Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire VI

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 28
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire VI Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire VI   Cataclysm: The Endless Hellfire VI EmptyTue Aug 23, 2016 3:00 am

Cataclysm: Endless Hellfire
Act VI

------------

  มันเป็นเช้าวันใหม่สำหรับสามัญชนทั่วหล้าแห่งดินแดนเอสซิโอนิค เสียงนกที่กู่ร้องตามพพงไพรในยามเช้าตรู่ แสงแดดจ้าอ่อนๆ จากสุริยันชวนให้เหล่าผู้คนที่ต้องการจะสูดอากาศสดชื่นในยามเช้าออกมาวิ่งออกกำลังกาย ฝึกฝนหรือทำกิจกรรมอะไรอย่างอื่น พูดถึงการฝึกฝนแล้วสถานที่ๆ เหล่าผู้ใช้พลังปราณหรือวรยุทธ เหล่านักสู้ที่มุ่งหวังจะกลายเป็นสุดยอดนักสู้แห่งโพรโตเนี่ยนล้วนพากันมาฝึกฝนกายาและจิตในดินแดนที่ถูกเรียกว่า “ไลท์ไมล์” สำหรับดินแดนนี้มันคือแผ่นดินที่ใหญ่ที่สุดในทวีปทางด้านตะวันออกของโพรโตเนี่ยน ซึ่งความใหญ่ของมันนั่นใหญ่จนต้องแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ทางตะวันตกและตะวันออก สิ่งที่ผู้คนมักจะมาฝึกฝนในเส้นทางกว้างใหญ่แห่งนี้นั่นเพราะว่ากันว่าหากใครก็ตามที่เดินไปจากต้นทางของเวสเทิร์น ไลท์ไมล์จนถึงสุดทางของอีสเทิร์น ไลท์ไมล์ได้จะถือว่าเป็นนักสุดยอดนักสู้ ผู้กล้าแกร่งและอดทนได้จากดินแดนแห่งนี้ นั่นก็เพราะว่าแน่นอนอยู่แล้วว่ามันเป็นดินแดนที่ยาวที่สุด น่าจะราวๆ พันไมล์ได้ อีกทั้งจุดพักเติมเสบียงยังน้อย อุปสรรคมันไม่ใช่แค่เรื่องความยาวและสภาพที่แห้งแล้งตามภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่มันยังเป็นความอดทนของบุคคลนั้นๆ เองด้วยเช่นกัน

  ณ ดินแดนแห่งนี้เป็นสถานที่ๆ หนึ่งในขุนนางชั้นสูงระดับสูงใช้ฝึกฝนร่างกายตลอด ชายผู้นั้นคือคนที่ถูกเรียกว่ามือซ้ายแห่งโครนอส จากการที่โครนอสเคยถามถึงและพูดคุยเกี่ยวกับตัวเขา เขาจะถูกเรียกว่าโบลท์ หรือในอีกฉายานึงคือสายฟ้าสีทองแห่งซินโดร่า เหตุที่เขาถูกขนานนามเช่นนั้นเป็นเพราะว่าปราณสายฟ้าของเขาถูกเล่ากันไปเป็นนักต่อนักจากผู้ที่เคยประสบหรือได้ยินจากเรื่องเล่าว่าสายฟ้าของโบลท์นั้นต่างออกไป มันหาได้สาดส่องเป็นสีฟ้าเหมือนกับทุกคน ว่ากันว่าเขาสามารถที่จะเปล่งพลังปราณสายฟ้าสีทองสง่าได้เมื่อเขาใช้สุดยอดพลังจากดาบของเขาเอง อีกทั้งสถานที่เกิดของชายผู้นี้นั้นอยู่ในดินแดนซินโดร่า สครีม หนึ่งในอีกสถานที่ๆ อันตรายที่สุดในโลก ผู้คนเลยเรียกเขาเป็นสายฟ้าสีทองที่สาดส่องในดินแดนแห่งบาป ปัจจุบันชายผู้นี้รับใช้คำบัญชาขององค์ราชาแห่งสตรอมโฮล์มในการเฝ้าดูแลหอคอยแห่งซินโดร่า สถานที่ๆ เป็นหนึ่งในเป้าหมายของเหล่าหมอผีแห่งบาป แต่ถึงกระนั้นเขาก็มักจะใช้เวลาว่างในการฝึกฝนในไลท์ไมล์เช่นกัน

  พูดถึงซินโดร่า สครีมแล้ว ถ้าหากให้เทียบกับดินแดนอื่นๆ ในทวีปเอสซิโอนิค มันก็ไม่ต่างจากดินแดนที่เป็นถิ่นฐานของเหล่าหมอผีแห่งบาปเท่าไหร่ เนื่องเพราะว่าในซินโดร่า สครีมก็เป็นอีกหนึ่งในแผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยปราณประหลาดที่ชวนขนลุก มันไม่เหมือนปราณปกติที่ผู้คนใช้กันในปัจจุบัน หลายคนบอกว่าปราณเหล่านี้นั้นมีมาตั้งแต่เมื่อกาลก่อนที่โพรโตเนี่ยนยังไม่ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เลยด้วยซ้ำ ว่ากันว่าปราณเหล่านี้ที่ติดค้างในแผ่นดินแห่งซินโดร่านั้นสามารถใช้ในการทำลายล้างโลกได้นั่นเป็นเพราะมันเป็นปราณที่ไม่บริสุทธิ์ มันมีพลังแห่งความมืดและความตายปะปนอยู่ ถึงแม้มันจะแลดูคล้ายพลังบาปที่มีองค์ประกอบคล้ายคลึงกัน แต่พลังนี้มันต่างออกในบางอย่าง แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไร ด้วยความเป็นปริศนาและความทรงพลังของมัน จึงทำให้โครนอสหวั่นเกรงว่าเหล่าหมอผีจะต้องการใช้มันในประสงค์อะไรก็ตามแต่ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เขาจึงส่งหนึ่งในอีดผู้ไว้ใจที่สุดนั่นคือโบล์ทที่เป็นแม่ทัพและกองทัพจำนวนหนึ่งในการเฝ้าระวังสถานที่แห่งนั้น

  ใกล้หอคอยแห่งซินโดร่า มีแคมป์ของเหล่ากองทัพสตรอม ครูเซเดอร์ตั้งถิ่นฐานเพื่อเฝ้าระวังเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ มันถูกจัดไว้สำหรับกองทัพเล็กๆ หรือราวๆ สามสิบคนเห็นจะได้ แม้ว่ามันเพิ่งจะรุ่งเช้าก็ตามที แต่เหล่าผู้เฝ้าระวังเหล่านั้นก็ตั้งใจ ขยันขันแข็งในการทำงานของพวกเขา สวมชุดเกราะดูแข็งกล้าสามารถป้องกันการโจมตีได้ในระดับหนึ่ง ผิวเหล็กที่ถูกขัดอย่างเงาวับสวยงามจนสามารถสะท้อนแสงรอบข้างอย่างสง่า ไหนจะอาวุธที่มีสัญลักษณ์สิงโตรำคามที่มีแต่เหล่าทหารพวกนี้เท่านั้นที่จะใช้งาน ณ ตอนนี้ก็มีทหารผู้คนยืนหน้าเต้นท์เรือนหนึ่งที่ดูแตกต่างไปจากเต้นท์อื่นๆ ดูแล้วมันจะมีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่างหรือไว้สำหรับแม่ทัพระดับสูงเลยยังไงยังงั้น ทหารผู้นี้เหมือนจะยืนรออะไรบางอย่าง เขาไม่รุดตัวเข้าไปทันทีแต่ก็มีทีท่าพยายามจะส่องเข้าไปข้างในสถานที่แห่งนั้น

“นายท่านโบล์ท!” เสียงทหารคนนั้นตะโกนเรียกแม่ทัพของตน “นายท่านโบล์มขอรับ...”
“แปลกจังแฮะ” เขาสบถขึ้น

เมื่อนั้นก็มีทหารอีกนายเดินเข้ามาหาชายผู้นั้น เหมือนกับเป็นความสงสัยว่าชายผู้นี้มายืนทำอะไรที่หน้าเต้นท์แห่งนี้

“เจ้ามาทำอะไรยังงั้นหรอ?” ทหารที่เดินเข้ามาถาม
“ข้ามาเพื่อเรียกท่านโบล์ทเพื่อจะอ่านสาส์นที่องค์ราชาเพิ่งส่งมาน่ะขอรับ” เขาตอบ
“แย่หน่อยนะ... แต่ข้าว่าเขาคงไม่อยู่ที่นี่ในตอนนี้หรอก”
“แล้วเขาไปไหนหรอครับ?”
“เจ้าก็รู้” ทหารคนนั้นกล่าว “นายท่านไม่อยู่นิ่งเฉยจนกว่าที่นี่จะมีเรื่องหรอกนะ”
“เขาไปฝึกตนที่ไลท์ไมล์อีกแล้วสินะ...”

  สำหรับสภาพภูมิประเทศแห่งไลท์ไมล์นั้น โดยมากจะถูกปกคลุมด้วยทะเละทรายแห้งแล้งแต่ไม่ถึงขั้นที่ผู้คนจะไม่สามารถอยู่ได้ เมื่อกลางวันจะเป็นทะเลทรายร้อนระอุและเมื่อตอนกลางคืนจะเป็นผืนทรายที่เย็นเฉียบแทบจะเทียบเคียงกับน้ำแข็งแห่งความเย็น เดิมที่นั้นดินแดนไลท์ไมล์แห่งนี้เคยเป็นผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ แต่เนื่องจากสงครามอสูรกายเมื่อครั้งคราวก่อน ดินแดนนี้เป็นสถานที่หลักในการต่อสู้ เป็นสมรภูมิรบกลางดินแดนเอสซิโอนิค ความเสียหายในครั้งนั้นได้ทำให้ผืนป่าพงไพร พืชสีเขียวชะอุ่มหรือแม้กระทั่งแม่น้ำตามดินแดนนี้หายไปกลางเป็นเพียงผืนดินไร้ชีวิตใดๆ ถ้าหากเทียบทวีปทางด้านตะวันออกนี้เป็นสิ่งมีชีวิต ไลท์ไมล์คงเปรียบเสมือนรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ฝ่ากลางร่างของสิ่งมีชีวิตนั้น ปัจจุบันผู้คนที่อาศัยอยู่ในไลท์ไมล์จะสามารถพบได้ที่ซันดาซัสเท่านั้น มันเป็นเมืองที่เหล่านักเดินทางหรือผู้ฝึกฝนทั้งหลายใช้พักผ่อน เตรียมเสบียงก่อนจะเข้าสู่การเดินทางยาวกว่าพันไมล์เพื่อบรรลุจุดประสงค์ตน ว่ากันว่าเหล่านักเดินทางหลายคนที่คิดว่าตนเองสามารถพิชิตเส้นทางหฤโหดนี้ได้ต่างพากันเสียชีวิตกลางทางเพราะไม่สามารถรับแรงกดดันและอดทนได้ มันจึงเป็นที่มาว่าหากใครสามารถใช้เท้าทั้งสองข้างพิชิตผืนดินนี้ได้จะเป็นสุดยอด

  แต่สำหรับแม่ทัพแห่งซินโดร่า ผู้ใช้ปราณสายฟ้านามโบล์ทนั้นต่างออกไป ตัวชายผู้นี้สามารถสยบอุปสรรคผืนดินนี้ได้นับครั้งต่อครั้งแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าปราณสายฟ้าที่เขาใช้นั้นก่อความเร็วแก่ร่างกาย เร็วเสียยิ่งกว่ากระสุนปืนที่พุ่งไปตามอากาศเสียอีก สำหรับโบล์ทนั้นการที่จะแค่สยบดินแดนไลท์ไมล์นั้นไม่ใช่ประเด็นของเขาอีกต่อไปแล้ว ประเด็นหลักของเขาเป็นว่าเขาจะสามารถใช้เวลาเท่าใดที่จะเดินทางจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดสิ้นสุดได้ตะหาก หากมองด้วยสายตาของวิหคจากฟากฟ้าแล้วจะสามารถมองเห็นแสงกระพริบที่พุ่งไปอย่างรวดเร็วในดินแดนไลท์ไมล์อยู่ตลอดเวลา นั่นล่ะคือพลังของชายผู้เป็นมือซ้ายขององค์กษัตริย์แห่งดินแดนเอสซิโอนิค เหล่านักรบใต้คำบัญชาของโบล์ทนั้นเคยประจักษ์ว่าแม่ทัพของเขานั้นใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงในการเอาชนะดินแดนแห่งนี้ ซึ่งโดยปกติแล้วการใช้เท้าทั้งสองข้าเพียงแค่เดินธรรมดามันย่อมใช้เวลาแรมปีเลยทีเดียว เพราะเหตุนั้นคนจึงขนานว่าโบล์ทเป็นชายที่เร็วที่สุดในทวีปทางด้านตะวันออกอย่างไม่ต้องสงสัย

  แสงสายฟ้าสาดส่องท่ามกลางทะเลทราย มันพุ่งด้วยความเร็วสูงสุดหวังที่จะไปให้ถึงยังจุดหมายที่วางเป้าเอาไว้ ผู้ควบคุมปราณขยับตัวไปพร้อมกับพลังแสงสถิตเหล่านั้น ปราณและกายาของเขาผสานเป็นหนึ่งราวกับเป็นสิ่งเดียวกัน เมื่อนั้นมันก็พุ่งเข้าสู่ดินแดนมรกตที่มีแต่ผืนป่าเขียว ไม่นานนักสายฟ้าลูกนั้นก็หยุดตัวลง ปรากฏเป็นชายหนุ่มผมขาวในชุดสง่า ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่เกิดขึ้นจากแสงแดดที่ร้อนระอุและความเหน็ดเหนื่อในการฝึกฝนของเขา โชคดีที่ ณ จุดๆ นั้นเขาอยู่ใกล้ป่าไม้ เขาจึงไปพิงตัวลงที่นั่น นั่งลงและพักผ่อนท่ามกลางสายลมที่กระทบผิวหนังที่ชุ่มเหงื่อของเขา มันทำให้ชายหนุ่มผู้นี้รู้สึกถึงความเย็นที่แผ่เข้ามาทั่วรูขุมขนของเขา เขาถอนหายใจออก ล้วงกระเป๋ากางเกงข้างขวาและหยิบอุปกรณ์ก้อนกลมที่มีฝาเปิดสีทองออกมา มันเหมือนกับเป็นนาฬิการาคาแพงของเหล่าขุนนาง เมื่อนั้นเขาก็เปิดฝามันออก เช็คดูเวลาที่ผ่านไป

“หนึ่งชั่วโมง... กับอีกห้าสิบนาทีงั้นหรอ?” เขากล่าวขึ้น
“ถือว่าไม่แย่เท่าไหร่สำหรับการวิ่งไปกลับจากไลท์ไมล์มาถึงนี่ล่ะนะ”

  หลังจากนั้นเขาก็หงายตัวลงนอนกับผืนหญ้า ใช้ผ้าคลุมตนเป็นดั่งหมอนรอคอตัวเอง หลับตาลงนอนท่ามกลางพืชเขียวอุดมสมบูรณ์ อากาศที่ปลอดโปร่ง สภาพแวดล้อมที่้เป็นใจทำให้เขาหลับอย่างมีความสุข ผ่านไปได้สักพักเหมือนกับว่าเขาจะได้ยินเสียงของผู้หญิงที่กำลังเรียกตัวเขาโดยใช้คำว่า “ท่าน” เป็นตัวเรียกแทนชื่อของเขา มันเป็นเสียงที่อ่อนโยนพอควรเลยล่ะ ไม่นานนักหนุ่มผู้นั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากเสียงๆ นั้น เขาเห็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลดูเหมือนว่าจะอ่อนกว่าเขาหลายปีเลย สวมเสื้อผ้าเหมือนคนเดินป่า มือที่ตะกร้าผลไม้หลากสีสัน เธอมองเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนในขณะที่โบล์มสะลึมสะลือตื่นมา

“มีอะไรงั้นหรอ?” โบล์มถาม
“ท่านจะมานอนอยู่แถวนี้ไม่ได้นะคะ” เธอตอบ “มันมีสัตว์ที่เป็นพิษอยู่เต็มไปหมด”

วาจานั้นทำให้โบล์ทสะดุ้งขึ้น ลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ หยิบผ้าคลุมขึ้นและสวมใส่มันทันที

“ขะ... ขอบใจที่เตือนนะ” โบล์ทกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะเดินไปตามทาง
“ท่าทางท่านจะเหนื่อยสินะคะ” เธอกล่าวขึ้น
“ที่บ้านของข้ากำลังจะทำอาหารพอดีน่ะคะ ท่านพอจะสะดวกเข้ามาร่วมวงกับเราไหมคะ?” เธอชักชวนเขาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ขอโทษทีนะ... ข้ามีธุระที่ต้องจัดการน่ะ” สุภาพบุรุษผู้นั้นตอบ

  เธอไม่ตอบอะไรกลับ เพียงแค่ยิ้มหวานออกมาเท่านั้น ชายหนุ่มผมขาวเพียงแค่มองหน้าเธอ สีหน้าที่ยิ้มแย้มอ่อนหวานนั้นทำให้เขารู้สึกว่าหากปฏิเสธไปคงรู้สึกยังไงๆ อยู่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากที่จะไปรบกวนใครมากก็เหอะ อีกอย่าง... กับเด็กสาวที่ดูเป็นมิตรซะขนาดนั้น มันก็ปฏิเสธไม่ลงหรอก

“ก็ได้ๆ” เขาตอบกลับไป

  หลังจากคำตอบนั้นเธอก็เดินนำหน้าเขาไปทันที เป็นการนำทางไปยังบ้านของเธอ ท่ามกลางทางถนนที่ถูกสร้างด้วยการวางหินลงนับพันนั้นมีเหล่าต้นไม้ใหญ่ บ้างก็มีพุ่มไม้ ต้นกล้าหรือดอกไม้สวยงามไปหมด สำหรับดินแดนเอเมอร์รัล เทอร์เรสนี้เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาแผ่นดินทั้งหมดในเอสซิโอนิค มันแลดูอุดมสมบูรณ์มากกว่าวินด์ฟิวล์ ฟอร์เรสที่เป็นถิ่นฐานในการก่อตั้งเมืองหลวงสตอร์มโฮล์มเสียอีก ถึงกระนั้นในดินแดนแห่งนี้ก็มีเหล่าสัตว์อาศัยอยู่เต็มไปหมดเช่นกัน ไม่ว่าจะกวางน้อยหรือสัตว์ใหญ่ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ธรรมดา ด้วยความอุดมสมบูรณ์นี้ทำให้ใครหลายๆ คนอาศัยอยู่มากพอควร โดยมากเหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้จะเป็นสามัญชนธรรมดาที่หวังจะอยู่กันอย่างมีความสุขท่ามกลางบรรยากาศที่สงบนี้ ในตอนนี้หนุ่มผมขาวเริ่มรู้สึกว่าเขาเดินไปได้สักพักแล้ว เหมือนกับเขากำลังสงสัยว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายเสียที

“จะว่าไปเนี่ย.. เมื่อไหร่จะถึงบ้านของเธอหรอ?” เขาถาม
“อยู่ตรงนั้นน่ะคะ”

  เธอตอบกลับไปพร้อมกับชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่ง มันเป็นบ้านไม้ที่อยู่ใต้ผืนร่มของต้นไม้ใหญ่ มันเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังเก่าที่ดูเหมือนจะมีไว้สำหรับครอบครัวจำนวนสามสี่คนเห็นจะได้ หลังบ้านหลังนั้นมีทั้งสวนและไร่นาไว้สำหรับเพาะปลูก แถมยังมีโรงม้าอีกด้วย แลดูแล้วเหมือนจะเป็นครอบครัวที่มีฐานะน่าดูแต่ว่าอยากอยู่แบบพอเพียงอะไรแบบนี้เสียมากกว่า เมื่อนั้นเธอก็พาเขาไปที่หน้าบ้าน เปิดประตูออกซึ่งภายในบ้านหลังนั้นก็มีหญิงมีอายุคนหนึ่งดูท่าจะเป็นแม่ของเธอ หล่อนกำลังคนซุบในหม้ออยู่ จากกลิ่นนั้นเหมือนกับว่านั่นจะเป็นซุปหมู กลิ่นนั้นโชยมาทำให้ชายผมขาวที่เพิ่งออกกำลังกายมารู้สึกหิว แต่เขาพยายามไม่ทำตัวให้เธอเห็นว่าเขารู้สึกแบบนั้น ไม่นานนักหญิงสาวก็เดินเข้าไปในบ้านในขณะที่โบล์ทำท่าเหมือนไม่กล้า เมื่อนั้นหญิงผมน้ำตาลผู้นั้นก็กวักมือเรียกเขาเข้ามา เขาจึงยอมๆ เข้าไปโดยดี ว่าแล้วหญิงผู้ชักชวนก็วางตะกร้าลงบนโต๊ะกินข้าว แม่ของเธอหันมาเห็นหล่อนกำลังยืนอยู่กับชายแปลกหน้าสวมชุดดูมีฐานะ ซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นแม่ตกใจ

“มาเดียร่า.... นั่นลูกไปพาตัวผู้ชายคนนั้นมาจากไหนหรอจ๊ะ?” แม่เธอถามด้วยสีหน้าตกใจ
“ทำไมหรอคะ?”
“พ่อจ๊ะ!” คนเป็นแม่ตะโกน “ดูสิว่าใครมาบ้านเรา..”

  ชายวัยทองเดินเข้ามาในบ้าน เห็นชายหนุ่มผมสีขาวก็แสดงหน้าที่ตกใจไม่ต่างจากผู้เป็นแม่เลย ซึ่งนั่นทำให้หญิงสาวผู้เป็นลูกรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ส่วนโบล์ทเองก็แสดงทีท่าที่ไม่ต่างจากหญิงสาวที่มีชื่อว่ามาเดียร่าเลย

“นี่มัน... แม่ทัพแห่งสตอร์มโฮล์มโบลทาห์ เฮเมอร์สันตัวเป็นๆ เลยนะเนี่ย” คนเป็นพ่อกล่าว
“ใช่ไหมคะคุณ... ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“คุณคงจะหิวสินะ แวะทานข้าวบ้านเราก่อนสิ!” จู่ๆ คนเป็นพ่อก็ชักชวนโบล์ททันที
“คะ... ครับ” โบล์ทตอบกลับ
“ดีเลยๆ แม่ทำกับข้าวใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ” เธอกล่าว “มาเดียร่า... ลูกไปจัดหาที่นั่งให้แขกหน่อยสิ”

  ลูกสาวผมสีน้ำตาลแสดงหน้างุนงงเล็กน้อยก่อนที่จะหันมามองโบล์ท ซึ่งชายผู้นั้นก็ยกไหล่ขึ้นราวกับเขาก็งงพอๆ กันนั่นล่ะ ว่าแล้วเธอก็พาเขาไปนั่งเก้าอี้ที่ห้องรับแขก ดูเหมือนว่าจุดๆ นั้นจะเป็นจุดรับประทานอาหารสำหรับชายผู้นี้ สำหรับโบล์ทแล้วเขาก็ไม่ค่อยเห็นของตกแต่งและสภาพบ้านของคนปกติมากเท่าไหร่นัก เพราะเขาจะอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตแห่งสตอร์มโฮล์ม เพราะฉะนั้นการที่ได้มาเห็นสภาพบ้านของคนปกติจึงเรื่องแปลกสำหรับเขาพอควร เขานั่งลงไปกับเก้าอี้ด้วยความเกรงอกเกรงใจพอควร ไม่นานนักหญิงสาวอารมณ์ดีก็เดินไปช่วยแม่ของเธอนำกับข้าวมาวางไว้บนโต๊ะ สภาพกับข้าวแลดูเป็นเหมือนกับอาหารของชนชั้นกลางแต่ถึงกระนั้นมันก็แลดูน่ากินไม่ต่างจากอาหารในวังเลย มันทำให้แม่ทัพแห่งสตอร์ม ครูเซเดอร์กลืนน้ำลายด้วยความหิว เมื่อนั้นครอบครัวเจ้าของบ้านก็นั่งลงเช่นเดียวกับแขกรับเชิญ ก่อนที่จะเริ่มตักข้าวให้กับแขกก่อนและก็เรียงตามอายุ

  ทางด้านครอบครัวของมาเดียร่าเริ่มรับประทานอาหารทันที แต่ทางด้านแขกรับเชิญดูเหมือนว่ายังแสดงความเกรงอกเกรงใจออกมาอย่างชัดเจน เด็กสาวผู้ชักชวนเขามามองหน้าเขาเหมือนกับว่าจะรอให้ชายคนนั้นรับประทานของพวกเขาเสียที อันที่จริงสมาชิกทุกคนก็ต่างมองไปที่ชายคนนี้ เมื่อนั้นเขาก็ตักซุปที่ตนได้รับมาเข้าปาก เขารู้สึกถึงรสชาติที่ละมุนลิ้นอย่างบอกไม่ถูก โบล์ทรู้สึกราวกับว่านี่เป็นซุปที่อร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยทานมา เขาไม่รอช้าที่จะตักมันเข้าปากอีกครั้งด้วยความหิวโซ เมื่อมาเดียร่าเห็นแบบนั้น เธอก็รู้สึกพอใจที่แขกของเธอชอบอาหารบ้านหลังนี้ โบล์ทยังคงรับประทานอาหารเหล่านั้นโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ไม่รู้นั่นเป็นเพราะว่าเขาหิวหรือมันอร่อยกันแน่จึงทำให้ชายชั้นสูงจากวังแห่งเมืองหลวงกระทำตนเช่นนี้

  ภายนอกของบ้านหลังนั้นห่างไปสักหลายสิบเมตร มีเหล่าหมอผีจากดินแดนแห่งบาปกำลังคอยซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ ราวกับว่าพวกเขากำลังอาศัยจังหวะที่เหมาะสมในการที่จะบุกเข้าไปเพื่อชิงสิ่งที่เบลล์ต้องการมา ดูท่าแล้วมันจะเป็นหญิงสาวคนหนึ่งตามที่นายของพวกเขาบอกเอาไว้ แต่ว่าหญิงสาวนั้นมีคนเดียวในบ้านหลังนั้นน่ะสิ หรือว่าเป้าหมายที่พวกเขาต้องการจะเป็นมาเดียร่าผู้นั้น เท่าที่ดูแล้วเธอไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงธรรมดาเลยสักนิด ไม่เห็นเหมือนกับผู้ที่มีปราณกล้าแกร่งเลย เมื่อนั้นก็มีชายสวมผ้าคลุมอีกคนหนึ่งโผล่เข้ามา ดูเหมือนว่าคนนี้จะแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ โดยดูจากเครื่องแต่งกาย พลังปราณสีเขียวไหลเวียนไปตามร่างกายอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเขาเป็นผู้ใช้ปราณระดับสูงและเป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้ใช้ปราณแห่งความตายเหล่านี้ เขามองไปหาสหายท่านอื่นๆ แห่งตนก่อนที่จะเอ่ยถาม

“เห็นเป้าหมายรึยัง?”
“ข้าสามารถจับกระแสปราณของหล่อนได้อย่างที่ท่านเบลล์กล่าวเอาไว้” ผู้คุมปราณผู้นึงกล่าว
“แต่ถึงกระนั้นก็เหมือนว่าในบ้านหลังนั้นจะมีอีกคนนึงที่มีปราณระดับสูงเช่นกัน”
“แล้วเจ้านั่นคือ...” ชายผู้นั้นกำลังจะเอ่ยถาม
“สายฟ้าสีทองแห่งซินโดร่าขอรับนายท่าน” เขาตอบกลับ
“เจองานยากเข้าให้แล้วน่ะสิ” ผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวขึ้น

“จะเอาไงดีขอรับนายท่าน?” ลูกน้องคนนึงถาม
“ให้ข้าจัดการเอง!”

  สิ้นสุดวาจาของผู้เป็นหัวหอกของกลุ่ม เขาเปล่งพลังปราณสีเขียวอันน่ากลัวออกจากมือของตน บีบมือข้างนั้นจนก่อเป็นออร่าสีเขียวอย่างชัดเจน ไม่นานนักชายผู้นั้นก็แบมือออก ก่อเป็นพลังปราณลูกเล็กสีเขียวที่แลดูมีอานุภาพในการทำลายล้างสูง ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยให้ลูกบอลปราณนั้นลอยไปตามอากาศ เพียงชั่วพริบตามันก็พุ่งเข้าไปยังบ้านหลังนั้นอย่างรวดเร็ว ความเร็วของมันมากพอที่จะทำให้ใครก็ตามที่ไร้ปราณไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ ด้วยความที่โบล์ทเป็นผู้ใช้ปราณระดับสูงเขาจึงสามารถสัมผัสมันได้ ชายผมขาววางจานลงกับพื้นอย่างแรงสร้างความตกใจให้แก่สมาชิกของบ้าน ในตอนนี้สีหน้าของเขาดูจริงจังเอามากๆ ซึ่งคนในบ้านต่างของเขาด้วยความงุนงงบวกกับความตกตะลึงในการกระทำของแขกที่มาเยือน

“หมอบลง!” เขาตะโกนขึ้น

“บรึ้มมมมมมมมม!” แรงระเบิดจากบอลปราณแห่งความตายสร้างความเสียหายให้กับบ้านหลังนั้น ช่วงกำแพงทั้งบ้านพังทลายสิ้นเหลือเพียงแค่รากฐานของมัน

  เหล่าเจ้าของบ้านหลังนั้นต่างลุกขึ้นมาด้วยความงุนงงกับสภาพของบ้านตนที่เละราวกับถูกพายุซัดเข้า ทางด้านของนักรบแห่งสตอร์ม ครูเซเดอร์จับดาบของตนขึ้นมาโดยพลัน หันไปมองรอบข้างก่อนที่จะจับกระแสปราณร้ายได้ เขาหันไปทางด้านต้นไม้ใหญ่แห่งนึง ดูเหมือนว่าเขาจะมองทะลุมันไปและรู้สึกถึงใครสักคนที่อยู่ภายหลังนั้น ทางด้านของมาเดียร่าก็แสดงสีหน้าหวาดวิตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทางด้านของโบล์ทหันไปมองครอบครัวเหล่านั้นที่แสดงความกลัวออกมาอย่างชัดเจน

“อยู่ใกล้ตัวข้าเอาไว้นะ” โบล์ทกล่าว ถอยไปหาครอบครัวนั้นและตั้งท่าตั้งรับไว้

  โบล์ทแสดงท่าทางอย่างจริงจังว่าเขาต้องการที่จะปกป้องคนเหล่านี้ เขาถอยหลังไปจนเกือบชิดร่างของครอบครัวนั้น เมื่อนั้นที่เบื้องหน้าของเขาก็โผล่ออกมาซึ่งเหล่าผู้ใช้ปราณแห่งบาปรุมล้อมเหล่าผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย เมื่อนั้นแล้วผู้ที่เป็นหัวหน้าแห่งกลุ่มนักบาปเหล่านั้นก็ย่างกรายนำหน้าออกมา โบล์ทมองสายตาที่แสนจะไร้อารมณ์ของชายผู้นั้นด้วยความโกรธ ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายผู้นั้นรู้สึกสนุกไปกับมัน

“ฆ่าทุกคนให้หมด! เหลือเพียงเด็กผู้หญิงคนนั้นให้แก่นายท่านเบลล์!”

------------

  ณ เมืองหลวงแห่งเอสซิโอนิค ดินแดนสตอร์มโฮล์ม มันกลายเป็นเช้าตรู่ที่แสนจะหดหูสำหรับชาวเมืองทั้งหลายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน ข้าวของ สิ่งก่อสร้างหลายส่วนถูกทำลาย ผู้คนที่โชคร้ายถูกลูกหลงจนเสียชีวิตไปบ้างจากมารแห่งปราณดำของชาหนุ่มลูเซียส เหล่าผู้คนที่สามารถช่วยเหลือสังคมไหวก็ต่างไปซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่เสียหาย บ้างก็พยุงเหล่าผู้คนที่บาดเจ็บไปยังศูนย์รักษาหลักของเมือง เหล่าผู้คนบ้างต่างนินทาว่าร้ายให้กับหนุ่มผู้ครองพลัง บ้างก็แช่งให้ไปตาย อีกทั้งยังมีบางส่วนที่ว่าร้ายต่อองค์กษัตริย์เช่นกันที่ว่าเขาไม่ยอมที่จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด แถมยังปล่อยให้ชายหนุ่มผู้นี้อยู่ในเมืองนี้ต่อไป เหล่าพวกหัวร้อนบางคนก็ถึงกับใช้กำลังในการกบฏ หวังที่จะใช้การกระทำเหล่านี้เพื่อสะท้อนว่าพวกเขาไม่ต้องการให้อสูรกายแบบนั้นยังคงอยู่ในเมือง แน่นอนว่าถ้าเกิดสิ่งนี้ยังคงอยู่ มันย่อมทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเป็นแน่แท้

  ในตอนนี้หนุ่มลูเซียสกำลังพักผ่อนอยู่ในวังจากคำสั่งขององค์ราชา ที่หน้าปราสาทมีเหล่าผู้คนมาต่อต้านกับการตัดสินใจของผู้คุมอำนาจสูงสุดแห่งสตอร์มโฮล์ม มันทำให้โครนอสรู้สึกไม่ดีและเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน สำหรับองค์ราชานั้นก็ได้รับการรักษาเยียวยาบาดแผลที่ตนได้รับจากการต่อสู้มา ร่างกายของเขาเริ่มดีขึ้นแต่มันดูไม่เต็มร้อยอย่างเช่นเมื่อครั้งก่อน แผลไหม่ที่อยู่ที่คอย่อมใช้การรักษาด้วยเวลา อีกทั้งกระดูกซี่โครงที่หักก็ต้องรอร่างกายที่จะรักษามันด้วยเช่นกัน ถึงกระนั้นเองสิ่งที่เขาเป็นกังวลที่สุดหาใช่เรื่องร่างกายของตน แต่เป็นความรู้สึก ความคิดของเด็กหนุ่มที่เมื่อรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตะหาก แน่นอนว่าการที่จะโกหกกับสถานการณ์อันใหญ่หลวงแบบนี้มันย่อมไม่ได้ผล โครนอสจึงตัดสินใจบอกกับบุตรบุญธรรมของเขาด้วยตัวเอง มันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกใจหายเหมือนกัน แม้ว่าทางด้านขององค์ราชาจะบอกเองกับปากว่าการกระทำนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวของลูเซียสเองแต่เขาก็ไม่ยอมที่จะรับฟังเลยสักนิด

  หนุ่มผมดำผู้คุมปราณดูบาร์นแบกรับความคิดที่กดดันเข้ามาในหัวของตน ว่าตนนั้นเป็นต้นเหตุในเหตุการณ์ทั้งหมด เขาไม่ยอมรับฟังใครเลยแม้แต่ผู้เป็นพ่อเลี้ยงของเขา ในตอนนี้ลูเซียสเก็บตัวอยู่ในห้องพักของคฤหาสน์ ไม่พูดคุยกับใครตั้งแต่รู้ถึงเหตุการณ์นั้น และตัวของราชาเองก็ไม่ยอมอนุญาตให้ใครเขาไปหาเขาเช่นกัน เกรงว่าในช่วงเวลาแบบนี้มันจะเป็นอะไรที่เหมาะที่สุดที่จะให้หนุ่มผู้นั้นอยู่คนเดียว ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาควรจะทำและสิ่งที่เขาต้องการ ทางด้านขององค์กษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มเดินออกมาจากห้องรักษาผู้บาดเจ็บในตัววัง สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่นัก องค์ราชาเห็นข้ารับใช้ส่วนตัวของเขาเดินเข้ามาหา ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะดูไม่ค่อยยินดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก แต่คงไม่ถึงขั้นหัวเสียราวกับโครนอสหรอก

“ขอบใจสำหรับเมื่อคืนก่อนที่เจ้าช่วยข้าได้ทันเวลานะเซรดริก” ราชากล่าว
“ด้วยความยินดีขอรับ...” เขาตอบกลับ “ว่าแต่นายท่านจะทำเช่นไรกับบุตรของท่านหรอครับ?”
“ต้องการให้ผมนำอาหารไปเสิร์ฟให้เขาหรือเปล่า?” เซรดริกเอ่ยถามต่อ
“ดูท่าในตอนนี้ลูเซียสจะยังไม่ต้องการรับประทานอะไรหรอกนะ” โครนอสตอบ “เขามีปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นอยู่ในหัวเขาอยู่”
“รับทราบแล้วขอรับนายท่าน”

เมื่อนั้นเซรดริกก็เริ่มเดินห่างออกไปจากองค์ราชา ราวกับว่าเขาต้องไปทำอะไรสักอย่างต่อ

“จะว่าไป... โบล์ทได้ตอบอะไรกลับมารึยัง?” ราชาถาม “จากสาส์นที่ข้าส่งไปให้น่ะ”
“ยังเลยขอรับ” เซรดริกตอบกลับ “ดูท่าแล้วเขาคงจะกำลังยุ่งกับเรื่องอะไรสักอย่างอยู่”
“งั้นหรอกหรือ..”

  สิ้นสุดวาจานั้นโครนอสจึงเดินไปตามทางเดินทางเดินโล่งของพระราชวังได้สักพัก เขามองไปเห็นรถม้าคันหนึ่งที่อยู่ในตัวเมืองไม่ไกลจากวังนัก เขาจ้องมันด้วยสายตาที่แลดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นไปกับมัน มันเป็นรถม้าคันเดียวกันกับที่อยู่ในดินแดนแห่งโคล' ริมเมื่อครั้งนั้นจะว่าๆ เป็นรถม้าของชายผมทองนามเนลเรี่ยนก็ได้ ณ ตอนนี้ผู้โดยสารในรถรวมถึงตัวคนขับเองต่างตกตะลึงกับสภาพเมืองที่เละเทะไปพอควร โดยเฉพาะชายผมทองที่แทบจะไม่เชื่ออสายตาในสิ่งที่เขาเห็น เขามองไปรอบๆ ของสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทำลายและมันยังมีปราณเมือกติดอยู่เล็กน้อย แต่มันก็สามารถมองเห็นได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ สีหน้าของชายผู้โดยสารดูเหมือนจะไม่ยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ราวกับว่าเขารู้ว่านั่นเป็นฝีมือของใครเลยยังไงยังงั้น หญิงสาวผมแดงนามชารอนมองสีหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น เธอรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เห็น

“เจ้านั่น...” เนลเรี่ยนเอ่ยถาม
“ท่าน... เป็นอะไรรึเปล่า?” เธอกล่าวถาม
“เปล่า... เปล่า” เขาตอบกลับ

  ถึงแม้ว่าเขาจะตอบว่าไม่มีอะไรก็ตามที เหมือนเธอจะรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น จริงอยู่ว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอนจากสภาพเมืองที่เห็นในตอนนี้ แต่เธอรู้สึกต่างออกไปจากนั้น ราวกับว่าสิ่งที่เนลเรี่ยนกำลังครุ่นคิดหนักอยู่มันเป็นเรื่องอื่น ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมเลย เกรงว่าการทำแบบนั้นจะยิ่งเป็นการทำให้ชายผมทองรู้สึกหงุดหงิดไปมากกว่าเดิมเท่านั้น เมื่อนั้นรถม้าคันนั้นก็จอดที่หน้าทางถนนไปยังปราสาท หนุ่มผู้นั้นเก็บข้าวของในรถแล้วเปิดประตูรถออก เดินออกไปโดยที่มีสาวผมแดงเดินตามมา เนลเรี่ยนหันไปหาคนขับก่อนที่จะพยักหน้าแทนคำขอบคุณ เมื่อนั้นรถม้าคันนั้นก็เริ่มแล่นออกไปห่างจากผู้โดยสารไปเรื่อยๆ จนไกลลับตาไป ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ค่อยๆ เดินไปตามทางถนนนั้น ในขณะที่ชารอนคอยตามเขาตลอดทาง เธอมองดูท่าทางของเนลเรี่ยนที่เหมือนจะหงุดหงิดพอควร

“นี่ท่านกำลังจะไปไหนหรอคะ?” ชารอนเอ่ยถาม
“ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับราชาเสียหน่อย” เขาตอบ “จากที่เห็นๆ กัน.. มันเกิดขึ้นจากฝีมือคนๆ หนึ่ง”
“และองค์ราชาย่อมรู้แน่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

  วาจานั้นทำให้เธอหยุดถาม เหมือนกับว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่เขาพูดเสียเท่าไหร่ สิ่งที่เธอพอจะจับใจความได้ก็มีแค่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้องค์ราชาย่อมรู้แน่นอนว่ามันคืออะไร แต่สิ่งนั้นมีคืออะไรตะหากล่ะที่เป็นข้อสงสัยกับเธอ เมื่อนั้นเธอก็เดินตามเนลเรี่ยนไปยังปราสาทแห่งสตอร์มโฮล์มไปเรื่อยๆ ในตอนนั้นที่หน้าปราสาทก็ปรากฏซึ่งองค์กษัตริย์เดินเข้ามาหาพวกเขาราวกับว่าจะมาต้อนรับชายผมทองที่เดินเข้ามา สีหน้าของทั้งคู่แลดูไม่ยินดีเท่าไหร่ แต่นั่นเหมือนว่าจะเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า พวกเขาเดินเข้าไปหากันก่อนที่จะเริ่มบทสนทนา

“ยินดีต้อนรับกลับมาเนลเรี่ยน... หวังว่าการเดินทางของเจ้าจะได้สิ่งที่เจ้าต้องการนะ” ราชากล่าวเริ่ม
“แล้วสหายของเจ้าหายไปไหนเสียแล้วหรือ?” เขาถามต่อ
“เฮมิส... เขาตายระหว่างการเดินทางน่ะขอรับ” ชายผมทองตอบ
“ข้าเสียใจด้วย” โครนอสเอ่ย
“ครับผม” เนลเรี่ยนตอบกลับ “จะว่าไปแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองมัน..”
“เกิดขึ้นจากลูเซียส ใช่แล้ว”

  เมื่อเนลเรี่ยนได้ยินแบบนั้น เขาก็เงียบไปก่อนที่ราชาจะหันไปหาหญิงสาวที่อยู่ข้างหลังของชายผมทอง เขาพยายามเพ่งเล็งตาไปดูเธอแสดงอาการเหมือนกับต้องการที่จะมองหล่อนให้ชัดเจน แลดูเหมือนกับว่าเขาคุ้นถึงตัวเธอยังไงยังงั้น ชารอนที่หันไปเห็นกษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มก็แสดงท่าทางตกใจไม่แพ้กับโครนอส

“นั่น... เจ้าคือชารอนใช่ไหม?”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire VI
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire IX
» Cataclysm: The Endless Hellfire XXV
» Cataclysm: The Endless Hellfire X
» Cataclysm: The Endless Hellfire XI
» Cataclysm: The Endless Hellfire XII

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: