Cataclysm: Endless Hellfire
Act X
------------
“นายท่านคาสเตอร์!”
เสียงของหนุ่มวัยราวๆ ยี่สิบเห็นจะได้ตะโกนเสียงออกมา เขากำลังขยับตัวอย่างรวดเร็วอยู่ตามทางเดินบนเนินเขาในดินแดนแห่งหนึ่ง เสียงตะโกนนั้นทำให้ชายผู้หนึ่งที่สวมผ้าคลุมและหมวกฮู๊ดเดินออกมาจากอาคารเรือนแห่งหนึ่งที่ถูกปลูกสร้างขึ้นด้วยไม้ ชายผู้นั้นมองไปยังหนุ่มที่กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาเขาก่อนที่จะค่อยๆ เดินเข้าไปหาผู้ที่กำลังตรงเข้ามาหา มันดูเหมือนจะเป็นช่วงยามเย็นเห็นจะได้แล้ว เหล่าลมที่พัดมาอย่างรุนแรงตามความสภาพอากาศที่ไม่ค่อยดีบวกกับทำแลที่อยู่บนเขาสูงทำให้ชายทั้งสองที่กำลังเดินอยู่ขยับตัวอย่างลำบาก เมื่อนั้นหนุ่มที่ตะโกนให้แก่ชายสวมผ้าคลุมก็วิ่งไปถึงยังจุดหมายของเขา ผู้เป็นนายท่านที่เขาเพิ่งกล่าวเรียกไปเมื่อครู่ ไม่นานนักชายผู้นั้นก็ยื่นจดหมายสักอย่างให้แก่ชายนามคาสเตอร์ เขารับกระดาษสีน้ำตาลนั้นมา เริ่มเดินกลับไปยังอาคารไม้ของเขาที่สร้างไว้บนยอดของหุบเขานี้
ไม่นานเสียเท่าไหร่ผู้ที่ถูกเรียกว่านายท่านก็ไปถึงยังบ้านไม้นั้นพร้อมกับหนุ่มที่ส่งจดหมายให้แก่เขา แต่ถ้าจะให้พูดว่านั่นคือบ้านซะทีเดียวมันก็ไม่ถูกหรอก มันดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างอื่นเสียมากกว่า เหมือนกับสถานที่อะไรสักอย่างที่ไว้ให้เหล่าบุคคลมาทำการคบค้าสมาคม ภายในอาคารเรือนมันถูกตกแต่งด้วยของประดับต่างๆ เยอะแยะ อีกทั้งยังมีธงผ้าที่เขียนไว้ว่า “ดาบแห่งความมืด” ประดับไว้อยู่ตามกำแพงอีกด้วย เมื่อนั้นชายสวมผ้าคลุมผู้แลดูเป็นเจ้าของสถานที่ก็เดินไปยังห้องๆ หนึ่ง มันเป็นห้องที่มีโต๊ะมีข้าวของไว้ใช้รับแขกอยู่ เหมือนกับว่ามันจะเป็นห้องนั่งเล่นเห็นจะได้ ว่าแล้วชายนามคาสเตอร์ก็นั่งลงไปกับเก้าอี้กลางห้องก่อนที่จะหยิบจดหมายขึ้นมา เปิดซองจดหมายนั้นออก ตราประทับของจดหมายนั้นเป็นสัญลักษณ์สีทองและน้ำเงิน รูปตราเป็นลายราชสีห์อันแกร่งกล้า ดูท่าแล้วข้อความฉบับนี้จะมาจากดินแดนแห่งสตอร์มโฮล์มเองเลย
เขาค่อยๆ อ่านมันอย่างบรรจง สายตาที่กวาดไปตามตัวหนังสืออย่างรวดเร็วราวกับว่ารู้ถึงข้อความว่ามันสื่ออะไรโดยที่ไม่ต้องใช้เวลาอ่าน เขาทำแบบนั้นไปสักพักโดยที่ชายผู้ส่งสาส์นฉบับนั้นมองดูด้วยความสงสัย ไม่กี่พริบตาชายสวมผ้าคลุมก็วางจดหมายนั้นลง แสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยพึงพอใจเสียเท่าไหร่ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขา หรือว่านั่นเป็นเพราะเขารู้สึกไม่ดีมาก่อนแล้วก็ไม่เป็นอันทราบได้
“ข่าวร้ายหรือขอรับนายท่าน” หนุ่มผู้นั้นถาม
“ใช่” ชายผู้เป็นเจ้าของสถานที่ตอบกลับพร้อมกับค่อยๆ หันหน้าไปหาชายผู้ตั้งคำถาม
“เรื่องเดิมอีกแล้ว...”
ชายหนุ่มผู้นั้นเงียบไป เหมือนว่าเขาจะรู้เช่นกันว่าไอ้เรื่องเดิมที่ว่านั่นมันคืออะไร
“กระผมสงสัยมานานแล้ว..” เขากล่าวขึ้น “ทำไมคนจากดินแดนสตอร์มโฮล์มถึงต้องพยายามที่จะสั่งปิดสมาคมนี้ตลอดด้วย”
คำถามนั้นทำให้ชายนามคาสเตอร์หันไปมองผู้เป็นลูกน้องของเขา สายตาที่บ่งบอกว่าเขากำลังหงุดหงิดจริงๆ จังๆ ทำให้ชายผู้นั้นเงียบไป
“เจ้าก็รู้ว่าเราคือสมาคมนักฆ่า” ชายผู้นั้นตอบ “มันเป็นอะไรที่เหล่าพวกผู้ระดับสูงผู้ดีเหล่านั้นไม่อาจจะรับได้”
“เราถูกคนพวกนั้นมองว่าเป็นพวกนอกรีต...”
“แล้วมันก็สร้างตัวเองให้เป็นผู้ดีเด่นในการชะล้างพวกเรา”
วาจาของชายผู้นั้นที่กล่าวออกมาทำให้ข้ารับใช้ของเขาเงียบไปหลังจากที่ได้รับคำตอบ เขารู้สึกว่าเขารับไม่ได้กับคำตอบแบบนั้น แต่สิ่งที่ชายนามคาสเตอร์กล่าวไปเมื่อครู่ก็หาได้มีอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย การที่จะมีสมาคมนักฆ่าที่รับจ้างทำงานให้แก่ใครก็ตามที่จ้างพวกเขาให้ทำมันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับเท่าไหร่ในสังคมแห่งเอสซิโอนิค โดยทางด้านของโครนอสเองคือผู้ที่ต่อต้านเรื่องแบบนี้และพยายามอย่างสุดความสามารถในการสร้างความปรองดองแก่เหล่ามนุษย์ไม่ให้มีการฆ่าล้างฆ่าฟันกันเองตามสัญชาตญาณดิบเถื่อน เนื่องด้วยในตอนนี้มันมีอะไรที่น่าเป็นห่วงมากกว่ามาก นั่นคือเหล่าปีศาจที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะทำการลุกฮือสู้กลับมนุษย์อีกครั้งเมื่อไหร่ ถึงกระนั้นเองแม้ว่าพวกคนเหล่านี้จะถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต ทำเรื่องผิดกฏหมายอย่างไร้จรรยาบรรณจากดินแดนสตอร์มโฮล์มเอง มันก็ยังมีบางคนที่ยังคงจ้างพวกเขาให้ทำงานแบบลับๆ แลกกับเงินตราจำนวนมหาศาลที่มากพอที่จะใช้ชีวิตใหม่ได้เพียงแค่หนึ่งภารกิจ จะบอกว่ามันเป็นการทำงานมืดก็ไม่ผิดนัก
สำหรับสถานที่แห่งนี้มันคือสมาคมนักฆ่าที่ถูกขนานนามว่า “กระบี่แห่งเงามืด” ว่ากันว่าเป็นสมาคมนักฆ่าที่ถูกเล่าขานว่าน่ากลัวที่สุดในดินแดนทวีปตะวันออกแห่งนี้ ด้วยความอำมหิตในการสังหาร จรรยาบรรณที่บ่งบอกตนเองให้ประจักษ์แก่โลกว่าพวกเขาคือผู้ทำลายล้างต้องการเห็นความโกลหลเกิดขึ้นกับดวงดาวแห่งนี้ เหล่าสมาชิกที่จะสามารถเข้ามาร่วมกลุ่มนักรบไร้จิตใจเหล่านี้จะต้องมีชำระล้างจิตใจของพวกเขาจะหมดสิ้น ไร้ซึ่งความคิดใดๆ ที่ทำให้ตนอ่อนไหวไปตามสิ่งแวดล้อม ความคิดที่มีเพียงจะฆ่าเท่านั้น สังหารได้แม้กระทั่งสหายของตนอย่างไร้ปราณีเมื่อคนเหล่านั้นคือพวกไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีความกลัวตายและไม่เคยคิดที่จะหนีจากความตายเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญคือคนเหล่านี้ทำทุกอย่างที่เย้ยหยั่นต่อกฏหมายของทวีปนี้ แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำเรื่องร้ายแรงถึงเพียงไหน โครนอสก็จะพยายามทุกวิถีทางในการแก้ไขปัญหาให้มีการฆ่าล้าง ฆ่าฟันกันให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยวิธีสุดท้ายน่าจะเป็นสาส์นสั่งปิดสมาคมที่ถูกส่งมามากกว่าหนึ่งฉบับจากการสนทนาของทั้งสองคนเมื่อครู่
“แล้วท่านคิดจะทำยังไงต่อไปหรือขอรับ?”
ชายผู้นั้นถามต่อผู้เป็นนายท่านของตน ผู้ถูกถามเมื่อได้ยินไปสักครู่เขาก็เงียบไป ก่อนที่จะค่อยๆ ใช้มือควานจับจดหมายฉบับนั้น จับมันขึ้นมาเหนือโต๊ะก่อนที่จะใช้มือข้างนั้นบีบกระดาษจนเป็นก้อนแล้วโยนมันไปเตาผิงกลางห้องนั่งเล่นทันที เท่าที่ดูก็คงจะเดาได้เลยว่าเขาไม่ยอมรับคำสั่งปิดนั้นเป็นแน่แท้ มันทำให้ชายหนุ่มผู้นั้นรู้สึกตกใจนิดหน่อยกับการกระทำไร้ความกลัวของผู้เป็นเจ้านายของตนแบบนั้น แต่เขาก็หาได้กล่าววาจาอันใดตอบกลับไปต่อการกระทำของคาสเตอร์ มันถือว่าเป็นการกระทำที่ใจเด็ดมาก ราวกับว่าไม่มีความกลัวต่อกฏหมายแห่งสตอร์มโฮล์มเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็อาจจะเป็นอะไรที่ปกติสำหรับเขาไปแล้ว เพราะยังไงก็ตามเขาก็ถูกผู้คนจากภายนอกตีตราว่าเป็นพวกนอกรีตอยู่แล้วๆ เหตุอันใดกันที่เขาจำเป็นต้องสนใจสังคมด้วยในเมื่อสิ่งที่เขาทำมาโดยตลอดคืออะไรที่เขาต้องการมากกว่าที่จะอยู่ร่วมกับสังคมจอมปลอมแบบนั้น
หลังจากการกระทำของคาสเตอร์ที่ประจักษ์ต่อหนุ่มผู้นั้น เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที สีหน้าที่ดูไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ผู้เป็นข้ารับใช้นั้นทำอะไรไม่ถูกเพราะเกรงว่าอาจจะทำให้นายของตนระเบิดความพิโรธออกมาได้ มิทันไรก็มีเสียงอะไรสักอย่างดังขึ้นมาราวกับวัตถุขนาดใหญ่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า มันทำให้ทั้งสองคนที่อยู่ในห้องนั้นเกิดความสงสัยว่าเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันคืออะไร เพราะมันก็ไม่ได้อยู่ไกลไปจากจุดที่พวกเขาอยู่นัก ดูเหมือนว่าต้นตอของเสียงจะกำเนิดที่หน้าประตูใหญ่ทางเข้าสำนักแห่งนี้ ทางด้านของคาสเตอร์เริ่มเดินไปยังห้องโถงกลางอาคารเรือนซึ่งเป็นจุดที่อยู่ต่อหน้าของประตูใหญ่แห่งนั้น เหล่าผู้คนในสำนักที่อยู่ตามจุดต่างๆ ก็ต่างพากันมายืนรวมในจุดเดียวกัน ภายนอกอาคารนั้นพวกเขาสามารถได้ยินเสียงกระทบของวัตถุลงสู่ผิวดินตลอดทาง แลดูคล้ายฝีก้าวของยักษ์ใหญ่หรืออะไรสักอย่างที่กำลังย่างกรายมาหาพวกเขา คาสเตอร์เดินทะลุท่ามกลางฝูงชนผู้เป็นคนในสำนัก จนไปถึงข้างหน้าของประตู
เมื่อนั้นประตูที่เบื้องหน้ามันก็ถูกเปิดออก ปรากฏเป็นร่างชายยักษ์ใหญ่ที่มีปีกแห่งค้างคาวอยู่กลางหลัง ไม่นานนักเหล่าปีกทั้งสองข้างนั้นก็สลายไปกลายเป็นปราณสีเขียว ชายผู้นั้นคือเบลล์แห่งบาป แต่ว่าเขามาทำอะไรที่นี่กันล่ะ หรือว่าจะเป็นเพราะที่เขาพูดไว้กับนายท่านไซอาลอทของเขาไปเมื่อตอนนั้น ที่บ่งบอกว่าเป็นแผนสำรองอะไรสักอย่างที่หวังจะไว้ใช้ในยามวิกาลแบบนี้ แสดงว่าแผนที่ว่านั่นคือจะมาทำอะไรสักอย่างที่นี่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของมารเบลล์และไซอาลอทงั้นสิ แล้วเหตุใดกันที่ไซอาลอทถึงแลดูไม่พอใจกับแผนการนี้เสียเท่าไหร่ ต่อให้ครุ่นคิดไปก็หาได้คำตอบที่จะบอกเหตุผลนั้นได้อยู่ดี ณ ตอนนี้มารแห่งบาปยืนอยู่นอกประตูแห่งสมาคมนักฆ่า จดจ้องไปที่เหล่าผู้คนในคณะก่อนที่จะกวาดตาไปหาคาสเตอร์ช้าๆ เหล่าผู้ที่อยู่ในอาคารไม้นั้นก็มองไปยังเบลล์เช่นกัน แต่มันหาใช่ความกลัว มันเป็นความสงสัยที่อยากจะรู้คำตอบว่าทำไมมารตนนี้ถึงโผล่มาที่นี่ได้ มาในนามผู้คุกคามหรือว่าจะเป็นมิตรก็ไม่อาจจะทราบได้
สถานการณ์ตอนนี้ถูกปลกคลุมด้วยความเงียบงัน ความสงสัยจากฝ่ายของเหล่านักฆ่า และประสงค์ของมารร้ายที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา สายตาที่จ้องหน้ากันด้วยพลังอันแรงกล้า มิทันไรชายผู้เป็นเจ้าของสำนักก็ค่อยๆ เดินไปอยู่ต่อหน้าของเบลล์ ยืนเทียบเคียงกันพร้อมกับสายตาที่จดจ้องกันโดยไม่มีกระพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่แล้วทันใดนั้น เบลล์ ผู้มาเยือนก็เป็นฝ่ายเริ่มกล่าววาจาของตนก่อน
“ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะคาสเตอร์” มารร้ายกล่าว “เจ้ามิเห็นที่จะต้องต้อนรับข้าด้วยสายตาแบบนี้เลยนิ”
เริ่มต้นวาจาทักทายเป็นฝ่ายที่มารร้ายก่อน ทางด้านของผู้เป็นเจ้าของสำนักหาได้กล่าววาจาใดๆ เขายังคงจดจ้องใบหน้าของเบลล์อยู่เช่นเมื่อครู่ สายตาที่ดูเหมือนไม่ค่อยพอใจกับการปรากฏตัวของชายผู้ที่อยู่ต่อหน้าตน แน่นอนว่าด้วยสายตาแบบนั้นมันทำให้เบลล์รู้ตัวว่าเขาไม่ได้รับการต้อนรับจากคนพวกนี้เสียเท่าไหร่นัก
“เจ้าต้องการอะไร?” ชายนามคาสเตอร์ถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนว่าเขากัดฟันพูด
“เจ้ารู้ว่าข้ามาทำไม” มารร้ายกล่าว “มันถึงเวลาที่ข้าจะต้องใช้งานมันแล้ว!”
เหมือนว่ามารเบลล์ต้องการอะไรสักอย่างกับสมาคมแห่งนี้และดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกันมาได้นานพอควรด้วยเช่นกัน เมื่อนั้นคาสเตอร์ก็หันไปมองข้างหลังของตน ซึ่งเหล่าผู้เป็นสมาชิกของนักฆ่ากระบี่แห่งเงาก็จดจ้องมาที่เขาเช่นกัน พวกเขาดูไม่พอใจก็จริง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะขัดคำสั่งหรือต่อต้านใดๆ กับผู้เป็นนายเขาได้ เบลล์หาได้แสดงปฏิกริยาอะไรที่ผิดปกติ เขายังคงยืนนิ่งรอการตอบรับจากผู้เป็นเจ้าของสถานที่ จากนั้นชายนามคาสเตอร์ก็หันไปหาเบลล์อีกครั้ง จดจ้องใบหน้านั้น ใบหน้าของมารที่ยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจถึงแม้ว่าตนจะยังไม่ได้คำตอบใดๆ จากคาสเตอร์ หลังจากที่ฝ่ายคาสเตอร์เงียบไปเสียนาน จู่ๆ เบลล์ก็กล่าววาจาของตนแทรกขึ้นมาทันที
“เป็นอะไรไปหรือคาสเตอร์?” เบลล์กล่าวถาม “ข้าต้องการจะใช้อาวุธที่เจ้ามีอยู่…”
“หรือว่าเจ้าไม่พอใจกันที่ข้ามีประสงค์ที่จะใช้สุดยอดอาวุธของสำนักนี้เพื่อผลประโยชน์ของข้า”
“ด้วยสายตาแบบนั้น… ข้าพอจะเดาออกล่ะว่าเจ้าคิดแบบนี้จริงๆ”
วาจาจากลมปากของอสูรแห่งความตายมันทำให้คาสเตอร์รู้สึกยิ่งไม่พอใจกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เขากัดฟันอย่างโมโห แต่เหมือนว่าตนกำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะไม่หลุดพูดอะไรแปลกๆ ออกไป เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงมารร้ายแห่งบาป การที่พูดอะไรโดยยั้งคิดมันอาจจะสร้างความฉิบหายให้แก่ตัวเขาก็เป็นได้
“เจ้าลืมไปแล้วหรือคาสเตอร์ ว่าเพราะใครเจ้าถึงมายืนอยู่ในจุดๆ นี้ได้” เบลล์กล่าวต่อ
“เป็นเพราะข้ามิใช่หรือที่เปิดทางให้เจ้าสามารถก่อตัวสร้างสำนักนี้ขึ้น”
“เจ้าคิดหรือว่าลำพังแค่กำลังเจ้ากับเทพที่พวกเจ้าเคารพรักนักจะสามารถเอาชนะกองทัพแห่งสตอร์มโฮล์มไปได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากข้า!”
“และในตอนนี้” เบลล์ยังคงกล่าววาจาของเขาต่อไปโดยที่เจ้าของสำนักทำได้เพียงยืนฟังเท่านั้น “ข้าต้องการผลประโยชน์ของข้าคืน”
“ข้าต้องการให้เจ้าเปิดระบบอาวุธนั้นเพื่อข้าที่จะใช้งานมัน”
คำพูดเหล่านั้นสามารถตีความโดยง่ายว่าการที่สำนักแห่งนิ้อยู่ได้จนถึงทุกวันนี้นั่นเป็นเพราะชายที่เป็นผู้มาเยือนผู้นี้ หลังสิ้นสุดเสียงเหล่านั้นคาสเตอร์หาได้แสดงอาการใดๆ ที่แลดูต่อต้านเบลล์เลยสักนิด เหมือนกับเขากำลังครุ่นคิดว่าสิ่งที่มารตนนั้นพูดมาก็เป็นความจริงอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าสำนักแห่งนี้จะเก่งเพียงใด แต่การที่จะต่อกรกับเหล่ากองทัพแห่งแสงจากดินแดนสตอร์มโฮล์มมันออกจะเป็นเรื่องที่ยากพอควร ด้วยทั้งกำลังพลที่น้อยกว่า หากไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากฝ่ายอื่นล่ะก็เขาก็อาจจะไม่ได้อยู่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักนี้ก็เป็นได้ เมื่อนั้นชายผู้นี้ก็หันกลับไปหาสมาชิกของสมาคมนี้
“พวกเจ้าออกไปก่อน” คาสเตอร์กล่าว “ข้าต้องการที่จะคุยเป็นการส่วนตัวกับแขกของข้า”
คำสั่งที่บัญชาจากเจ้าสำนักทำให้เหล่าคนในสำนักพากันเดินออกไปจากอาคารเรือนแห่งนั้น เมื่อทุกคนออกไปจนครบแล้วทางด้านของอสูรแห่งบาปย่างกรายเข้ามาในสิ่งก่อสร้างของมนุษย์พร้อมกับสีหน้าที่ปลื้มปิติอย่างแท้จริง แน่นอนว่าปฏิกริยานั้นมันทำให้คาสเตอร์รู้สึกไม่ชอบใจเสียเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่อาจจะทำอะไรกับมันได้ เมื่อนั้นเขาก็เดินนำเบลล์ไปยังทางเดินของสำนัก จนไปถึงยังห้องๆ นึงที่ดูแตกต่างจากทุกห้องในสมาคมนักฆ่านี้ มันเป็นห้องๆ เดียวที่ดูเหมือนว่าจะมีพลังปราณเอ่อล้นจนสามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา มันเป็นหมอกควันพร้อมกับสายฟ้าสีดำติดประกายอยู่หน้าประตูและกำแพงทุกส่วนของห้องก็มีปราณสายฟ้าที่สามารถสัมผัสได้ด้วยพลังปราณขั้นสูง เมื่อนั้นผู้เป็นเจ้าสำนักก็เปิดประตูห้องนั้นออก ปรากฏเป็นห้องมืดสนิทที่มีเพียงแสงจากนอกห้องสาดส่องเข้าไปน้อยนิดเท่านั้น ในห้องนั้นหาได้มีอะไรเลยนอกจากหินที่ออกแบบเหมือนกับเตียงนอนในยุคเก่าแก่ บนเตียงนั้นก็มีร่างไร้สติของใครสักคนนอนอยู่ ผิวซีดที่ดูเหมือนกับว่าตายไปแล้วเป็นชาติ แต่ยังคงมีปราณไหลรินทั่วเซลล์ชีวิตเป็นหลักฐานว่ายังคงมีชีวิตอยู่ ทั่วร่างสามารถมองเห็นปราณสายฟ้าได้ถึงแม้จะไม่ชัดเจนนัก มันทำให้เบลล์ที่เห็นร่างๆ นั้นยิ้มออกมา
“พลังแห่งวอยด์... มันได้อยู่เบื้องหน้าข้าแล้ว”
------------