เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่บนพื้นที่อันรกร้างว่างเปล่าซึ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ร่างของเขาสั่นเทานิดๆ สายตาลอกแลกซ้ายขวาเหมือนกำลังหวาดระแวงอะไรบางอย่าง
ในมือของเขามีดาบอยู่เล่มหนึ่ง ดูท่าทางสถานที่นี้จะไม่ใช่ที่ปลอดภัย เขาถึงต้องมีอาวุธติดมือแบบนี้
ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าที่มีมากกว่าหนึ่งคนดังแว่วมาแต่ไกล เด็กหนุ่มหันไปทางเสียงนั้น เสียงเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกับเจ้าของฝีเท้าที่เริ่มปรากฏตัวมาให้เห็น
เป็นเหล่าชายฉกรรจ์ที่มีอาวุธครบมือวิ่งกรูเข้ามาหาเด็กหนุ่ม ดูยังไงก็ไม่น่าเป็นมิตรแน่นอน ถึงเด็กหนุ่มจะไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนั้นจะต้องเข้ามาทำร้าย แต่เขาก็ตั้งดาบของตัวเองขึ้นมา
ทว่าแค่ตัวเขาเพียงคนเดียวกับดาบหนึ่งเล่มจะต่อกรกับเหล่าชายฉกรรจ์จำนวนมากนี้ได้อย่างไรกัน?
“ยะ ย้ากกกก!!”
เด็กหนุ่มกู่ร้องราวกับเป็นการเรียกขวัญกำลังใจให้กับตัวเอง ถ้าฟังดูดีๆเสียงนั้นแฝงไปด้วยความสั่นเครือเล็กน้อย ก่อนที่จะแกว่งดาบใส่เหล่าชายฉกรรจ์ที่รุกล้ำเข้ามาใกล้
หนึ่งในนั้นถูกคมดาบเฉือนเข้าที่ร่างจนเลือดพุ่งกระฉูดออกมาแล้วล้มลงไปทันที ก่อนที่อีกสองคนที่ตามมาจะมีชะตากรรมเดียวกัน
จากนั้นเขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ นั่นเหมือนเป็นสัญญาณเตือนบางอย่าง เมื่อหันไปข้างหลังก็พบชายฉกรรจ์หนึ่งคนที่ไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ แกว่งดาบเข้ามาหาเขา เด็กหนุ่มจัดการใช้ดาบของตัวเองปัดดาบของฝ่ายตรงข้ามจนหลุดมือ แล้วจัดการสวนกลับด้วยการแทงเข้าที่หน้าอก
สีหน้าของเด็กหนุ่มดูแปลกใจ เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองต่อสู้ได้ถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จากนั้นตัวเขาพร้อมดาบเปื้อนเลือดจึงตัดสินใจล่าถอย ระหว่างนั้นก็สังหารชายฉกรรจ์ไปได้หนึ่งคน และในขณะที่กำลังวิ่งหนีก็จัดการได้อีกหนึ่งคน
เขาวิ่งไปตามพื้นที่รกร้างที่ไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดตรงไหน จนดูเหมือนตัวเองวิ่งอยู่กับที่ กลายเป็นการเสียพลังงานไปอย่างไม่จำเป็น เด็กหนุ่มจึงหยุด และสังหารชายฉกรรจ์ที่อยู่ใกล้ตัวไปได้อีกหนึ่ง
มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองโดนล้อมไว้เสียแล้ว
เหงื่อกาฬเริ่มผุดขึ้นมาตามใบหน้า มือที่จับด้ามดาบเริ่มชื้น หรือว่าเขากำลังจะถูกฆ่าตาย!?
จากนั้นเหล่าชายฉกรรจ์ที่ล้อมอยู่ก็ต่างพุ่งเข้ามาหาเด็กหนุ่มในทีเดียว
ตอนนั้นเด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังสังหารชายฉกรรจ์ที่พุ่งเข้ามาจนนับศพแทบไม่ทัน ว่ากันว่าเวลาคนเราจนตรอกจะสู้ไม่ถอย บางทีเด็กหนุ่มอาจกำลังตกอยู่ในสภาพนั้น
เขาสังหารฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าเลือด บนพื้นเต็มไปด้วยเลือดและศพ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งฆ่าไปเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมาเป็นทวีคูณ เขาเริ่มรู้สึกอ่อนล้า แรงที่จะแกว่งดาบเริ่มไม่มีเหลือแล้ว
สุดท้าย น้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ สภาพร่างกายของเด็กหนุ่มเองก็คงทนรับไม่ไหวอีกต่อไป เขาเริ่มถูกคมดาบนับสิบทั้งแทงทั้งฟันจนเป็นแผลเหวอะ ขาทั้งสองข้างไม่สามารถยืนหยัดอยู่บนพื้นได้อีก
สายตาของเด็กหนุ่มเริ่มพร่ามัว เขามองเห็นเหล่าชายฉกรรจ์ที่ยังคงรุมทึ้งร่างกายอันแหลกสลายของเขาอย่างไร้ความปราณี ในใจก็แอบคิดว่าตัวเองไปทำอะไรให้พวกเขาโกรธแค้นนักหนาถึงต้องทำกันขนาดนี้
แล้วเด็กหนุ่มก็ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป
----------------------------------------------------
“กำจัดดัมมี่ได้ทั้งหมดยี่สิบเอ็ดตัว”
สาวสวยผมสีบลอนด์ที่นั่งอยู่ด้านหลังเครื่องคอมพิวเตอร์พูดขึ้น สีหน้าของเธอดูแปลกใจ
“เอ่อ... ครูต้องขอพูดตามตรงเลยนะ ตั้งแต่ที่ครูคุมสอบมาเนี่ยมีเธอเป็นคนแรกนี่แหละที่ได้คะแนนต่ำขนาดนี้”
เธอพูดกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขากำลังถอดอุปกรณ์อะไรบางอย่างออกจากศีรษะ และนั่งอยู่ด้านหลังเครื่องคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกัน
“ถ้าว่ากันตามทฤษฎีมันก็ผ่านเกณฑ์อยู่ เพราะขั้นต่ำมันอยู่ที่ยี่สิบคะแนน เธอนี่ผ่านมาคะแนนนึงแบบเฉียดฉิวเลยนะเนี่ย”
“คะ ครับ”
เด็กหนุ่มตอบรับคำพูดที่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นคำชมดีหรือเปล่า
“ตัวครูก็ต้องประเมินนักเรียนอย่างยุติธรรมล่ะนะ แต่ติดที่ว่าถ้าเธอทำคะแนนได้ต่ำขนาดนี้ ครูกลัวว่าถ้าให้เข้าเรียนแล้วเธออาจจะเรียนไม่ไหว ดังนั้นขอให้ลองคิดดูดีๆนะ... ครูจะให้โอกาสเธอตัดสินใจ ว่าจะเข้าหรือไม่เข้าเรียนที่นี่”
“เข้าครับ”
เขาตอบอย่างไม่ลังเล
“งั้นหรอ? โอเค คะแนนแบบนี้ก็คงได้เป็นแค่พอนล่ะนะ อีกอย่างครูขอให้คำแนะนำอย่างนึง เธอน่ะต้องขยันกว่าคนอื่นๆหลายเท่าเลยนะรู้ไหม? และบางทีเธออาจจะต้องทนถูกมองในฐานะนักเรียนที่สอบเข้ามาด้วยคะแนนต่ำที่สุดในชั้นปี ซึ่งเธอน่ะต้องอดทนและผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นไปให้ได้ ถ้างั้น... ครูจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เธอมั่นใจหรือเปล่าว่าจะทำได้?”
“ครับ...”
“ให้มันหนักแน่นหน่อยสิ!”
“คะ ครับ!”
“ดีมาก”
อาจารย์สาวยิ้มให้เขา
“เธอชื่ออะไร?”
“อะ เอ่อ คันซากิ อาสึนะ ครับ”
“คันซากิคุงสินะ”
เธอทวนชื่อของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะใช้มือสัมผัสที่บ่าของเขาเบาๆ
“ยินดีต้อนรับสู่มิไรเคียว”