Cataclysm: Endless Hellfire
Part II
Act XXV
------------
“นี่ๆ เธอคิดว่าเขาจะตายหรือยัง?” เสียงของหญิงผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
“ข้าก็ไม่รู้สิ... นายหญิงสั่งให้พวกเราดำดิ่งลงสมุทรเพื่อนำตัวเขามาเลยนะ” หญิงอีกคนกล่าวตอบ
เป็นเสียงของสตรีสองคนกำลังกล่าวสนทนาเกี่ยวกับใครสักคน น้ำเสียงของพวกเขาดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่อายุมากเสียเท่าไหร่ แถมวิธีการพูดดูเหมือนจะเป็นการซุบซิบนินทาตามประสาของวัยรุ่น น้ำเสียงที่ดูกึ่งสงสัยถูกเปล่งออกจากปากของทั้งสอง แต่หากฟังเพียงแค่เสียงแล้วพวกเธอเสียงแทบจะคล้ายกันอย่างกับคนๆ เดียวกับพูดเลย เพียงแต่ว่าเสียงของคนหนึ่งจะดูแตกมากกว่า ดั่งเป็นการบ่งบอกว่าเธอมีอายุที่มากกว่าเล็กน้อย ไม่นานนักทั้งสองกลับเงียบไปในทันที หาได้ยินเสียงของบุคคลเปล่งออกมา ยกเว้นแต่เพียงเสียงลมกรรโชกนอกอาคารเรือนเท่านั้น เป็นการแสดงอย่างชัดเจนกว่าสถานที่ๆ นั้นที่พวกเขาอยู่นั้นอากาศค่อนข้างไม่ดีในตอนนี้ หรืออาจจะไม่ดีอยู่แล้วอยู่ตลอดเวลาก็ได้ ในทวีปเอสซิโอนิคนั้นมีไม่กี่ภูมิภาคที่อากาศค่อนข้างแย่และเป็นแบบนั้นอยู่ตลอดทั้งปี นั่นคือสโนว์เพลก เมืองแห่งหิมะและไพร์วอร์คเกอร์ เคร์เทอร์ ดินแดนแห่งเพลิงมารไซอาลอท ทั้งสองถือว่าเป็นแดนที่คนอาศัยอยู่ค่อนข้างน้อยเพราะสามารถปรับตัวให้ชินได้ยาก หากพูดโดยง่ายมันก็คล้ายกับเบรสซิ่ง สปริงที่เต็มไปด้วยปราณของมารเพลิงครั้นที่ยังถูกผนึกอยู่นั่นแหละ
“แต่ก็นะ... ดูร่างกายเขาสิ! ซีดเผือดซะขนาดนั้น... ไหนจะเนื้อตัวที่เย็นเฉียบอีกต่างหาก”
“แบบนั้นจะไม่สิ้นใจแล้วหรือ?” หญิงสาวคนแรกพูดท้วงขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาเงียบไป
“อย่าลืมสิเฟร์ย่าว่าชายผู้นี้มีปราณแห่งเยือกแข็งนะ” หญิงสาวอีกคนที่ดูเสียงแตกกว่าตอบ
“แล้วก็เขาถือว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษเชียวนะ” เธอพูดขึ้นต่อ
แต่แล้วพวกเธอก็เงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะหันทางด้านเดียวกัน พวกเขาหันไปมองชายคนหนึ่งที่หมดสติอยู่บนเตียงที่ทั้งคู่นั่งเคียงข้าง เหมือนทั้งสองกำลังดูอาการของชายผู้นี้อยู่ ชายที่นอนอยู่บนเตียงตัวนั้นมีผมสีทอง ใส่ชุดที่ดูทรงเกียรติ เขาคนนั้นก็คือนักปราชญ์เนลเรี่ยน เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่แห่งนี้ได้ล่ะในเมื่อเขาถูกมารเพลิงทิ้งลงไปใส่ผืนมหาสมุทรจนมิอาจจะว่ายขึ้นมาได้ แต่ด้วยบทสนทนาของหญิงทั้งสองคนนั้น ก็มีเหตุผลที่ชัดเจนเลยว่าทำไมเขาถึงอยู่ในตรงนี้ คำถามคือเพราะเหตุใดกันล่ะที่ทั้งสองจึงช่วยเขาขึ้นมาจากทะเลลึก นอกจากจะเพราะแค่ว่าเป็นคำสั่งของนายหญิงที่พวกหล่อนกล่าวถึงแล้วมันก็แทบจะไม่มีเหตุผลอันใดเลยหรือสามารถรับรู้ได้ถึงประสงค์ของทั้งสองที่ช่วยเหลือหนุ่มผู้นี้สักนิด ในตอนนี้สายตาของหญิงคู่นี้จดจ้องไปที่ใบหน้าของหนุ่มที่พวกเขาช่วยชีวิตโดยที่หาได้กล่าววาจาอันใดเลยแม้แต่น้อย ไม่นานนักจู่ๆ หญิงสาวที่ถูกเรียกโดยนามว่าเฟร์ย่าก็เริ่มรุดหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้ใบหน้าของเนลเรี่ยนขึ้นเรื่อยๆ
“นั่นเจ้าจะทำอะไรน่ะ?!” หญิงสาวอีกคนตะโกนถามในทันที
ด้วยเสียงที่ดังแบบนั้นทำให้เฟร์ย่าดีดตัวด้วยความตกใจ ก่อนที่หล่อนจะหันไปมองที่ต้นเสียงผู้ซึ่งตะโกนใส่เธอ
“อะไรกัน? ข้าแค่อยากจะมองเขาให้ชัดๆ เฉยว่าตายหรือยัง...” เฟร์ย่าพูดตอบกลับพร้อมทำหน้าบูดบึ้ง
“นี่หล่อน!” หญิงอีกคนกล่าวสวนขึ้น
“เอ๋? มิจำเป็นที่จะต้องกระโชกโหกฮากเลยนี่เอลิซ่า เจ้าจะทำให้เขาตื่นเอาหรอก”
“ก็เธอ...”
จู่ๆ หญิงนามเอลิซ่าที่กำลังพยายามจะกล่าวอะไรสักอย่างก็เงียบไป เหมือนว่ามีอะไรสักอย่างขัดจังหวะเมื่อหล่อนกำลังจะกล่าว มันเป็นเสียงของเตียงที่ดังขึ้น ทั้งสองหันไปมองดูเนลเรี่ยนและพบกับว่าร่างกายของชายผู้นั้นเริ่มขยับ นักปราชญ์เอามือข้างขวาของตัวเองขึ้นไปวางบนหัว ลูบหน้าก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาดูไม่ค่อยจะมีปฏิกริยาอะไรมากมายนัก คงเป็นเพราะเพิ่งตื่นจากการหลับไหลเป็นเวลานาน เมื่อนั้นหนุ่มผู้นั้นจึงกดตาของตนลง ส่ายหน้าก่อนที่จะลืมตาขึ้นเป็นการดึงสติ คงเป็นเพราะเสียงตะโกนของเอลิซ่าแน่ที่ดังลั่นจนปลุกชายผู้นี้ให้ตื่นขึ้นมาจากความฝัน ไม่ทันไรเนลเรี่ยนก็กลับเป็นฝ่ายที่สะดุ้งขึ้น รีบถอยฉากจนไปติดขอบเตียงด้านบน เขาดูตกใจที่เห็นหญิงสาวสองคนอยู่ต่อหน้า ทั้งคู่มีหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน ผมสั้นหยิกดูน่ารัก ทั้งสองคนต่างมีสีผมที่แตกต่างกัน คนนึงสีอ่อน ส่วนอีกคนสีเข้ม หน้าที่ดูยังเด็ก.. ไม่สิ.. ร่างกายของพวกเขาที่ดูเล็ก แขนขาและกายาที่ยังดูไม่เติบโตถึงขั้นที่สุด นี่มันเด็กนี่! ในหัวของเนลเรี่ยนทั้งสงสัยและตกใจเอามากๆ ที่ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่แห่งนี้ได้ สิ่งที่เขาจำได้มีเพียงแค่ว่าเขาถูกมารเพลิงทิ้งลงไปในทะเลเท่านั้น
“เห็นไหม? เธอทำให้เขาตื่นเลยเห็นไหม?” เฟร์ย่าพูดขึ้นพร้อมกับยกไหล่ทั้งสองข้าง
“มันก็เพราะเธอนั่นล่ะ!” อีกคนพูดสวนคืนไปทันที
ชายหนุ่มยังคงตกใจพอควรกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา เขาเริ่มมองไปรอบๆ สิ่งที่เขาเห็นคือตัวอาคารเรือนสมัยเก่า โครงสร้างของห้องดูคล้ายกับห้องๆ หนึ่งในปราสาท ในระหว่างที่เด็กสาวทั้งสองกำลังทะเลาะกันอยู่ เนลเรี่ยนจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงก่อนที่จะใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามจะวิ่งหนีไปจากหญิงสาวที่น่าสงสัยทั้งสองคนนี้ เขารีบผลักประตูออก วิ่งออกไปจากห้อง เขาพบว่าข้างนอกห้องซึ่งเป็นทางเดินโถงใหญ่ของสถานที่แห่งนี้ดูกว้างน่าดู มันกว้างเสียยิ่งกว่าปราสาทแห่งสตอร์มโฮล์มเสียด้วยซ้ำ แต่ที่น่าแปลกใจคือบรรยากาศที่เงียบสงัดผิดปกติ จนรู้สึกได้เลยว่าที่นี่แทบจะไม่มีใครอยู่สักคน ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ตามที แม้นว่าปราสาทจะดูเหมือนถูกทิ้งร้างเอาไว้แต่มันก็หาได้สกปรกหรือรกร้างเลยแม้แต่น้อย มันดูสะอาดเอี่ยมดั่งเช่นว่ากำลังรอราชาให้มาครองราชย์ที่สถานที่แห่งนี้เลย ชายหนุ่มเริ่มวิ่งไปตามทางเดินโล่งที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ในหัวของชายหนุ่มคิดถึงเพียงแค่หญิงสาวแวมไพร์ที่เดินทางพร้อมกับเขาและเรื่องของมารเพลิงเท่านั้น จนเมื่อรู้สึกตัวอีกทีเขาก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เหมือนว่าจะหลงทางในปราสาทใหญ่แห่งนี้เสียแล้ว
ชายหนุ่มมองไปรอบตัว ทั้งซ้ายและขวาแต่หนทางที่เขาพบมีเพียงแค่ทางเดินโล่งในรูปแบบเดิมเท่านั้น เนลเรี่ยนสบถขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจวิ่งต่อไปข้างหน้า ผ่านไปได้สักพักชายผมทองเห็นทางแยกไปทางด้านขวา เขาจึงรีบไปยังทางนั้นในทันที แต่แล้วหนุ่มผู้นี้ก็หยุดตัวลงอีกครั้ง มองกลับไปข้างหลังซึ่งโครงสร้างของทางเดินโล่งที่เขาใช้เวลาวิ่งมานับนาทีนั้นเหมือนกับแทบทุกส่วนจนรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังวิ่งอยู่ในเขาวงกตที่ไร้คำว่าสิ้นสุด ทันใดนั้นผู้ใช้ปราณน้ำแข็งผู้นี้จึงรวมรวบปราณของตนเข้าที่มือข้างขวาเป็นบอลน้ำแข็งที่ดูแกร่งกล้าดั่งเหล็กไหลก่อนที่จะโยนมันไปหากำแพงหวังจะทลายสิ่งที่กีดกั้นเขาอยู่ให้เป็นประตูทางออก เมื่อก้อนปราณน้ำแข็งนั้นกระทบใส่กำแพง มันหาได้ทำให้กำแพงนั้นมีรอยขีดข่วนอันใดเลยแม้แต่น้อย กลับกันก้อนพลังนั้นกลับแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับถูกทุบด้วยค้อนจนแหลกละเอียด ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจก่อนที่ตนจะใช้หมัดของตัวเองต่อยไปใส่กำแพง แต่มันก็ไม่ได้ผลอีกเช่นกัน แถมยังทำให้เขารู้สึกเจ็บมืออีกด้วย ราวกับว่ากำลังต่อยใส่อะไรสักอย่างที่มีมวลจับตัวกันมากจนมิอาจทำลายด้วยปราณได้
“เป็นข้าๆ จะไม่ทำแบบนั้นนะ...” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นมา
เสียงนั้นทำให้ชายหนุ่มตกใจจนหันไปมองและพบกับเด็กสาวผมสั้นสีอ่อน มันเป็นสีทองคล้ายกับสีผมของเนลเรี่ยนเอง เธอยืนกอดอกดูชายหนุ่มที่มีอายุมากกว่าเธอพลางยิ้มหัวเราะกับสิ่งที่นักปราชญ์ได้กระทำลงไป แน่นอนว่าเมื่อเธอทักขึ้นมามันทำให้เนลเรี่ยนรู้สึกตกใจ แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าเธอทำไมเธอถึงรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่และทำไมถึงตามมาได้เร็วขนาดนี้ ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าเมื่อเขาออกตัววิ่งจากห้องๆ นั้นมันหาได้มีใครตามหลังเขามาเลยแม้แต่คนเดียว แล้วทำไมเธอถึงมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาได้
“ตกใจล่ะสิ?” เธอเอ่ยขึ้นมาอีก
“ก็นะ.. ท่านคงกำลังสงสัยสิเนี่ยว่าทำไมข้าถึงมาปรากฏต่อหน้าท่านอย่างฉับพลันแบบนี้”
“ข้าบอกเจ้าไงแล้วเฟร์ย่าว่าอย่าทำให้ท่านเนลเรี่ยนตกใจแบบนี้!”
หญิงผมสีเข้มกล่าว เธอมีผมสีม่วงดูคล้ายกับลูกองุ่น ยืนอยู่อีกฝั่ง ด้านตรงข้ามกับหญิงผมสีทอง ซึ่งระหว่างกลางเป็นชายหนุ่มเนลเรี่ยนที่ยืนอยู่
“ก็แหม่เอลิซ่า... ท่านเนลเรี่ยนกำลังพยายามจะหนีไปจากเรานี่หน่า”
“เจ้าจะให้ข้าทำยังไงได้ล่ะ?” เฟร่ย่าตอบกลับ
นักปราชญ์ผมสีทองที่ถูกกล่าวนามเรียกเป็นท่านถึงกับตกใจที่ได้ยินทั้งสองพูดแบบนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน ตั้งแต่การที่เขามาโผล่ในที่แบบนี้ แล้วไหนจะสถานที่แห่งนี้ที่ดูซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกต และเด็กหญิงทั้งสองที่ดูไร้เดียงสาจากภายนอก แต่กลับมีท่าทางที่แปลกพิลึกแบบนี้ ชายหนุ่มไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้เลยสักนิด เพราะเหตุผลอะไรกันที่เฟร์ย่าและเอลิซ่าเรียกเขาด้วยคำว่าท่านแทนที่จะเป็นชื่อธรรมดา ทั้งที่เขาไม่เคยรู้จักกับเด็กประหลาดสองคนนี้ด้วยซ้ำ แต่ต่างจากวาจาของฝ่ายตรงข้ามทั้งสองคน พวกเธอดูเหมือนว่าจะรู้จักในตัวเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันมีแต่เรื่องน่าสงสัยเต็มไปหมดในสมองของหนุ่มผู้นี้ แม้นเขาจะเป็นนักปราชญ์ก็จริง แต่ความคิดที่ไม่ได้คำตอบอะไรแบบนี้มันก็ทำให้เขาปวดหัวเหมือนกัน มิทันไรเนลเรี่ยนจึงรีบวิ่งหนีเด็กแปลกหน้าทั้งสองคนนี้ พวกเธอหาได้แสดงปฏิกริยาอันใดก่อนที่จะค่อยๆ หันไปมองดูแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เริ่มไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เด็กน้อยผมหยิกสีม่วงถอนหายใจส่วนอีกคนก็ยกไหล่ขึ้นแสดงท่าทางแบบเดิมอีก
“นี่หน้าฉันดูน่ากลัวจนทำให้ท่านเนลเรี่ยนวิ่งหนีไปเลยรึไงกัน?” เฟร์ย่ากล่าวขึ้นก่อนจะมองหน้าเอลิซ่าด้วยสีหน้าที่ดูเซ็งสะบัด
“โถ่.. ต้องตามท่านไปล่ะนะ” เด็กอีกคนตอบ “หากนายหญิงรู้เข้า... เธอโกรธเราตายแน่!”
“งั้นปล่อยให้ข้าจัดการเอง!” จู่ๆ เฟร์ย่าก็ตะโกนขึ้น ทำท่าทางแปลกๆ ประกอบคำพูด
“ดะ! เดี๋ย-”
เด็กหญิงนามเอลิซ่าพยายามจะกล่าวให้หญิงผมสีทองหยุดการกระทำอะไรสักอย่าง แต่เหมือนว่ามันจะสายเกินไปแล้วที่จะกล่าววาจานั้นออกไป เฟร์ย่าที่แสดงท่าทางแปลกๆ นั้นแบมือทั้งสองข้างของตนไปยังเบื้องหน้า แล้วเปลี่ยนสัญลักษณ์มือจนประกบมือทั้งมองข้างเป็นรูปสามเหลี่ยมโดยที่ภายในกรอบสามเหลี่ยมนั้นเป็นแผ่นหลังของนักปราชญ์ผมสีทองที่กำลังวิ่งไปตามทางเดินโล่งที่ยาวเหยียดจนไร้ที่สิ้นสุด อย่างกับว่าเธอกำลังเล็งเป้าไปยังเป้าหมาย หวังจะทำอะไรสักอย่างกับเนลเรี่ยน เพียงชั่วพริบตาหัตถ์ของหล่อนทั้งสองข้างเกิดพลังปราณสีทองสง่าขึ้น เป็นแสงที่ดูสว่างไสว อบอุ่น แสงทองนั้นถูกยิงออกไปในทันทีคล้ายกับคลื่นพลังขนาดเล็ก มันพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว เมื่อพลังปราณนั้นเข้าใกล้ร่างของเนลเรี่ยน มันแตกหน่อออกคล้ายกับปลาหมึกในยามที่มันสะบัดหนวดออก แสงแตกแขนงออกเป็นหลายเส้นเข้าใกล้ตัวของเนลเรี่ยนขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มที่รู้สึกถึงปราณสีทองอบอุ่นนั้นเริ่มแสดงปฏิกริยาตอบกลับ เขาหันหลังไปมองพลังแสงที่พุ่งเข้ามาหาเขาแต่ก็มิอาจทำอะไรได้ มันดูเร็วเกินไปที่เขาจะโต้ตอบ พลังเหล่านั้นหาได้ทำอันตรายอะไรต่อเขามากนัก มันเพียงแค่รัดร่างชายหนุ่มเข้าทุกส่วน แขน ขา ส่วนตัวและหัวจนทำให้เขามิอาจจะขยับได้
เนลเรี่ยนถูกมัดโดยเชือกปราณจนล้มลงไปกระแทกใส่กับพื้นอิฐ เขาพยายามจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการที่เฟร์ย่าสร้างให้แก่เขา แต่ก็ไม่เป็นผลอันใด เขาไม่สามารถขยับกายาได้ตามต้องการเลย เด็กสาวทั้งสองค่อยๆ เดินไปหาเนลเรี่ยนช้าๆ คล้ายว่าพวกเขามั่นใจแล้วว่าชายหนุ่มมิอาจจะหนีไปพ้นจากพวกเขาได้ ยิ่งฝีก้าวนั้นดังขึ้นมามากแค่ไหน ยิ่งฝีเก้านั้นเข้าใกล้ตัวของชายผมทองขนาดไหน มันยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เนลเรี่ยนขยับตัวแรงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะเป็นอิสระ แต่ปราณของเฟร์ย่าหาใช้พวกปราณระดับต่ำ กลับกันเลย... นี่คือหนึ่งในพลังปราณระดับสูงที่เขาไม่ค่อยเจอเสียด้วยซ้ำ ความแกร่ง การจับตัวของพลังปราณ มันไม่ใช่พวกมือสมัครเล่นเลย นี่มันคล้ายกับวิชาพันธนาการสายตรงเสียด้วยซ้ำ แถมวิชาแบบนี้มันไม่ใช่จะเห็นได้ง่ายๆ และสามารถใช้ได้ในเวลาอันสั้นแบบนี้ ปกติแล้วคาถาพันธนาการจะเป็นหนึ่งในคาถาจากทุกแขนงที่ใช้เวลาในการร่ายหรือกระทำนานที่สุด แต่เฟร์ย่ากลับทำได้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“นี่พวกเธอเป็นใครกัน?!” เนลเรี่ยนตะโกนถาม “ต้องการอะไรจากฉัน!?”
“แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?!”
“ใจเย็นสิคะนายท่านเนลเรี่ยน... พวกเรามิได้คิดจะทำกาลอันใดแย่ๆ กับท่านหรอกค่ะ” เอลิซ่าตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูนิ่มนวลน่าฟัง
“ก็ท่านพยายามจะวิ่งหนีไปจากเราเองนี่คะ! พวกเราก็เลยทำเป็นต้องทำแบบนี้..” เฟร์ย่ากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูต่างออกไป
“นี่เฟร์ย่า.. พยายามทำตัวให้มีมารยาทกับท่านเนลเรี่ยนหน่อยสิ”
“หืยยย~ เมื่อกี้ไม่ใช่ตัวหล่อนหรอกหรอที่ตะโกนโฮกฮากใส่ฉันต่อหน้าท่านเนลเรี่ยนน่ะ?”
“นี่เธอ!”
“นั่นไง... อีกแล้วๆ”
ทั้งสองแลดูว่าจะทะเลาะกันอีกครั้ง แม้นว่าจะมีหน้าตาที่คล้ายกัน ส่วนสูงที่เท่ากันและทุกส่วนแทบจะบอกว่าเป็นคนเดียวกันได้เลยหากไม่สังเกตดีๆ แต่พวกเธอดูท่าว่าจะเข้ากันไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ นี่มันก็ผ่านมาไม่นานเท่าไหร่แต่ก็ทะเลาะกันอีกครั้ง มันช่างเป็นอะไรที่น่าแปลกดีเหมือนกันที่พวกเธอทั้งสองอยู่ด้วยกันได้แม้ว่าจะทะเลาะกันหลายครั้งหลายครา ในระหว่างที่เฟร์ย่าและเอลิซ่ากำลังขัดแย้งกันอยู่ ชายหนุ่มพยายามจะทาบมือข้างหนึ่งลงสู่ผืนดิน เขาสามารถวางมือข้างนั้นลงกับพื้นได้ ก่อเกิดซึ่งปราณแห่งน้ำแข็งที่จับตัวกันจนกลายเป็นกำแพงเยือกแข็งแผ่นหนาใหญ่ หนุ่มผู้นี้คงคิดว่ากำแพงของเขาคงจะสามารถกั้นไม่ให้เด็กหญิงทั้งสองเข้ามาใกล้ตัวเขาได้ เมื่อนั้นเนลเรี่ยนจึงควานหามีดของตนที่น่าจะอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่มันกลับไม่มีมีดอยู่เลย หรือว่าจะเพราะเมื่อเขาจมน้ำอยู่มีดทั้งสองจะหายไปตามคลื่นวารี หากมีดคู่ใจทั้งสองเล่มของเขาหายไปแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน แบบนี้เขาจักทำเช่นไรถึงจะสามารถตัดเชือกปราณนี้ได้ล่ะ ด้วยความที่ตัวของนักปราชญ์หาได้มีของมีคมอันใดที่จะตัดเชือกสีทองนี้ เขาจึงพยายามที่จะเปล่งปราณลงไปที่แขนขวาซึ่งใกล้กับเชือกก่อนที่นิ้วชี้ของเขาจะงอกขึ้นมาซึ่งพลังแห่งน้ำแข็งเป็นกงเล็บแหลมคม ใช้มันตัดปราณนั้นเพื่อที่จะหลุดจากการถูกจับตัว
มิทันไรก็เกิดเสียงของอะไรสักอย่างที่กำลังร้าว ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงของกำแพงน้ำแข็งแห่งผู้ใช้ปราณเยือกแข็งนี้ ผู้ใช้คาถานั้นมองขึ้นไปดูกำแพงปราณของตนที่เริ่มเป็นรอยอย่างรวดเร็ว ผ่านไปได้ไม่ทันไรก็มีพลังปราณจ้าออกมาจากรอยร้าวนั้น มันเป็นสีม่วงเข้มเฉกเช่นเดียวกับสีผมของเอลิซ่า เมื่อเนลเรี่ยนเห็นท่าทางที่ไม่ดีแบบนั้น เขาตัดสินที่ที่จะรีบเร่งในการตัดเชือกปราณพันธนาการ แต่มันก็ไม่ขาดออกสักที ถึงมันจะดูไม่หนาก็จริงแต่มันกลับยืดหยุ่นเอามากๆ เช่นเดียวกับยางอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถตัดออกได้โดยง่าย กระนั้นเนลเรี่ยนก็มิคิดจะเลิกความพยายามของเขา ชายหนุ่มยังคงพยายามใช้แรงทั้งหมดในการตัดปราณนั้น แต่เกรงว่ามันจะสายเกินไปเสียแล้ว กำแพงน้ำแข็งแกร่งกล้านั้นพังพินาศต่อหน้าของผู้สร้างมัน ปรากฏเป็นเอลิซ่าที่ใช้พลังของตนทลายสิ่งนั้น ที่มือของเธอนั้นแบออกและมีพลังปราณสีม่วงไหลเวียนอยู่ก่อนที่จะหายไปในที่สุด เหมือนว่าเธอวางมือของตนทาบลงไปกับกำแพงเย็นเฉียบนั้นและปล่อยพลังออกไปใส่กำแพง
สีหน้าของเด็กสาวทั้งสองดูเริ่มจะเปลี่ยนไป พวกเธอแหกปากทะเลาะกัน มองที่หน้าของเนลเรี่ยนคล้ายกับว่าพวกเธอไม่คิดจะเล่นกันแล้ว สีหน้าที่ดูจริงจังขึ้นในทันทีแบบนั้นทำให้ชายหนุ่มหยุดที่จะใช้กงเล็บปราณของตนในทันที สายตาที่จ้องลงมาหาเนลเรี่ยนนั้นดูน่ากลัวพอๆ กับพวกผู้ใหญ่เลย แม้นว่าร่างของพวกเธอจะเป็นเด็กอยู่ก็ตาม โดยเฉพาะเฟร์ย่า เธอดูต่างไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“แล้วจะเอายังไงดีล่ะเอลิซ่า... ดูท่าทางท่านเนลเรี่ยนจะไม่ยอมฟังเราสักนิดเลย”
“ขืนปล่อยเป็นงี้ต่อไป สงสัยเราคงได้ตามจับลูกชายของนายหญิงทั้งวันแน่” เฟร์ย่ากล่าว
“เฟร์ย่า!” จู่ๆ เอลิซ่าก็แทรกขึ้นมา
“เจ้าเผลอหลุดปากพูดอะไรออกไปรู้ตัวไหม?”
หญิงผมทองทำท่าตกใจ เธอรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดอะไรแปลกๆ ออกไป
“อุ๊ยตาย.. แย่จริงๆ เลยฉันเนี่ย” เด็กคนนั้นกล่าวขึ้นก่อนจะทำหน้าไร้เดียงสาอย่างกับไม่รู้เรื่องอะไร
“ให้ตายสิ” เอลิซ่ากล่าวขึ้นพร้อมกับเอามือทาบหัว
“แต่เจ้าก็พูดถูก ขืนปล่อยไว้คงได้ไล่จับท่านเนลเรี่ยนทั้งวันแหง”
ในหัวของเนลเรี่ยนหาได้ฟังในสิ่งที่ทั้งสองกำลังกล่าวอยู่เลย แต่มันมีเพียงแค่คำๆ เดียวเท่านั้นที่เอะใจนั่นคือ “ลูกชาย” มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าประโยคนั้นจะเชื่อมไปหาคนที่พวกเธอทั้งสองกำลังเรียกว่านายหญิงและตัวเขา แต่พวกเธอกำลังพูดถึงใครและอะไรอยู่กันแน่ เขามิอาจจะรับรู้ได้เลย สิ่งเดียวที่เขารู้คือนายหญิงคนนั้นเป็นมารดาของเขาเอง แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ผู้ปกครองของเนลเรี่ยนตายไปตั้งแต่เขายังแบเบาะด้วยซ้ำ ตัวเขาถูกเลี้ยงดูจากชายแก่คนหนึ่งที่เคยเป็นข้าเก่าแห่งวัง แล้วก็ถูกเลี้ยงดูโดยองค์กษัตริย์โครนอสเอง และโครนอสก็ยืนยันกับเนลเรี่ยนเองครั้นที่เขาไปถามว่าพ่อและแม่ของเขาได้ตายไปแล้ว เช่นนั้นแล้วคนที่กำลังถูกสื่อว่าเป็นแม่ของเขาจะเป็นใครกันได้ ตอนนี้เขาสบสนไปหมดแล้ว
ระหว่างที่หนุ่มผู้นี้กำลังคิดถึงเรื่องนั้นในหัวของเขา เด็กหญิงผมสีม่วงก็คุกเข่าลงต่อหน้าของเขา แบมือออกเหนือหัวของเนลเรี่ยนและขยับไปมา มันเกิดละอองพลังปราณแปลกๆ สีม่วงผุดออกมาจากมือของเธอ มันดูคล้ายกับฝุ่นที่ล่องลอยตามอากาศ ค่อยๆ ลอยลงไปสู่เส้นผมของเนลเรี่ยน ซึมเข้าไปในหัวของชายหนุ่มผู้นี้ มันทำให้ผู้รับปราณนั้นเข้าตัวโดยมิได้ปรารถนาเริ่มแสดงสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อย ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มปิดถึงแม้ว่าจะไม่เป็นไปตามที่ชายหนุ่มต้องการ ดูเหมือนมันจะเป็นหนึ่งในคาถาที่ทำให้เหยื่อหมดสติและหลับไหลในนิทราโดยการหว่านละอองปราณขนาดเล็กพอๆ กับฝุ่น ซึมซับเข้าไปในร่างกายเพื่อที่จะเปลี่ยนการสั่งการของสมองให้ร่างกายหยุดทำงาน หรือนั่นก็คือการทำให้สลบไป เนลเรี่ยนพยายามที่จะสู้กับพลังนั้น แต่ด้วยร่างกายที่ไม่อาจจะขยับได้ พลังปราณที่มีไม่ค่อยมากนักเนื่องเพราะเพิ่งตื่นจากการหลับไหล มันจึงทำให้เขาสู้กับพลังนั้นไม่ได้และหมดสติไปในที่สุด หญิงสาวผู้ใช้วิชานั้นลุกขึ้นยืน หันไปมองหญิงอีกคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับหล่อน
“หนุ่มผู้นี้แลดูจะสู้กับพลังของเธอได้ชั่วขณะเลยนะ” เฟร์ย่ากล่าว
“ถ้าปราณของเขาสมบูรณ์วิชาของเธอคงจะใช้เวลานานแน่”
“ก็แหงอยู่แล้ว..” หญิงสาวผมม่วงตอบ “เขาเป็นลูกชายของนายหญิงนี่นะ”
“แล้วเราจะทำยังไงกับเขาดีล่ะเอลิซ่า”
“ก็คง... จะต้องเฝ้าดูเขาล่ะนะ”
.
.
.
.
.
.
หนุ่มผู้ใช้ปราณแห่งน้ำแข็งหลับไหลอยู่บนเตียงตัวเดิมที่เขานอนไปเมื่อครู่ ท่าทางการนอนที่หมดสติไม่ต่างจากเมื่อครู่ และเด็กสาวทั้งสองก็นั่งอยู่ประจำจุดเดิมอย่างกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เนลเรี่ยนนอนดิ้นไปมาทำให้เสียงเตียงดังขึ้นตามแรงขยับ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ขยี้ตาของตนเหมือนกับครั้งเมื่อกี้นี้ มองเห็นหญิงสาวทั้งสองที่นั่งอยู่ ณ จุดเดิม มองหน้าเนลเรี่ยนด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสาของพวกเธอ ไม่นานนักชายหนุ่มที่เห็นแบบนั้นสะดุ้งตัวตกใจก่อนจะดีดตัวถอยกลับไปข้างหลัง มันเป็นท่าทางเดียวกันกับที่เขาได้แสดงไปเมื่อตอนนั้น มันทำให้เด็กสาวทั้งสองคนหัวเราะกับปฏิกริยาของหนุ่มผู้นั้น มันดูตลกสำหรับพวกเธอแต่หาใช่กับเนลเรี่ยนเลยสักนิด ชายหนุ่มแสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับเขาแล้วและมันจะเกิดขึ้นอีกแน่หากเขาคิดจะทำอะไรบ้าๆ ในตอนนี้ กระนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ิอครู่อาจจะเป็นความฝันของเขาก็ได้ แต่ความรู้สึกของมันกลับเหมือนกับว่ามันได้เกิดขึ้นจริง หากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่นี้หาใช่ความฝัน เขาก็มิควรจะที่ทำอะไรแปลกๆ อันที่่จริงพวกเธอทั้งสองก็หาได้ทำอะไรที่ดูเป็นภัยต่อเขา วิชาทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มันเป็นคาถามระดับสูงก็จริง แต่จุดประสงค์ในการใช้มันจะไม่เน้นความรุนแรงเลยสักนิด
ชายหนุ่มเริ่มใจเย็นลง เขาดูเหมือนจะเลิกคิดอะไรบ้าๆ ออกไปจากหัวจนหมด
“พวกเจ้า... เป็นใครกัน?” จู่ๆ ชายหนุ่มก็กล่าวถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูสงบ
คำถามนั้นทำให้เด็กสาวทั้งสองตกใจเล็กน้อย คงเป็นเพราะพวกเธอไม่คาดว่าเนลเรี่ยนจะเป็นฝ่ายถามออกมาเองแบบนี้ พวกเธอคงคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้คงคิดที่จะหลบหนีอีกแน่ อาการตกใจนั้นเลยถูกแสดงออกมาผ่านทางใบหน้าของทั้งคู่อย่างชัดเจน แม้นคำถามนั้นถูกกล่าวออกไปได้สักพักแล้ว แต่คำตอบก็หาได้ตอบรับกลับไป เฟร์ย่าและเอลิซ่าเงียบไปก่อนที่จะมองหน้ากันสักพัก มีการซุบซิบกันเล็กน้อย กำลังตกลงอะไรสักอย่าง ด้วยน้เสียงที่เบาแบบนั้นมันจึงทำให้ชายหนุ่มผมทองไม่สามารถได้ยินหรือจับใจความอะไรได้เลย สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าของหนุ่มผู้นั้นค่อนข้างทำให้เขาหงุดหงิดพอควร ทั้งที่เขาถามไปแท้ๆ แต่เหมือนถูกเมินเฉยแบบนี้
“นี่พวกเธอ!” เนลเรี่ยนตะโกนขึ้นสร้างความสนใจให้แก่เด็กสาว
“ไม่ได้ยินที่ฉันถามรึไง?” เขาถามต่อ “พวกเจ้าเป็นใครกัน?”
“แล้วไหนจะบอกว่าฉันเป็นลูกชายของใครสักคนอีก?”
“และข้าอยู่ที่ไหน?”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“นี่ท่านเนลเรี่ยนคะ” จู่ๆ สาวผมทองก็กล่าวแทรกขึ้น
“ถามมาแบบนั้นพวกเราตอบไม่ทันหรอกค่ะ”
“เดี๋ยวสิเฟร์ย่า... มีมารยาทกับท่านเนลเรี่ยนหน่อยสิ” หญิงสาวอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูนิ่มนวลมากกว่า
แล้วจากนั้นสาวที่กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล ผู้ซึ่งมีเสียงที่ดูอายุมากกว่าอีกคนเล็กน้อยและมีผมสีม่วงเข้มหันมาหาชายหนุ่มผมทอง
“ต้องขออภัยที่เสียมารยาทกับท่านด้วยค่ะ” เธอกล่าวพร้อมกับก้มหัวลงแสดงคำขอโทษ
“ดิฉันคือเอลิซ่าแห่งปราสาทหิมะอาร์ชเดล”
“ส่วนที่อยู่อีกฝั่งนึงก็คือเฟร์ย่า น้องสาวของข้าเอง”
“เหตุที่ท่านมาอยู่ที่แห่งนี้ได้นั่นก็เพราะเราได้รับคำสั่งมาจากนายหญิงคาดาเลีย นายท่านของพวกเรา...”
“ให้ช่วยชีวิตของท่านที่จมดิ่งในมหาสมุทรค่ะ”
“เดี๋ยวนะ?” ชายหนุ่มแทรกขึ้น
“ปราสาทหิมะอาร์ชเดล? เจ้ากำลังจะบอกว่า...”
“ใช่ค่ะ” สาวผมสีม่วงนามเอลิซ่าตอบกลับ
“ท่านอยู่ที่ดินแดนแห่งสโนว์เพลกค่ะ”
เนลเรี่ยนเงียบไปที่ได้ยินแบบนั้น ตอนนี้เขาอยู่ในดินแดนแห่งหิมะทางตะวันตกเฉียงใต้แห่งเอสซิโอนิค เขาค่อยๆ หันหน้าไปมองหญิงสาวผมสีม่วงอีกครั้ง มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของเธอที่มีสีเดียวกันกับเส้นผมของเธอ
“นายหญิงคาดาเลียของพวกเจ้าคือใครกัน?”
“ข้าว่าท่านน่าจะเข้าใจในส่วนนี้แล้วนะคะ” เธอตอบ
“เธอเป็นมารดาของตัวท่านเอง”
“อย่ามาเหลวไหล!” ชายหนุ่มตะโกนขึ้นเสียงดังจนทำให้หญิงผมสีม่วงถึงกับผงะ
“แม่ของข้าตายไปตั้งแต่ข้ายังเด็กแล้ว!”
“เจ้าอย่าได้เอานามของเธอมาพูดโกหกจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเจ้า!”
“นี่ๆ ท่านเนลเรี่ยน...” เฟร์ย่าพูดแทรกขึ้น
“ท่านได้เห็นเธอตายต่อหน้าของท่านรึเปล่าล่ะ?”
“แล้วที่สำคัญ... ท่านรู้จักชื่อแม่ของตัวเองจริงๆ หรือเปล่า?”
“นี่เจ้า...” ชายหนุ่มกัดฟันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่พอใจ
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าพวกเจ้าเป็นใคร?!” จู่ๆ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่องทันที
“แต่ข้าจะมาเสียเวลาที่นี่ไม่ได้! ในตอนนี้ข้าจำเป็นที่จะต้องทำเรื่องสำคัญ”
“เรื่องของไซอาลอทใช่ไหมล่ะ?” เสียงหญิงสาวอีกคนดังขึ้น
เสียงนี้หาได้มาจากเฟร์ย่าหรือเอลิซ่าและเสียงมันก็ดูต่างออกไป มันไม่ใช่เสียงของวัยเด็กเลย น้ำเสียงของหญิงผู้นี้ดูเหมือนกับคนที่มีอายุแล้ว น่าจะอยู่ในช่วงของวัยกลางคนเห็นจะได้ ต้นตอของเสียงนั้นดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ที่หน้าประตูใหญ่ของห้องนี้ ทั้งสามที่อยู่ในห้องต่างหันไปมองต้นเสียงนั้นซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู ร่างกายเรียวสวย หุ่นดี ตัวค่อนข้างสูง น่าจะสูงพอๆ กับเนลเรี่ยนเลย เธอมีผมยาวสลวยสีน้ำเงินพร้อมกับเครื่องประดับบนหัวซึ่งแสดงถึงความมีฐานะ ดูท่าน่าจะเป็นเครื่องเพชรและทอง เป็นดั่งมงกุฏของราชินีจากดินแดนใหญ่ เธอสวมผ้าสีขาวฟ้าดูใสสะอาด หลังจากที่เธอกล่าวประโยคนั้นจนจบ หล่อนจึงค่อยๆ เดินเข้ามาหาทั้งสาม ทางด้านของเด็กสาวทั้งสองคนต่างก้มหัวลงให้แก่หญิงสาวผู้นั้น สาวผมสีน้ำเงินค่อยๆ เดินเข้าไปหาเนลเรี่ยนช้าๆ สีหน้าของชายหนุ่มเริ่มตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาเบิกโพลงอย่างกับว่าเขาเห็นผีหรืออะไรสักอย่าง ต่างจากหญิงสาวที่หาได้แสดงอาการแบบนั้นเลย เธอหยุดขยับกายาห่างจากเตียงที่เนลเรี่ยนนอนอยู่ไม่ไกลนัก
“เจ้าโตขึ้นมากเลยนะ... เนลเรี่ยนลูกข้า”