เจโน่นั่งอยู่คนเดียวในห้องที่มืดมิด หลังของเธอนั้นพิงกับกำแพงชื้นๆ เธอนั่งอยู่บนกองฟางที่ไม่สะดวกสบาย รอบๆของเธอนั้นเต็มไปด้วยกำแพงหินที่ถูกก่อไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงด้านหน้าที่ไม่ไม่ใช่กำแพงหิน แม้ว่าจะไม่ใช่กำแพงหินแต่ก็เป็นกรงเหล็กที่ขังเธอไว้ ทำให้เจโน่ไม่สามารถออกไปไหนได้ ใบหน้าของเจโน่นั้นเต็มไปด้วยเบื่อหน่าย เธอไม่มีอะไรทำ ในห้องใต้ดินแห่งนี้นั้นนอกจากตัวของเธอแล้ว ก็ไม่มีใครอยู่เลย ในห้องของเธอมีช่องเล็กๆ ซึ่งช่องนั้นเป็นที่เดียวที่แสงเล็ดลอดผ่านเข้ามาได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นเพียงแสงอันเพียงน้อยนิด
“แอ๊ด” เสียงประตูถูกเปิดขึ้น
เสียงของฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นหลังจากเสียงประตูถูกเปิดออก เจโน่เคลื่อนตัวมาก่อนจะคลานไปยังลูกกรง เธอเห็นชายในชุดเกราะสองคนกำลังหิ้วร่างของชายคนหนึ่ง เมื่อเจโน่เห็นชายที่ถูกหิ้วแล้ว มันก็ทำให้ดวงตาของเธอเบิกโพลนขึ้นมา เธอเห็นชายผมขาวที่เธอรู้จักถูกหิ้วอยู่ ชายคนนั้นคือชายที่ทำให้เธอต้องติดอยู่ในห้องขังอันคับแคบแห่งนี้ มือของชายผมขาวคนนั้นถูกผูกอยู่ เรซอร์นั้นไม่แสดงท่าทีขัดขืนเลย เขานิ่งราวกับวิญญาณนั้นไม่อยู่กับร่างของเขาแล้ว ทหารที่จับตัวของเรซอร์ไว้ แยกไปเปิดประตูห้องกรงที่อยู่ตรงข้ามกับเจโน่ ก่อนที่ทหารจะโยนร่างของเรซอร์ลงไปนอนบนกองฟาง ทหารปิดประตูลูกกรงก่อนจะล็อคประตูไว้ไม่ให้นักโทษหลบหนี
“เค้าคนนั้นทำอะไรไว้หรือ?” เจโน่เอ่ยปากผู้คุมขัง
“เจ้านี่ฆ่าคนไปตั้งสิบศพ” ผู้คุมขังหันมาตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“ได้ยังไง?” เจโน่ถามต่อด้วยความสงสัย
“ไม่รู้ เจ้าไปถามมันเองซิ”
เหล่าผู้คุมเดินออกจากห้องใต้ดินไป เจโน่หันกลับไปมองเรซอร์ที่ยังนอนบนกองฟาง เขาไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาตายไปแล้ว
“เจ้าน่ะ ตายแล้วรึยัง?” เจโน่เอ่ยปากถามชายผมขาวที่นอนนิ่ง
เรซอร์ไม่ได้ตอบอะไร หญิงผมดำคนนี้ถอนหายใจฟอดใหญ่
“ถ้าอยากจะเล่าให้ข้าฟังแล้วก็บอกข้าแล้วกัน”
=====
“ต้องประหารเท่านั้น!!” บิลลี่พูดพลางใช้กำปั้นทุบไปที่โต๊ะไม้
ใบหน้าของบิลลี่นั้นดูโกรธเกรี้ยว ชายผมสีทรายนั้นยืนอยู่ในห้องทรงแปดเหลี่ยม ในห้องนั้นไม่ได้มีเพียงบิลลี่คนเดียว แต่ยังคงมีคาสซานดร้า แฟลมม่า และวาริสยืนอยู่ด้วย บรรยากาศในห้องนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด บนโต๊ะนั้นมีแผนที่วางอยู่เหมือนทุกครั้ง แต่เหนือแผนที่นั้นมีกระดาษอีกมากมายที่วางกระจัดกระจายอยู่
“เขาฆ่าคนไปถึงสิบคนและข้ายืนกรานว่าเราต้องประหารเท่านั้น” ชายผมในชุดเกราะพูดด้วยน้ำเสียง
“แต่ท่านพี่ เรซอร์เคยช่วยข้าไว้นะ ข้าว่าเราอาจจะพออภัยให้เขาได้” คาสซานดร้าพยายามโน้มน้าวพี่ชายของตัวเอง
“พระองค์ ความผิดมันก็ยังคงเป็นความผิด ความดีนั้นมิอาจลบได้” บิลลี่ตอบน้องสาวของตัวเอง
“แล้วครอบครัวของทั้งสิบคนนั้นล่ะ? พวกเขาจะยอมรับได้หรือหากเราปล่อยตัวเรซอร์ไป” ชายผมสีทรายพูดต่อ
“ยังไงกระหม่อมก็คิดว่าเราควรประหารเรซอร์”
“แต่พระองค์ พยานแถวนั้นพูดว่ามันเป็นการป้องกันตัวนะพะยะค่ะ” แฟลมม่าหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา
“มันเกินไปรึเปล่า? นี่ตายเป็นสิบเลยนะ” บิลลี่แย้ง
“พยานว่ายังไงนะ กระหม่อม?” วาริสที่ยืนจับคางของตัวเองลดมือลงก่อนจะตั้งคำถามกับบิลลี่
“พยานแถวนั้นเล่าว่ากลุ่มชายฉกรรจ์รุมทำร้ายเวตาล่า และจากนั้นก็มีราชสีห์สีฟ้าปรากฏตัวขึ้นมาขย่ำร่างของคนพวกนั้น” แฟลมม่ายืนอ่านกระดาษในมือของเธอเอง
“ราชสีห์สีฟ้า?” บิลลี่ทวนคำพูดคำสุดท้าย
บิลลี่หันไปมององค์ราชินี บิลลี่นึกถึงเรื่องราวที่ออกมาจากปากของคาสซานดร้า เรื่องราวของชายผมหนุ่มผมขาวกับฝูงราชสีห์สีนภา
“ถ้างั้นเป็นไปได้รึเปล่าที่เรซอร์จะควบคุมพลังตัวเองไม่ได้” วาริสเสนอความน่าจะเป็นขึ้นมา
“แต่ถึงกระนั้น ต่อให้เรซอร์ควบคุมพลังตัวเองไม่ได้ ข้าว่าเราก็ควรจะต้องลงโทษเขาอยู่ดี” แฟลมม่าสนับสนุนบิลลี่
“ใช่ เราควรจะลงโทษเขา แต่ข้าคิดว่าเราไม่ควรจะประหารเขา” หนุ่มเอลฟ์ออกความเห็น
“เรซอร์มีพลังที่แข็งแกร่งมาก และถ้าเราประหารเขา มันก็คงไม่ต่างอะไรที่โยนโอกาสทิ้ง”
ในขณะที่ทั้งสามกำลังถกเถียงกัน พวกเขาก็นึกได้อย่างหนึ่ง ตั้งแต่การถกเถียงเริ่มขึ้น พวกเขายังไม่ได้ยินเสียงของคาสซานดร้าเลยแม้แต่ครั้ง ทั้งสามหันไปมององค์ราชินีที่ก้มหน้ามองกระดาษอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าของนางนั้นดูเป็นกังวล สายตาของเธอนั้นไม่ได้จับจ้องหน้ากระดาษ แต่สายตาของเธอ
“กระหม่อมเป็นอะไรรึเปล่า?” บิลลี่เอ่ยปากถาม
เสียงเรียกของบิลลี่นั้นทำให้คาสซานดร้าเงยหน้าขึ้นมา
“โทษที ข้าคิดอะไรหลายๆอยู่ ข้าขอไปพักก่อนแล้วกัน”
คาสซานดร้าพูดจบเธอก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่ทันที่ผู้ติดตามของเธอจะได้เอ่ยปากอะไร เธอเดินก้มมองไปยังพื้นที่ถูกปูด้วยพรมสีแดง เธอรู้สึกถึงความอึดอัดที่อยู่ในใจของเธอ หัวใจของเธอนั้นตอนนี้กรีดร้องไปด้วยความเจ็บปวด หญิงผมดำผู้ทรงสง่าผู้นี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด เธอถึงรู้สึกเช่นนี้ เธอเดินออกไปยืนตรงระเบียง เธอแหงนหน้ามองบนท้องฟ้า มันเป็นคืนที่ดวงจันทร์นั้นครึ่งดวง มันเป็นค่ำคืนที่เหล่าดวงดาราไม่ปรากฏตัวออกมาเฉิดฉายบนท้องฟ้า มือทั้งสองข้างของเธอจับระเบียงของราชวัง ผิวหนังของเธอสัมผัสได้ถึงความเย็นจากระเบียงปูนที่เธอจับอยู่
“ข้าเป็นอะไรกันนะ” เธอพูดกับตัวเอง
=====
“หยุดได้แล้ว” ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนแผดร้อง
เสียงแผดร้องของเขาทำให้เขารู้สึกถึงพลังงานได้บางอย่าง มือของเรซอร์นั้นยื่นไปข้างหน้า ร่างกายของเรซอร์นั้นสั่นไปหมด นัยน์ตาของเรซอร์นั้นสะท้อนภาพของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่กำลังรุมทำร้ายเวตาล่าที่นอนอยู่บนพื้น เรซอร์รู้สึกถึงอะไรบางอย่างไหลเวียนในตัวของเขา เขาได้ยินเสียงใครบางคนกระซิบข้างหูเขา แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียง แต่ปากของเรซอร์ก็ขยับตามเสียงกระซิบนั้น เมื่อรู้ตัวอีกทีสิงโตสีฟ้าก็ปรากฏอยู่เคียงข้างเขา เหล่าสิงโตพวกนั้นคำรามด้วยเสียงเกรี้ยวกราด เสียงคำรามนั้นดึงความสนใจของทุกคนที่อยู่แถวนั้น ทุกสายตานั้นหันมามองสิงโตสีโปร่งแสงพวกนี้
“เห้ย นั่นอะไรน่ะ?” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งออกความเห็น
ไม่ทันที่เหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นจะได้ทำอะไร สิงโตก็กระโจนใส่เหล่าชายฉกรรจ์อย่างไม่ปราณี เหล่าสิงโตแยกเคี้ยวก่อนจะฝังเคี้ยวของตัวเองลงไปยังคอของชายพวกนั้น ชายที่ถูกกัดนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ชาวบ้านเหล่านั้นเห็นดังนี้ก็กรีดร้องด้วยความกลัวและวิ่งหนีกันอย่างแตกตื่น เลือดนั้นพุ่งก่อนจะกระเซ็นติดใบหน้าของเรซอร์ ดวงตาของเรซอร์นั้นเต็มไปด้วยความกลัว ร่างกายของเขานั้นหนักอึ้งไปหมด ความกลัวเข้าครอบงำร่างของเขา เขาได้แต่นั่งเฉยๆมองเหล่าราชสีห์กัดกินร่างของชายฉกรรจ์
ของเหลวสีแดงข้นไหลไปตามพื้น มันนองมาใกล้ร่างของเรซอร์ที่นั่งอยู่บนพื้น ของเหลวสีแดงนั่นสะท้อนใบหน้าของเรซอร์ เขามองขึ้นไป เขาพยายามตะโกนสั่งให้มันหยุด แต่ดูเหมือนราชสีห์พวกนั้นจะไม่ฟังคำอ้อนวอนของเรซอร์แม้แต่น้อย พวกมันยังคงออกล่าเหยื่อของพวกมัน เวตาล่าถอยไปนั่งพิงกับกำแพง แววตาของเขานั้นทั้งตื่นตกใจและกลัว เขากุมหน้าท้องของเขา มันอาจจะเจ็บปวด แต่ด้วยความกลัวมันทำให้เขาลืมความเจ็บปวดนั้นจนหมด
“ข้าขอร้องล่ะ หยุดเถอะ!!”
=====
เรซอร์สะดุ้งตื่นขึ้นมา เขามองไปรอบๆ คราวนี้เขาอยู่ในห้องอันคับแคบและมีเพียงแสงไฟนิดเดียว เขาก้มมองไปก่อนจะเห็นกองฟางจำนวนมาก แม้ช่วงแรกๆเรซอร์จะสับสน แต่ไม่นานเขาก็นึกออกว่าที่นี่ที่ไหน ใช่ ที่นี่คือสถานที่ที่กักขังคนที่ทำผิด เหตุการณ์ที่เขาเห็นในความฝันไหลเวียนเข้ามายังความทรงจำของเขาอีกครั้ง เรซอร์ก้มมองมือทั้งสองข้างของตัวเอง มันทำให้เขารู้สึกกลัว มือทั้งสองข้างที่อัญเชิญอสูรออกมา เขานึกถึงคำพูดของคาสซานดร้า มันทำให้เขารู้แล้วว่าสิ่งที่เขาได้ยินมาจากปากองค์ราชินีนั้นเป็นเรื่องจริง
“ตื่นซักทีนะ” เสียงหญิงอันคุ้นหูดังขึ้นมา
เรซอร์หันกลับไปตามเสียงก่อนจะเห็นเจโน่ที่นั่งอยู่ เธอนั่งอยู่อีกห้อง ระยะของทั้งสองนั้นไม่ได้อยู่ห่างกันมาก แต่กรงขังนั้นกั้นทั้งสองคนไว้
“เจ้าคือนักฆ่าคนนั้นนี่?” เรซอร์พูดกับหญิงผมดำปริศนาที่อยู่อีกห้อง
“อืม ข้าชื่อเจโน่ รัน แล้วเจ้าชื่อเรซอร์ใช่ไหม?” เจโน่แนะนำตัวเองพลางถามคำถามชายผมขาว
ชายผมขาวพยักหน้าเพื่อให้คำตอบกับเจโน่
“ข้าขอถามเจ้าได้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เจโน่ที่นั่งอยู่อีกกรงเอ่ยปากถาม
เรซอร์นั่งเงียบอยู่พักใหญ่
“ถ้าเจ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ ข้าแค่อยากรู้เฉยๆ”
“ตอนนั้นข้าเห็นคนที่มีพระคุณกับข้าโดนทำร้าย ข้าตะโกนบอกให้พวกเขาหยุด...”
“เมื่อข้ารู้ตัวอีกที ข้าก็อัญเชิญเหล่าราชสีห์พวกนั้นมาขย่ำร่างของคนพวกนั้นแล้ว” เรซอร์เล่าให้หญิงผมดำฟัง
“เจ้าลองอัญเชิญอะไรได้ไหม? แบบพวกหมาๆแมวๆน่ะ” เจโน่
“ข้าจะลองดู”
ชายผมขาวยื่นมือไปข้างหน้า ปากของเขาท่องเรียกชื่อสัตว์ที่เขาต้องการจะให้ออกมา หากทว่าแม้เขาจะขานชื่อของสรรพสัตว์เหล่านั้นกี่ครั้ง มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรซอร์ลดมือลงก่อนจะมองหน้าหญิงผมดำที่อยู่คนละกรง
“เจ้าปฏิเสธข้อเสนอของท่านคาสซานดร้าหรือ?” ชายผมขาวเป็นฝ่ายถามบ้าง
“อืม ข้าปฏิเสธไปน่ะ ข้าคิดว่าองค์ราชินี ไม่เหมาะกับเป็นนายของข้า”
“คำพูดของเจ้าชวนให้โดนประหารมากเลยนะ” เรซอร์เอ่ยปากแซว
“ฮ่ะๆ ยังไงข้าก็ต้องโทษประหารอยู่แล้ว ข้าจะต้องกลัวอะไรอีก” เจโน่หลับตาพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
“ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมตอนนั้นเจ้าตัดสินใจรับกระสุนแทนองค์ราชินีล่ะ?”
“ถ้าเจ้าวิ่งหนีไป ก็ไม่มีใครรู้หรอก” เจโน่เอ่ยปากถามบ้าง
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน บางอย่างในร่างกายของข้าสั่งให้ไปเอง แค่นั้นแหละ” ชายผมขาวตอบ
เจโน่หาว เธอใช้มือเธอปิดปากของตัวเอง เธอทิ้งตัวลงไปนอนบนกองฟางก่อนจะพูดกับเรซอร์
“ข้าง่วงแล้ว ถ้างั้นข้านอนล่ะ ราตรีสวัสดิ์”
“เอ๊ะ เอ่อ ราตรีสวัสดิ์” ชายผมขาวตอบกลับ
ชายผมขาวนั่งพิงกำแพงก่อนจะมองเจโน่นอนหลับ เขาไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย อาจจะเพราะเขานอนมามากพอแล้ว ดวงตาของเขาจ้องมองเพดานไม้
“เราจะเป็นยังไงต่อนะ?” เรซอร์ตั้งคำถามกับตนเอง
=====
อีฟและเคนก้าวหน้าไปข้างหน้า โดยเคนนั้นยืนนำหน้าหญิงในชุดสีแดง ชายสวมหน้ากากใช้มือผลักประตูไม้ออก เมื่อประตูไม้ถูกผลักนั้น อีฟก็ยืนอยู่ในห้องที่เพดานสูงและห้องนั้นก็มีขนาดกว้าง อีฟนั้นเห็นเรือเหาะนั้นจอดอยู่ มันเป็นเรือเหาะขนาดใหญ่ที่ไม่มีลวดลายอะไรทั้งสิ้น เคนหันกลับมาหาอีฟที่กำลังทำใบหน้าตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเห็น เมื่ออีฟรู้ว่ากษัตริย์แห่งอาณาจักรคิโดร่าหันมานั้น เธอก็เอ่ยปากถามขึ้นมา
“เรือเหาะเสร็จแล้วงั้นหรือ?”
“ใช่ เสร็จแล้ว อีฟการบุกรุกครั้งต่อไป เจ้าใช้เรือเหาะนี้ซะ” เคนออกคำสั่ง
“พะยะค่ะ” อีฟตอบรับ
แววตาและสีหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนเธออยากจะใช้เรือรบนี้เพื่อเข้าสู่สมรภูมินี้เต็มทีแล้ว
“ข้าฝากด้วยละกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” เคนพูดพร้อมกับจับไหล่ของอีฟ
“ไม่ต้องห่วงเลยพระองค์ อย่างที่ข้าบอกพระองค์ ข้าจะแสดงให้เห็นพวกกราเดลเห็นว่านรกมีหน้าตาเป็นเช่นไร”