“ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่ไปด้วยล่ะฮะ?”
“นั่นสิคะ ทำไมคุณน้าไม่ไปกับพวกเราล่ะคะ?”
เด็กน้อยชายหญิงสองคนในวัยสิบต้นๆพูดกับผู้ที่น่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ของเด็กชาย ทั้งหมดอยู่บนเรือสำราญลำหนึ่งที่ดูเหมือนจะหยุดนิ่งอยู่กลางทะเลได้สักพักนึงแล้ว
“ประกาศ ขอให้ทุกท่านรีบอพยพไปยังเรือช่วยชีวิตที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้โดยด่วน ขณะนี้เรือสำราญกำลังจะจมลงสู่ก้นทะเล ขอย้ำ เรือสำราญกำลังจะจมลงสู่ก้นทะเล”
เสียงประกาศผ่านทางลำโพงที่ถูกติดตั้งอยู่รอบๆเรือสำราญดังขึ้นทำให้เด็กน้อยทั้งสองหันมองไปรอบๆด้วยความสงสัย ยิ่งเห็นผู้คนโดยรอบเดินไปเดินมาอย่างจ้าละหวั่นก็ยิ่งทวีความสงสัยมากขึ้น สิ่งที่เด็กน้อยทั้งสองเห็นบ่งบอกได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้กำลังผิดปกติ
“เสียงประกาศนั้นคืออะไรหรอฮะ?”
“อ๋อ ซ้อมอพยพไงล่ะ เหมือนที่โรงเรียนของลูกซ้อมหนีไฟไง”
“ปกติแล้วต้องให้เด็กๆหนีไปก่อน พ่อกับแม่เลยไปกับลูกๆไม่ได้ไงล่ะจ๊ะ”
ผู้เป็นพ่อแม่ตอบคำถามของเด็กชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดูขัดแย้งกับสถานการณ์วุ่นวายรอบตัว
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ฮะ ไปด้วยกันก็ได้นี่นา”
“เรียวงะ ลูกโตแล้วนะ หัดทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ตามไป ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย”
“พ่อพูดถูกแล้วล่ะ ถึงเวลาที่ลูกควรทำอะไรด้วยตัวคนเดียวได้แล้วล่ะจ้ะ”
เด็กชายนามว่าเรียวงะเงียบสักพัก ก่อนที่เขาจะพยักหน้า
“พ่อดีใจจริงๆที่เห็นลูกชายโตขึ้นแล้ว เนอะแม่”
“อื้ม”
คุณพ่อและคุณแม่ของเรียวงะมองหน้ากันแล้วยิ้มหน้าบาน แล้วหันไปมองเด็กหญิงที่ยืนอยู่ข้างๆเรียวงะ ก่อนที่ผู้เป็นพ่อก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ดูแลอิซึกิจังให้ดีด้วยล่ะ”
“ผมเป็นเพื่อนกับเธอตั้งแต่เด็ก ผมต้องปกป้องเธออยู่แล้วฮะ”
“พ่อภูมิใจในตัวลูกจริงๆ...”
โครม!!!จู่ๆเรือสำราญก็เสียการทรงตัวกะทันหัน ทำให้พื้นที่ทุกคนยืนอยู่ลาดเอียงจนทั้งเรียวงะและอิซึกิเสียหลักล้มลงไป ผู้เป็นพ่อและแม่รีบพุ่งเข้าไปประคองร่างของทั้งเรียวงะและอิซึกิให้ลุกขึ้นมา แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ทั้งพ่อและแม่ก็ยังคงมีใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกล่าวกับเด็กน้อยทั้งสอง
“รีบหนีไป...”
ทันใดนั้นคลื่นขนาดยักษ์ก็ซัดเข้ามาภายในตัวเรือ เรียวงะหันไปมองพ่อแม่และเพื่อนสมัยเด็กของเขา นั่นคือภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนที่จะหมดสติไป
----------------------------------------------------
เมื่อเรียวงะรู้สึกตัวอีกครั้ง เขารู้สึกว่าศีรษะของตนหนุนกับอะไรบางอย่าง มันเป็นสัมผัสที่นุ่มสบายจนเขาอยากจะนอนอยู่อย่างนั้นไปตลอด เด็กชายค่อยๆลืมตาขึ้นมา ภาพแรกที่เขาเห็นคือหญิงสาวเรือนผมยาวสีแดง ดวงตากลมโตสีฟ้านั้นส่งสายตามาทางเขา
“ฟื้นแล้วหรอ?”
“พี่สาวเป็นใครหรอฮะ?”
“พี่สาวงั้นหรอ... แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ?”
“ผะ... ผมชินทาโร่ เรียวงะฮะ”
“เรียวงะสินะ?”
หญิงสาวอมยิ้ม พลางใช้มือเรียวสวยปาดหยดน้ำที่อยู่บนใบหน้าเด็กชาย
“พ่อแม่ของผมล่ะฮะ? อิซึกิล่ะ? ผมสัญญากับพ่อแม่ว่าจะดูแลเธอ”
เรียวงะลุกขึ้น เขาพบว่าสัมผัสนุ่มๆนั้นก็คือต้นขาขาวเนียนของหญิงสาวผมแดงปริศนาคนนี้นั่นเอง เด็กชายมองซ้ายมองขวา ที่ๆเขายืนอยู่ในตอนนี้เขาจำได้ดีว่าเป็นท่าเรือที่เขาและครอบครัวมาถึงก่อนที่จะขึ้นทริปล่องเรือสำราญ
สักพักก็เริ่มมีผู้คนเดินเข้ามายังท่าเรือดังกล่าว แต่ละคนต่างชี้นิ้วไปที่เรียวงะและหญิงสาวผมแดงเหมือนเจอดาราคนดัง บางคนก็หยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายรูปไว้
“นั่นมัน?”
“AG รุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวบนทริปล่องเรือสำราญนี่นา?”
“ได้ข่าวว่าเรือลำนั้นชนภูเขาน้ำแข็งนี่?”
“เจ้าหนูนั่นเป็นผู้รอดชีวิตหรอ?”
“แต่ตามรายงานบอกไว้ว่าไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคนนี่นา?”
“หรือว่า AG ตัวนั้นช่วยเจ้าหนูนี่ไว้?”
เสียงคนมุงต่างพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กับสิ่งที่เห็นไปต่างๆนาๆ หญิงสาวผมแดงยืนขึ้นแล้วคว้าแขนเรียวงะที่พยายามเดินไปรอบๆและเรียกชื่อคุณพ่อคุณแม่รวมทั้งเพื่อนสมัยเด็กของเขา ก่อนที่หญิงสาวจะนั่งคุกเข่าเพื่อให้ตนอยู่ในระดับเดียวกับเด็กชาย
“เรียวงะ ทำใจดีๆเอาไว้นะ คุณพ่อคุณแม่ของเธอคงไม่มาแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะฮะ? คุณพ่อคุณแม่ผมบอกเองว่าจะตามมาทีหลัง แล้วก็ฝากฝังให้ผมดูแลอิซึกิด้วย มาช่วยกันหาเธอดีกว่าฮะ เดี๋ยวผมโดนพ่อแม่ดุพอดี”
“อิซึกิเพื่อนของเธอก็ไม่มาแล้วเหมือนกันนะ”
“หมายความว่าไงฮะ? สรุปแล้วพี่สาวเป็นใครกันแน่?”
สายตาอันไร้เดียงสาของเด็กชายจ้องเขม็งมาที่หญิงสาวเพื่อรอคำตอบอย่างตั้งใจ เธอเงียบอยู่สักพัก ก่อนที่จะพูดขึ้น
“เธอคือมาสเตอร์ของฉัน ไม่สิ...”
หญิงสาวผมแดงส่ายหน้าเบาๆ พร้อมเลื่อนมือไปที่ศีรษะของเด็กชาย และลูบผมสีดำที่เปียกปอนด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะส่งยิ้มอันอ่อนโยนให้กับเขา
“ฉันจะเป็นพี่สาวของเธอเอง”
----------------------------------------------------
ติ๊ดๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงียเมื่อได้ยินเสียงปลุกของนาฬิกาดิจิตอล เขาใช้ฝ่ามือสัมผัสบนนาฬิกาเพื่อหยุดเสียงปลุกแล้วลุกขึ้นจากเตียง
“ฝันถึงเรื่องตอนนั้นอีกแล้วแฮะ...”
เขาพึมพำเบาๆ แล้วกวาดสายตามองไปที่ปฏิทินบนฝาผนัง มีวันที่บนปฏิทินวันหนึ่งถูกวงกลมไว้ด้วยปากกาเมจิกสีดำพร้อมเขียนข้อความกำกับไว้ว่า ‘ทัศนศึกษา’ พอเขาเห็นแล้วกลับทิ้งตัวลงไปบนเตียงต่อ ดูจากวันที่บนนาฬิกาดิจิตอลแล้ว ท่าทางวันที่วงเอาไว้จะเป็นวันนี้ ปกติแล้วถ้าใครรู้ว่าเป็นวันทัศนศึกษาก็ต้องจัดเตรียมของเอาไว้ล่วงหน้าก่อน แต่ภายในห้องของเด็กหนุ่มกลับไม่มีอะไรเตรียมไว้เลย เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะไปตามกำหนดการตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เขากลับไปนอนบนเตียงได้แค่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนที่เสียงนั้นจะมาหยุดตรงหน้าประตูห้องนอนของเขาตามมาด้วยเสียงเคาะประตู
ก็อกๆ เสียงนั้นดังอยู่สองสามครั้งก่อนที่ประตูห้องนอนจะเปิดออก
“เรียวคุง ตื่นได้แล้ว ข้าวเช้าพร้อมแล้วนะ”
หญิงสาวผมสีแดงในชุดลำลองสวมผ้ากันเปื้อนเดินเข้ามาแล้วพยายามเขย่าตัวเด็กหนุ่ม เขาส่งเสียงในลำคอประมาณว่าไม่อยากจะตื่นขึ้นมาจนหญิงสาวต้องพูดต่อ
“วันนี้ต้องไปทัศนศึกษาด้วยไม่ใช่หรือไง? แล้วนี่ยังไม่ได้จัดของอะไรเลยหรอเนี่ย!? ตายแล้วแบบนี้ต้องยิ่งรีบตื่นเลยนะ เดี๋ยวพี่ช่วยจัดของให้เร็วๆเลย”
“ผมไม่ไป พี่เคียวโกะ”
เด็กหนุ่มดึงผ้าห่มคลุมศีรษะตัวเองจนมิด ผู้เป็นพี่สาวเท้าสะเอว เธอดูโกรธนิดๆแต่ก็ไม่ถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ปกติพี่จะตามใจเธอแต่ไม่ใช่ครั้งนี้นะ ทัศนศึกษาจะทำให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ๆนอกห้องเรียนแถมยังได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆด้วยนะ”
“ทัศนศึกษาครั้งนี้เดินทางด้วยเรือน่ะ...”
เมื่อน้องชายพูดจบ จู่ๆผู้เป็นพี่สาวมีท่าทีเปลี่ยนไปทันที เธอหยุดคะยั้นคะยอแล้วกลับหลังหันพร้อมเดินออกจากห้องไปอย่างว่าง่าย
“งั้นพี่ให้นอนอีกสิบนาทีนะ แล้วค่อยลงมากินข้าวเช้า พี่จะโทรไปลาที่โรงเรียนให้”
เมื่อเคียวโกะพูดจบก็ปิดประตูห้องนอน เด็กหนุ่มที่ขดตัวอยู่ในผ้าห่มจึงค่อยๆเปิดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
“ชินทาโร่ เคียวโกะ พี่สาวของเรียวงะค่ะ ค่ะ... ขออนุญาตลาป่วยนะคะ”
เสียงคุยโทรศัพท์ของเคียวโกะดังแว่วมา เรียวงะถอนหายใจเบาๆ เขามองไปที่กระดานซึ่งถูกติดรูปถ่ายเอาไว้มากมาย มีอยู่รูปหนึ่งซึ่งเป็นรูปของเด็กหญิงผมสีดำกำลังกัดเมล่อนปังที่อยู่ในมือด้วยสีหน้ามีความสุข แม้จะเห็นหน้าตาของเธอไม่ชัดเพราะถูกบดบังด้วยเงามืดภายในห้องที่ปิดม่านบังแสงแดดจากภายนอกไว้ แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าเธอที่อยู่ในรูปคือใคร
“อิซึกิ...”
จากเหตุการณ์เรือสำราญพุ่งชนภูเขาน้ำแข็งนั้นก็ผ่านมาหลายปี ชินทาโร่ เรียวงะ เป็นเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากโศกนาฏกรรมครั้งนั้น ส่วนพ่อแม่ของเขาและอิซึกิเพื่อนสมัยเด็กนั้นหายสาบสูญไปพร้อมๆกับผู้โดยสารบนเรือกว่าพันคน แม้จะไม่ได้มีการสรุปอย่างเป็นทางการว่าทุกคนนั้นเสียชีวิต เพราะทีมสำรวจไม่สามารถค้นหาร่างของผู้เสียชีวิตหรือแม้กระทั่งซากเรือสำราญที่อับปางอยู่ก้นทะเลได้ แต่ด้วยความหนาวเหน็บของสภาพอากาศในตอนนั้น ความเป็นไปได้แทบจะเป็นศูนย์ที่จะมีใครรอดชีวิตมาได้
เรียวงะได้รับความช่วยเหลือจาก AG รุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวในทริปล่องเรือสำราญดังกล่าว เธอคนนั้นมีชื่อว่าเคียวโกะ
ใช่แล้ว... คนที่ถูกเรียวงะเรียกว่า ‘พี่สาว’ นั่นเอง
เคียวโกะคือผู้ที่มีพระคุณกับเขาเป็นอย่างมาก จนไม่อาจรู้ว่าตอบแทนอย่างไรถึงจะทดแทนบุญคุณนั้นได้ เขานับถือเธอเหมือนกับพี่สาวแท้ๆคนหนึ่ง เพราะเคียวโกะก็คอยดูแลเขาในฐานะน้องชายมาจนโต แม้เรียวงะเองก็ไม่เข้าใจนักว่ามีอะไรมาดลใจให้เคียวโกะมองเขาแบบนั้น แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับทุกๆสิ่งที่เธอทำให้กับเขา
และเพราะโศกนาฏกรรมดังกล่าวทำให้เรียวงะหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยเรือ เพราะเขาไม่อยากที่จะพบเรื่องน่าเศร้าเช่นนั้นอีก
ปิ๊ง! ป่อง!เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นทำให้เรียวงะลุกออกมาจากเตียงแต่ก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงเปิดประตู สงสัยเคียวโกะคงจะเดินไปเปิดประตูให้แล้ว เรียวงะที่ทำท่าจะมุดเข้าไปในผ้าห่มต้องหยุดกึกอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงพี่สาวของตนตะโกนขึ้นมา
“เรียวคุง! เพื่อนมาหาแน่ะ!”
เรียวงะสงสัยนิดๆว่าใครมาหาแต่เช้าแบบนี้ เขาคว้าเสื้อยืดและกางเกงยีนส์มาสวมแบบลวกๆพร้อมออกจากห้องนอนแล้วลงไปชั้นล่าง เดินผ่านเคียวโกะที่ง่วนอยู่กับงานในครัวไปที่หน้าบ้าน เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดประตูเพื่อต้อนรับเพื่อนผู้มาเยือน
เรียวงะพบกับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขายืนอยู่ เขามีผมสั้นสีน้ำตาลและหน้าตาที่น่าจะเรียกว่าน่ารักมากกว่าหล่อเหลา แม้สายตาจะดูดุดันนิดๆแต่ถ้าไว้ผมยาวสักหน่อยล่ะก็คงไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงดีๆนี่เอง
“อะไรกัน มัตสึเองหรอ”
“ช่วยเติม ‘ไดระ’ ลงไปข้างหลังชื่อที่แกเรียกด้วย”
“แกน่าจะชินๆได้แล้วนะ”
เรียวงะหัวเราะเบาๆแล้วเกาศีรษะแกรกๆ
เพื่อนสนิทของเขา อิโตะ มัตสึไดระ คือเด็กหนุ่มที่มีนิสัยต่างจากหน้าตาสุดขั้ว
หน้าตาที่น่ารักจนไอดอลชายอาชีพบางคนยังอาย หากคิดว่าเขามีบุคลิกเรียบร้อยเหมือนหน้าตาล่ะก็คิดผิดถนัด เพราะเขานั้นปากร้ายและพูดจาไม่ค่อยไว้หน้าใคร โดยเฉพาะสาวๆที่มาตามกรี๊ดเขา แต่น่าแปลกใจที่บุคลิกเช่นนั้นกลับยิ่งทำให้มีแฟนคลับสาวๆมาติดพันมากขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่ได้ต้องการเลยสักนิด หรือบางทีเขาอาจจะถูกมองว่าเป็นหนุ่มซึนเดเระก็เป็นได้
เพราะชื่อ ‘มัตสึไดระ’ นั้นยาวไป ใครๆเลยต่างเรียกเขาว่า ‘มัตสึ’ ซึ่งเขาไม่พิสมัยในชื่อนั้นเท่าไหร่นัก
“แล้วมีอะไรมาที่นี่ตั้งแต่เช้า?”
“จริงๆฉันน่าจะถามแกก่อนมากกว่า ว่าทำไมแกถึงยังอยู่ในสภาพนี้ทั้งๆที่วันนี้มีทัศนศึกษาน่ะ?”
มัตสึไดระพูดขึ้นพร้อมมองเรียวงะตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เรื่องของฉันน่ะ... แต่แกเองก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“พอดีฉันแวะไปลาที่โรงเรียนเพราะมีธุระ แล้วไม่เจอแก แล้วที่ๆฉันจะไปมันผ่านบ้านแกพอดีเลยกะจะมาดูสักหน่อยว่าทำไมแกถึงไม่ไปโรงเรียน”
“งั้นหรือ... แล้วนานะไม่มาด้วยหรอ?”
“อย่าพูดถึงยัยนั่นตอนที่ฉันกำลังอารมณ์ดีๆได้ไหม?”
“ยังกัดกันอยู่อีกหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่านานะจะเป็น AG ของแก”
“ก็ไม่ได้อยากให้เป็นสักหน่อย จริงๆธุระที่ว่าก็คือหนียัยนั่นไปเที่ยวนั่นแหละ ฉันโกหกยัยนานะว่าไปทัศนศึกษาแล้วกะว่าจะไปเที่ยวให้เต็มอิ่มเลย เฮ้อ... ทำไมฉันต้องเป็นเทรนเนอร์ให้กับยัยนั่นด้วยนะ จะว่าไปก็อิจฉาแกเหมือนกัน ที่มี AG อย่างคุณเคียวโกะ ทั้งน่ารัก เรียบร้อย ใจดี ให้ความรู้สึกเหมือนพี่สาวเลย”
เรียวงะยิ้มแหยๆ ความจริงแล้วน้อยคนนักที่จะรู้ว่าถ้าเขาและเคียวโกะอยู่กันสองต่อสองจะมีความสัมพันธ์แบบพี่น้อง แต่ยังไงทั้งลักษณะภายนอกและท่าทางของเคียวโกะนั้นเหมือนจะตั้งใจออกแบบให้ได้อารมณ์แบบพี่สาวใจดีในการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่ใครๆจะมองแบบนั้น
“ไหนๆแกก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว ไปเที่ยวกับฉันไหมล่ะ?”
“แล้วแกจะไปไหนน่ะ?”
“ไปถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้ เร็วเข้า!”
“เดี๋ยวสิ ฉันต้องบอกพี่... เอ่อ... เคียวโกะก่อน”
“ไม่ต้องหรอกน่า คุณเคียวโกะใจดีจะตาย ค่อยบอกทีหลังก็ได้”
มัตสึไดระลากตัวเรียวงะออกไปนอกบ้านทันทีโดยไม่ถามความสมัครใจ เรียวงะเกือบจะหน้าทิ่มพื้นแต่ก็ทรงตัวไว้ทัน ก็ไม่รู้ว่ามัตสึไดระมีแผนจะไปที่ไหน แต่มาถึงขั้นนี้แล้วเรียวงะเลยจำเป็นต้องตามเพื่อนสนิทของเขาไปอย่างช่วยไม่ได้