Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Checkmate : Turn 8

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
ฟ้ามืด
Superstar Grade B
Superstar Grade B
ฟ้ามืด


จำนวนข้อความ : 504
Join date : 30/04/2013
Age : 31
ที่อยู่ : μ's

Checkmate : Turn 8 Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Checkmate : Turn 8   Checkmate : Turn 8 EmptyThu Jan 26, 2017 9:29 pm

‘ฉันจะอธิบายแผนการให้ฟังอีกครั้งนะ จากข้อมูล หลังเลิกเรียนมักจะพบเห็นฟุจิซากิอยู่บริเวณสวนของโรงเรียน สิ่งที่นายต้องทำคือ ตามหาตัวฟุจิซากิให้เจอ แล้วใช้วิธีอะไรก็ได้ที่ทำให้นายได้ประลองกับเจ้าหมอนั่น’
“รับทราบครับประธาน”
‘แต่อย่าใช้วิธีคาบขนมปังแล้วแกล้งวิ่งไปชนที่หัวมุมทางเดินแล้วกัน’
“คุณอายูมิ นี่ไม่ใช่การ์ตูนโชโจนะครับ”
‘เลิกคุยเล่นกันได้แล้ว ตั้งสมาธิกับแผนการให้ดี หากพลาดขึ้นมาพวกเราอาจจะไม่มีโอกาสที่จะได้จับกุมตัวฟุจิซากิอีกครั้งก็ได้ ถ้างั้นก็เลิกกันแค่นี้’

อาสึนะหยุดการติดต่อกับสภานักเรียนผ่านทางวิทยุสื่อสารขนาดเล็กที่ติดบริเวณใบหู

ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่วิทยุสื่อสารธรรมดา

มันเป็นอุปกรณ์ที่ถูกคิดค้นโดยหนึ่งในสมาชิกสภานักเรียน ทายาทของบริษัทอากิยามะกรุ๊ป อากิยามะ คิโยชิ นั่นเอง

มันคือผลงานชิ้นแรกที่เขามีส่วนสำคัญในการพัฒนามันขึ้นมา ซึ่งเขาเรียกมันว่าเป็นอุปกรณ์ที่ ‘ล้ำยุค’

เพราะมันคือวิทยุสื่อสารขนาดเล็กตัวต้นแบบตัวแรก ที่ทำให้ผู้เล่นในเกม Checkmate สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลที่อยู่ภายนอกได้

แต่ทว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้ก็ไม่ผ่านการอนุมัติให้ถูกนำมาใช้จริง เนื่องจากถูกมองว่าไร้ประโยชน์ แม้ฟังจากคอนเซปท์แล้วดูเหมือนจะดี แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆแล้ว มีผู้เล่นน้อยคนนักที่มีความจำเป็นจะต้องติดต่อกับบุคคลภายนอกในระหว่างที่เล่นอยู่ในเกม

เนื่องจากมันเป็นผลงานชิ้นแรกของคิโยชิ เขาจึงสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ไม่คิดเลยว่าทางสภานักเรียน จะได้ใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ไร้ประโยชน์ชิ้นนี้ในแผนการจับกุมตัว ฟุจิซากิ ฮายาโตะ

โดยแผนการนั้นคือ การให้อาสึนะเป็นเหยื่อล่อ และประลองกับทางฮายาโตะ เพื่อสืบหาวิธีการก่อเหตุของเขา ซึ่งแผนการนี้ถือว่ามีความเสี่ยง แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถหาหลักฐานมามัดตัวฮายาโตะได้

ด้วยเหตุนั้น อาสึนะจึงมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้เพื่อรายงานสถานการณ์ให้กับทางสภานักเรียนเป็นระยะๆ หากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นทางสภานักเรียนจะได้สามารถเข้าไปช่วยหรือจับกุมตัวฮายาโตะได้อย่างทันท่วงที

หากคดีนี้จบลงด้วยดีล่ะก็ คิโยชิคงสามารถยืดอกได้อย่างภาคภูมิใจ ที่อุปกรณ์ของเขามีส่วนช่วยเหลือให้ภารกิจของสภานักเรียนบรรลุผล และบางทีก็อาจจะได้รับการอนุมัติให้นำมาใช้จริงๆเลยก็ได้

อาสึนะมุ่งหน้าไปยังสวนของโรงเรียนมิไรเคียวตามข้อมูลของประธานยูกิ สวนแห่งนี้มีลักษณะเกือบใกล้เคียงกับสวนสาธารณะที่พบเห็นตามเมืองทั่วไปเพียงแต่มีพื้นที่น้อยกว่า แต่ก็มีต้นไม้น้อยใหญ่เขียวขจีดูสบายตาและร่มรื่น ซึ่งน่าเดินเล่นไม่แพ้สวนสาธารณะในเมืองเลยทีเดียว

ปกติแล้วที่สวนแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ยอดนิยมของนักเรียนในโรงเรียนนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงพักกลางวันที่จะดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่หลีกเลี่ยงความแออัดในโรงอาหารและนำข้าวกล่องมาทานกันที่นี่แทน

หรือไม่ก็ถูกใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อยในคาบเรียนมา

แต่ในช่วงเวลานี้นักเรียนส่วนมากจะเดินทางกลับบ้านกันหมดแล้ว บรรยากาศในสวนจึงค่อนข้างเงียบ ได้ยินเพียงเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันไปมายามลมพัด เสียงนกร้อง และเสียงฝีเท้าของตัวอาสึนะเองเท่านั้น

ในใจอาสึนะก็ไม่มั่นใจนักว่าตัวเองจะได้เจอกับฮายาโตะ เพราะดูไร้วี่แววว่าจะมีใครอยู่ที่นี่โดยสิ้นเชิง แต่ในเมื่อข้อมูลของประธานยูกิว่ามาเช่นนั้น เขาจึงจำเป็นต้องเดินตามหาเป้าหมายต่อไป

แต่เพราะสวนก็ไม่ได้กว้างมาก ใช้เวลาไม่นานก็สามารถเดินจนทั่วได้แล้ว ตอนนี้จึงเหลือแค่พื้นที่ที่เป็นสวนดอกไม้ซึ่งอาสึนะยังไม่ได้เดินเข้าไป

และหากข้อมูลของประธานนั้นถูกต้อง เขาควรจะพบกับฮายาโตะที่นี่ เพราะมันเป็นพื้นที่สุดท้ายแล้ว

อาสึนะได้กลิ่นหอมจางๆของดอกไม้ลอยมาเมื่อเหยียบเข้าไปในโซนของสวนดอกไม้ มีการปูทางเดินหินอย่างเป็นระเบียบให้ผู้มาเยือนได้เดินอย่างสะดวก รวมทั้งมีม้านั่งสำหรับให้นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศโดยรอบอย่างเต็มที่

แม้อาสึนะจะไม่ใช่พวกที่ชื่นชอบการเดินชมนกชมไม้ แต่ก็ยอมรับว่าโซนนี้ทำให้เขามีความรู้สึกสบายใจ อย่างบอกไม่ถูก

เพราะโดนมนต์สะกดจากกลิ่นหอมๆของดอกไม้หรืออะไรก็มิอาจทราบได้ ทำให้อาสึนะไม่ทันสังเกตว่ามีบุคคลนอกเหนือจากเขาอีกคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังอยู่ทางด้านข้างของตัวเอง

เมื่ออาสึนะหันไปเห็นคนๆนั้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อย เหมือนตนเองหลุดจากภวังค์แห่งความผ่อนคลาย หรือไม่ก็ตกใจที่จู่ๆก็มีคนยืนอยู่ใกล้ๆ เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยต่อบุคคลตรงหน้า และรู้สึกเหมือนเคยเห็นบุคคลนี้ที่ไหนมาก่อน

เด็กหนุ่มรูปร่างไม่สูงมากนักในชุดนักเรียนมิไรเคียว ยืนหันหลังให้กับอาสึนะ เส้นผมสีเขียวยาวประมาณต้นคอปลิวไสวราวกับต้นหญ้า ดูกลมกลืนกับพฤกษาที่อยู่รอบกาย

สงสัยคงเพราะทางนั้นก็ไม่รู้เช่นกันว่ามีอาสึนะยืนอยู่ข้างหลัง เด็กหนุ่มคนนั้นจึงไม่หันมา เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อาสึนะเพิ่งมานึกออกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านั้นคือใคร

บุคคลที่เขาเห็นในภาพโฮโลแกรมที่ห้องสภานักเรียน ผู้ต้องสงสัยคดีชิงเข็มกลัด ฟุจิซากิ ฮายาโตะ

ข้อมูลจากประธานยูกินั้นไม่ผิดพลาด เขาอยู่ที่นี่จริงๆ

อาสึนะจึงอ้าปากเพื่อที่จะเอ่ยชื่อเขา แต่ลืมไปว่าต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักฮายาโตะเพื่อความแนบเนียนของแผนการ แต่จะให้หยุดปากก็ไม่ทันแล้วจึงมีเสียงเล็ดรอดออกไปเล็กน้อยเหมือนเสียงอุทาน ซึ่งท่าทางเสียงนั้นจะดังพอจนทำให้เด็กหนุ่มผู้ต้องสงสัยตรงหน้าได้ยิน

ฮายาโตะจึงค่อยๆหันมาตามเสียงอย่างช้าๆ อาสึนะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกดดันเพราะไม่อาจจะรู้ว่าตัวเองจะได้เจอกับอะไร

แต่ภาพที่อาสึนะเห็นหลังจากนั้นทำให้ความรู้สึกกดดันแทบจะหายไปเลย

เพราะฮายาโตะแสดงปฏิกิริยาตอบกลับเมื่อหันมาเห็นอาสึนะด้วยรอยยิ้มอันสดใส จนแทบจะมองเห็นเอฟเฟคของดอกไม้กระจายออกมาจากใบหน้าเหมือนในการ์ตูน

ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่เห็นลักษณะของคนที่ทำเรื่องไม่ดีจนต้องโดนพักการเรียนเลยแม้แต่น้อย

“สวัสดีครับ มาเดินชมสวนเหมือนกันหรอครับ?”
“เอ๊ะ? อ๊ะ เอ่อ ครับ”

คงเพราะความตกใจที่จู่ๆก็โดนถามอย่างกะทันหัน อาสึนะจึงตอบในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงออกไป นั่นทำให้ฮายาโตะฉีกยิ้มกว้างออกไปอีก

“จริงหรอครับ? ผมนึกว่ามีแค่ผมคนเดียวซะอีกที่ชอบมาเดินชมสวนแบบนี้... อ๊ะ นี่คุณควีนสเลเยอร์ใช่ไหมครับเนี่ย?”

ฮายาโตะมองหน้าอาสึนะสักพัก แล้วเรียกเขาด้วยฉายาที่ถูกตั้งขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการโดยผู้ใช้งานเว็บไซต์ของโรงเรียนมิไรเคียว หลังจากที่เขาสามารถเอาชนะประธานยูกิมาได้

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกอาสึนะด้วยฉายานี้แบบต่อหน้า

“ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคุณในที่แบบนี้ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบครับ ผมฟุจิซากิ ฮายาโตะ ตำแหน่งบิชอป ปีสองครับ”

ทางฮายาโตะแนะนำตัวพลางยื่นมือออกมาด้วยท่าทีเป็นมิตร แม้ว่าอาสึนะจะรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร แต่อาสึนะก็จับมือทักทายกลับไปเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

“เอ่อ... คันซากิ อาสึนะครับ”
“ไม่ต้องแนะนำตัวก็ได้ครับ ผมรู้จักคุณอยู่แล้วล่ะ การประลองระหว่างคุณกับประธานโยชิดะยอดเยี่ยมมาก ผมเห็นแล้วอยากจะลองประลองกับคุณดูสักครั้งจริงๆ”
“อะ เอ่อ ถ้างั้น ผมเองก็พอมีเวลาว่าง สนใจจะมาประลองกับผมไหมครับ?”

อาสึนะไม่มีเวลาให้คิดมากมายนัก เขาถูกส่งมาเพื่อหาทางประลองกับฮายาโตะ เมื่อเล็งเห็นโอกาสแล้ว เขาจึงไม่รอช้าเอ่ยปากถามไปแบบนั้นทันที

“แน่นอนครับ หากคุณควีนสเลเยอร์เอ่ยปากมาถึงขนาดนี้ ผมไม่ปฏิเสธแน่นอน”

หลังจากเอ่ยปากถามไปแบบกล้าๆกลัวๆแล้วได้คำตอบเช่นนั้น อาสึนะก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เพราะตอนแรกเขาคิดว่าถามไปตรงๆแบบนั้นมันอาจจะดูผิดสังเกต แต่ทุกอย่างก็ยังดูราบรื่นดี

“ถ้างั้นก็-”
“รู้ความหมายของดอกกุหลาบสีแดงไหมครับ?”

จู่ๆฮายาโตะก็เปลี่ยนเรื่องคุย

แล้วหันกลับไปยังฝั่งที่เป็นสวนดอกไม้ที่เขามองอยู่ตอนแรก และหันมองไปที่โซนของดอกกุหลาบสีแดงสด

“เอ๊ะ? เอ่อ... ความรักหรือเปล่าครับ?”
“ใช่ครับ ถูกต้องเลย”

อาสึนะปรับอารมณ์แทบไม่ทัน แต่ก็ยังสามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง ฮายาโตะจึงยิ้มนิดๆ แล้วหันมองไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโซนของดอกคาร์เนชั่น ก่อนที่จะเอ่ยถามอาสึนะขึ้นมาอีกครั้ง

“แล้วรู้ความหมายของดอกคาร์เนชั่นสีเหลืองหรือเปล่าครับ?”
“เอ่อ... ไม่รู้สิครับ”

คราวนี้ฮายาโตะตอบกลับด้วยรอยยิ้มมุมปากที่ให้ความรู้สึกประหลาดและคลุมเครือ

แต่อาสึนะไม่ทันได้สังเกตเห็น

“งั้นก็ดีแล้วล่ะครับ”

ฮายาโตะพูดตัดบทไปแค่นั้น โดยไม่บอกคำตอบของคำถามที่เขาเอ่ยถามไป พลางเดินเข้าไปใกล้โซนของดอกคาร์เนชั่นหลากหลายสี แล้วเด็ดดอกที่เป็นสีเหลืองขึ้นมา จากนั้นจึงยื่นให้กับอาสึนะ

เพราะจู่ๆมายื่นดอกไม้ให้แบบนี้ แถมคนที่มาให้ดอกไม้ดันเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก อาสึนะจึงอึ้งไปเล็กน้อย

“มันเป็นธรรมเนียมของตัวผมน่ะครับ ว่าก่อนจะประลองกับใคร ผมจะมอบดอกไม้ที่เหมาะสมให้กับคนๆนั้น”

พอเห็นอาสึนะอึ้งไปเลยแบบนั้น ฮายาโตะเลยบอกจุดประสงค์ในการมอบดอกไม้ให้ฟัง ว่าไม่ได้มีความหมายอะไรแปลกๆอย่างที่อาสึนะอาจจะเข้าใจผิด

“ผมเป็นคนชอบธรรมชาติน่ะ เลยอาจจะมีธรรมเนียมอะไรแปลกๆก็อย่าถือสากันเลยนะครับ”

แม้ทางอาสึนะจะยังแปลกใจถึงธรรมเนียมแปลกๆของฮายาโตะ เพราะเขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน แต่อาสึนะก็รับดอกคาร์เนชั่นสีเหลืองดอกนั้นมาจากเขาไปตามมารยาท

“จะดีหรอครับ เด็ดดอกไม้จากสวนของโรงเรียนแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็ไม่มีใครเห็นสักหน่อยนี่”
“อ่ะ ฮ่ะๆ”

ฮายาโตะตอบพร้อมชูนิ้วโป้งขึ้นมาแบบกวนๆ อาสึนะจึงหัวเราะแห้งๆกลับไป

(อะไรกัน ก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรนี่นา)

ณ เวลานั้น อาสึนะคิดเช่นนั้น

----------------------------------------------------

“ผมกับฟุจิซากิประลองกันที่สนามฝึกซ้อมที่แปดนะครับประธาน”
‘รับทราบ อย่าลืมรายงานสถานการณ์อีกครั้งหลังจากเข้าไปอยู่ในสมรภูมิรบแล้วด้วยล่ะ’

อาสึนะแอบแจ้งกับทางสภานักเรียนในขณะที่อยู่ด้านหน้าของสนามฝึกซ้อมที่แปดโดยไม่ให้ฮายาโตะรู้ เพราะเขาบอกให้ทางนั้นล่วงหน้าเข้าไปข้างในสนามก่อน

หลังจากอาสึนะกับฮายาโตะตกลงกันแล้ว ก็สรุปได้ว่าจะเลือกสนามแห่งนี้เป็นที่ประลอง เพราะเป็นสนามอยู่ใกล้กับโซนของสวนที่พวกเขาอยู่ตอนแรกมากที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาก

เมื่อรายงานสถานการณ์กับทางสภานักเรียนเสร็จ อาสึนะก็หลับตาแล้วถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะสูดลมหายใจกลับเข้าไปจนเต็มความจุของปอด

จากนั้นเขาจึงค่อยๆก้าวเข้าไปข้างในสนาม ซึ่งมีฮายาโตะยืนอยู่ข้างในก่อนแล้ว

อาสึนะจึงไม่รอช้า จัดการเลือกที่นั่งของตัวเอง แล้วคว้าอุปกรณ์ VR ขึ้นมาทันที

“คุณคันซากิดูรีบร้อนจังเลยนะครับ”

อาสึนะยิ้มเจื่อนกลับไป เมื่อฮายาโตะที่เข้ามาในสนามตั้งนานแล้วแต่ยังไม่ทันได้หาที่นั่งเอ่ยขึ้น

เพราะไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองไม่มีเวลามาทำเรื่องอื่นนอกเหนือจากภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากสภานักเรียน จึงได้รีบร้อนไปแบบนั้น

ทั้งสองเริ่มสวมอุปกรณ์ VR ก่อนที่จะถูกดึงเข้าไปในโลกเสมือนจริง

“ในฐานะที่คุณคันซากิเป็นฝ่ายชวนผม ถ้างั้นผมขออนุญาตเป็นคนเลือกสมรภูมิรบนะครับ”

ทันทีที่เข้ามาข้างในโลกเสมือนจริงแล้ว ฮายาโตะที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มก็กล่าวขึ้น จากนั้นจึงเลือกสมรภูมิรบที่เป็นเหมือนรูปของปราสาทในยุคกลาง

(ปราสาทมืดงั้นหรอ?)

อาสึนะอ่านชื่อสมรภูมิที่ถูกระบุไว้ในใจ ก่อนที่สภาพแวดล้อมโดยรอบจะค่อยๆมีการเปลี่ยนแปลง

ภาพของฮายาโตะที่ยืนประจันหน้ากับเขาได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยกำแพงอิฐสีเทาหม่น เมื่อหันไปมองรอบๆก็พบว่าสถานที่ๆอาสึนะอยู่ตอนนี้ได้กลายเป็นห้องๆหนึ่งในปราสาทไปแล้ว พร้อมกับมีเสียงพูดเตือนให้เตรียมพร้อมจากระบบเกม

ดูท่าทางสมรภูมินี้จะไม่ใช่สมรภูมิแบบปะทะกันซึ่งหน้าอย่างที่อาสึนะเคยประลองมา แต่เหมือนจะเป็นสมรภูมิในสไตล์ของเกมเล่นซ่อนหาที่แต่ละฝ่ายจะต้องออกตามหาศัตรูด้วยตัวเองมากกว่า และน่าจะใช้เวลาในการประลองนานกว่าด้วยเช่นกัน

“จงออกมา คุโรเท็ตสึ

เมื่อจบสัญญาณการเริ่มประลองจากระบบแล้ว อาสึนะก็เรียกดาบคาตานะสีดำออกมาด้วยท่าเสมือนดึงดาบออกจากฝัก

จากตอนที่ประลองกับประธานยูกิ อาสึนะเคยแสดงความซุ่มซ่ามในการเรียกอาวุธของตัวเองจนถูกผู้ชมหัวเราะเยาะมาแล้ว เขาเลยพยายามคิดท่าเรียกอาวุธอยู่นาน จนสุดท้ายก็มาจบที่ท่าดึงดาบออกจากฝักแบบซามูไรญี่ปุ่น

แน่นอนว่ามันเป็นท่าที่แสนธรรมดาและอาจจะดูไม่เท่มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าท่าทำดาบหล่นแล้วก้มเก็บแบบตอนนั้นเป็นไหนๆ

“ผมเข้ามาในสมรภูมิรบแล้วนะครับประธาน”
‘รับทราบ’

อาสึนะไม่ลืมที่จะติดต่อไปทางสภานักเรียน เสียงของประธานยูกิที่ตอบมาบ่งบอกว่าอุปกรณ์สื่อสารผลงานของคิโยชินั้นสามารถใช้งานได้จริง

‘หากเกิดอะไรขึ้นรีบติดต่อกลับมาเลยนะ’
“ครับประธาน”
‘ถ้างั้น-’
“เอ่อ...”
‘ว่าไง?’

(ฟุจิซากิก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนี่ครับ)

อาสึนะตัดสินใจดูดประโยคนั้นกลับเข้าไปในกล่องเสียงในวินาทีสุดท้าย

“เปล่าครับ ผมหมายถึง ถ้ามีอะไรผมจะรีบรายงานกลับไปครับ”
‘โอเค ขอให้โชคดี เลิกกันแค่นี้’

เมื่อเลิกติดต่อกับทางสภานักเรียนแล้ว อาสึนะก็ถอนหายใจ

ไม่ว่าสิ่งที่อาสึนะคิดจะสวนทางกับข้อมูลที่ได้รับมายังไง เขาก็ต้องดำเนินภารกิจนี้ให้สำเร็จ ไม่มีเวลาที่จะมาลังเลอะไรอีกแล้ว

เขากำดาบคาตานะของตัวเองเอาไว้แน่น แล้วก็สูดหายใจลึกกลับเข้าไปอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวออกจากห้องที่ตัวเองอยู่ออกไป

และภารกิจค้นหาหลักฐานในการมัดตัว ฟุจิซากิ ฮายาโตะ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

----------------------------------------------------

อาสึนะเดินอยู่ท่ามกลางทางเดินมืดๆของปราสาท

แน่นอนว่าเพราะสมรภูมิแห่งนี้เป็นปราสาทโบราณ จึงไม่มีไฟฟ้าใช้แน่นอน อีกทั้งภายนอกยังเป็นตอนกลางคืนอีกด้วย

สิ่งที่สร้างแสงสว่างจึงมีเพียงเชิงเทียนเก่าๆตามข้างทาง ที่จะดับเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ และแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา แต่นั่นก็เป็นแสงสว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

บรรยากาศรอบข้างนั้นก็ดูไม่น่าไว้วางใจ อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่อาสึนะได้สัมผัสกับสมรภูมิที่มีพื้นที่กว้างและซับซ้อน เขาจึงรู้สึกระแวงรอบข้างตลอดเวลา

อาสึนะเดินไปจนสุดทางเดินแล้วเปิดประตูไม้เข้าไปอีกห้องหนึ่ง ก็พบว่ามันเป็นทางเดินทอดยาวไปอีก แต่ต่างกันตรงที่มีชุดเกราะอัศวินถืออาวุธตั้งอยู่เรียงรายตามสองข้างทาง ราวกับเป็นองค์รักษ์พิทักษ์ปราสาทยังไงยังงั้น

นั่นทำให้อาสึนะเกิดความหวาดระแวงมากยิ่งไปว่าเก่า ลางสังหรณ์บางอย่างบ่งบอกว่าที่นี่ไม่ปกติ เขาเหมือนจะเคยเห็นภาพของเกราะอัศวินขยับได้แล้วไล่ฆ่าคนจากที่ไหนสักแห่ง แต่อีกใจก็คิดว่าตัวเองคงคิดมากไป

แต่กันไว้ก็ดีกว่าแก้ อาสึนะจึงค่อยๆเดินผ่านชุดเกราะเหล่านั้นไปอย่างระมัดระวัง เขามองชุดอัศวินว่างเปล่าพวกนั้นไปทีละชุดอย่างไม่วางตา แต่มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับ จนกระทั่งเมื่อเดินผ่านจนถึงชุดสุดท้ายที่ถูกวางไว้ตรงเกือบสุดทางเดิน มันถึงทำให้อาสึนะโล่งใจว่ามันไม่น่าจะมีอะไรแล้ว

“เหวอ!”

อาสึนะล้มลงก้นจ้ำเบ้าทันทีเมื่อมีอะไรบางอย่างพุ่งผ่านหน้าต่างที่อยู่ตรงหน้าเข้ามา

กา กา พบว่าเป็นฝูงอีกาสีดำทมิฬที่บินผ่านหน้าต่างเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนที่มันจะที่บินผ่านอาสึนะไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อาสึนะก่นด่าฝูงอีกาพวกนั้นในใจ ในขณะเดียวกันก็เป่าปากด้วยความโล่งใจ

แต่ในระหว่างที่กำลังโล่งใจ จู่ๆเขาก็มานึกถึงความเชื่อบางอย่างที่กล่าวไว้ว่าอีกาเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคร้าย

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงจิตสังหารอันแรงกล้าขึ้นมาทันที

และมันก็มาจากชุดเกราะอัศวินอันว่างเปล่าที่อยู่ข้างๆเขานี่เอง

ฉับ! ชุดเกราะอัศวินที่ไร้ชีวิตฟาดดาบในมือลงมาใส่อาสึนะที่กำลังนั่งก้นจ้ำเบ้าและไร้ทางป้องกัน ทว่าอาสึนะรู้สึกตัวเร็วกว่าประมาณเสี้ยววินาที จึงพุ่งตัวหลบได้ทันหวุดหวิด

(เป็นกับดักจริงๆด้วย!)

ชุดอัศวินว่างเปล่าพวกนั้นเป็นกับดักอย่างที่ลางสังหรณ์บอกไว้ตอนแรกไม่มีผิด

หลังจากอาสึนะหลบคมดาบแรกได้สำเร็จ เขาก็ยังหนีไม่พ้นอันตราย เมื่อจุดที่เขาพุ่งตัวหลบไปคือจุดที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา ซึ่งมีกับดักชุดอัศวินที่คอยจะสับร่างเขาเป็นชิ้นๆรออยู่เรียงรายเต็มสองข้างทาง

อาสึนะจึงรีบลุกขึ้นมา ก่อนที่จะออกวิ่งทันที เป็นวินาทีเดียวกับที่ดาบอัศวินฟันฉับลงมา คมดาบนั้นเคลื่อนที่ผ่านแผ่นหลังของเขาจนรู้สึกได้ เหลือระยะอีกเพียงคืบเดียวก็จะสร้างบาดแผลให้กับอาสึนะได้อยู่แล้ว

เมื่อเขาวิ่งกลับไปทางเดิม ผ่านชุดเกราะอัศวินที่เคยไม่มีพิษภัยในตอนแรก พวกมันก็ต่างฟาดฟันดาบลงมาเป็นลำดับตามที่ตัวอาสึนะวิ่งผ่าน เขาจึงเร่งฝีเท้า หวังที่จะหลุดพ้นจากกับดักชุดเกราะนรก

เหมือนดวงของอาสึนะจะไม่ค่อยดีนักเท่าไหร่ ชุดเกราะที่ตั้งอยู่ใกล้กับชุดเกราะชุดสุดท้ายได้ล้มลงมาขวางทางไว้ ส่งผลให้เขาจำเป็นต้องหยุด

แต่ทว่าความเร็วที่วิ่งมาขนาดนั้นให้หยุดคงยากแล้ว ส่งผลให้อาสึนะสะดุดกับชุดเกราะชุดนั้นจนล้มคะมำลงไปทันที ราวกับว่าชุดเกราะเหล่านี้มีความคิด จึงได้ทำแบบนั้นลงไปเพื่อต้อนให้เขาจนมุม

อาสึนะล้มลงไปต่อหน้าชุดเกราะชุดสุดท้าย ที่ฟาดฟันดาบในมือลงมาเพื่อหวังจะประหารชีวิตเขา ตอนนี้คุโรเท็ตสึก็หลุดจากมือไปตั้งแต่ตอนที่เจอกับฝูงอีกาแล้ว เท่ากับว่าเขาไม่สามารถป้องกันได้ รวมทั้งไม่สามารถหลบได้ทันในระยะกระชั้นชิดแบบนี้ด้วยเช่นกัน

หรือว่าเกมจะจบลงเพียงเท่านี้กันนะ...

เคร้ง! ทั้งๆที่สถานการณ์เหมือนอาสึนะจะพลาดท่า แต่กลับมีเสียงกระทบกันของโลหะดังขึ้นแทนที่จะเป็นเสียงเนื้อถูกตัดขาด และมีประกายไฟเกิดขึ้นแทนที่จะเป็นละอองเลือดสาดกระเซ็น

เพราะอาสึนะคว้าดาบของชุดเกราะที่ล้มลงมาขวางทางเมื่อครู่ แล้วใช้มันป้องกันได้ทันพอดีราวปาฏิหาริย์ ก่อนที่จะปัดใบมีดประหารนั้นออกไปให้ห่างตัว เพราะชุดเกราะชุดนั้นว่างเปล่า เมื่อถูกปัดดาบออกไปอย่างแรงแบบนั้น ก็ส่งผลให้ชุดเกราะชุดนั้นพังครืนลงมาทันที

เมื่อพ้นจากอันตรายจริงๆแล้ว อาสึนะก็ลุกขึ้นมาพร้อมปาดเหงื่อที่หน้าผาก

“ให้ตายสิ มีอะไรบ้าๆแบบนี้ด้วย แต่นี่มันโลกในเกมนี่นะ คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่”

อาสึนะพึมพำเบาๆ ก่อนที่จะเดินไปเก็บคุโรเท็ตสึที่ตกอยู่ที่พื้น แล้วผ่านห้องกับดักไปอย่างเงียบๆ

เมื่อเปิดประตูออกไปอีกห้อง พบว่าคราวนี้กลายเป็นห้องกว้างๆ

จุดหนึ่งของห้องนั้นสว่างโร่จนเห็นได้ชัด เพราะมีเตาผิงที่ถูกจุดไฟทิ้งไว้อยู่ กลางห้องมีโต๊ะไม้ยาวที่มีถาดผลไม้วางไว้ และมีเก้าอี้ไม้ตั้งอยู่ตามโต๊ะ ที่นี่คือห้องอาหารนั่นเอง

เพราะมองดูรอบๆห้องแล้วไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติ อาสึนะจึงเดินไปที่ถาดผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ จู่ๆเขาก็นึกสงสัยว่าผลไม้ในโลกของเกมมันจะเป็นยังไง

ในระหว่างที่อาสึนะกำลังจะเอื้อมมือไปสัมผัสผลไม้บนถาด เขาก็ต้องชักมือกลับอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จะรีบเบี่ยงตัวหลบเพราะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามา

ฉึก! แอปเปิลที่วางอยู่บนถาดถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าเสียบจนมันหล่นลงไปที่พื้น

เคร้ง! และอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง ได้ถูกอาสึนะใช้คุโรเท็ตสึฟันทิ้งเพื่อเบี่ยงวิถี แม้เขาจะยังไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรก็ตาม

เมื่ออาสึนะหันไปมองอะไรบางอย่างที่ถูกเขาฟันเบี่ยงวิถีเมื่อครู่ พบว่ามันพุ่งไปปักกับภาพวาดที่แขวนประดับบนกำแพง โดยสิ่งนั้นมันเป็นมีดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง

(กับดักอีกแล้วหรอ? ไม่สิ... ไม่ใช่!)

มีดสั้นที่พุ่งเข้ามาไม่น่าจะเกิดจากกลไกหรือกับดักอะไรทั้งสิ้น มันน่าจะเกิดจากฝีมือของมนุษย์มากกว่า

และแน่นอนเมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์อีกคนนอกเหนือจากตัวอาสึนะเองในสถานที่แห่งนี้ ก็คงมีอยู่แค่คนเดียว

นั่นคือ ฟุจิซากิ ฮายาโตะ

ว่าแล้วเจ้าตัวปรากฏตัวขึ้นมาแบบกะทันหัน ราวกับว่าเขาอยู่ในห้องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว อาสึนะมั่นใจว่าตัวเองได้สำรวจห้องอย่างละเอียดดีแล้ว ตอนแรกฮายาโตะไม่ได้อยู่ในห้องนี้อย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีเสียงแปลกปลอมอะไรดังขึ้น อย่างเช่นเสียงเปิดประตูหรืออะไรแบบนั้น ฮายาโตะจึงไม่ได้เข้ามาจากห้องอื่นแน่นอน เขาน่าจะซ่อนตัวอยู่ในห้องนี้มาแล้วตั้งแต่แรก

แต่ว่า จุดที่สามารถหลบซ่อนได้อย่างแนบเนียนในห้องนี้ก็ไม่มีเลย ดังนั้น ความเป็นไปได้ก็คงมีเพียงอย่างเดียวก็คือ...

“คงจะสงสัยสินะครับว่าทำไมจู่ๆผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่จำเป็นต้องเดาให้เสียเวลาหรอกครับ ผมจะบอกให้เลยแล้วกัน นี่คือหนึ่งในความสามารถของผม การซ่อนตัวตน หรือให้อธิบายสั้นๆก็คือการหายตัวนั่นเองครับ”

ฮายาโตะกล่าว ใบหน้าของเขายังคงเปื้อนยิ้มอีกเช่นเคย แต่คราวนี้มันเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป

“เพียงแต่การหายตัวของผม จะซ่อนแม้กระทั่งเสียงของฝีเท้า เพราะฉะนั้นคุณคันซากิจะมองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินเสียงผมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

เมื่อพูดจบ เขาก็ยกมือทั้งสองข้างซึ่งถือมีดสั้นเล่มเล็กๆแบบเดียวกับที่ปักอยู่บนรูปและผลแอปเปิล เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นฝีมือของเขาจริงๆ

“และคุณคันซากิก็โชคดีมากๆ ที่สามารถหลบมีดสั้นพวกนั้นได้ เพราะมีดสั้นแต่ละเล่มของผมต่างอาบยาพิษที่มีพิษร้ายแรงแตกต่างกันไป และนี่คืออาวุธของผม เบลดออฟโว (กริชแห่งหายนะ)”

อาสึนะเหลือบไปมองผลแอปเปิลบนพื้นที่ถูกมีดสั้นเสียบในตอนแรก ก็พบว่ามันเน่าเปื่อยจนกลายเป็นสีดำทั้งผล ทั้งๆที่เวลาเพิ่งผ่านไปไม่นานเท่านั้น

ที่ตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือแม้กระทั่งผลไม้ผลอื่นๆบนถาดที่พลอยถูกใบมีดเฉียดไปเพียงนิด ก็ต่างเน่าเปื่อยจนมีสภาพที่ไม่ต่างจากแอปเปิลผลนั้นนัก

หากมันโดนตัวอาสึนะเองละก็คงไม่ต้องพูดถึง

“คุณนี่เก่งกว่าที่คิดไว้จริงๆ ผมคิดว่าคุณจะพลาดท่าตั้งแต่กองทัพอัศวินของผมแล้ว”
“งั้นก็หมายความว่า ชุดอัศวินพวกนั้น คุณฟุจิซากิก็เป็นคนทำสินะ?”
“จะบอกว่าผมทำก็ไม่ถูกนักหรอกครับ เพราะชุดพวกนั้นมันก็อยู่ของมันแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว ผมแค่ใช้เวทควบคุมชุดพวกนั้นให้มันขยับเท่านั้นเอง ผมเป็นบิชอป เวทมนตร์ระดับนั้นผมทำได้สบายๆอยู่แล้ว ผมก็แค่รอจังหวะแล้วค่อยสั่งการเท่านั้นเอง”
“งั้นก็หมายความว่า คุณฟุจิซากิสอดแนมผมอยู่ตลอดตั้งแต่แรกแล้วสินะ?”

ฮายาโตะคงใช้ความสามารถในการพรางตัวอยู่ในห้องกับดักชุดอัศวินนั่นตั้งแต่แรก แล้วคอยจังหวะก่อนที่จะสั่งการให้กับดักทำงาน

เพราะฉะนั้นการที่ชุดเกราะล้มมาขวางทาง เพื่อให้อาสึนะเสียจังหวะและเกือบพลาดท่า จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรืออะไร แต่เป็นสิ่งที่ฮายาโตะควบคุมอยู่ทั้งหมด

บางทีการที่ฮายาโตะเลือกสมรภูมิเป็นปราสาทแห่งนี้ ก็อาจจะเป็นความตั้งใจของเขาด้วยเช่นเดียวกัน

“การต่อสู้แบบซึ่งๆหน้า มันไม่ใช่นิสัยของผมน่ะครับ เอาล่ะ เรามาต่อกันดีกว่า”

ว่าแล้ว ฮายาโตะก็แสดงความสามารถในการซ่อนตัวตนให้เห็นแบบชัดๆเต็มตา ร่างกายแต่ละส่วนของเขาค่อยๆแตกกระจายกลายเป็นฝุ่นผงแล้วหายไปในอากาศ โดยไม่เหลือร่องรอยอะไรทิ้งไว้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าเขาหายไปเฉยๆ

ทางอาสึนะเองก็ยังไม่ได้เข้าไปจู่โจมใดๆหรือแม้แต่ขยับตัว เพราะตัวฮายาโตะคงไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้วแน่นอน

การเคลื่อนไหวทุกๆท่วงท่าของอาสึนะนั้นอาจจะชี้เป็นชี้ตายในเกมนี้ได้เลย เขาจึงจำเป็นต้องระมัดระวังและรอบคอบอย่างมากก่อนที่จะคิดทำอะไร

เมื่อไม่มีทั้งเสียงและร่องรอย จึงเรียกได้ว่าอาสึนะนั้นเสียเปรียบแทบทุกด้าน และเขาคงไม่น่าจะโชคดีเหมือนครั้งแรกอีกแน่ๆ

อาสึนะเริ่มตระหนักได้แล้วว่า เขาคือตัวอันตรายอย่างแท้จริง
ขึ้นไปข้างบน Go down
ฟ้ามืด
Superstar Grade B
Superstar Grade B
ฟ้ามืด


จำนวนข้อความ : 504
Join date : 30/04/2013
Age : 31
ที่อยู่ : μ's

Checkmate : Turn 8 Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Re: Checkmate : Turn 8   Checkmate : Turn 8 EmptyThu Jan 26, 2017 9:29 pm

(ตรงนั้น!)

ถึงแม้จะไม่มีทั้งเสียงและร่องรอยของฮายาโตะ แต่สำหรับมีดสั้นที่ปามานั้นไม่ใช่

เมื่อมีดถูกปาออกมาด้วยความเร็วสูง ก็ย่อมมีเสียงแหวกอากาศเกิดขึ้น

บรรยากาศภายในปราสาทก็ค่อนข้างเงียบงัน เพราะฉะนั้นจึงจับเสียงเหล่านั้นได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก

นั่นเป็นร่องรอยเดียวที่อาสึนะสามารถสัมผัสได้ในตอนนี้

เขาจึงสามารถฟันมีดอาบยาพิษของฮายาโตะ แล้วเบี่ยงวิถีออกไปให้พ้นอันตรายได้อีกครั้ง

แต่ยังไงอาสึนะก็ไม่สามารถสัมผัสได้ว่าฮายาโตะอยู่ตรงไหนได้อยู่ดี

แม้โดยหลักการแล้ว จะสามารถใช้วิธีตามเสียงและทิศทางของมีดสั้นเหล่านั้นไป เพื่อค้นหาตำแหน่งของตัวฮายาโตะได้ก็จริง แต่ตัวเขาก็ไม่น่าจะโง่จนถึงขนาดยืนอยู่กับที่นิ่งๆเมื่อปามันออกไปแล้ว

ฮายาโตะย่อมเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ศัตรูสามารถค้นหาตำแหน่งของตัวเองได้

และนั่นคือปัญหาของอาสึนะ

ต่อให้สามารถป้องกันการโจมตีได้ แต่หากโจมตีสวนกลับไปไม่ได้ ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์

“ปัดได้สวยนะครับเนี่ย”

เสียงของฮายาโตะดังขึ้นภายในอากาศที่ว่างเปล่า ตามมาด้วยมีดสั้นที่ถูกปาออกมาอีกครั้ง อาสึนะย่อตัวลอดใต้โต๊ะอาหารกลางห้องแล้วออกแรงผลักโต๊ะจนพลิกขึ้นมาตั้งฉาก เสียงกระทบกันระหว่างวัตถุสองสิ่งดังขึ้นสามครั้งติดกัน เมื่อเหลือบไปมองก็พบกับมีดสั้นตามเล่มปักอยู่บนโต๊ะ

“นี่ก็พลิกสถานการณ์ได้เยี่ยม”

มีดสั้นพุ่งเข้ามาอีกครั้ง อาสึนะปัดออกไปได้เช่นเคย แต่คราวนี้มันเบี่ยงทิศไปหยุดอยู่กลางอากาศอย่างผิดธรรมชาติ

โดยไม่ต้องสืบหาสาเหตุว่าทำไมเป็นแบบนั้น คำตอบก็ปรากฏออกมาทันที

มีดที่ลอยค้างอยู่บนอากาศ ค่อยๆปรากฏเป็นมือของมนุษย์ที่จับมีดเล่มนั้นอยู่ ก่อนที่อวัยวะส่วนต่างๆจะค่อยๆปรากฏออกมาตามลำดับ จนกลายเป็นร่างของฮายาโตะ

ดูเหมือนว่ามีดจะถูกเบี่ยงกลับไปหาตัวผู้ใช้โดยบังเอิญนั่นเอง

“อุ๊ปส์”

เขาแกล้งอุทานพร้อมควงมีดแล้วปากลับไปทางอาสึนะ แน่นอนว่าเพราะเห็นกันจะๆแบบนี้ อาสึนะจึงใช้ดาบปัดมีดทิ้งไปได้อย่างสบายๆ แต่ฮายาโตะก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะปาให้มันโดนคู่ต่อสู้แต่แรกอยู่แล้ว

“ตีกลับได้สวย น่าจะไปโคชิเอ็งได้ ถ้างั้นก็ต่อเลยนะครับ คราวนี้ ตีให้โดนล่ะ”

ฮายาโตะใช้ความสามารถในการซ่อนตัวจนหายไปอีกครั้ง

อาสึนะรู้สึกว่าคำพูดในครั้งนี้ของฮายาโตะแฝงไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรง

แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ และพยายามตั้งสมาธิ เงี่ยหูฟังเสียงของอาวุธสังหารที่จะพุ่งเข้ามา จากนั้นก็-

“...อะ”

จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างสร้างบาดแผลเข้าที่ขาขวาของอาสึนะ

เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมากบวกกับตัวอาสึนะยังตกอยู่ในสภาพสับสน เขาจึงยังไม่เกิดความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ

จนกระทั่งอะไรบางอย่างที่ว่าค่อยๆปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า

(มะ มีดสั้น!)

โดนแล้ว

โดนเข้าให้แล้ว มีดสั้นอาบยาพิษของฮายาโตะ

“สไตรค์!”

เมื่อรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร อาสึนะก็รีบดึงมีดสั้นเล่มนั้นออกจากปากแผล

โดยที่ในใจยังพอมีความหวังลมๆแล้งๆว่าพิษจะยังไม่เข้าสู่ร่างกาย

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า เพราะอะไรทำไมเขาถึงไม่รู้สึกถึงร่องรอยของอาวุธสังหารในครั้งนี้ได้เลย

คำอธิบายของเรื่องนั้น สามารถคาดเดาง่ายนิดเดียว

“คราวนี้ผมใช้พลังเวทที่เข้มข้นกว่าเก่า และซ่อนตัวตนของมีดสั้นที่ถูกปาออกไปด้วยยังไงล่ะครับ เพราะฉะนั้น คุณคันซากิจะไม่สามารถมองเห็นและได้ยินเสียงมีดสั้นที่ผมปาออกไปได้อีกแล้ว”

และนั่นคือเหตุผล

อาสึนะทรุดลงไปกับพื้นทันที แม้บาดแผลจะไม่ได้สาหัสถึงขนาดนั้น

มันเหมือนกับได้ตระหนักแล้วว่าตนเองหมดหนทางสู้อย่างสิ้นเชิง ลำพังแค่ตัวศัตรูอย่างเดียวที่หายตัวได้ก็เกินพอแล้ว และตอนนี้ยังโดนพิษเข้าไปเป็นที่เรียบร้อยอีก

แต่ยังไงก็ตาม ตอนนี้เขายังไหว

เพราะฉะนั้น

(ยังยอมแพ้ไม่ได้!)

เมื่อคิดได้ดังนั้น อาสึนะก็ลุกขึ้น

“เอ๋?”

เขาอุทานขึ้นมาเมื่อเห็นฮายาโตะยืนอยู่ตรงหน้า

แม้จะมีคำถามอยู่เต็มไปหมด ว่าทำไมฮายาโตะที่น่าจะอยู่ในสภาพพรางตัวถึงปรากฏตัวให้เห็นได้ แต่ในเมื่อศัตรูอยู่ตรงหน้าแบบนี้ โดยสัญชาตญาณแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องโจมตีไปก่อน

อาสึนะจึงฟันดาบคาตานะในมือเข้าที่ร่างของฮายาโตะทันที

...แต่ร่างนั้นกลับอันตรธานหายไปทันทีเมื่อคมดาบนั้นสัมผัสโดน

“!?”

ความสับสนยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้เห็นภาพนั้น อาสึนะหันมองไปรอบกายอย่างหวาดระแวง ก็พบฮายาโตะยืนอยู่ที่อีกจุดหนึ่งของห้อง เขาจึงไม่รอช้าใช้ดาบฟันเข้าที่ร่างของศัตรูอีกครั้ง

และร่างนั้นก็หายไปอีก

ก่อนที่รอบตัวของอาสึนะจะปรากฏร่างของฮายาโตะขึ้นมาอีกนับสิบร่าง

อาสึนะจึงกวัดแกว่งดาบมั่วซั่วอย่างไร้ท่วงท่าและทิศทาง คมดาบที่บังเอิญไปสัมผัสกับร่างของฮายาโตะมันก็แค่ทำให้ร่างๆนั้นหายไปเท่านั้น ก่อนที่จะปรากฏขึ้นมาใหม่อย่างไร้สิ้นสุด เขาแกว่งดาบจนกระทั่งหมดแรงและทรุดลงไปอีกครั้ง

“โอ้... ฟันดาบมั่วซั่วแบบนี้ ท่าทางจะเจอพิษของดอกลิลลี่ภูเขาเข้าแล้วล่ะนะครับ มันทำให้ผู้ได้รับพิษมีอาการเห็นภาพหลอนน่ะ”

มันคือฤทธิ์ของเบลดออฟโวเล่มแรก ที่อาสึนะพลาดโดนในตอนแรก

ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือไม่ที่ไม่ใช่พิษในระดับถึงตาย

แต่แค่นี้ก็ทำให้อาสึนะปั่นป่วนไปมากแล้ว

“เอาล่ะ มาลุ้นกันต่อดีกว่านะครับ ว่ามีดเล่มต่อไป จะได้รับพิษแบบไหน”

ฮายโตะพูดน้ำเสียงล้อเลียนพิธีกรตามรายการเกมโชว์

แล้วมีดเล่มที่สอง ก็พุ่งเข้ามาปักที่หัวไหล่ข้างขวาของอาสึนะที่กำลังลุกขึ้น โดยที่เขาไม่สามารถป้องกันตัวได้เลย

ทันทีที่มีดปักลงไป อาสึนะซึ่งกำลังจะดึงมีดเล่มนั้นออกจากหัวไหล่ก็ทรุดตัวลงไปกองกับพื้นทันที

จู่ๆร่างกายเกือบทุกส่วนก็เกิดขยับไม่ได้ มือข้างที่ถือดาบคลายออกจนดาบหลุดจากมือ เขาไม่สามารถบังคับร่างกายตัวเองได้ ไร้ความรู้สึกราวกับว่านี่ไม่ใช่ร่างกายของตัวเอง

อาสึนะพยายามตะเกียกตะกายด้วยอวัยวะที่ยังสามารถขยับได้แม้ว่าจะน้อยเต็มทน และพยายามยันตัวขึ้นมาอย่างทุลักทุเล แต่สุดท้ายเขาก็ทรุดลงไปกองอีกครั้ง

“โอ๊ะ มีดเล่มนี้มีพิษที่ถูกสกัดจากรากของดอกเบลลาดอนน่า ทำให้ผู้ได้รับพิษเป็นอัมพาตน่ะครับ”

คราวนี้ฮายาโตะพูดพร้อมปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่าให้อาสึนะได้เห็น คงเพราะเขารู้ว่าอาสึนะที่ตกอยู่ในสภาพนี้ไม่น่าจะมีพิษสงอะไรอีกแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องพรางตัวอีกต่อไป

“แต่จะว่าไปแล้ว คุณก็โชคดีใช่เล่น ที่เจอแต่พิษที่ทำให้ไม่ถึงตาย”

ฮายาโตะใช้ปลายเท้าเกยคางของอาสึนะที่ก้มหน้าอยู่ให้เงยขึ้น ใบหน้าที่อาสึนะเคยมองว่าไม่มีพิษภัยของบิชอปหนุ่มตรงหน้าบัดนี้กลายเป็นใบหน้าของปีศาจร้ายไปแล้ว

“ตอนที่ได้รู้ว่า สภานักเรียนเริ่มมีการเคลื่อนไหว ฉันก็ไม่คิดว่าเดี๋ยวนี้เจ้าพวกนั้นจะตกต่ำถึงขนาดให้พอนอย่างแกมาสืบเรื่องฉัน พอเห็นว่าเป็นแกฉันเลยเสนอหน้ามาเจอแกแบบโง่ๆ เพราะอยากรู้จริงๆว่าคนอย่างแกมันมีอะไรดีนักหนา

เหอะ กับอีแค่ชนะประธานนักเรียนได้ครั้งเดียว ตั้งฉายาให้ซะยิ่งใหญ่ว่าเป็นควีนสเลเยอร์ จะตื่นเต้นอะไรกันนักหนา พอนก็ยังเป็นพอนวันยังค่ำ จะไปผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่ได้ยังไงกัน แถมยังสอบเข้ามาด้วยคะแนนต่ำสุดในโรงเรียน ยังกล้าเสนอหน้ามาเรียนที่นี่อีก ไม่สิ ต้องบอกว่าปล่อยให้เข้ามาเรียนได้ยังไงกันมากกว่า

ทั้งๆที่ฉัน สอบเข้ามาเป็นคิงอย่างถูกต้อง ตัวเลขคะแนนมันไม่ได้โกหก แต่ทำไมพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นไอ้ชินเซกิ หรือไอ้พวกคิงหัวขวดทั้งหลาย กลับมองฉันเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ เพราะอะไร เพราะฉันมาจากครอบครัวมีปัญหางั้นหรอ? ทั้งๆพวกมันมาหาเรื่องฉันก่อน พวกมันนั่นแหละที่ผิด แต่ฉันกลับถูกตัดคะแนนข้อหาทะเลาะวิวาทจนถูกลดตำแหน่งอยู่คนเดียว ทำไมกันวะ? แต่สุดท้ายไอ้ชินเซกิก็สอบตกจนโดนลดไปเป็นพอน เหอะ สมน้ำหน้ามัน ตอนมันเป็นพอนเจอตัวทีทำหน้าเป็นหมาหงอย ท่าทีอวดดีหายไปไหนหมดละวะ? ไหนว่ายิ่งใหญ่นักไม่ใช่หรอ?

ฉันต่างหากคือผู้ยิ่งใหญ่ ฉันคือคิง ฉันคือราชา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันสมควรได้รับ ฉันควรได้คำสรรเสริญไม่ใช่คำด่าทอ พวกที่ทำให้ฉันต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ มันจะต้องถูกกำจัด รวมทั้งคนที่มันมาขัดขวางการแก้แค้นของฉันเช่นแก มันก็ต้องโดนกำจัดเช่นกัน”

ฮายาโตะเอ่ยคำพูดออกมาราวกับพ่นไฟ ทุกคำต่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเกลียดชังและเคียดแค้น เมื่อพูดจบเขาก็หอบหายใจเล็กน้อย พลางเสยผมและกลับมาวางมาดสุภาพเหมือนอย่างเดิม

“จนถึงตอนนี้ คุณน่าจะรู้ถึงความหมายของดอกคาร์เนชันสีเหลือง1ที่ผมให้คุณไปแล้วสินะครับ”

เมื่อพูดจบ ฮายาโตะก็ชักปลายเท้าที่เกยคางของอาสึนะกลับ ทำให้ใบหน้าของเขาร่วงลงไปแนบพื้นอีกครั้งอย่างไร้ทางฝืน เพราะเขาไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้

ทว่าระหว่างนั้นอาสึนะกลับรู้สึกเหมือนมองเห็นทางสว่าง

แม้รู้ตัวดีว่าสภาพที่ไม่ต่างจากซากศพแบบนี้จะไม่มีทางไปสู้อะไรได้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ตัวเขาเองคิดว่าน่าจะทำได้

เพราะความจริงเป้าหมายที่แท้จริงของอาสึนะก็ไม่ใช่การเอาชนะตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ในเมื่อตอนนี้เขารู้ความจริงทั้งหมดแล้ว เขารู้แรงจูงใจและสาเหตุในการกระทำของฮายาโตะแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำก็มีเพียงแค่...

(ต้องบอกประธาน...)

สิ่งที่อาสึนะต้องทำมีเพียงแค่ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อไปทางสภานักเรียน

แต่เรื่องง่ายๆแบบนั้นมันกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นเมื่อตกอยู่ในสภาวะอัมพาต

‘อาสึนะ? ได้ยินแล้วตอบด้วย’

ปรากฏว่าทางประธานยูกิเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อนแทน คงเพราะอาสึนะไม่ได้รายงานสถานการณ์เป็นระยะเวลานานจนผิดปกติ เขาพยายามที่จะตอบกลับไป แต่ทว่าสภาวะอัมพาตนั้นรุนแรงจนอาสึนะกลับทำไม่ได้แม้แต่ขยับปากพูด เขาจึงได้แต่ฟังเสียงยูกิที่เรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านทางวิทยุสื่อสารเท่านั้น

ดาร์กเนส เซอร์ราวดิ้ง (ราตรีแห่งความหวาดกลัว)”

ระหว่างนั้น แผ่นหลังของฮายาโตะก็มีของเหลวสีดำข้นคล้ายน้ำมันก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง จนมีลักษณะคล้ายกับปีกของแมลง

“ไม่ต้องกังวลไปนะครับ ต่อจากนี้ คุณจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น”

จากนั้นของเหลวสีดำที่เคลือบอยู่บนปีกก็ค่อยๆไหลลงมาเหมือนถูกน้ำชำระล้าง ปรากฏกลายเป็นปีกของผีเสื้อกลางคืน ก่อนที่ปีกนั้นจะถูกกางออก เกิดแรงลมมหาศาลจนถึงกับทำให้กำแพงและเพดานของปราสาทพังทลายและมองเห็นสภาพแวดล้อมภายนอก ร่างของฮายาโตะลอยขึ้นฟ้า โบยบินอยู่ท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง

ฮายาโตะใช้พลังเวทบังคับให้อาสึนะเงยหน้าขึ้นมามองเขา อาสึนะสบตาเข้ากับดวงตาสีดำสนิทอันเย็นชาบนปีกผีเสื้อที่จ้องมองมา ราวกับสายตาของจอมมารร้ายที่ตั้งใจจะกัดกินวิญญาณของเขา

“จมดิ่งอยู่กับความหวาดกลัวซะเถอะ อันเดอร์ด็อก

----------------------------------------------------

ตุ๊บ!

“เฮือก!”

อาสึนะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าตัวเองตกจากอะไรบางอย่างลงมากระแทกพื้น

“อูย เจ็บชะมัด เอ๋?”

เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย

(อา... นั่นสินะ)

แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจอะไรๆได้อย่างง่ายดายทันที

(ฝันเพ้อเจ้อไปได้นะเรา สอบได้คะแนนต่ำขนาดนั้นจะไปเข้าเรียนได้ยังไง)

ใช่แล้ว เขาไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนมิไรเคียวได้เนื่องจากคะแนนต่ำเกินไป

เพราะฉะนั้น ที่นี่ก็คือห้องนอนที่บ้านของเขานั่นเอง

ไม่มีการต่อสู้ของพอนที่ถูกเรียกขานว่าอันเดอร์ด็อกหรือควีนสเลเยอร์ เขาก็แค่ฝันเพ้อเจ้อไปเองเท่านั้น

(ให้ตายสิ นี่เราอยากเข้าเรียนที่นั่นขนาดนั้นเชียว?)

แต่ยังไงก็ตาม อาสึนะก็ได้ใช้ชีวิตในแบบนักเรียนธรรมดาคนหนึ่งอย่างที่ตัวเองต้องการแล้ว

ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก

อาสึนะจึงเดินลงบันไดไปที่ห้องทานข้าวชั้นล่าง

คุณพ่อและคุณแม่ของเขานั่งทานข้าวเช้าอยู่บนโต๊ะตามปกติ เขาจึงกล่าวทักทาย

“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“...”

ทั้งคู่ไม่ได้ตอบอะไรอาสึนะกลับ เขารู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที

“เอ่อ? คุณพ่อครับ? คุณแม่ครับ? เกิดอะไร-”
“วันนี้คนที่ว่าจะมาเช่าห้องจะมาอยู่วันนี้ใช่ไหม?”
“ใช่จ้ะพ่อ เดี๋ยวก็คงมาแล้ว”
“เช่าห้อง? เช่าห้องอะไรกันครับ?”

ทั้งสองยังคงเมินอาสึนะเช่นเคย ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา จึงเอื้อมมือทั้งสองไปเพื่อที่จะแตะไหล่ของทั้งคู่

“อ๊ะ?”

แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้กลับเป็นความว่างเปล่า

ไม่สิ... ต้องบอกว่าเขาไม่สามารถสัมผัสทั้งสองได้มากกว่า

มือทั้งสองข้างที่เอื้อมไปสัมผัสไหล่พ่อแม่ของเขา ทะลุผ่านไปราวกับว่าเขาเป็นวิญญาณ

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เขาตายแล้วงั้นหรือ?

ในระหว่างที่อาสึนะกำลังสับสนอย่างรุนแรง เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น

คุณแม่ของอาสึนะเดินผ่านร่างของอาสึนะไปเปิดประตู ในระหว่างนั้นเขาก็หันมองตามไปด้วย

“เชิญเลยจ้า เชิญเลย”

บุคคลที่เข้ามาภายในบ้านทำให้อาสึนะแทบจะเข่าทรุดไปเลยตรงนั้น

“นี่จ้ะพ่อ คนนี้แหละที่จะมาเช่าห้องชั้นบนอยู่ หนูชื่ออะไรนะ?”
“...ฟุจิซากิ ฮายาโตะครับ”

เด็กหนุ่มร่างบางผมสีมรกตกล่าวแนะนำตัวพร้อมส่งยิ้มให้

อาสึนะตาเบิกโพลงและขยับปากอันสั่นเทาอย่างยากลำบาก

“นี่มัน บ้าอะไร... นายมาทำอะไรที่นี่?”

คำพูดของอาสึนะกลายเป็นดั่งอากาศเหมือนเช่นเคย ไม่มีใครได้ยิน และไม่มีใครสนใจ

ในหัวของอาสึนะต้องเรียกได้ว่ายุ่งเหยิงจนจับต้นจนปลายอะไรไม่ถูก สรุปแล้วอะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน ตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหน ทำไมฮายาโตะถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ทำไมไม่มีใครเห็นและได้ยินเขา เขาตายไปแล้วงั้นหรือ ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนั้นให้กับอาสึนะได้เลย

เมื่อเห็นว่าคุณแม่ของเขาพาฮายาโตะขึ้นไปที่ชั้นบน อาสึนะก็รีบวิ่งตามขึ้นไปทันที

“ห้องนี้แหละจ้ะ”

ทั้งสองหยุดยืนที่หน้าห้องของอาสึนะ เมื่อเขาเห็นดังนั้นจึงขยับตัวไปขวางประตูไว้

“ไม่! นี่มันห้องของฉัน”

แน่นอนว่าไม่มีใครสนใจคำพูดห้ามปรามนั้น คุณแม่ของอาสึนะยื่นมือผ่านร่างของเขาแล้วเปิดประตูเข้าไปทันที อาสึนะหันหลังกลับไปมองห้องตัวเอง แล้วก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง

ห้องนอนที่เมื่อสักครู่มันยังเป็นห้องนอนของเขา จู่ๆก็กลายเป็นห้องนอนว่างเปล่า ข้าวของเครื่องใช้ของอาสึนะที่ก่อนหน้านี้มันยังอยู่กลับหายไปทั้งหมด

“ห้องนี้ไม่มีคนอยู่น่ะจ้ะ เชิญใช้ตามสบายเลยนะฟุจิซากิคุง”
“ไม่ใช่ ห้องของผมต่างหาก! เกิดอะไรขึ้นกับห้องของผม!”

อาสึนะยังคงพูดต่อไปแม้รู้ว่าไม่มีใครได้ยิน

ฮายาโตะเดินผ่านร่างของอาสึนะเข้าไปอีกคน และมองไปรอบๆห้องอย่างชื่นชม

“นี่มันบ้าอะไรกัน!? ทำไมไม่มีใครเห็นผม? ทำไมไม่มีใครได้ยินผม? ผมอยู่นี่! ได้ยินไหม! ผมอยู่ตรงนี้!”

อาสึนะตะโกนจนเสียงแหบพร่า จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบหมุนคว้างจนไม่สามารถทรงตัวได้อยู่ และล้มคว่ำไปบนพื้นตรงนั้น จากนั้นเขาก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลย

ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะมืดดับลง อาสึนะเห็นฮายาโตะหันกลับมายิ้มมุมปากให้กับเขา

----------------------------------------------------

ฟุจิซากิ ฮายาโตะ ถอดอุปกรณ์ VR ออกจากศีรษะหลังเกมจบ

ทางด้านตรงข้ามของเขาคือ คันซากิ อาสึนะ ที่ยังคงไม่รู้สึกตัวอยู่

ฮายาโตะเป่าปากเหมือนกับว่ากำลังโล่งใจ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้

“บางทีก็น่าเห็นใจนะครับ ผมเข้าใจว่าคุณก็แค่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย แต่ว่าคุณมาขวางทางผม ผมก็จำเป็นต้องกำจัดคุณทิ้ง”

บิชอปหนุ่มค่อยๆเดินไปที่ร่างอันหมดสติของอาสึนะอย่างไม่รีบร้อน แล้วส่งสายตาแห่งความเห็นใจแบบปลอมๆให้กับเขา

“เอาเถอะครับ ยังไงคุณก็จะลืมเรื่องราวในวันนี้ไปทั้งหมดอยู่แล้ว แต่จากการต่อสู้กับคุณแล้ว บอกตรงๆผมต้องยอมรับเลยนะครับ ว่าคุณน่ะเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เหมือนคนอื่น”
“ใช่ครับ ผมไม่เหมือนคนอื่น”

ฮายาโตะสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะล้มลง เมื่ออาสึนะที่เขาคิดว่าน่าจะหมดสติไปแล้วกลับพูดขึ้น และคว้าข้อมือของเขาที่กำลังจะเอื้อมไปกระชากเข็มกลัดพอนที่หน้าอก

“และผมก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของคุณเหมือนกับคู่ต่อสู้คนอื่นๆเช่นกัน”

อาสึนะถอดอุปกรณ์ VR ออกจากศีรษะ พร้อมกันกับที่ประตูสนามฝึกซ้อมที่แปดถูกเปิดออก และการปรากฏตัวขึ้นของสมาชิกสภานักเรียน

“ทำได้ดีมาก อาสึนะ”

ประธานยูกิเอ่ยขึ้น อาสึนะปล่อยข้อมือของฮายาโตะออก เขาจึงรีบถอยห่างออกมา สีหน้าของฮายาโตะยังคงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แต่เขาก็พยายามกลับมาวางมาดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อ้าว สวัสดีครับ สภานักเรียนมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า?”
“ถูกจับได้คาหนังคาเขาแบบนี้ยังมาทำไขสืออีกนะ”
“ผมทำอะไรหรอครับ?”

ฮายาโตะถามหน้าตาย ยูกิจึงส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

“เลิกไร้สาระได้แล้ว คดีขโมยเข็มกลัดที่เกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นฝีมือของนายจริงๆด้วยสินะ”
“พูดอะไรน่ะครับ พวกคุณมีหลักฐานงั้นหรอว่าผมเป็นคนทำ? ผมรู้ตัวว่าผมเคยถูกคาดโทษ แต่อย่าใช้อคติส่วนตัวในการตัดสินสิครับ”

ฮายาโตะพยายามพูดเพื่อให้ตัวเองกลับมาถือไพ่เหนือกว่า แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล

“คนอย่างนายคงจะไม่ยอมรับจนกว่าจะจำนนต่อหลักฐานจริงๆสินะ?”

เมื่อยูกิพูดจบ เธอก็หันไปทางคิโยชิ เขาพยักหน้า พร้อมส่งโทรศัพท์สมาร์ทโฟนให้กับเธอ ยูกิถือมันไว้ ก่อนที่คิโยชิจะสอดการ์ดความจำขนาดเล็กเข้าไปในสมาร์ทโฟนเครื่องนั้น

หลังจากที่ยูกิสัมผัสบนหน้าจอสมาร์ทโฟน ฮายาโตะก็พูดอะไรต่อไม่ออก

เมื่อเสียงบันทึกคำพูดของฮายาโตะที่พูดกับอาสึนะในระหว่างที่อยู่ในโลกเสมือนจริงดังขึ้นจากสมาร์ทโฟนเครื่องนั้น

เสียงคำพูดที่บ่งบอกถึงสาเหตุและแรงจูงใจทั้งหมดของฮายาโตะในการก่อเหตุครั้งนี้

“ความจริงนายเป็นคนสารภาพออกมาเองทั้งหมดแท้ๆนะ ยังจะไม่ยอมรับอีกหรอ?”
“ทะ ทำไมถึง...”
“อะแฮ่ม! ผมขออธิบายเองครับประธาน คันซากิใช้วิทยุสื่อสารแบบพิเศษที่ฉันเป็นคนคิดค้นขึ้นมาน่ะ ฟังก์ชันหลักๆก็คือสามารถสื่อสารกันระหว่างโลกความจริงและโลกของเกมได้ และในขณะเดียวกันฉันก็เพิ่มฟังก์ชันในการบันทึกเสียงลงไปด้วย โดยมันจะทำงานโดยอัตโนมัติน่ะ เพราะฉันรู้ดีว่าคนอย่างนายคงไม่ยอมรับง่ายๆแน่ๆ เลยต้องบันทึกเสียงเป็นหลักฐานแบบนี้”

คิโยชิเสนอหน้าขึ้นมาอธิบาย พลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ยูกิแอบเหลือบมองนิดๆ ก่อนที่จะพูดต่อ

“นอกจากจะขโมยเข็มกลัดแล้วยังทำให้เหยื่อสูญเสียความทรงจำอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่นายไม่สามารถทำให้อาสึนะสูญเสียความทรงจำไปได้ ถ้างั้นจะรับฟังคำให้การของอาสึนะเพิ่มเติมด้วยดีไหมล่ะ?”
“...เป็นไปไม่ได้ เป็นไม่ได้ ทำไมแกถึงยังมีสติอยู่ได้!? ไม่มีใครสามารถหนีรอดจากความหวาดกลัวที่ฉันสร้างขึ้นมาได้ เพราะอะไรกัน? แกเป็นใครกันแน่?”

เมื่อหมดหนทางรอดเพราะจำนนต่อหลักฐาน ฮายาโตะก็โวยวายลั่นอย่างคนเสียสติ

“เห็นดูถูกอาสึนะไว้ขนาดนั้น ก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่นายจะไม่รู้ กับความน่ากลัวของ ‘การเลียนแบบตัวตน’ ของอาสึนะน่ะ”
“ละ เลียนแบบตัวตน?”

ใช่แล้ว ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอาสึนะใช้ความสามารถก็อปปี้แคท ในการลอกเลียนแบบตัวตนของฮายาโตะนั่นเอง

ดาร์กเนส เซอร์ราวดิ้งของฮายาโตะนั้น  มีความสามารถในการ ‘ทำให้คู่ต่อสู้ตกอยู่ในความหวาดกลัว’

เหยื่อแต่ละรายนั้นต่างถูกฮายาโตะเล่นงานและทำให้ตกอยู่ในห้วงแห่งความหวาดกลัวจนหมดสติ จึงเกิดผลกระทบทำให้ความทรงจำขาดช่วงไป และไม่สามารถจดจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่ออาสึนะสามารถเลียนแบบเป็นฮายาโตะได้อย่างสมบูรณ์ การที่จะเข้าใจกลไกการทำงานของ ‘การสร้างความหวาดกลัว’ ได้นั้น จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

เพราะฮายาโตะนั้นสร้าง ‘ความหวาดกลัวแบบปลอมๆ’ ให้กับเหยื่อ ก็เพียงแค่ประคองสติและตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริงก็เพียงพอแล้ว

ทำให้อาสึนะสามารถครองสติมาได้จนถึงตอนนี้

“ฟุจิซากิ ฮายาโตะ นอกจากนายจะก่อเรื่องแล้วยังบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองทำไป บทลงโทษของนายคือถูกพักการเรียนหนึ่งปีเต็ม... ว่ากันง่ายๆก็ซ้ำชั้นปีนึงนั่นแหละนะ”

เป็นอันว่าคดีชิงเข็มกลัดก็ได้ถูกปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์และสวยงามด้วยประการละฉะนี้

----------------------------------------------------

หลายวันผ่านมาหลังจบคดีของฟุจิซากิ ฮายาโตะ

อาสึนะได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากทุกคนในสภานักเรียน หลังมีส่วนสำคัญในการปิดคดีของฮายาโตะได้อย่างงดงาม แต่ถึงกระนั้น สภานักเรียนได้ตัดสินใจที่จะปกปิดข้อมูลทุกอย่างไว้เป็นความลับ โดยไม่ได้ประกาศให้ทุกคนในโรงเรียนรับรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของฮายาโตะ เพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหายุ่งยากตามมา

ยกเว้นทาง คุเรไน ชินยะ เพื่อนของอาสึนะซึ่งเป็นคนนอกที่รับรู้เรื่องคดีนี้อยู่เพียงคนเดียว แต่ทางสภานักเรียนก็ได้ตกลงกับเขาให้ปิดปากเงียบเกี่ยวกับคดีนี้ไปแล้ว

ทำให้เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้เสียสละอย่างอาสึนะ ไม่ได้รับคำยกย่องสรรเสริญหรือเสียงปรบมือใดๆจากคนอื่นๆเลย แต่เขาก็ไม่ได้อยากที่จะเป็นจุดสนใจอยู่แล้วจึงไม่ใส่ใจอะไร แถมออกจะชอบที่เป็นแบบนั้นเสียด้วย

เนื่องจากเพิ่งผ่านศึกใหญ่กับฮายาโตะมาอย่างหนักหน่วง ประธานยูกิจึงไม่เรียกตัวเขาอยู่หลายวัน แถมยังสั่งห้ามแบบกลายๆว่าถ้าไม่มีธุระอะไรอย่ามาที่ห้องสภานักเรียนอีกต่างหาก

บางทีอาจจะเป็นการบอกอ้อมๆของยูกิเพื่อให้อาสึนะได้พักผ่อนก็ได้ ช่วงนี้เขาจึงแทบไม่ได้ไปเยือนที่นั่นเลย

เมื่อไม่ได้ไปที่ห้องสภานักเรียนนานๆ อาสึนะก็บอกไม่ถูกว่าจะเรียกสงบสุขหรือเงียบเหงาดี

แต่วันนี้ ประธานยูกิได้เรียกตัวเขาไปที่ห้องสภานักเรียนอีกครั้งแล้ว

ในขณะที่ในใจคิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก พอไปถึงกลับพบสมาชิกสภานักเรียนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา รวมทั้ง อุสึโนมิยะ ริเอะ ด้วย

ที่สำคัญคือบนโต๊ะน้ำชานั้นเต็มไปด้วยขนมและเครื่องดื่ม ราวกับกำลังมีงานปาร์ตี้อะไรสักอย่าง

“เอ่อ... มีงานอะไรกันหรอครับ?”
“ทำเป็นงงไปได้ ปาร์ตี้ของนายไงคันซากิ นายมีส่วนสำคัญในการคลี่คลายคดีฮายาโตะนะ ถึงจริงๆแล้วมันเป็นเพราะอุปกรณ์ของฉันก็เถอะ”
“ใช่แล้วอาสึนะ พวกเราช่วยกันจัดปาร์ตี้ให้กับนายไงล่ะ”
“ถ้าคันซากิคุงอยากจะดื่มน้ำชาก็บอกได้นะจ๊ะ เดี๋ยวฉันไปชงมาให้”
“เรย์ฟังมาจากทุกคนแล้วล่ะ คุณคันซากิเท่ม๊ากมากเลย”

ทุกคนในสภานักเรียนต่างกล่าวต้อนรับและชื่นชมอาสึนะกันอย่างคึกคัก ยกเว้นเพียงแต่ประธานยูกิที่นั่งอยู่เงียบๆบนโต๊ะของตัวเองคนเดียว อาสึนะจึงค้อมศีรษะรับคำต้อนรับและคำชื่นชมเหล่านั้นก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น

“เอ่อ ปะ ประธานครับ? ไม่มาปาร์ตี้กันหน่อยหรอครับ?”
“อ้าวโธ่ ประธานนี่ล่ะก็ ไปนั่งทำไมตรงนั้น มีของจะให้คันซากิคุงไม่ใช่หรอคะ?”
“หือ? ของให้ผม?”

เรย์มุเป็นคนไปจูงมือประธานยูกิที่นั่งอยู่บนโต๊ะให้ลุกขึ้นมา ในขณะที่อาสึนะนั้นไม่เข้าใจว่ากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่

ยูกิดูไม่อยากจะลุกขึ้นมาจากโต๊ะเท่าไหร่ จนรองประธานอายูมิต้องไปช่วยจูงมือเธอมาอีกคน พร้อมผลักเธอจนไปยืนอยู่ตรงหน้าอาสึนะที่ยังคงมีสีหน้าสงสัยไม่หาย

“อะ เอ้านี่ ฉันให้”

ยูกิยืนเงียบอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว กว่าที่จะพูดคำนั้นออกมาได้ แล้วยื่นกล่องของขวัญให้กับเขา

“ให้ผม?”
“ปะ เปิดดูสิ”

แม้จะงงอยู่ แต่อาสึนะก็เปิดกล่องของขวัญกล่องนั้นออกมา พบว่ามันเป็นผ้าพันคอ

“ยูกิน่ะตั้งใจถักมาให้นายเลยนะ ที่ไม่ให้นายมาที่ห้องสภานักเรียนก็เพราะจะแอบถักมาเซอร์ไพรส์วันนี้นี่แหละ”
“เดี๋ยวเถอะ! ฉันให้เผื่ออาสึนะไว้ใช้ตอนอากาศหนาวต่างหากเล่า”
“แต่เดี๋ยวก็จะถึงหน้าร้อนแล้วนะ”
“งะ เงียบน่า ถ้าเธอพูดอีกล่ะก็ฉันตบจริงๆด้วย”

ยูกิกับอายูมิหยอกกันไปมา ทุกคนต่างหัวเราะคิกคัก รวมทั้งอาสึนะที่แม้จะงงเอามากๆจนถึงตอนนี้ก็ตามที แต่เขาก็ยิ้มให้กับประธานยูกิแล้วกล่าวขอบคุณ

“ขอบคุณครับ ผมจะเก็บไว้อย่างดีเลย”
“อะ อือ”

แม้สีหน้าของยูกิจะนิ่งเฉย แต่หน้าเธอแดงจนเกือบถึงหูแล้ว

ราชินีไร้หัวใจอย่างเธอก็มีด้านนี้อยู่บ้างเหมือนกัน

“ถ้างั้นก็ เริ่มปาร์ตี้ได้!”

คิโยชิเป็นผู้กล่าวเปิดงานปาร์ตี้อย่างเป็นทางการพร้อมยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นฟ้า

ถึงจะแสวงหาความธรรมดาในชีวิตวัยเรียนมาตลอด

แต่มีสีสันบ้างสักครั้งก็ไม่เลวเหมือนกัน

อาสึนะคิดเช่นนั้น

----------------------------------------------------

1ดอกคาร์เนชันสีเหลืองแสดงถึงความดูถูกเหยียดหยามของผู้ให้ที่มีต่อผู้รับ
ขึ้นไปข้างบน Go down
 
Checkmate : Turn 8
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Checkmate : Turn 7
» Checkmate : Turn 9
» Checkmate : Turn 10
» Checkmate : Turn 1
» Checkmate : Turn 2

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: