสักเท่าไหร่” อดัมตอบ
มันก็จริงอยู่ที่การให้ทำตัวตามสบายจะหมายถึงให้ทำอะไรก็ได้ที่ไม่เกินขอบเขต แต่การที่มีพนักงานที่เป็นหน่วยงานระดับโลกเข้ามาในบ้าน และอีกคนยืนอยู่ แถมยังเป็นคนที่ดูน่ากลัวแบบนี้ มันก็สร้างแรงกดดันให้กับเจ้าของบ้านเหมือนกัน ราวกับว่าคนนึงมาเพื่อเจรจา อีกคนมาเพื่อสังเกตการณ์ จับพิรุธ และจัดการในเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ แน่นอนว่ารูเพิร์ตรู้สึกไม่ดีแน่ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการออกมา
“โอ้! เพิ่งมีแขกมาที่บ้านหรอครับ? ถึงได้มีของขบเคี้ยววางบนโต๊ะไว้แบบนี้” อดัมกล่าวขึ้น ราวกับว่าตนกำลังพยายามสลายความตึงเครียดที่รูเพิร์ตมีอยู่
“อ่าใช่! พอดีผมเพิ่งมีนัดกับหมอจิตเวชของผมน่ะ... เอ่อ... คุณรู้นะ... ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเครียดเป็นอย่างมากน่ะ” รูเพิร์ตตอบ
“คือผมขอทานสักชิ้นจะได้ไหมครับ?”
“ตามสบายครับ”
อดัมไม่รอช้าหยิบขนมที่่อยู่ในถ้วยซึ่งตั้งไว้กลางโต๊ะทันที เขาหยิบเยลลี่สีแดงที่เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ ขึ้นมาใส่ปากตน ก่อนจะยกกระเป๋าถือของตนมาวางไว้บนโต๊ะเดียวกัน เขาปลดล๊อครหัสของกระเป๋า เปิดมันออกมา นั่นทำให้ชายผมสีน้ำตาลสงสัยว่าจุดประสงค์ของพนักงานเหล่านี้คืออะไร
“เอาล่ะ.. ผมขอเข้าเรื่องแล้วกันนะ” ชายผมสีดำผู้ดีเป็นคนสุภาพกล่าวขึ้น พร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
มันคือแฟ้มอะไรบางอย่าง ที่หน้าปกของมันถูกตราปั๊มไว้กลางแฟ้มด้วยคำว่า “ความลับสุดยอด” สีหน้าของทั้งอดัมและรูเพิร์ตเปลี่ยนไปในทันที พวกเขาดูตึงเครียด ทั้งห้องตกอยู่ในสภาพที่ต่างออกไปจากเมื่อครู่ ความกดดันเริ่มพุ่งเข้าหาเจ้าของบ้านในทันที
“จะให้ผมเรียกคุณว่ายังไงดีล่ะรูเพิร์ต.. ไม่สิ!” อดัมเอ่ยขึ้นก่อนจะชะงักตัว “คาร์ลอส ฟีนิกส์”
สีหน้าของชายที่ถูกเรียกว่า “คาร์ลอส ฟีนิกส์” เปลี่ยนไปเสียยิ่งกว่าเดิม เขาแสดงสีหน้าที่ดูไม่พอใจนักที่ถูกเรียกแบบนั้น
“คาร์ลอส ฟีนิกส์ไม่มีตัวตน...” เจ้าของบ้านผู้นั้นเอ่ย
“คุณโกหกคนอื่นได้แต่ไม่ใช่พวกเราคาร์ลอส” อดัมกล่าว “พวกเรารู้จักคุณดี สหพันธ์โลกรู้จักคุณดี คุณเคยเป็นคนของรัฐบาลและคุณก็ยังเป็นอยู่ ทุกคนต่างรู้จักคุณในนามว่าตำนาน ถึงแม้ว่าคุณรีไทร์ตัวเองไปได้หลายปีแล้วก็ดี หรือคุณอยากจะลืมมันไป แต่ชื่อของคุณก็ปรากฏในสหพันธ์อยู่ดี”
รูเพิร์ต ไม่สิ! คาร์ลอส... เขาเงียบไปสักพัก ตระหนักถึงสิ่งที่ชายผู้นั้นกล่าว ซึ่งมันก็จริงของเขา เขาเคยทำงานให้กับรัฐบาล ทำงานให้กับสหพันธ์ ชื่อของเขาไม่มีทางถูกลบออกไปอยู่แล้ว เว้นเสียแต่จะเป็นอะไรที่พวกเขารับไม่ได้
“แล้วพวกคุณต้องการอะไร? สหพันธ์ต้องการอะไร?”
“พวกเราต้องการตัวคุณ!” พนักงานผู้นั้นตอบ “เราต้องการให้คุณกลับไปทำงานให้กับสหพันธ์โลกอีกครั้ง”
“โลกสงบสุข... หน้าที่ของผมมันไม่จำเป็นสำหรับสหพันธ์”
“เฮ้อ...” อดัมถอนหายใจ “ผมรู้ว่าคุณไม่อยากกลับไปเพราะเรื่องสี่ปีก่อน...”
คำพูดนั้นทำให้คาร์ลอสชะงักไป
“ด้วยความสัตย์... ผมไม่อยากจะคุยเรื่องนี้” เขาเอ่ยขึ้น
“ไม่มีใครต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้หรอก” อดัมเรื่องแสดงอาการจริงจังมากกว่าครั้งก่อน “แต่สหพันธ์ต้องการให้คุณทำงานชิ้นนี้ให้กับเรา”
“ทำไม?”
“ไม่เห็นต้องถาม! เราต้องการมือดีที่สุดในการทำงานนี้.. และคุณก็คือมือดีที่สุดเพียงคนเดียวในโลกที่สหพันธ์รู้จัก” อดัมตอบ
“มันคืองานอะไร?”
อดัมหยิบแฟ้ม “ความลับสุดยอด” ที่วางอยู่บนโต๊ะมา เขาเปิดแฟ้มออกและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่ง มันเป็นแบบแปลนของยานพาหนะอะไรสักอย่าง ดูจากโครงสร้างที่ร่างเป็นรูปภาพแล้ว เหมือนมันจะเป็นเครื่องบินขนาดยักษ์ เครื่องบินขนส่ง
“คุณเคยเห็นนี่ไหม?” อดัมยื่นแบบแปลนนั้นให้แก่คาร์ลอส
“คาร์ลัมโบ ห้าสิบเจ็ด... นี่มันยานขนส่งยุทโธปกรณ์และอุปกรณ์ของซินเทค คอร์ปเปอร์เรชั่นนิ” คาร์ลอสตอบ
“ถูกต้อง! บริษัทที่คุณทำงานอยู่...”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับงานที่คุณว่าล่ะ”
“คืองี้... ซินเทค คอร์ปเปอร์เรชั่นคือบริษัทผลิตยุทโธปกรณ์ให้แก่กองทัพสหพันธ์โดยตรง...”
“ใช่! เรื่องนี้ผมรู้!” คาร์ลอสขัดขึ้นมา
“ซึ่งเราได้รับรายงานมาว่า เครื่องบินลำนี้หมายเลข เอสซี สี่สิบสอง ได้หายสาบสูญไป” อดัมพูดต่อ
“เดี๋ยว! ถ้ามันหายสาบสูญไป... แล้วทำไมถึงต้องใช้กำลังของผมเข้าช่วยล่ะ ผมเป็นทหาร ไม่ใช่นักแกะรอย”
“เพราะว่ามันไม่ได้แค่หายสาบสูญธรรมดาน่ะสิ!” อดัมกล่าวขึ้นมาก่อนจะหยุดชะงักตัวไปสักพัก
“เล่าต่อไป...” คาร์ลอสกล่าวพร้อมกับแสดงอาการอยากรู้อยากเห็น
อดัมยื่นมือไปที่แฟ้มอีกครั้งก่อนจะค้นหาอะไรสักอย่างข้างในนั้น และเขาก็หยิบกระดาษอีกแผ่นออกมา แต่กระดาษแผ่นนี้ดูแข็งกว่าแผ่นที่แล้วสักหน่อย แต่ไม่ถึงกับแข็งจนเป็นกระดาษที่ใช้ในงานจิตรกรรมสีน้ำ มันดูเหมือนเป็นกระดาษที่ใช้สำหรับปริ้นท์รูปภาพเสียมากกว่า เขายื่นมันให้กับเจ้าของบ้าน ซึ่งชายผมสีน้ำตาลก็รับกระดาษนั้นมา และจดจ้องดูถึงข้อมูลของภาพๆ นั้น
“นี่มัน... เหมือนกับ... สัญลักษณ์เลย” คาร์ลอสกล่าว
“ผมก็คิดแบบนั้น”
ภาพๆ นั้นคือร่างสิ้นชีพของชายผู้ที่น่าจะทำงานเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำเครื่องบินลำนั้น ที่เสื้อเกราะกันกระสุนของเขามีกระดาษที่ดูเหมือนนามบัตรพร้อมกับสัญลักษณ์กำปั้นมือที่ขาดเป็นสองส่วนจากท่อนแขน มันเป็นสีดำสนิท ซึ่งคาร์ลอสรูปๆ นั้นกลับไปให้กับพนักงานที่พูดคุยกับตน
“คุณกำลังจะบอกว่ามันถูกโจรกรรมหรืออะไรสักอย่างจากใครสักคนที่เชื่อมโยงกับสัญลักษณ์นี้”
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด” อดัมตอบ
“แล้วคุณไปได้ไอ้รูปนี้มาจากไหนกันเนี่ย?” คาร์ลอสถามพร้อมกับแสดงอาการที่ดูสงสัยอย่างสุดๆ
“คาร์ล.. ระบบของยานพาหนะลำนี้มันเชื่อมต่อกับทางซินเทคโดยตรงนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนนั้น เราก็สามารถเห็นมันได้ผ่านทางเครื่องรักษาความปลอดภัยนะ คุณทำงานบริษัทนี้... คุณน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอ?”
“ใช่! จริงด้วย... พอดีผมอยู่ฝ่ายวิจัยน่ะ ไม่ใช่ฝ่ายไอที บางทีเลยหลงๆ ลืมๆ เป็นธรรมดา” คาร์ลอสพยายามพูดแก้เขินให้ตัวเอง
“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น” อดัมแทรกขึ้นมา ''ประเด็นคืออุปกรณ์ที่อยู่บนนั้นตะหาก”
“เดี๋ยวนะ!... อย่าบอกนะว่ามันคือ”
“แฮมเมอร์ฟีสท์!” อดัมกล่าวด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด “คุณเป็นฝ่ายวิจัย.. แน่นอนว่าคุณย่อมรู้จักมัน”
“กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่เลยทีเดียว” คาร์ลอสกล่าว ''แต่ผมมีเรื่องสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง”
“ปกติแล้วการขนส่งสินค้าทั้งอุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ของซินเทค เราส่งสินค้าค่อนข้างถี่อยู่แล้ว หากมองว่านี่คือการโจมตีแบบเดาสุ่ม โอกาสที่จะได้แฮมเมอร์ฟีสท์ไปก็มี แต่ค่อนข้างน้อย เพราะงั้นผมจึงสงสัยว่าทำไมคนพวกนั้นถึงเลือกโจมตียานขนส่งได้ถูกต้องขนาดนั้น มันราวกับว่า...”
“มีหนอนบ่อนไส้ในซินเทคหรือสหพันธ์ ใช่! พวกเราก็คิดแบบเดียวกับคุณ” อดัมขานตอบ
“อีกทั้งจากในรูปแล้ว... การวางกระดาษพร้อมสัญลักษณ์เดียวกันที่ทุกๆ ศพ มันเหมือนกับเป็นการเย้ยหยั่นหรือท้าทายเลย” คาร์ลอสเสริม
“เราก็คิดแบบเดียวกับคุณ... เพราะงั้นมันจึงเป็นปัญหาที่ใหญ่มากยังไงล่ะ!”
“นั่นคือเหตุผลที่เราต้องการคุณ... คาร์ลอส!”
“ว้าว! ด้วยความสัตย์นะ... ผมคิดว่าพวกคุณไม่ต้องการผมหรอก!” คาร์ลอสกล่าวในเชิงลบเสียงั้น
“ขอพูดตรงๆ นะว่าผมไม่เคยคิดที่จะกลับไปเข้าวงการสงครามหรืออะไรแบบนั้นอีกหรอก! ถึงแม้ว่าการอยู่แบบนี้จะน่าเบื่อก็ตามที” เขาพูดต่อ
“เพราะงั้นคือไม่! คุณไปหาคนอื่นที่ดีกว่าผมดีกว่า”
อดัมได้รับฟังมันทุกถ้อยคำ เขาไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาเลย ที่แปลกกว่านั้นสำหรับคาร์ลอสคือแม้กระทั่งชายร่างยักษ์ผู้นั้นก็ดูจะไม่คุกคามเขาเลยสักนิด นอกจากจะยืนอยู่เฉยๆ ราวกับเป็นแค่หุ่นขี้ผึ้งเท่านั้น ไม่นานนักพนักงานผมสีดำก็ลุกขึ้นมาโซฟาที่เขานั่ง เขาเดินไปรอบๆ ห้องจนไปเห็นตู้แก้วที่โชว์สิ่งของประดับบ้าน มันมีทั้งจานราคาแพง รูปปั้น บลาๆ จนจู่ๆ ชายสวมสูทผู้นี้ก็เกิดสะดุดตากับเครื่องประดับบ้านชึ้นนึงเข้าอย่างจัง มันเป็นปืนสั้นกระบอกหนึ่งที่สลักคำๆ หนึ่งไว้ว่า “กล่าวทักทายกับเพื่อนตัวเล็กของฉันสิ!” ซึ่งมันคือคำพูดของโทนี่ มอนทาน่าในหนังเรื่อง “สการ์เฟส” เมื่อปีแปดเจ็ด
“ปืนหยุดโลดโผน... สนิมก็เกาะกินเช่นเดียวกับผู้ใช้งาน” อดัมกล่าว “เหมือนกับคุณที่กลายเป็นขี้เมาอ้วนลงพุง”
คาร์ลอสยักไหล่ราวกับยอมรับมันได้ยังไงยังงั้น
“ฟังดูเหมือนจอมยุทธ์เลยนิ'' คาร์ลอสเอ่ย
“ผมก็ไม่แน่ใจ...” อดัมกล่าว “แต่ผมรู้ว่าคุณดีกว่านั้น”
“หรือไม่ก็ถ้าคุณอยากจะกินเงินเกษียรตัวเอง... ทำตัวเป็นพวกไร้ประโยชน์ไปวันๆ สหพันธ์ก็จะไม่ว่าอะไรในตัวคุณ พวกเราไปหาคนอื่นก็ได้”
“แต่โดยส่วนตัวแล้ว... ผมเชื่อว่าคุณจะตอบตกลง!” อดัมกล่าวโดยใช้วิจารณญาณตัวเอง
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เดินไปหยิบกระเป๋าตนโดยที่ยังไม่เก็บแฟ้มสำคัญนั่นเข้ากระเป๋าเลยด้วยซ้ำ หลังจากนั้นทั้งอดัมและธีโอดอร์ก็เริ่มเดินไปยังประตูหน้าบ้าน ซึ่งคำพูดที่อดัมกล่าวแล้ว นอกจากประโยคสุดท้าย สำหรับลูกผู้ชาย มันย่อมสร้างความไม่พอใจแก่ผู้ถูกกล่าวอยู่แล้ว และนั่นก็ทำให้ชายผมสีน้ำตาลไม่ชอบจริงๆ
“เฮ้! แล้วแฟ้มนี่ล่ะ!?” คาร์ลอสตะโกนถามโดยที่ตัวเองยังนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวตัวเดิม
เมื่อนั้นอดัมที่ยืนอยู่หน้าประตูจึงหันกลับมา
“ผมว่าคุณเก็บไว้ดูแล้วกัน เผื่อคุณจะเปลี่ยนใจ” อดัมกล่าวขึ้นพร้อมกับเปิดประตูบ้าน “ยังไงซะคุณก็เคยเป็นคนของรัฐบาล มันไม่มีปัญหาที่ตำนานนักรบจะดูแฟ้มข้อมูลลับสุดยอดนั่นหรอก”
“แล้วก็ขอบคุณสำหรับเยลลี่ด้วยล่ะกัน!” เขาตะโกนก่อนที่จะปิดประตูบ้าน
ภายในบ้านหลังนี้เหลือเพียงแค่เจ้าของบ้านเหลืออยู่เท่านั้น นอกจากเสียงรถของแขกผู้มาเยือนที่ถูกสตาร์ดแล้ว มันก็ไม่มีเสียงอื่นใดที่ทำให้ห้องนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเลย เจ้าของบ้านผมสีน้ำตาลผู้นี้ได้แต่มองแฟ้มที่พนักงานสองคนนั้นคิดว่ามันเป็นความลับสุดยอด เพียงแค่มองมัน... อย่าไม่ละสายตา!