Cataclysm: Endless Hellfire
Act XIV
------------
“ตื่นได้แล้วคะ”
เสียงของสตรีผมแดงที่กล่าวขึ้นมาด้วยมาเสียงดังจากลำคอของหล่อน เธอยืนพิงประตูหน้าห้องที่เปิดอยู่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นห้องนอน ห้องพักผ่อนของใครสักคน มันเป็นยามเช้าในวันถัดมา ในช่วงเวลาที่หล่อนตะโกนวาจานั้นออกไป เธอโยนเป้ขนาดกลางที่ไว้ใส่ของยามเดินทางไปบนเตียงนั้น มันกระแทกให้กับร่างของใครสักคนที่นอนอยู่ บุคคลที่อยู่บนเตียงนั้นเอาผ้าคลุมไว้ทั้งตัวจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าคนๆ นั้นคือใคร ร่างนั้นก็เริ่มขยับหลังจากรู้สึกถึงอะไรที่กระทบร่างของตน ร่างนั้นดูเหมือนว่าแสดงถึงความขี้เกียจของตนออกมาอย่างชัดเจน พร้อมกับลากเสียงยาวราวกับคนเกียจคร้าน มันเป็นเสียงผู้ชายคนหนึ่งที่แลดูคุ้นเคย ปัญหาอยู่ที่ว่าเขาแสดงอาการคล้ายกับคนที่จะตื่นดั่งที่เธอกล่าวไป แต่ไม่นานนักเขาก็นิ่งไปอีกครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยกระทบกระทั่งชายคนนี้สักเท่าไหร่ แน่นอนว่ามันทำให้หญิงสาวผมทับทิมรู้สึกไม่พอใจอยู่พอควรเหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนควันออกหัว รู้สึกหงุดหงิดนั่นคือสิ่งที่เธอกำลังแสดงออกมาให้กับชายขี้เกียจผู้นั้น
ทันใดนั้นเธอก็รุดตัวเข้าไปที่เตียงนอนนั้นทันที ท่าทางการเดินที่แลดูโมโหพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเสียงมันจะดังขนาดไหนก็ตาม แม้ว่าฝีก้าวนั้นจะทำให้พื้นห้องสะเทือนก็ตาม มันก็มิสามารถทำให้ชายที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอยู่รู้สึกตัวเลยสักนิด เมื่อนั้นเธอจึงกระชากผ้าห่มนั้นมาหาตัวอย่างแรงปรากฏเป็นชายผมทองผู้ถูกเรียกเป็นนักปราชญ์นามเนลเรี่ยนกำลังนอนขดตัวอยู่พร้อมกับกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว เหมือนกับชายผู้นั้นกำลังบ่นพึมพำอะไรสักอย่างด้วย แลดูกำลังจะฝันอยู่ด้วย สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าของหล่อนทำให้เธอโกรธเอามากๆ ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ ก็คงโกรธจนเลือดขึ้นสมองเลยล่ะ แถมชายผู้นั้นก็ไม่รู้ตัวอีกว่าเรื่องร้ายกำลังจะเกิดขึ้น
“ตุ๊บบบบบบบบ!” เธอจับกระเป๋าเป้ที่เพิ่งโยนไปใส่ร่างของเนลเรี่ยนขึ้นมาอีกครั้งแล้วฟาดมันลงไปกับหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น เขาเอามือปัดกระเป๋านั้นลงหลังจากที่มันกระทบลงไปบนใบหน้าของเขาก่อนที่จะสะลึมสะลือตื่นขึ้นมามองหน้าของหล่อน แสงที่ส่องผ่านกระจกห้องยิ่งทำให้เขาตื่นจากความฝัน ชายผู้นั้นหันไปมองเธอด้วยความงุนงง คิดในใจของตนว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าถึงต้องมาทำแบบนี้กับเขา ถึงแม้เขาจะเห็นไม่ค่อยชัดเนื่องจากเพิ่งลืมตาตื่นแต่ก็พอเดาได้ว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นใคร เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง กุมหัวของตนแสดงถึงอาการปวดหัวที่ได้รับมาจากการดื่มของมึนเมาอย่างหนักจนขาดสติไปตอนเมื่อคืนนี้ ก่อนที่จู่ๆ จะไปจับหลังคอของตนเองเหมือนกับรู้สึกปวดแบบแปลกๆ ไม่แน่ใจว่าชายผู้นี้จะรู้ไหมว่าเขาถูกหล่อนซัดเข้าลงไปกลางคอจนสลบไปเมื่อคืนนี้ ไม่นานักชายผู้นั้นก็สลัดหน้าของตน กระพริบตาบ่อยครั้งเพื่อให้ตนหลุดจากภวังค์อย่างสมบูรณ์ หลังจากการกระทำนั้นเขาจึงหันไปหาหล่อนอีกครั้งหนึ่ง
“ปวดหัวชะมัดเลย...” เขากล่าวขึ้นในเชิงบ่น
“ก็แหงสิ... เมื่อคืนท่านซัดเหล้าไปหลายขวดเลยนะคะ” เธอกล่าวตอบ
หลังจากวาจานั้นถูกกล่าวออกไป มันทำให้นักปราชญ์ผู้นั้นแสดงสีหน้าที่งุนงงออกมาอย่างชัดเจน
“ข้า?” เขากล่าวขึ้น “เจ้ากำลังจะบอกว่าเมื่อคืนนี้ข้าเมางั้นหรอ?”
“ก็นะ... จะให้ข้าพูดยังไงล่ะ ท่านเมาจนแทบจะไร้สติไปเลยล่ะ”
“ให้ตายสิ” จู่ๆ ชายผู้นั้นก็สบถขึ้นมา “ข้าคงทำอะไรบ้าๆ ไปแหงเลย...”
เมื่อชารอนได้ยินคำกล่าวนั้นออกมาจากปากจากเนลเรี่ยนมันก็ทำให้หล่อนหัวเราะคิกคักออกมาอย่างสนุกสนาน มันทำให้ชายผมทองสงสัยว่าทำไมเธอถึงแสดงอาการแบบนั้นออกมา เขายกไหล่ขึ้นแสดงถึงความงุนงงพร้อมกับใบหน้าที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ที่แน่ๆ คือเขาพอจะเดาได้ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าๆ ไปอย่างแน่นอนมิเช่นนั้นเธอก็คงไม่หัวเราะชอบใจราวกับเป็นการล้อเลียนเป็นแน่แท้ ผ่านไปได้สักพักดูท่าว่าหล่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเริงร่า ก่อนที่จะนั่งลงไปกับเก้าอี้ที่อยู่แถวๆ นั้น เธอกุมท้องของตัวเองพร้อมกับเปล่งเสียงที่บ่งบอกถึงความสุขออกมาอย่างบ้าคลั่ง จะบอกว่าเธอหัวเราะจนท้องแข็งก็ไม่ผิดเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้เนลเรี่ยนงงไปอีก แถมในครั้งนี้เขาจะแสดงอาการไม่พอใจเอามากๆ ด้วยที่โดนหัวเราะแบบนั้น นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้เลยว่าทำไมเขาจึงถูกเยาะเย้ยเช่นนั้น ยิ่งมันเป็นเพราะเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และไปตามพลังของเครื่องดื่มมึนเมานั้นอีก มันยิ่งทำให้เขาโมโห
“นี่หล่อน.. ข้าคงทำอะไรน่าอายมากเลยสินะถึงได้มาเยาะเย้ยข้าเช่นนี้” เขากล่าว
“อะฮ่าฮ่าฮ่า... ข้าข้อโทษทีนะ” เธอตอบ “แต่วาจาเมื่อครู่ของท่านมันทำให้ข้าหยุดหัวเราะไม่ได้จริงๆ”
“โอเคๆ หัวเราะซะให้พอใจเถอะ เพราะยังไงๆ ข้าก็ไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว”
วาจาที่เปล่งออกมาด้วยความไม่พอใจนั้นเริ่มทำให้หญิงสาวหยุดหัวเราะ แต่เธอก็หยุดมันไม่ได้จึงเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ในครั้งนี้เธอถึงกับเช็ดน้ำตาตัวเองที่ไหลออกมาจากการหัวเราะนั้น
“ท่านไม่เห็นจำเป็นต้องโกรธถึงขนาดนั้นเลยนิคะ...” เธอกล่าวพลางหัวเราะไป
“แต่เหมือนท่านจะพอรู้อยู่สินะว่าตัวเองต้องทำอะไรแย่ในเวลาที่เมาแบบนั้น”
“ก็นิดหน่อยน่ะ...” เนลเรี่ยนตอบ “ก็เจ้าฟลาบิลัสสหายของข้ามักจะเล่าให้ข้าฟังบ่อยครั้งนี่หน่า”
“แล้วจะว่าไป... เจ้ามาปลุกข้าทำไมกันล่ะเนี่ย?” ชายหนุ่มผมทองถาม
หญิงสาวผมแดงเริ่มหยุดหัวเราะก่อนที่จะตอบกลับ “ก็เมื่อคืนท่านพูดเองนิว่าจะร่วมเดินทางกับข้าไปยังดินแดนทับทิม”
“และนี่มันก็วันรุ่งขึ้นแล้ว ซึ่งข้าก็จะเดินทางไปยังที่นั่นพร้อมกับท่าน”
“ข้าพูด?” เนลเรี่ยนสบถขึ้น “ให้ตายเหอะ! นี่ข้าคงเมาจนขนาดหลุดพูดอะไรบ้าๆ ออกไปโดยไม่ยั้งคิดเลยสิเนี่ย”
“ก็นะ.. ท่านดูเหมือนจะไม่คิดอะไรเลยตะหาก”
เมื่อเธอกล่าววาจานั้นจบหล่อนก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง มันทำให้เนลเรี่ยนรู้สึกหงุดหงิดเอามากๆ จนถึงขั้นที่เส้นเลือดขึ้นหัวเลย ด้วยความที่เขาเป็นสุภาพบุรุษอยู่จึงไม่คิดจะลงแรงหรือทำอะไรบ้าๆ กับคนที่เป็นผู้หญิง ถึงกระนั้นสิ่งที่หล่อนทำก็ทำให้เขารู้สึกโมโหอยู่ดี แต่เขาก็ไม่สามารถระบายความโกรธนั้นได้ผ่านทางตัวเธอซึ่งถ้าทำมันออกไปมันก็จะเป็นปัญหาเปล่าๆ เมื่อนั้นเขาจึงลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับหยิบกระเป๋าเป้ใบนั้นขึ้นมา เขาเดินออกจากเตียงก่อนที่จะมุ่งไปยังตู้เสื้อผ้าของตน เปิดตู้นั้นออกก่อนที่จะหยิบเครื่องแต่งกายของตนออกมา ด้วยตู้นั้นมันตั้งอยู่ด้านตรงข้ามของการจัดตั้งของเก้าอี้ที่หญิงสาวผู้นั้นนั่งอยู่ เธอจึงหันหลังกลับไปพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ตัวนั้น
“นี่ท่านไม่อายข้าเลยรึไงกันคะ?” เธอกล่าว “ข้าหมายถึง.. ที่มาแต่งตัวต่อหน้าผู้หญิงแบบนี้”
“ถ้าเรื่องที่ข้าทำไปเมื่อคืนมันทำให้เจ้าหัวเราะซะขนาดนั้น มันก็ไม่มีอะไรที่ต้องทำให้ข้าอายไปมากกว่านั้นแล้วล่ะ”
คำตอบนั้นทำให้หล่อนเงียบไป ซึ่งมันก็เป็นความจริงเหมือนกัน สิ่งที่เขาทำไปเมื่อคืนก่อนนั้นราวกับเป็นการเผยถึงธาตุแท้ของชายผู้นั้นว่าเขาเป็นเช่นไร แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นนักปราชญ์รูปงามก็ตามทีแต่ก็มีด้านมืดที่ทำตัวราวกับขี้เมาข้างถนนเวลาที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจแห่งน้ำเมา เนลเรี่ยนเริ่มใส่กางเกงของตนตามด้วยเสื้อที่แสดงถึงความมียศถาบรรดาศักดิ์ เขาหยิบผ้าคลุมขนาดใหญ่มาก่อนจะสวมมัน มันเป็นเครื่องแบบที่เขาสวมใส่ตามปกติในชีวิตประจำวันของนักปราชญ์ผู้นี้ เครื่องแบบสีขาว ที่มีลายสีทองพร้อมกับขอบสีน้ำเงินที่แสดงถึงความมีฐานะของเขา จากนั้นเขาก็ถือเป้เดินไปตามทางก่อนที่จะไปหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานของเขาที่ใช้ในการอ่านหนังสือหรือค้นคว้าหาความรู้จากทั่วทิศที่เขาสามารถหาได้ ก่อนที่จะหยิบหนังสือบางเล่มใส่เข้าไปในกระเป๋าใบนั้น แน่นอนว่าสำหรับเนลเรี่ยนแล้วการอ่านมันก็เป็นเหมือนกับการสร้างความบันเทิงให้กับตัวเองในรูปแบบนึง บวกกับการที่เขาชอบการอ่านเอามากๆ มันจึงทำให้ชายผู้นี้ขาดหนังสือไม่ได้เวลาที่เขาอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อเขาเก็บหนังสือได้ตามที่ต้องการแล้ว เขาจึงไปเก็บของหยิบย่อยที่น่าจะจำเป็นด้วย
หญิงสาวผู้นั้นรู้ตัวในทันทีว่าเนลเรี่ยนกำลังเตรียมตัวที่จะเดินทางไปพร้อมกับหล่อน เธอจึงลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ก่อนที่จะเดินไปยังหน้าห้อง ยืนพิงประตูอีกครั้งราวกับเป็นความเคยชินของหล่อน ดูเหมือนว่าเมื่อใดก็ตามที่เธอดูอะไรสักอย่างหรือรอใครสักคน หล่อนมักจะแสดงมันออกด้วยการยืนพิงกำแพงหรืออะไรก็ตามที่สามารถทำให้ตัวเองเอนหลังลงไปได้ โดยปกติแล้วเธอจะชอบยืนกอดอกด้วยเวลาที่พิงอะไรสักอย่างบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันคือท่าทางของคนที่รออยู่ ไม่นานนักเนลเรี่ยนก็ยกกระเป๋าขึ้นพาดไหล่แล้วเดินไปนอกประตู เขาเดินออกไปก่อนแล้วตามด้วยหญิงสาวที่ปิดประตูให้กับเขา ดูท่ามันจะไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษสักเท่าไหร่นักที่ชายผู้นั้นทำแบบ มันน่าจะเป็นฝ่ายชายตะหากที่ต้องปิดประตูหรือทำอะไรแบบนั้นแทนที่จะเป็นผู้หญิง แต่เหมือนเนลเรี่ยนจะไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ หรือเป็นเพราะว่าเธอพิงประตูอยู่ทำให้เขาไม่สามารถปิดประตูได้ และมันก็ดีซะกว่าถ้าเธอจะเป็นฝ่ายปิดเอง ทั้งนี้เธอก็แสดงอาการที่ไม่พอใจนิดหน่อยแต่มันออกจะเป็นการล้อเลียนเนลเรี่ยนเสียมากกว่า
พวกเขาทั้งสองเริ่มเดินไปตามทางเดินภายในปราสาทนั้นท่ามกลางแสดงตะวันในยามเช้า โดยรอบของปราสาทมีเหล่าอัศวินระดับสูงยืนประจำจุดทั่วปราสาทแตกต่างจากทุกครั้ง มันคงเป็นเพราะว่าพวกเขาได้รับคำสั่งจากโครนอสโดยตรงในการปกป้องหญิงสาวนามมาเดียร่าจากเงื้อมมือของกลุ่มผู้ใช้พลังบาปแห่งความตายที่หมายปองพลังของหล่อนเพื่อเป้าหมายสูงของพวกเขา นั่นคือการปลุกมารเพลิงแห่งความตายให้กลับมาสู่โพรโตเนี่ยนอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นสถารการณ์ที่ตึงเครียดน่าดูเลยทีเดียวสำหรับปราสาทแห่งนี้ ไม่สิทั่วทั้งดินแดนนี้ตะหาก กระนั้นเองเหล่าประชาชนก็ยังไม่ได้รับรู้ถึงข่าวสารใดๆ จากองค์ราชานั่นเป็นเพราะว่าเขาเกรงว่านั่นจะเป็นการทำให้ชาวเมืองหวาดหวั่นไปเสียเปล่า บวกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นจากปราณแห่งลูเซียสที่บ้าคลั่งจนทำลายเมืองไปส่วนนึง แค่นั้นก็ทำให้เหล่าชาวเมืองหวาดกลัวกันมากพอแล้ว ตอนนี้พวกเขาทั้งสองเดินไปยังศูนย์กลางของวังที่เต็มไปด้วยเหล่าขุนนางและนักรบที่ทำงานกันอย่างตั้งใจ ท่าทางจะวุ่นวายน่าดูเลยทีเดียว
เป้าหมายของทั้งสองคนนั่นคือนอกปราสาท พวกเขากำลังจะมุ่งตรงไปยังโรงม้าเพื่อที่เตรียมม้าในการเดินทางไปยังดินแดนแห่งทับทิม ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ติดกับป่าไวนด์ฟลิวด์ที่เป็นพรหมแดนที่เมืองหลวงสตอร์มโฮล์มปักหลักอยู่ก็ตามที แต่การเดินทางด้วยเท้านั้นมันเป็นอะไรที่ลำบากและต้องใช้เวลาหลายวันในการไปถึงดินแดนทับทิม อย่างที่องค์ราชาและโบล์ทเคยกล่าวไปคร่าวๆ ว่าดินแดนทับทิมนั้นหาใช่ดินแดนทั่วไปเหมือนกับดินแดนอื่นๆ ในทวีปทางด้านตะวันออกนี้ เดิมทีแล้วมันหาได้เป็นดินแดนสีแดงที่เต็มไปด้วยแหลมหินที่ดูคล้ายกับผลึกที่แสนน่ากลัวเลยสักนิด ที่จริงเขตแดนนั้นคือพรหมแดนเดียวกับดินแดนมรกต หรือเอเมอร์รัล เทอร์เรส บ้านเกิดของหญิงสาวนามมาเดียร่า แต่ในผืนแดนแห่งนั้นได้มีการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างมารเพลิงไซอาลอทและผู้กล้าแห่งโพรโตเนี่ยน โคลริม เคลย์ทิวล์ มันจึงทำให้ผืนดินแห่งนั้นเสียหายร้ายแรงราวกับเป็นแดนรกร้างที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ในการต่อสู้ครั้งนั้นผลที่ออกมาคือโคลริมเป็นฝ่ายกำชัยและผนึกร่างของมารเพลิงไว้ยังดินแดนแห่งนั้น กลายเป็นผลึกแหลมหินขนาดใหญ่ที่คลุมกายของอสูรเพลิงเพื่อไม่ให้ลืมตาออกมาดูโลกได้อีกต่อไป
แต่ถึงแม้ว่าไซอาลอทจะถูกผนึกทั้งร่างก็ตามที แต่ด้วยปราณของเขาที่แรงกล้า มันจึงเอ่อล้นและแผดเผาผืนป่าในรอบข้างนั้น เปลี่ยนแผ่นดินสีเขียวชะอุ่มให้กลายเป็นสีแดงฉานราวกับเลือดของเหล่ามนุษย์ชั่ว มันจึงถูกเรียกว่าแดนทับทิมแห่งความตาย หรือในอีกนามหนึ่งก็คือเบรสซิ่ง สปริง โดยทั่วไปแล้วทุกคนก็ต่างรับรู้กันว่าคนธรรมดาไม่อาจเดินเข้าไปในดินแดนนี้ได้เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากปราณแห่งความตายที่สามารถแผดเผาร่างของใครก็ตามที่เหยียบย่ำลงไปได้ตลอดเวลา หากใครก็ตามที่มีปราณระดับต่ำก็อาจจะตายได้หลังจากอยู่ในผืนดินนั้นเพียงไม่กี่นาที คนที่จะสามารถเดินอยู่ในถิ่นนั้นได้จะต้องมีปราณระดับสูงเพื่อสร้างบาเรียคลุมกายไว้ตลอด กระนั้นก็ต้องรักษาจิตและปราณให้คงตัวอยู่เสมอเพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็อาจได้รับบาดเจ็บจากสภาพแวดล้อมจนถึงขั้นตายได้ในที่สุด ผู้ที่เคยรอดชีวิตเคยเล่าประสบการณ์มาว่าหากใครก็ตามที่ไม่สามารถคุมจิตให้คงที่ได้ ชายผู้นั้นก็จะลมปราณแตกซ่านเนื่องจากปราณที่อยู่ทั่วแดนที่เป็นของไซอาลอทนั้นจะทำปฏิกริยาให้คนผู้นั้นคลั่ง คนๆ นั้นจะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบแห่งความตายเป็นเสียงที่น่ากลัวราวกับซาตานกระซิบหูด้วยตัวเอง คำกล่าวเหล่านั้นจะเป็นการพูดที่ยั่วจิตใจให้สิ้นหวัง มองเห็นถึงความตายเบื้องหน้า ถ้าหากจิตยอมแพ้ กายก็ตายไปด้วยเช่นกัน
จากที่โครนอสบอกว่าชารอนสามารถที่จะเดินทางในดินแดนนั้นได้ก็อาจจะเป็นความจริง เพราะหล่อนคือหญิงที่มีปราณแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด องค์ราชาอยู่ถึงจุดนี้อยู่แล้วเพราะเขาเป็นสหายของหล่อนมาเป็นเวลานาน และตัวเนลเรี่ยนเองก็ประจักษ์ด้วยตัวเองถึงปราณของสาวผมแดงนี้ แม้ว่าในครั้งนั้นหล่อนจะไม่สามารถคลุมปราณตนได้หรือง่ายๆ ก็คือลมปราณแตกซ่าน มิอาจควบคุมจิตและปราณได้อย่างมั่นคง เพียงแค่นั้นก็ทำให้ชายหนุ่มนักปราชญ์นี้ยากที่จะโค่นเธอลงได้ เหตุที่เนลเรี่ยนสามารถเอาชนะเธอได้นั่นก็เพราะสร้อยคอที่หล่อนมีบวกกับในตอนนั้นก็เป็นเพียงแค่เขาคนเดียวที่ยังมีจิตที่มั่นคงอยู่ หากเป็นการต่อสู้ธรรมดาระหว่างเขาและเธอในตอนนี้เขาก็เป็นฝ่ายแพ้อย่างแน่นอน มันจึงเป็นเหตุผลที่รับรองได้ว่าเธอสามารถเหยียบย่ำลงแผ่นดินนั้นได้อย่างสบายๆ ปัญหาในตอนนี้คงจะเป็นเนลเรี่ยนเสียมากกว่า เขาย่อมรู้ถึงเรื่องนี้อยู่แล้วแต่รู้เพียงในทางทฤษฏีเท่านั้น เขายังหาได้ไปลองด้วยตัวเองเลย ด้วยความรู้ที่เขามี เขาก็น่าจะรู้อะไรที่เป็นเชิงลึกและอาจจะหาทางป้องกันได้อยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะรับปากว่าจะไปกับเธอเพราะเขาเมาก็ตามที แต่เขาก็สามารถปฏิเสธได้ กลับกันเขาเลือกที่จะเดินทางไปกับหล่อน มันก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ไปลองด้วยตัวเอง
ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะถึงประตูใหญ่ของตัวปราสาทก็มีชายผู้หนึ่ง เขาเป็นชายผมดำใส่แว่น บรรณารักษ์แห่งหอสมุดกลางเมืองของสตอร์มโฮล์มนามลูเซียส เขามองเห็นเนลเรี่ยนที่กำลังเดินอยู่เขาจึงรุดตัวเข้าไปหาชายผู้นั้นทันที ทางด้านของนักปราชญ์ที่เห็นหนุ่มสวมแว่นกำลังเดินมาหาเขา เขาจึงหยุดตัวลง หันไปมองชายผู้นั้นก่อนจะกล่าวทักทาย
“ว่าไงลูเซียส” เขากล่าวทักขึ้น “เจ้าโอเคขึ้นแล้วงั้นหรอ?”
“คะ..ครับ” เขาตอบ “กระผมได้ยินว่าท่านจะเดินทางไปกับ... หญิงสาวผู้นั้น”
เนลเรี่ยนหันไปมองชารอนที่หันหลังมา ยืนรอเขาอยู่
“ขอเวลาเราสักครู่ได้หรือเปล่า?” เขาถามเธอ
“ได้สิคะ” เธอตอบ “งั้นข้าจะไปเตรียมม้าให้ท่านล่ะกัน จะได้ไม่เสียเวลามาก”
เขาพยักหน้าให้กับเธอก่อนที่หญิงสาวผมแดงจะเดินจากไป เนลเรี่ยนมองแผ่นหลังของเธอก่อนที่จะหันกลับมาหาลูเซียส
“เจ้ามีอะไรยังงั้นหรอลูเซียส?” เนลเรี่ยนกล่าวถาม
“ก็.. ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมก็แค่มาบอกลาท่านแค่นั้นเอง” เขาตอบกลับ
“งั้นหรอ...”
“จะว่าไปข้าได้ยินข่าวว่าท่านจะเดินทางไปดินแดนทับทิม ข้าก็มีอะไรจะให้ท่านไว้เหมือนกัน” ลูเซียสกล่าวขึ้นมา
เมื่อนั้นชายหนุ่มสวมแว่นก็ควักกระเป๋ากางเกงของตนดูเหมือนว่าจะหยิบอะไรสักอย่างออกมา มันเป็นเหมือนกับเครื่องประดับอะไรสักอย่าง ดูคล้ายกับเครื่องเพชรขนาดเล็กพอๆ กับลูกอม ชายหนุ่มผู้นั้นยื่นมันให้กับเนลเรี่ยนในทันทีก่อนที่นักปราชญ์ผู้นั้นจะรับมันมา เขาแสดงสีหน้างุนงงกับสิ่งที่ได้รับ เหมือนกับว่าเขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับมันเสียเท่าไหร่ เนลเรี่ยนจับเม็ดเพชรนั้นด้วยสองนิ้ว นิ้วโป้งที่เป็นฐานรองรับและนิ้วชี้ที่จับปลายเครื่องเพชรนั้น เขายกมันขึ้นส่องแสงเหนืออากาศ แสงนั้นทะลุผ่านเข้าเพชรและส่องแสงออกมาเป็นสีรุ้งตามการหักเหของแสงที่กระทบต่อสิ่งนั้น
“สิ่งนี้... มันคืออะไรกันหรือ?” เนลเรี่ยนเอ่ยถาม
“มันเป็นสิ่งของที่จะช่วยท่านในการเดินทางในครั้งนี้ครับ” ชายหนุ่มตอบ “มันคือเอลมิลิส”
“ไม่คุ้นเลยแฮะ มันเอาไว้ทำอะไรหรอ”
“ก็ควบคุมพลังปราณน่ะครับ... ถ้าท่านกลืนลงไป”
เมื่อเนลเรี่ยนได้ยินแบบนั้นเขาก็มองหน้าของลูเซียสทันที เป็นอาการที่แสดงถึงความตกใจ กลืนมันลงไปยังงั้นหรือ? นี่มันเป็นสิ่งของนะไม่ใช่อาหารรับประทาน... ดูเหมือนว่าเนลเรี่ยนจะไม่รู้ถึงสิ่งนี้จริงๆ การแสดงออกของเขานั้นชัดเจน เหมือนกับคิดว่าชายผมดำกำลังพูดหยอกล้อกับเขาอยู่
“เจ้าแน่ใจนะ?”
“แน่สิครับ มันเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลนั้นๆ ที่ใช้ไม่เกิดอาการลมปราณแตกซ่านเมื่อตนไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างเสถียรน่ะ” ลูเซียสตอบ
“ไม่...” เนลเรี่ยนกล่าวแทรก “ข้าหมายถึงให้กลืนลงไปน่ะ?”
“ก็.... เท่าที่ข้าอ่านและได้ยินมาก็เหมือนจะเป็นแบบนั้นน่ะ”
“เจ้าไม่เคยลองเองงั้นหรอ?” เนลเรี่ยนพูดออกไปพร้อมกับสีหน้าที่เริ่มดูไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่
“เหมือนจะไม่เคยนะ”
“หา?” เนบเรี่ยนสบถขึ้นทันที “แล้วข้าจะมั่นใจได้ไงว่ามันได้ผลล่ะ...”
ในระหว่างนั้นเนลเรี่ยนก็บ่นออกมาด้วยความที่ไม่ค่อยมั่นใจกับสิ่งของเขาที่เขาได้รับมาเสียเท่าไหร่ คงจะบ่นๆ เหมือนไม่ค่อยไว้ใจนัก แต่ทางด้านของหนุ่มบรรณารักษ์หาได้ฟังคำกล่าวของนักปราชญ์ผมทองเลยสักนิด เขามองไปทางอื่น มันเป็นทางเดินชั้นลอยของปราสาทซึ่งเขาเห็นหญิงสาวที่เข้ามาในห้องของเขาเมื่อคืนก่อน หญิงสาวผมสีน้ำตาลที่สวมชุดกระโปรงสีน้ำตาลดั่งเช่นสีผมของหล่อน เธอเดินไปตามทางโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังมีคนที่กำลังมองอยู่ด้วยสายตาที่อบอุ่น ลูเซียสมองโดยที่ไม่ละสายตาเลยสักนิด ไม่มีคำว่ากระพริบใดๆ หรือสนใจรอบข้างเลย ทางด้านเนลเรี่ยนที่เริ่มรู้ตัวว่าตนเองกำลังพร่ำบ่นอยู่คนเดียวก็พยายามที่จะเรียกชายสวมแว่นให้สติกลับมาหาตัว ดูท่าตอนนี้จิตใจของหนุ่มผู้นี้จะลอยไปหาเธอหมดแล้ว ชายผมทองเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่โดยเมิน เขาจึงสะกิดแขนของลูเซียสให้รู้สึกตัวสักที
“นี่!” เนลเรี่ยนเปล่งเสียงดังขึ้นในระดับหนึ่งพร้อมกับเอาหลังมือตนแขนของผู้ที่ตนกำลังสนทนาด้วย
“มะ มะ... มีอะไรหรอ?” ลูเซียสสะดุ้งตัวขึ้นทันที
“มีอะไรงั้นหรอ?” เนลเรี่ยนกล่าวขึ้น “ข้าว่าเจ้าตะหากที่มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”
“ปะ.. ปะ.. เปล่านิครับ!” ลูเซียสรีบกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นแต่ในขณะนั้นเองสายตาเขาก็มองไปทางอื่นพร้อมกับสีหน้าที่แดงก่ำ
“อะๆ เจ้าดู.. อะๆ เสียงสั่นน่าดู” เนลเรี่ยนพยายามจับผิด
“มัน.. มัน.. แค๊กๆ ผมรู้สึกยังไม่หายดีน่ะ” ลูเซียสพยายามแก้เขินตัวเองในทันที
เมื่อนั้นชายผมทองก็หันขึ้นไปมองยังจุดหมายที่สายตาของลูเซียสมองขึ้นไปทันที เขาเห็นหญิงสาวคนเดียวกับที่ลูเซียสกำลังมองอยู่พร้อมกับยิ้มออกมาเริงร่า ทันใดนั้นเขาเอามือตบไหล่ของชายหนุ่มบรรณารักษ์ทันที พร้อมกับหัวเราะคิกคักเบาๆ มันทำให้ลูเซียสรู้สึกเขินไปเลย แต่เขาก็รู้สึกโมโหในเวลาเดียวกันด้วยที่ถูกเนลเรี่ยนมาทำท่าทางแบบนี้ใส่ เมื่อนั้นเธอก็เดินไปยังทางเดินแยก หายไปจากสายตาของพวกเขาทั้งสอง ดูท่าแล้วหล่อนกำลังจะมุ่งตรงไปยังสวนหลวงของวัง เพราะว่ามันเป็นทางเดียวที่จะสามารถไปยังที่นั่นได้ ทางด้านของเนลเรี่ยนเริ่มยิ้มคึกหัวเราะอย่างสนุกสนานแต่ลูเซียสกลับเริ่มรู้สึกรำคาญนิดหน่อย น่าจะเป็นเพราะความเขินอายที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้น ก็ไม่แปลกสักเท่าไหร่ เพราะคนแบบลูเซียสที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้แล้วมาเจอคนแบบเนลเรี่ยนที่เล่นสนุกสนานก็ย่อมเกิดความโมโหอยู่แล้ว ต่อให้รู้จักกันก็ตามที
“โว้วๆ ดูท่าเจ้าจะสนใจหญิงเข้าให้แล้วสิ” เนลเรี่ยนกล่าว “เพิ่งมาไม่กี่วันทำอะไรกันไปบ้างแล้วล่ะ?”
“จะ... จะบ้าหรอท่าน!” ลูเซียสสบถขึ้นทันที “ข้าจะไปทำอะไรแบบนั้นได้ไง”
“ข้าไม่รู้สิ.. ก็เจ้ามองหล่อนซะขนาดนั้นนี่”
“แต่ว่า..”
“มันหักห้ามกันไม่ได้หรอกนะว่าเจ้าจะชอบใคร... ข้าแค่แปลกใจเฉยๆ ที่เจ้าจะมองสาวแบบนี้”
ลูเซียสสะบัดตัวออกทันที เป็นการแสดงถึงความรำคาญ
“ไม่เอาน่า.. ข้าแค่ล้อเล่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง” เนลเรี่ยนกล่าว
“จะว่าไป..” เขาพูดต่อ “ข้ามีอะไรจะให้เจ้าด้วยล่ะ เห็นเจ้ากำลังสนใจหญิงอยู่”
หลังจากที่เนลเรี่ยนกล่าววาจานั้นเขาก็ล้วงกระเป๋าเป้ใบนั้นที่เต็มไปด้วยข้าวของที่ตนจัด ก่อนที่จู่ๆ จะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา มันเป็นหนังสือขนาดเล็กแต่ค่อนข้างหนาพอสมควร เขาโยนมันให้กับลูเซียสทันที ชายหนุ่มบรรณารักษ์รับหนังสือนั้นได้แต่เกือบจะทำมันหล่นลงไปเพราะรับมันได้ไม่ค่อยดีนัก หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ จับหนังสือเล่มนั้นมาดูที่หน้าปกก่อนที่จะแสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยจะยินดีเท่าไหร่ แลดูรู้สึกเหลือใจกับเนลเรี่ยนเสียมากกว่า เขามองหน้าปกหนังสือเล่มนั้นอีกครั้งก่อนที่จะลดมือลงพร้อมกับหนังสือเล่มนั้นที่อยู่ในมือ เพราะว่าหนังสือเล่มนั้นมันเป็นเหมือนหนังสือแนะนำวิธีจีบหญิงดีๆ นั่นล่ะ
“หนังสืออะไรของท่านเนี่ย?”
“ก็... หนังสือจีบหญิงไง” เนลเรี่ยนตอบ “บางทีมันอาจจะช่วยเจ้าได้ก็ได้”
หลังจากที่เนลเรี่ยนกล่าววาจานั้นเขาก็ยกนิ้วโป้งขึ้น มันทำให้ลูเซียสไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป
“เอาล่ะ ฉันว่าเธอรอข้าได้สักพักแล้ว” เนลเรี่ยนกล่าวขึ้น “ข้าเกรงว่าข้าต้องไปแล้วล่ะ”
“ไว้เจอกันแล้วกันนะลูเซียส..”
“ดะ... ดะ... เดี๋ยวสิ!”
เนลเรี่ยนเริ่มเดินจากไปโดยที่ยกมือขึ้นข้างนึง เขาแบมือออกเป็นการบอกลาให้กับชายผมดำผู้นั้น ดูท่าลูเซียสจะเรียกให้เขากลับมา คงเพราะไม่ต้องการหนังสือเล่มนั้นไว้เพื่อรกโต๊ะตัวเองนั่นล่ะ แต่เหมือนว่าเนลเรี่ยนจะไม่ค่อยสนใจเสียเท่าไหร่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปยังนอกปราสาท ทางด้านของชายหนุ่มสวมแว่นยังคงยืนอยู่จุดนั้น ก่อนที่จะยกหนังสือที่สหายของเขาให้กับจนไว้เมื่อครู่ก่อนที่จะถอนหายใจออก มันเป็นเวลาเดียวที่ชายผมทองเหยียบผืนหญ้านอกปราสาทเดินไปยังส่วนหลังของเขตพระราชวัง ดูเหมือนว่าจะเป็นคอกม้าขนาดใหญ่ ณ จุดนั้นเขาเห็นองค์ราชากำลังพูดคุยอยู่กับหญิงสาวผมแดงผู้นั้นอยู่ในขณะที่เธอกำลังเตรียมม้าให้กับเขาอยู่ ที่จริงเธอก็สามารถรอเขาก็ได้เพื่อที่จะทำให้ภาระของตัวเองลดลงไป แต่ด้วยความที่หล่อนเป็นคนที่ไม่ชอบเสียเวลาไปโดยเปล่าประโชยน์จึงอยากจะทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเสียเวลาน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับเธอแล้วเวลาสำคัญกว่าอะไรมากๆ ทางด้านบุคคลทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตูคอกม้าก็เห็นนักปราชญ์เดินมาหาพวกเขา ทางด้านของเนลเรี่ยนเริ่มเดินมาก่อนที่จะทักทายกับองค์ราชา
“อรุณสวัสดิขอรับองค์ราชา...” เนลเรี่ยนกล่าว
“สวัสดีเนลเรี่ยน...” โครนอสตอบ
“เอ่อคือ... ข้ามีอะไรจะมารายงานท่านน่ะขอรับ... คือบุตรบุญธรรมของท่านกำลังติดหญิงน่ะขอรับ”
สิ้นวาจานั้นเนลเรี่ยนก็เดินเข้าไปภายในโรงม้าทันทีทำเอาทั้งสองงุนงงกับวาจาของหนุ่มผู้นั้น ก่อนที่จะมองตามแผ่นหลังชายผู้นั้นไปเรื่อยในระหว่างที่เขากำลังตรวจสอบม้าของตนเองที่จะใช้ในการเดินทางไปยังดินแดนทับทิม
“เนลเรี่ยนเป็นแบบนี้เสมอเวลาพูดกันท่านรึเปล่าคะ?” ชารอนกล่าวถาม
“ก็ปกติล่ะนะ” องค์ราชาตอบ “เราเหมือนกับพ่อและลูกกันน่ะ”
“เจ้านั่นก็เหมือนกับลูเซียสและโบล์ทนั่นล่ะ ไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่ที่แท้จริงครั้นจำความได้”
“ข้ารับเด็กคนนี้มาจากชายแก่คนหนึ่งที่เคยเป็นข้าเก่าแห่งวัง ผู้ที่ชุบเลี้ยงเขามาตลอด”
“เขาบอกอะไรสักอย่างกับข้าว่าเด็กคนนี้มีอะไรพิเศษต่างไปจากคนอื่น”
“แต่สิ่งที่ข้าเห็นก็มีเพียงแค่ว่าเขารักการอ่านเหมือนกับเฒ่าผู้นั้นล่ะ” องค์ราชาอธิบาย
“ท่านผู้นั้นเคยบอกว่าเด็กผู้นั้นต่างจากคนอื่น...” เขาพูดต่อ
“ยังไงหรือคะ?” ชารอนกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ปราณน้ำแข็งของเขา... ความแกร่งของมันสามารถผนึกอะไรก็ตามได้ดั่งใจนึก”
“เป็นปราณทมิฬทั่วทั้งผลึกแห่งความเยือกเย็น” โครนอสตอบกลับไป
“งั้นหรือคะ” เธอกล่าวขึ้นในขณะที่กำลังมองชายหนุ่มผมทองที่กำลังจัดเตรียมอยู่
“แต่ครั้นที่ข้าเคยเห็นท่านเนลเรี่ยนใช้ปราณ.. ผลึกน้ำแข็งก็ดูเป็นปกติมิใช่หรือคะ”
“ใช่! ข้าก็ไม่เคยหรอก.. ว่าปราณสีทมิฬนั่นมันเป็นจริงหรือเปล่า?”
“เจ้านั่นน่ะมักจะดื้อรั้น... ทำเหมือนตัวเองแข็งแกร่งล่ะ”
“ที่จริงแล้วเขาก็อ่อนต่อโลกน่าดูล่ะนะ ความรู้ที่ได้มาจากหนังสือเท่านั้น หาได้ประสบมันด้วยตัวเอง”
“เอาเถอะ! ในตอนนี้เจ้านั่นก็ประสงค์ด้วยตัวเองแล้วว่าเดินทางไปพร้อมกับเจ้า”
“งั้นข้าขอฝากให้เจ้าดูแลเด็กคนนั้นด้วย...” โครนอสกล่าว
เธอไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ยิ้มอ่อนๆ และมองดูนักปราชญ์หนุ่มผู้นั้นที่เดินลากม้าของตนออกมา
“พวกท่านนินทาอะไรข้าหรือเปล่าเนี่ย?” เนลเรี่ยนกล่าว
“ก็น่าจะเรื่องที่ท่านเมานั่นล่ะคะ” ชารอนกล่าวติดตลกทั้งเป็นการโกหกชายผู้นั้น
“พอได้แล้วน่า! ไม่งั้นข้าเปลี่ยนใจไม่ไปกับเจ้าจริงๆ นะ”
“จ๊าๆ” หล่อนตอบกลับพลางยิ้มหวาน
ทันใดนั้นพวกเขาก็เก็บข้าวของจำเป็นใส่กระเป๋าที่ถูกปักติดกับชุดยศถาบรรดาศักดิ์ของอาชาแห่งสตอร์มโฮล์มซึ่งนั่นเป็นเครื่องแบบที่เฉพาะอาชาไนยแห่งราชอาณาจักรจะสามารถมีได้ ทั้งสองก็ขึ้นไปบนม้าที่ตนเลือกโดยที่กษัตริย์แห่งดินแดนสตอร์มโฮล์มมองดูอยู่ ทั้งชารอนและเนลเรี่ยนต่างเช็คสภาพความปลอดภัยเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ตกลงไปจากม้าเมื่อยามเดินทางแล้ว เมื่อเป็นอันแน่ใจแล้วพวกเขาจึงเตรียมพร้อมที่จะออกม้า แต่ก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นองค์ราชาแห่งดินแดนนี้ก็กล่าววาจาของตนขึ้น
“ภารกิจนี้สำคัญต่อการเป็นอยู่ของโพรโตเนี่ยนมาก... ขอให้พวกเจ้าทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
“และขอให้พวกเจ้าโชคดี”