Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire X

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 28
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire X Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire X   Cataclysm: The Endless Hellfire X EmptyMon Sep 12, 2016 3:09 am

Cataclysm: Endless Hellfire
Act X

------------

“นายท่านคาสเตอร์!”

   เสียงของหนุ่มวัยราวๆ ยี่สิบเห็นจะได้ตะโกนเสียงออกมา เขากำลังขยับตัวอย่างรวดเร็วอยู่ตามทางเดินบนเนินเขาในดินแดนแห่งหนึ่ง เสียงตะโกนนั้นทำให้ชายผู้หนึ่งที่สวมผ้าคลุมและหมวกฮู๊ดเดินออกมาจากอาคารเรือนแห่งหนึ่งที่ถูกปลูกสร้างขึ้นด้วยไม้ ชายผู้นั้นมองไปยังหนุ่มที่กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาเขาก่อนที่จะค่อยๆ เดินเข้าไปหาผู้ที่กำลังตรงเข้ามาหา มันดูเหมือนจะเป็นช่วงยามเย็นเห็นจะได้แล้ว เหล่าลมที่พัดมาอย่างรุนแรงตามความสภาพอากาศที่ไม่ค่อยดีบวกกับทำแลที่อยู่บนเขาสูงทำให้ชายทั้งสองที่กำลังเดินอยู่ขยับตัวอย่างลำบาก เมื่อนั้นหนุ่มที่ตะโกนให้แก่ชายสวมผ้าคลุมก็วิ่งไปถึงยังจุดหมายของเขา ผู้เป็นนายท่านที่เขาเพิ่งกล่าวเรียกไปเมื่อครู่ ไม่นานนักชายผู้นั้นก็ยื่นจดหมายสักอย่างให้แก่ชายนามคาสเตอร์ เขารับกระดาษสีน้ำตาลนั้นมา เริ่มเดินกลับไปยังอาคารไม้ของเขาที่สร้างไว้บนยอดของหุบเขานี้

   ไม่นานเสียเท่าไหร่ผู้ที่ถูกเรียกว่านายท่านก็ไปถึงยังบ้านไม้นั้นพร้อมกับหนุ่มที่ส่งจดหมายให้แก่เขา แต่ถ้าจะให้พูดว่านั่นคือบ้านซะทีเดียวมันก็ไม่ถูกหรอก มันดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างอื่นเสียมากกว่า เหมือนกับสถานที่อะไรสักอย่างที่ไว้ให้เหล่าบุคคลมาทำการคบค้าสมาคม ภายในอาคารเรือนมันถูกตกแต่งด้วยของประดับต่างๆ เยอะแยะ อีกทั้งยังมีธงผ้าที่เขียนไว้ว่า “ดาบแห่งความมืด” ประดับไว้อยู่ตามกำแพงอีกด้วย เมื่อนั้นชายสวมผ้าคลุมผู้แลดูเป็นเจ้าของสถานที่ก็เดินไปยังห้องๆ หนึ่ง มันเป็นห้องที่มีโต๊ะมีข้าวของไว้ใช้รับแขกอยู่ เหมือนกับว่ามันจะเป็นห้องนั่งเล่นเห็นจะได้ ว่าแล้วชายนามคาสเตอร์ก็นั่งลงไปกับเก้าอี้กลางห้องก่อนที่จะหยิบจดหมายขึ้นมา เปิดซองจดหมายนั้นออก ตราประทับของจดหมายนั้นเป็นสัญลักษณ์สีทองและน้ำเงิน รูปตราเป็นลายราชสีห์อันแกร่งกล้า ดูท่าแล้วข้อความฉบับนี้จะมาจากดินแดนแห่งสตอร์มโฮล์มเองเลย

   เขาค่อยๆ อ่านมันอย่างบรรจง สายตาที่กวาดไปตามตัวหนังสืออย่างรวดเร็วราวกับว่ารู้ถึงข้อความว่ามันสื่ออะไรโดยที่ไม่ต้องใช้เวลาอ่าน เขาทำแบบนั้นไปสักพักโดยที่ชายผู้ส่งสาส์นฉบับนั้นมองดูด้วยความสงสัย ไม่กี่พริบตาชายสวมผ้าคลุมก็วางจดหมายนั้นลง แสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยพึงพอใจเสียเท่าไหร่ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขา หรือว่านั่นเป็นเพราะเขารู้สึกไม่ดีมาก่อนแล้วก็ไม่เป็นอันทราบได้

“ข่าวร้ายหรือขอรับนายท่าน” หนุ่มผู้นั้นถาม
“ใช่” ชายผู้เป็นเจ้าของสถานที่ตอบกลับพร้อมกับค่อยๆ หันหน้าไปหาชายผู้ตั้งคำถาม
“เรื่องเดิมอีกแล้ว...”

ชายหนุ่มผู้นั้นเงียบไป เหมือนว่าเขาจะรู้เช่นกันว่าไอ้เรื่องเดิมที่ว่านั่นมันคืออะไร

“กระผมสงสัยมานานแล้ว..” เขากล่าวขึ้น “ทำไมคนจากดินแดนสตอร์มโฮล์มถึงต้องพยายามที่จะสั่งปิดสมาคมนี้ตลอดด้วย”

คำถามนั้นทำให้ชายนามคาสเตอร์หันไปมองผู้เป็นลูกน้องของเขา สายตาที่บ่งบอกว่าเขากำลังหงุดหงิดจริงๆ จังๆ ทำให้ชายผู้นั้นเงียบไป

“เจ้าก็รู้ว่าเราคือสมาคมนักฆ่า” ชายผู้นั้นตอบ “มันเป็นอะไรที่เหล่าพวกผู้ระดับสูงผู้ดีเหล่านั้นไม่อาจจะรับได้”
“เราถูกคนพวกนั้นมองว่าเป็นพวกนอกรีต...”
“แล้วมันก็สร้างตัวเองให้เป็นผู้ดีเด่นในการชะล้างพวกเรา”

   วาจาของชายผู้นั้นที่กล่าวออกมาทำให้ข้ารับใช้ของเขาเงียบไปหลังจากที่ได้รับคำตอบ เขารู้สึกว่าเขารับไม่ได้กับคำตอบแบบนั้น แต่สิ่งที่ชายนามคาสเตอร์กล่าวไปเมื่อครู่ก็หาได้มีอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย การที่จะมีสมาคมนักฆ่าที่รับจ้างทำงานให้แก่ใครก็ตามที่จ้างพวกเขาให้ทำมันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับเท่าไหร่ในสังคมแห่งเอสซิโอนิค โดยทางด้านของโครนอสเองคือผู้ที่ต่อต้านเรื่องแบบนี้และพยายามอย่างสุดความสามารถในการสร้างความปรองดองแก่เหล่ามนุษย์ไม่ให้มีการฆ่าล้างฆ่าฟันกันเองตามสัญชาตญาณดิบเถื่อน เนื่องด้วยในตอนนี้มันมีอะไรที่น่าเป็นห่วงมากกว่ามาก นั่นคือเหล่าปีศาจที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะทำการลุกฮือสู้กลับมนุษย์อีกครั้งเมื่อไหร่ ถึงกระนั้นเองแม้ว่าพวกคนเหล่านี้จะถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต ทำเรื่องผิดกฏหมายอย่างไร้จรรยาบรรณจากดินแดนสตอร์มโฮล์มเอง มันก็ยังมีบางคนที่ยังคงจ้างพวกเขาให้ทำงานแบบลับๆ แลกกับเงินตราจำนวนมหาศาลที่มากพอที่จะใช้ชีวิตใหม่ได้เพียงแค่หนึ่งภารกิจ จะบอกว่ามันเป็นการทำงานมืดก็ไม่ผิดนัก

   สำหรับสถานที่แห่งนี้มันคือสมาคมนักฆ่าที่ถูกขนานนามว่า “กระบี่แห่งเงามืด” ว่ากันว่าเป็นสมาคมนักฆ่าที่ถูกเล่าขานว่าน่ากลัวที่สุดในดินแดนทวีปตะวันออกแห่งนี้ ด้วยความอำมหิตในการสังหาร จรรยาบรรณที่บ่งบอกตนเองให้ประจักษ์แก่โลกว่าพวกเขาคือผู้ทำลายล้างต้องการเห็นความโกลหลเกิดขึ้นกับดวงดาวแห่งนี้ เหล่าสมาชิกที่จะสามารถเข้ามาร่วมกลุ่มนักรบไร้จิตใจเหล่านี้จะต้องมีชำระล้างจิตใจของพวกเขาจะหมดสิ้น ไร้ซึ่งความคิดใดๆ ที่ทำให้ตนอ่อนไหวไปตามสิ่งแวดล้อม ความคิดที่มีเพียงจะฆ่าเท่านั้น สังหารได้แม้กระทั่งสหายของตนอย่างไร้ปราณีเมื่อคนเหล่านั้นคือพวกไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีความกลัวตายและไม่เคยคิดที่จะหนีจากความตายเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญคือคนเหล่านี้ทำทุกอย่างที่เย้ยหยั่นต่อกฏหมายของทวีปนี้ แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำเรื่องร้ายแรงถึงเพียงไหน โครนอสก็จะพยายามทุกวิถีทางในการแก้ไขปัญหาให้มีการฆ่าล้าง ฆ่าฟันกันให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยวิธีสุดท้ายน่าจะเป็นสาส์นสั่งปิดสมาคมที่ถูกส่งมามากกว่าหนึ่งฉบับจากการสนทนาของทั้งสองคนเมื่อครู่

“แล้วท่านคิดจะทำยังไงต่อไปหรือขอรับ?”

   ชายผู้นั้นถามต่อผู้เป็นนายท่านของตน ผู้ถูกถามเมื่อได้ยินไปสักครู่เขาก็เงียบไป ก่อนที่จะค่อยๆ ใช้มือควานจับจดหมายฉบับนั้น จับมันขึ้นมาเหนือโต๊ะก่อนที่จะใช้มือข้างนั้นบีบกระดาษจนเป็นก้อนแล้วโยนมันไปเตาผิงกลางห้องนั่งเล่นทันที เท่าที่ดูก็คงจะเดาได้เลยว่าเขาไม่ยอมรับคำสั่งปิดนั้นเป็นแน่แท้ มันทำให้ชายหนุ่มผู้นั้นรู้สึกตกใจนิดหน่อยกับการกระทำไร้ความกลัวของผู้เป็นเจ้านายของตนแบบนั้น แต่เขาก็หาได้กล่าววาจาอันใดตอบกลับไปต่อการกระทำของคาสเตอร์ มันถือว่าเป็นการกระทำที่ใจเด็ดมาก ราวกับว่าไม่มีความกลัวต่อกฏหมายแห่งสตอร์มโฮล์มเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็อาจจะเป็นอะไรที่ปกติสำหรับเขาไปแล้ว เพราะยังไงก็ตามเขาก็ถูกผู้คนจากภายนอกตีตราว่าเป็นพวกนอกรีตอยู่แล้วๆ เหตุอันใดกันที่เขาจำเป็นต้องสนใจสังคมด้วยในเมื่อสิ่งที่เขาทำมาโดยตลอดคืออะไรที่เขาต้องการมากกว่าที่จะอยู่ร่วมกับสังคมจอมปลอมแบบนั้น

   หลังจากการกระทำของคาสเตอร์ที่ประจักษ์ต่อหนุ่มผู้นั้น เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที สีหน้าที่ดูไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ผู้เป็นข้ารับใช้นั้นทำอะไรไม่ถูกเพราะเกรงว่าอาจจะทำให้นายของตนระเบิดความพิโรธออกมาได้ มิทันไรก็มีเสียงอะไรสักอย่างดังขึ้นมาราวกับวัตถุขนาดใหญ่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า มันทำให้ทั้งสองคนที่อยู่ในห้องนั้นเกิดความสงสัยว่าเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันคืออะไร เพราะมันก็ไม่ได้อยู่ไกลไปจากจุดที่พวกเขาอยู่นัก ดูเหมือนว่าต้นตอของเสียงจะกำเนิดที่หน้าประตูใหญ่ทางเข้าสำนักแห่งนี้ ทางด้านของคาสเตอร์เริ่มเดินไปยังห้องโถงกลางอาคารเรือนซึ่งเป็นจุดที่อยู่ต่อหน้าของประตูใหญ่แห่งนั้น เหล่าผู้คนในสำนักที่อยู่ตามจุดต่างๆ ก็ต่างพากันมายืนรวมในจุดเดียวกัน ภายนอกอาคารนั้นพวกเขาสามารถได้ยินเสียงกระทบของวัตถุลงสู่ผิวดินตลอดทาง แลดูคล้ายฝีก้าวของยักษ์ใหญ่หรืออะไรสักอย่างที่กำลังย่างกรายมาหาพวกเขา คาสเตอร์เดินทะลุท่ามกลางฝูงชนผู้เป็นคนในสำนัก จนไปถึงข้างหน้าของประตู

    เมื่อนั้นประตูที่เบื้องหน้ามันก็ถูกเปิดออก ปรากฏเป็นร่างชายยักษ์ใหญ่ที่มีปีกแห่งค้างคาวอยู่กลางหลัง ไม่นานนักเหล่าปีกทั้งสองข้างนั้นก็สลายไปกลายเป็นปราณสีเขียว ชายผู้นั้นคือเบลล์แห่งบาป แต่ว่าเขามาทำอะไรที่นี่กันล่ะ หรือว่าจะเป็นเพราะที่เขาพูดไว้กับนายท่านไซอาลอทของเขาไปเมื่อตอนนั้น ที่บ่งบอกว่าเป็นแผนสำรองอะไรสักอย่างที่หวังจะไว้ใช้ในยามวิกาลแบบนี้ แสดงว่าแผนที่ว่านั่นคือจะมาทำอะไรสักอย่างที่นี่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของมารเบลล์และไซอาลอทงั้นสิ แล้วเหตุใดกันที่ไซอาลอทถึงแลดูไม่พอใจกับแผนการนี้เสียเท่าไหร่ ต่อให้ครุ่นคิดไปก็หาได้คำตอบที่จะบอกเหตุผลนั้นได้อยู่ดี ณ ตอนนี้มารแห่งบาปยืนอยู่นอกประตูแห่งสมาคมนักฆ่า จดจ้องไปที่เหล่าผู้คนในคณะก่อนที่จะกวาดตาไปหาคาสเตอร์ช้าๆ เหล่าผู้ที่อยู่ในอาคารไม้นั้นก็มองไปยังเบลล์เช่นกัน แต่มันหาใช่ความกลัว มันเป็นความสงสัยที่อยากจะรู้คำตอบว่าทำไมมารตนนี้ถึงโผล่มาที่นี่ได้ มาในนามผู้คุกคามหรือว่าจะเป็นมิตรก็ไม่อาจจะทราบได้

  สถานการณ์ตอนนี้ถูกปลกคลุมด้วยความเงียบงัน ความสงสัยจากฝ่ายของเหล่านักฆ่า และประสงค์ของมารร้ายที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา สายตาที่จ้องหน้ากันด้วยพลังอันแรงกล้า มิทันไรชายผู้เป็นเจ้าของสำนักก็ค่อยๆ เดินไปอยู่ต่อหน้าของเบลล์ ยืนเทียบเคียงกันพร้อมกับสายตาที่จดจ้องกันโดยไม่มีกระพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่แล้วทันใดนั้น เบลล์ ผู้มาเยือนก็เป็นฝ่ายเริ่มกล่าววาจาของตนก่อน

“ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะคาสเตอร์” มารร้ายกล่าว “เจ้ามิเห็นที่จะต้องต้อนรับข้าด้วยสายตาแบบนี้เลยนิ”

  เริ่มต้นวาจาทักทายเป็นฝ่ายที่มารร้ายก่อน ทางด้านของผู้เป็นเจ้าของสำนักหาได้กล่าววาจาใดๆ เขายังคงจดจ้องใบหน้าของเบลล์อยู่เช่นเมื่อครู่ สายตาที่ดูเหมือนไม่ค่อยพอใจกับการปรากฏตัวของชายผู้ที่อยู่ต่อหน้าตน แน่นอนว่าด้วยสายตาแบบนั้นมันทำให้เบลล์รู้ตัวว่าเขาไม่ได้รับการต้อนรับจากคนพวกนี้เสียเท่าไหร่นัก

“เจ้าต้องการอะไร?” ชายนามคาสเตอร์ถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนว่าเขากัดฟันพูด
“เจ้ารู้ว่าข้ามาทำไม” มารร้ายกล่าว “มันถึงเวลาที่ข้าจะต้องใช้งานมันแล้ว!”

  เหมือนว่ามารเบลล์ต้องการอะไรสักอย่างกับสมาคมแห่งนี้และดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกันมาได้นานพอควรด้วยเช่นกัน เมื่อนั้นคาสเตอร์ก็หันไปมองข้างหลังของตน ซึ่งเหล่าผู้เป็นสมาชิกของนักฆ่ากระบี่แห่งเงาก็จดจ้องมาที่เขาเช่นกัน พวกเขาดูไม่พอใจก็จริง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะขัดคำสั่งหรือต่อต้านใดๆ กับผู้เป็นนายเขาได้ เบลล์หาได้แสดงปฏิกริยาอะไรที่ผิดปกติ เขายังคงยืนนิ่งรอการตอบรับจากผู้เป็นเจ้าของสถานที่ จากนั้นชายนามคาสเตอร์ก็หันไปหาเบลล์อีกครั้ง จดจ้องใบหน้านั้น ใบหน้าของมารที่ยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจถึงแม้ว่าตนจะยังไม่ได้คำตอบใดๆ จากคาสเตอร์ หลังจากที่ฝ่ายคาสเตอร์เงียบไปเสียนาน จู่ๆ เบลล์ก็กล่าววาจาของตนแทรกขึ้นมาทันที

“เป็นอะไรไปหรือคาสเตอร์?” เบลล์กล่าวถาม “ข้าต้องการจะใช้อาวุธที่เจ้ามีอยู่…”
“หรือว่าเจ้าไม่พอใจกันที่ข้ามีประสงค์ที่จะใช้สุดยอดอาวุธของสำนักนี้เพื่อผลประโยชน์ของข้า”
“ด้วยสายตาแบบนั้น… ข้าพอจะเดาออกล่ะว่าเจ้าคิดแบบนี้จริงๆ”

  วาจาจากลมปากของอสูรแห่งความตายมันทำให้คาสเตอร์รู้สึกยิ่งไม่พอใจกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เขากัดฟันอย่างโมโห แต่เหมือนว่าตนกำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะไม่หลุดพูดอะไรแปลกๆ ออกไป เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงมารร้ายแห่งบาป การที่พูดอะไรโดยยั้งคิดมันอาจจะสร้างความฉิบหายให้แก่ตัวเขาก็เป็นได้

“เจ้าลืมไปแล้วหรือคาสเตอร์ ว่าเพราะใครเจ้าถึงมายืนอยู่ในจุดๆ นี้ได้” เบลล์กล่าวต่อ
“เป็นเพราะข้ามิใช่หรือที่เปิดทางให้เจ้าสามารถก่อตัวสร้างสำนักนี้ขึ้น”
“เจ้าคิดหรือว่าลำพังแค่กำลังเจ้ากับเทพที่พวกเจ้าเคารพรักนักจะสามารถเอาชนะกองทัพแห่งสตอร์มโฮล์มไปได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากข้า!”
“และในตอนนี้” เบลล์ยังคงกล่าววาจาของเขาต่อไปโดยที่เจ้าของสำนักทำได้เพียงยืนฟังเท่านั้น “ข้าต้องการผลประโยชน์ของข้าคืน”
“ข้าต้องการให้เจ้าเปิดระบบอาวุธนั้นเพื่อข้าที่จะใช้งานมัน”

   คำพูดเหล่านั้นสามารถตีความโดยง่ายว่าการที่สำนักแห่งนิ้อยู่ได้จนถึงทุกวันนี้นั่นเป็นเพราะชายที่เป็นผู้มาเยือนผู้นี้ หลังสิ้นสุดเสียงเหล่านั้นคาสเตอร์หาได้แสดงอาการใดๆ ที่แลดูต่อต้านเบลล์เลยสักนิด เหมือนกับเขากำลังครุ่นคิดว่าสิ่งที่มารตนนั้นพูดมาก็เป็นความจริงอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าสำนักแห่งนี้จะเก่งเพียงใด แต่การที่จะต่อกรกับเหล่ากองทัพแห่งแสงจากดินแดนสตอร์มโฮล์มมันออกจะเป็นเรื่องที่ยากพอควร ด้วยทั้งกำลังพลที่น้อยกว่า หากไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากฝ่ายอื่นล่ะก็เขาก็อาจจะไม่ได้อยู่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักนี้ก็เป็นได้ เมื่อนั้นชายผู้นี้ก็หันกลับไปหาสมาชิกของสมาคมนี้

“พวกเจ้าออกไปก่อน” คาสเตอร์กล่าว “ข้าต้องการที่จะคุยเป็นการส่วนตัวกับแขกของข้า”

   คำสั่งที่บัญชาจากเจ้าสำนักทำให้เหล่าคนในสำนักพากันเดินออกไปจากอาคารเรือนแห่งนั้น เมื่อทุกคนออกไปจนครบแล้วทางด้านของอสูรแห่งบาปย่างกรายเข้ามาในสิ่งก่อสร้างของมนุษย์พร้อมกับสีหน้าที่ปลื้มปิติอย่างแท้จริง แน่นอนว่าปฏิกริยานั้นมันทำให้คาสเตอร์รู้สึกไม่ชอบใจเสียเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่อาจจะทำอะไรกับมันได้ เมื่อนั้นเขาก็เดินนำเบลล์ไปยังทางเดินของสำนัก จนไปถึงยังห้องๆ นึงที่ดูแตกต่างจากทุกห้องในสมาคมนักฆ่านี้ มันเป็นห้องๆ เดียวที่ดูเหมือนว่าจะมีพลังปราณเอ่อล้นจนสามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา มันเป็นหมอกควันพร้อมกับสายฟ้าสีดำติดประกายอยู่หน้าประตูและกำแพงทุกส่วนของห้องก็มีปราณสายฟ้าที่สามารถสัมผัสได้ด้วยพลังปราณขั้นสูง เมื่อนั้นผู้เป็นเจ้าสำนักก็เปิดประตูห้องนั้นออก ปรากฏเป็นห้องมืดสนิทที่มีเพียงแสงจากนอกห้องสาดส่องเข้าไปน้อยนิดเท่านั้น ในห้องนั้นหาได้มีอะไรเลยนอกจากหินที่ออกแบบเหมือนกับเตียงนอนในยุคเก่าแก่ บนเตียงนั้นก็มีร่างไร้สติของใครสักคนนอนอยู่ ผิวซีดที่ดูเหมือนกับว่าตายไปแล้วเป็นชาติ แต่ยังคงมีปราณไหลรินทั่วเซลล์ชีวิตเป็นหลักฐานว่ายังคงมีชีวิตอยู่ ทั่วร่างสามารถมองเห็นปราณสายฟ้าได้ถึงแม้จะไม่ชัดเจนนัก มันทำให้เบลล์ที่เห็นร่างๆ นั้นยิ้มออกมา

“พลังแห่งวอยด์... มันได้อยู่เบื้องหน้าข้าแล้ว”

------------
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 28
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire X Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Re: Cataclysm: The Endless Hellfire X   Cataclysm: The Endless Hellfire X EmptyMon Sep 12, 2016 3:09 am

ท่ามกลางสวนวังแห่งปราสาทของเมืองหลวงสตอร์มโฮล์ม ผู้เป็นองค์กษัตริย์เจ้าของสถานที่แห่งนี้กำลังเดินไปรอบสวนไม้ รับชมบุปผาที่คลี่ดอกอ้ารับแสงแดดจากฟากฟ้า เขารับชมความงามของเหล่าพุ่มไม้ที่เบ่งบานอย่างสง่า ระหว่างที่กำลังเดินไปรอบๆ สวนนั้นเขาก็จะได้ยินเสียงฝีเท้าที่อยู่ใกล้ตัวเขาราวกับว่ามันค่อยๆ เริ่มคืบคลานเข้ามาทีละน้อยๆ เขาพยายามคิดว่ามันคงเป็นเหล่าข้ารับใช้ขุนนางสักคนที่เข้ามาเดินชมความงามในยามก่อนเย็นแบบนี้ แต่ยิ่งคิดแบบนั้นไปมากเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกว่ามันดูแปลกไปกว่าเดิมเสียเท่านั้น ฝีเท้าที่เริ่มเดินเข้ามาใกล้ผิดระยะจนรู้สึกถึงความผิดปกติ หัตถ์แห่งราชันย์เริ่มจับด้ามกระบี่ของตนหวังที่จะใช้ฟาดฟันสิ่งที่เขารู้สึกไม่ไว้ใจ ถึงกระนั้นขืนออกโจมตีเลยแล้วคนๆ นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์มันก็จะดูไม่ดีเอา

   เพียงชั่วพริบตานั้นเขาก็หันไปข้างหลังเพื่อที่จะประจักษ์แก่สิ่งที่ตามหลังจนว่าบุคคลนั้นคือใครกันแน่ มันปรากฏเป็นชายนามเซรดริกข้ารับใช้ขององค์ราชาที่เดินตามติดเขามาตลอดทาง มันทำให้โครนอสรู้สึกโล่งอกเพราะหากเมื่อครู่เขาฟาดฟันดาบไปจริงๆ มันอาจเป็นไปได้ว่าข้ารับใช้ของเขาคงได้รับบาดเจ็บเป็นแน่แท้ อีกทั้งยังหายกังวลไปอีกว่าคนที่ตามเขามานั้นคือใคร ชายผู้ผมยาวสลวยผู้เป็นข้ารับใช้แสดงถึงความงุนงงกับสิ่งที่ราชาทำเบื้องหน้าเขา การหายใจโล่งอกแบบนั้นมันดูราวกับว่าโครนอสไม่คิดเลยว่าคนที่ตามมาจะเป็นคนที่เป็นผู้รับใช้แห่งเขา เมื่อนั้นองค์ราชาก็เดินเข้าไปหาผู้เป็นลูกน้องของตน

“เหตุใดเจ้าจึงตามข้ามาหรือเซรดริก” ราชาถาม
“พอดีว่ากระผมจะมารับแจ้งให้ท่านทราบขอรับว่าโบล์ทได้กลับมาแล้ว”
“งั้นรึ?” โครนอสทำสีหน้าสงสัย อีกทั้งยังดูยินดีกับเรื่องที่ได้ยิน
“งั้นนำพาข้าไปหาชายผู้นั้นที”

  ข้ารับใช้ก้มหัวลงรับคำบัญชาก่อนที่จะเดินนำองค์ราชาไปยังทางเดินเข้าปราสาท โครนอสเดินตามชายผู้นั้นไปโดยที่ไม่มีแม้กระทั่งวาจาบอกกล่าว ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินไปยังทางเดินตามปราสาท พวกเขาก็สังเกตได้ว่า ณ ตอนนี้เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างพากันพักผ่อนบ้าง หรือไม่ก็ยังคงทำงานกันในบางส่วน บ้างก็ทักทายองค์ราชาหลังจากที่เห็นท่านทรงเสด็จไปตามทาง เมื่อนั้นที่เบื้องหน้าของเขาก็มีชายผมขาวคนนึงกำลังยืนรออะไรสักอย่างอยู่และพลางคุยไปกับหญิงสาวผมสีน้ำตาล ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสายฟ้าสีทองแห่งซินโดร่าและหญิงสาวที่เดินทางมาพร้อมกับเขานามมาเดียร่า หลังจากที่องค์ราชาไปถึงจุดหมายที่เขาต้องการ โบล์ทก็แสดงความเคารพต่อองค์ราชาโดยการก้มตัวคำนับลง คุกเข่าลงไปกับพื้นก่อนที่จะเริ่มกล่าววาจาของตน

“องค์ฝ่าบาท” โบล์ทกล่าว “ขออภัยที่ตัวกระผมล่าช้าในการกลับมาครั้งนี้”
“กระผมได้เห็นสาส์นเรียกตัวกลับมายังดินแดนและรีบตรงมายังให้เร็วที่สุด”
“แต่เนื่องด้วยมีปัญหาเล็กน้อย จึงทำให้กระผมล่าช้าไป”

“มิเป็นไร” องค์ราชากล่าว
“และหญิงสาวผู้นี้คือ..”

“เธอคือมาเดียร่าแห่งดินแดนเอเมอร์รัล เทอร์เรส” โบล์ทตอบกลับ
“กระผมจำเป็นต้องพาหล่อนมายังที่แห่งนี้เนื่องด้วยหล่อนถูกจู่โจมจากเหล่านักบาป”
“เกรงว่าหล่อนจะไม่มีที่ไปและอาจจะตกเป็นเป้าหมายของผู้ชั่วร้ายเหล่านั้น”
“กระผมจึงพาหล่อนมาโดยมิได้ขออนุญาตตัวท่าน ต้องขออภัยด้วยขอรับ”

   คำตอบจากโบล์ทมันทำให้โครนอสครุ่นคิดอะไรสักพักก่อนที่จะมองไปหาหญิงสาวผู้นั้น เธอดูกลัวๆ นิดหน่อยจากการที่ถูกองค์ราชาสบตาเข้าให้ อาจจะเป็นเพราะเธอไม่เคยได้เจอกับราชาแห่งทวีปทางด้านตะวันออกเป็นๆ เช่นนี้มาก่อน มันรู้สึกทั้งเป็นเกียรติและเกร็งอย่างบอกไม่ถูก ไม่นานนักโครนอสก็ยิ้มให้แก่หล่อนราวกับเขารู้ว่าเธอกำลังฝืนตัวเองไม่ให้แสดงอาการที่ดูหวาดวิตก รอยยิ้มนั้นมันทำให้หญิงสาวผู้นั้นแสดงปฏิกริยาตอบ เธอยิ้มอ่อนๆ เป็นยิ้มที่อ่อนหวานบนใบหน้าของสาวน้อย จากนั้นโครนอสก็หันไปหาโบล์ทที่ยังคงน้อมรับเขาอยู่


“ลุกขึ้นเถิดทหารของข้า” โครนอสกล่าว “ข้ามิได้โกรธเคืองอันใดที่เจ้านำพาหล่อนมาที่นี่”

คำกล่าวนั้นทำให้ผู้เป็นทหารของเขาลุกขึ้นมา ก่อนที่ราชาจะหันไปหาข้ารับใช้นามเซรดริก

“เจ้าช่วยพามาเดียร่าไปพักผ่อนก่อน” เขาสั่งข้ารับใช้ผู้นั้น “ข้ามีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกับโบล์ท”
“แล้วก็เมื่อเจ้าเสร็จสิ้นงานแล้ว เรียกให้ชารอนและเนลเรี่ยนมายังห้องโถงกลางวังด้วย”
“ทราบแล้วขอรับนายท่าน” เซรดริกก้มตัวลงรับคำสั่ง

  เมื่อนั้นชายผู้เป็นข้ารับใช้ก็นำพาหญิงสาวไปกับเขา นำทางไปยังห้องพักที่มีไว้สำหรับแขกผู้มาเยือนพระราชวังแห่งนี้ โบล์ทและโครนอสต่างพากันมองอย่างไม่ละสายตาจนกระทั่งแขกและเซรดริกจะเดินไปยังทางแยกจนหายไปหลังกำแพงในที่สุด เมื่อนั้นชายทั้งสองก็หันมาหากันเตรียมพร้อมที่จะสนทนา

“ท่านสัมผัสได้ใช่หรือเปล่า?” โบล์ทกล่าวถาม
“ใช่!” องค์ราชาตอบกลับไป “เธอไร้ซึ่งพลังปราณใดๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งมีชีวิตจะไร้ซึ่งปราณแบบนั้น”
“กระผมก็คิดเช่นนั้น” โบล์ทตอบ “อีกอย่างยังมีเรื่องที่กระผมค้างคาใจอยู่พอควรเหมือนกัน”
“เรื่องที่ว่าทำไมพวกผู้ใช้พลังบาปถึงอยากได้ตัวหล่อน อีกทั้งยังเป็นพลังของหล่อนที่ข้าประจักษ์ด้วยตาทั้งสองข้าเองเลย” เขากล่าวต่อ
“พลังแบบใดกัน?”
“ข้าก็มิอาจจะบรรยายมันออกมาเป็นวาจาได้ซะทีเดียวขอรับ”

เมื่อนั้นโครนอสก็หันไปมองรอบๆ เหมือนกับว่ากำลังระแวงว่ามีใครอาจจะแอบฟังสิ่งที่พวกเขาทั้งสองกำลังพูดคุยกัน

“ข้าว่ามันไม่สะดวกที่จะพูดคุยกันในสถานที่แห่งนี้” โครนอสกล่าว
“ตามข้ามาสิ”

  สิ้นสุดวาจาโครนอสก็เป็นฝ่ายเดินนำหน้าไป โบล์ทเริ่มเดินตามหลังไปหลังจากที่ทางด้านขององค์กษัตริย์นำหน้าเขาแล้ว พวกเขาเดินไปตามทางเดินหวังที่จะหาสถานที่เหมาะในการพูดคุยเรื่องแบบนี้ ดูเหมือนว่าองค์ราชาไม่อยากจะให้ใครรู้มากนักเกี่ยวกับเรื่องที่คนธรรมดาไม่ควรที่จะได้ยิน เพราะการที่จะออกไปพูดให้คนพวกนี้รับฟังด้วยมันก็ไม่ต่างอะไรจากการทำให้พวกเขาวิตกกังวลหรอก แถมในตอนนี้โครนอสยังมีปัญหาที่รุมเร้าอย่างชัดเจนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นบุตรบุญธรรมของเขาที่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกมาตั้งแต่เมื่อเช้าตรู่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ไหนจะเริ่มรู้สึกถึงพลังดาบที่เริ่มจะกรีดร้องตามหาพลังที่แท้จริงของไซอาลอทอยู่นับครั้งต่อครั้ง เมื่อนั้นพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูห้องใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางปราสาท ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสถานที่ๆ องค์กษัตริย์กล่างถึงไปเมื่อครู่นี้ ห้องโถงใจกลางวัง เมื่อนั้นเขาก็ดันประตูห้องนั้น ข้างในดูเหมือนเป็นห้องที่ไว้ใช้ในการวางแผนการรบ มันมีแผนที่ อาวุธ หรืออุปกรณ์ต่างๆ เตรียมพร้อมไว้หมด

  ว่าแล้วทางด้านของท่านผู้นำแห่งดินแดนสตอร์มโฮล์มก็รุดตัวเข้าไปในห้องนั้นทันที ตามด้วยมือซ้ายของเขา โบล์ทมองไปรอบๆ ของห้องราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกถึงการที่มาเหยียบย่างบนพื้นของห้องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว เขาใช้มือลูบโต๊ะกลางห้องที่ใช้ในการวางแผน ฝุ่นนที่ค่อนข้างเคลอะติดมือข้างที่ชายผมขาวใช้มันลูบลงไป  ทางด้านขององค์กษัตริย์เดินไปยังขอบของห้องก่อนที่จะหยิบหนังสือขนาดหนาเล่มหนึ่งออกมาพร้อมกับแผนที่ทวีปแห่งเอสซิโอนิค เขาวางมันลงบนโต๊ะนั้น ถึงแม้ว่าจะวางมันลงไม่ค่อยแรงนักแต่เหล่าฝุ่นที่ติดอยู่เต็มโต๊ะก็กระจายออกราวกับถูกแรงลมซัดเข้าอย่างแรง โบล์ทมองดูหนังสือเล่มนั้น มันดูเหมือนเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ขุมพลังแห่งโพรโตเนี่ยนที่มีอยู่ในโลกใบนี้ ไม่นานนักชายผู้นั้นก็ค่อยๆ หยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เปิดอ่านมันพลางๆ หลังจากนั้นเหล่าผู้ที่ถูกเรียกตัวโดยโครนอสผ่านทางเซรดริกก็พากันเดินเข้ามาในห้องตามด้วยข้ารับใช้ผู้นั้น เนลเรี่ยนและชารอนแสดงความงุนงงเล็กน้อยที่ถูกเรียกมาอย่างกระทันหันแบบนี้

   เมื่อนั้นเซรดริกก็ปิดประตูห้องไว้ ทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีเสียงใดๆ สามารถเล็ดลอดออกไปจากห้องได้ หลังจากที่ชายผู้เป็นข้ารับใช้ปิดประตูจนสนิท เขาก็เดินมาร่วมวงที่โต๊ะ ดูท่าว่าตอนนี้จะมีการพูดคุยอะไรสักอย่างที่องค์ราชาอยากจะให้คนที่อยู่ในห้องนี้เท่านั้นที่จะสามารถรับรู้ได้ ทางด้านของหญิงสาวผมแดงมองไปหาชายผมทองราวกับพยายามจะถามว่าทำไมพวกเขาถึงถูกเรียกตัวมายังสถานที่แห่งนี้ ด้านนักปราชญ์เนลเรี่ยนก็ยักไหล่แสดงอาการว่าเขาก็ไม่รู้เช่นกัน

“ขออภัยด้วยที่ข้าเรียกพวกท่านมาในช่วงยามพักผ่อนของพวกท่านเช่นนี้” โครนอสกล่าวขึ้นมา
“แต่ข้าจำเป็นที่จะต้องคุยจากพวกท่านในฐานะกษัตริย์แห่งดินแดนนี้”
“จากที่ตัวข้าได้รับรายงานมาจากสายสืบและฟังเรื่องราวจากโบล์ท รวมไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลายๆ อย่างกับข้าและเมืองนี้”
“มันทำให้ข้ามั่นใจแล้วว่าเราทุกคนกำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง”

  วาจานั้นทำให้เหล่าผู้ที่อยู่ในห้องแสดงสีหน้าที่ดูจริงจังออกมา เนื่องเพราะสิ่งที่ออกมาจากปากของราชาอาจเกี่ยวพันไปถึงความมั่นคงของอาณาจักรแห่งสตอร์มโฮล์ม หรือมันอาจจะยิ่งไปกว่านั้นเสียก็ได้ ถึงกระนั้นทางด้านของเนลเรี่ยนก็เหมือนกับจะยังไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ เขาคือคนเดียวที่ดูจะงุนงงกับเรื่องนี้มากที่สุดแล้ว

“โบล์ท” องค์ราชากล่าว “เจ้าเพิ่งบอกข้าเกี่ยวกับเหล่าผู้ใช้พลังบาปที่ต้องการตัวของหญิงสาวผู้นั้น”
“เจ้าพอที่จะอธิบายเชิงลึกสักหน่อยได้หรือเปล่าว่าพลังของหญิงสาวผู้นั้นมันเป็นแบบไหน?”


“กระผมคาดว่าคงจะอธิบายเชิงลึกไม่ได้มากเท่าไหร่” โบล์ทกล่าว “แต่จากที่ข้าประจักษ์พลังของหล่อน ข้าคิดว่าพลังธาตุของเธอเป็นพลังไม้”
“ไม้?” โครนอสอุทานขึ้น
“มันต่างออกไปจากทุกอันที่ข้าเคยเห็นมาขอรับ พลังนี้มันดูเหมือนกับว่ามีชีวิตเป็นของตัวเองต่างจากปราณอื่นๆ ที่ต้องอาศัยการควบคุมอย่างแน่นอนจากผู้ใช้”
“ไหนจะอีกทั้งปราณที่สามารถฟื้นฟูบาดแผลของกระผมให้หายเป็นปลิดทิ้งในช่วยเวลาอันสั้นจากการถ่ายปราณเพียงแค่เล็กน้อยเข้าสู่กาย”
“เมื่อใดก็ตามที่หล่อนไม่ทำการใช้ปราณใดๆ จะไม่มีใครสามารถจับพลังของหล่อนได้ และจะทำได้ก็ต่อเมื่อเธอใช้พลัง”
“จากการที่ผมคำนวณดูๆ แล้วจากสถารการณ์ระหว่างที่ผู้ใช้แห่งบาปเข้าปะทะกับผม หญิงสาวผู้นั้นใช้ปราณของหล่อนจัดการพวกผู้ไล่ตามเธอจนหมดสิ้นด้วยตัวเอง”
“พลังที่ใช้กำจัดพวกนั้นผมคาดว่าจะเป็นการสร้างกองทัพไม้ใช้เพื่อปกป้องหล่อน และเมื่อที่หล่อนใช้พลัง…”

“ร่างของหล่อนจะถูกหุ้มป้องกันด้วยพฤกษาขนาดใหญ่”

   ผู้คนทั้งหลายต่างหันไปหาต้นเสียงจากประโยคสุดท้ายนั้น เพราะนั่นหาใช่คำพูดของโบล์ทเอง วาจานั้นออกมาจากปากของชายผู้เป็นนักปราชญ์ผมสีทอง เขามองไปรอบๆ หลังจากที่กล่าวสิ่งนั้นไป สายตาที่มองมาด้วยความสงสัยราวกับว่าชายผู้นี้รู้ โบล์ทเองก็มองเขาด้วยสายตาแบบนั้นเช่นกัน เพราะว่านั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อเขาพบตัวของมาเดียร่าเมื่อครั้งจบการต่อสู้ แต่ว่าเนลเรี่ยนผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ในครั้งนี้จะสามารถรู้ถึงเรื่องได้อย่างไรกัน เพราะเมื่อเวลานั้นทางด้านชายผู้นี้ก็เพิ่งเดินทางมาถึงสตอร์มโฮล์มได้ไม่นานนัก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายผู้นี้จะเดินทางไปครึ่งทวีปและประจักษ์ถึงเหตุการณ์นั้นได้ด้วยตนเอง แล้วเขาจะสามารถรู้ได้ยังไงกันล่ะ

“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”ว่าแล้วโบล์ทก็กล่าววาจาของเขาต่อเป็นการเอ่ยถามด้วยความสงสัย

   คำถามนั้นยิ่งทำให้ผู้คนที่อยู่ในห้องมองเนลเรี่ยนจริงจังเสียยิ่งกว่าเดิม สายตาเหล่านั้นทำให้ชายผู้นี้รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก จะว่ายังไงดีล่ะ การที่ถูกจ้องมาด้วยสายตาแบบนั้นมันก็ทำให้คนที่ถูกมองพูดอะไรไม่ถูกอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นสายตาของชายนามเซรดริกกลับมองต่างไปจากคนอื่น มันดูเหมือนสายตาที่ไม่ค่อยจะชอบใจนัก ราวกับพยายามที่จะกดดันชายผมทองผู้นี้ยังไงยังงั้น แน่นอนว่าการที่เนลเรี่ยนเห็นอะไรแบบนั้นมันยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดีไปกว่าเดิม ว่าแล้วเขาก็รู้ตัวว่าเขาจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามที่ตนถูกถามมา

“ก็ข้าเป็นนักประวัติศาสตร์นิ”

คำตอบนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดูมีเหตุผลมากพอเสียเท่าไหร่ มันเหมือนกับว่าเขาเลี่ยงคำตอบเสียมากกว่า

“ก็ได้ๆ” เขาตอบ “ข้าเคย… เอ่อ… เคยแอบขโมยหนังสือจาก… ห้องสมุดอ่านะ”
“แต่อย่าเข้าใจผิด! ข้าทำเพื่อการค้นคว้าข้อมูลให้แก่องค์ราชาอ่านะ” เขาพูดแทรกขึ้นมาด้วยยิ้มเจือนๆ
“เข้าเรื่องดีกว่า” เขาโยงไปเรื่องพลังของหญิงสาวเป็นการตัดเรื่องทันที “พลังนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นพลังที่ไม่เหมือนกับพลังแห่งไม้ที่ทุกคนมี”
“มันคือพลังแห่งชีวิตจากกาลก่อนที่จะมีเพียงคนเดียวในช่วงยุคนั้นๆ เท่านั้น”

   หลังจากที่เนลเรี่ยนอธิบายไปมันก็ทำให้แต่ละคนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากการที่เขาอธิบายมาว่าเคยอ่านจากตำราและด้วยนิสัยที่รักการอ่านของเนลเรี่ยน มันก็เป็นไปได้ว่าเขาจะรู้อะไรมากกว่านี้ก็เป็นได้ ซึ่งโครนอสกำลังคิดเช่นนั้นอยู่ ถ้าหากเนลเรี่ยนรู้ถึงเรื่องนี้โดยหลักทฤษฏีและโบล์ทสามารถรับรู้ได้ในหลักปฏิบัติจากการที่เขาพบเห็นด้วยตัวเองแบบนั้น ถ้าหากเอาเรื่องพวกนั้นจากคำพูดของทั้งสองมาประติดประต่อกัน มันก็อาจจะหาเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ใช้พลังบาปเหล่านั้นถึงต้องการตัวหล่อนได้ ไม่สิ! หากพูดถึงขั้นนี้แล้วมันดูเหมือนกับว่าจะต้องถามว่าทำไมคนพวกนั้นถึงต้องการพลังของหล่อนมากกว่าจะดีกว่า เพราะด้วยจากการที่ทั้งสองเล่ามาเมื่อครู่ มันสามารถตีความได้เลยว่าผู้หญิงคนนั้นมีพลังที่เหนือมนุษย์อย่างแน่แท้ และอาจจะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเหล่าผู้ใช้พลังบาปในการที่จะบรรลุเป้าหมายที่แท้จริงได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้วตัวเลือกที่ดีกว่าคือการที่จะไม่ให้คนพวกนั้นได้ตัวของเธอไป ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่าเนลเรี่ยนจะยังเล่าเรื่องออกมาไม่หมด เพราะถ้าหากอ่านหนังสือจริงๆ เขาต้องรู้อะไรมากกว่านั้น

“พูดต่อไป…” องค์ราชากล่าวเป็นสัญญาณบอกให้เนลเรี่ยนถ่ายทอดสิ่งที่เขารับรู้ให้แก่ทุกคนในห้อง

“ข้ามั่นใจว่าหลายๆ ท่านในห้องนี้อาจจะรู้ถึงสิ่งที่ถูกเรียกว่าผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยน… ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นใช้วิธีหลายๆ แบบในการที่จะรักษาสมดุลของโลก”
“อย่างเช่นโคลริม เคลย์ทิวล์ เทพแห่งสงครามเมื่อหลายปีก่อนทำอะไรสักอย่างกับตัวท่านจนท่านไม่เปลี่ยนไปหรืออะไรก็ตามแต่” เขาพูดพลางชี้ไปหาชารอน
“คนพวกนั้นอาจจะใช้วิธีในการใช้ตัวท่านในการดูแลรักษาโลก ซึ่งถ้าหากผู้กันจริงๆ คนส่วนใหญ่ตะหากที่ใช้วิธีแบบนั้น”

“ท่านหมายความว่ายังไงคะ?” ชารอนกล่าวถาม

“ข้าหมายถึง… การที่จะมีบุคคลนั้นๆ ที่จะมีพลังเหนือมนุษย์หรือแตกต่างจากใครๆ โดยสิ้นเชิงได้มันย่อมเป็นการถูกเลือกจากผู้พิทักษ์เหล่านั้น”
“และหญิงสาวผู้นั้นเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น” เขาพูดต่อ “จากการที่ข้าฟังจากท่านโบล์ท ข้าก็เห็นถึงความสอดคล้องของพลังระหว่างหญิงสาวผู้นี้กับพลังแห่งอดีตกาลที่เป็นพลังที่ได้รับมาจากผู้พิทักษ์”
“มันเหมือนกันทุกประการ!”

“พลังที่ว่าจะไม่มีสิ่งมีชิวิตตนไหนที่จะสามารถตรวจจับความสามารถ พลังธาตุของพลังหรืออะไรได้จนกว่าจะแสดงประจักษ์ต่อสายตาผู้คน”
“พลังที่ว่ามีความสามารถในการรักษาสิ่งมีชีวิต.. ถ้าผมจะพูดให้ถูกมันคือการให้พลังชีวิตต่อคนนั้นๆ เสียตะหาก”
“อีกทั้งพลังไม้ที่ไว้ใช้ในยามคับขันเมื่อตนต้องเข้าสู่การต่อสู้ที่ไม่สามารถเลี่ยงได้”
“มันเป็นพลังแห่งชีวิตที่ได้รับมาจากหนึ่งในผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยนนามวิเรียล่า ไบร์ทวินด์”

“เจ้ากำลังจะสื่อว่ามาเดียร่าเคยพบกับผู้พิทักษ์คนนั้นงั้นหรือ?” โบล์มกล่าวถาม

“มาเดียร่า? โอ้! ถ้าเป็นชื่อสาวน้อยผู้นั้นก็ใช่” เนลเรี่ยนตอบ “แต่ไม่ใช่ว่าจะเรียกว่าเจอกันเสียทีเดียวหรอกนะ”
“มันจะเป็นแบบ... ผู้พิทักษ์ในร่างปราณที่สถิตอยู่ในดวงดาวแห่งนี้จะเฟ้นหาผู้ถูกเลือกหนึ่งเดียวจากทั้งดวงดาว”
“โดยที่คนเหล่านั้นจะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์จากก้นบึ้งจิตใจ”
“และเมื่อเธอสามารถหาคนๆ นั้นพบ.. วิเรียล่าก็จะส่งกระแสจิตและปราณเข้าสู่ร่างนั้น”
“อย่างเช่นมาเดียร่าในยุคนี้ยังไงล่ะ”

“ท่านจะบอกว่าพวกเขาพบกันในนิมิตยังงั้นหรอคะ?” หญิงสาวผมแดงถามอีกครั้ง

“ใช่แล้ว” เนลเรี่ยนตอบ “และหล่อนจะมีพลังนั้นจนกว่าเธอจะตาย”
“เมื่อหญิงสาวสิ้นลม นั่นหมายความว่าจะมีการเลือกเฟ้นผู้เป็นภาชนะคนใหม่”
“แต่ในระหว่างนั้น... พลังนี้จะเอ่อล้นไปทั่วโลก และเป็นไปได้ว่าเหล่าผู้ใช้พลังบาปจะสามารถดูดกลืนพลังงานเพื่อมาใช้ได้ตามต้องการ”

“กล่าวโดยง่ายคือหล่อนจะตายไม่ได้” โครนอสแทรกขึ้นมา

“เอ่อ... ในทางเทคนิค... ใช่ขอรับ!”

“แล้วพลังนั้นมีผลอันใดหรือ?” โบล์ทถามอีกคน

“ก็... พลังแห่งชีวิต.. จะทำอะไรก็ได้”
“ตั้งแต่ปลุกคนจากการหลับไหลอันยาวนาน หรือแม้กระทั่งคืนชีพได้เลย”

  วาจาเหล่านั้นมันทำให้ทุกคนดูจริงจังไปเลย เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าจุดประสงค์ของเหล่าพวกผู้ใช้บาปก็อาจจะเป็นการทำให้นายของพวกเขา ไซอาลอท ไฟร์วอร์คเกอร์ให้กลับมาสู่โลกนี้ก็ได้ โครนอสเอามือจับคางของตนราวกับพลางคิดไปเรื่อย เขาถอนหายใจออกมาดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยจะรู้สึกดีที่ได้ยินเท่าไหร่ ทางด้านของชารอนก็เหมือนว่าจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้มาก่อนเช่นกัน เธอมองไปหาเนลเรี่ยนพร้อมกับทำท่าเหมือนกับว่าเพิ่งเคยเห็นชายผู้นี้ดูเป็นนักวิชาการก็ครั้งนี้ล่ะ ท่าทางที่แสดงออกมาเป็นคำชมแก่นักปราชญ์ทำเอาเขาเขินไปไม่น้อยเช่นกัน เขามองไปรอบๆ ก่อนที่จะเห็นสายตาที่ไม่ควรจะสบตาอีกครั้ง มันเป็นข้ารับใช้ที่ยิ้มมุมปากเชิงประชดพร้อมกับดวงตาที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเสียเท่าไหร่ เมื่อชายผมทองเห็นเช่นนั้น เขาก็รู้สึกหงุดหงิดทันที ถึงกระนั้นชายผู้นี้ก็พยายามที่จะสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เมื่อนั้นองค์ราชาก็เอามือทั้งสองข้างวางลงบนโต๊ะ มันทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องทุกท่านหันไปมองเป็นดั่งจุดสนใจแก่พวกเขา

“เช่นนั้นเราจะต้องทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าหล่อนจะปลอดภัย” โครนอสกล่าว

  แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้ว เพราะถ้าหากสิ่งที่เนลเรี่ยนกล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง นั่นก็เท่ากับว่าชีวิตของหญิงผู้นี้มีความเป็นความตายแก่ดวงดาวโพรโตเนี่ยน อีกทั้งคำพูดจากนักปราชญ์ผู้นี้ยังดูน่าเชื่อถือได้เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความรู้มากที่สุดในดินแดนแห่งนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะได้ยินเขาพูดอะไรแบบนี้บ่อยครั้งนัก เนื่องด้วยนิสัยที่กวนโอ๊ยแถมยังจะขี้รำคาญคนอื่นเขามันจึงทำให้การพูดจาแบบนี้ดูเป็นอะไรที่ไร้สาระเหมือนกัน กระนั้นเองที่กล่าวมามันก็ตรงกับที่โบล์ทประจักษ์ด้วยตัวเอง การที่ชายผมทองรู้อะไรเสียขนาดนี้จะไม่เชื่อมันก็ไม่ได้แล้ว ทุกคนต่างดูเห็นด้วยกับคำพูดของราชาที่กล่าวไป และยังเชื่อในสิ่งที่ผู้รู้เนลเรี่ยนเล่ามาทั้งหมดด้วย

“แล้วเรื่องของชายผู้นี้มันจะน่าเชื่อถือจริงหรือขอรับ?” ข้ารับใช้เอ่ยถาม

“ข้าคิดว่า... มันเป็นไปได้นะ” หญิงสาวผมแดงกล่าว “ข้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยนมาจากนายท่านโคลริมเมื่อนานมาแล้ว”
“และสิ่งที่เนลเรี่ยนกล่าวไป มันก็คล้ายคลึงกับสิ่งที่ข้าเคยได้ยิน”
“อีกอย่างนะโครนอส... ท่านก็รู้นิว่าข้าย่อมรู้เรื่องผู้พิทักษ์มากกว่าใคร”

โครนอสพยักหน้าตอบ เป็นการสื่อว่าเธอพูดจริง

“ฉะนั้นแล้ว.. นามของวิเลียร่า ไบร์ทวินด์และการกระทำของหล่อนในการปกป้องดวงดาวแห่งนี้ก็มีโอกาสจะเป็นแบบนั้น”
“และที่สำคัญ ข้าไม่คิดว่าชายผู้นี้จะมากุเรื่องอะไรแบบนี้ในเวลาคับขันเช่นนี้หรอก”

“เช่นนั้นก็ดี...” โครนอสกล่าวต่อจากหญิงสาวผมแดง
“เราจะทำการปกป้องหญิงผู้นี้ด้วยทุกอย่างที่เรามี และแลกด้วยชีวิตพวกเรา”

  ทุกคนต่างเงียบไปหลังจากวาจานั้น นั่นเพราะนี่เป็นเรื่องที่ดูซีเรียสเสียยิ่งกว่าอะไรที่พวกเขาเคยพบเจอก็ได้ การที่เหล่าผู้ใช้พลังบาปออกมาเพ่นพ่านเต็มไปหมดโดยมีจุดประสงค์นั้น มันก็เท่ากับว่าโพรโตเนี่ยนอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดจนสุดขีด ถึงกระนั้นเองพวกเขาก็ไม่อาจจะที่บอกกล่าวแก่ประชาชนดื้อๆ ได้ เพราะถ้าหากทำเช่นนั้นมันก็เท่ากับว่าเป็นการสร้างความแตกตื่นและยิ่งจะทำให้เรื่องลำบากไปกว่าเดิม หลังจากที่องค์ราชากล่าววาจานั้นไปแล้ว เขาก็กลับมาระดมสมอง ใช้ความคิดของตนว่าจะทำเช่นไรถึงจะสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้

“ข้ามีเรื่องจะเสนอ” ชารอนกล่าว

เมื่อองค์ราชาได้ยินแบบนั้น เขาก็มองไปหาเธอ เหมือนกับว่าจะรับฟังสิ่งที่เธอพูด

“ว่ามา..”

“ข้าเกรงว่าแค่การปกป้องหญิงสาวผู้นั้นอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอก็ได้”
“ตัวข้าเองจึงจะเสนอตัวไปยังหินแหลมมรกตนั่นและเฝ้ายามระวังทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีมารตนไหนไปเหยียบย่ำที่นั่นได้”
“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็จะยิ่งโล่งใจกว่าเดิมและเผื่อไว้ในยามวิกฤตหากคนเหล่านั้นสามารถแย่งชินตัวหญิงสาวผู้นั้นไปได้”

“แล้วท่านคิดว่าท่านจะสามารถอยู่ที่นั่นได้งั้นหรือ” โบล์ทกล่าวขึ้น
“ข้าหมายถึง.. ท่านก็รู้ว่าสถานที่แห่งนั้นมันมีปราณแห่งความตายเอ่อล้นอยู่เต็มไปหมด”
“ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนไหนจะสามารถอยู่ได้”
“ด้วยร่างกายของผู้มีปราณคงอยู่ได้ไม่นานเกินชั่วโมงหรอก”

“โบล์ท...” โครนอสกล่าวแทรก “เชื่อฉันเถอะว่าเธอทำได้”
“เธอเป็นผู้มีพลังพิเศษเหนือกว่าพวกเราทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้”

  คำพูดขององค์กษัตริย์แห่งสตอร์มโฮล์มทำให้โบล์ทรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น เขาเงียบไปหลังจากวาจานั้นก่อนที่จะแสดงปฏิกริยาที่บ่งบอกว่าเขาเข้าใจ เมื่อนั้นไม่นานนักองค์ราชาก็เริ่มเดินไปยังประตูใหญ่ มันทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นมองด้วยความสงสัยว่าเขาคิดจะทำอะไร ก่อนที่เขาจะเปิดมันออก และหันกลับมาหาสหายของเขา

“เราจะเริ่มแผนการในวันพรุ่งนี้”
“จงเตรียมตัวให้พร้อมซะ!”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire X
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire XXV
» Cataclysm: The Endless Hellfire IX
» Cataclysm: The Endless Hellfire XI
» Cataclysm: The Endless Hellfire XLV
» Cataclysm: The Endless Hellfire XII

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: