Cataclysm: Endless Hellfire
Act XVI
------------
6 ชั่วโมงต่อมา
มันเป็นเช้าวันใหม่แห่งโพรโตเนี่ยน ทิพากรสาดแสงทั่วทั้งผืนดิน เสียงนกร้องเป็นทำนองในยามเช้าตรู่ ที่ปราสาทแห่งสตอร์มโฮล์มในกลางเมืองหลวงได้มีหนุ่มสวมแว่นสีดำกำลังวิ่งไปตามทางเดินอยู่ ราวกับว่าตนมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ต้องแจ้งให้ใครสักคนทราบ เขาวิ่งชนขุนนางบางท่านที่ยืนขวางทาง ด้วยความที่กำลังเร่งรีบลูเซียสจึงไม่ได้ขอโทษบุคคลเหล่านั้นอย่างเป็นพิธี ในมือของบรรณารักษ์มีเอกสารที่ถูกม้วนอยู่ ชายผู้นี้ยังคงขยับตัวอย่างเร่งรีบ ไม่นานนักเขาก็หยุดตัวลงที่หน้าประตูใหญ่แห่งหนึ่งแถวขอบของปราสาท รุดตัวเข้าไปช้าๆ ก่อนที่จะเปิดประตูบานนั้น ภายในห้องนั้นมีองค์กษัตริย์แห่งทวีปกำลังสวมใส่เครื่องแบบของตน เหมือนเขาจะสวมมันเสร็จพอดีหลังจากที่ลูเซียสเปิดประตูนั้น โครนอสเห็นลูเซียสยืนอยู่ภายหลังประตูก็เกิดความสงสัยว่าบุตรชายบุญธรรมของตนมีเรื่องอะไรในยามเช้าตรู่แบบนี้ ด้านลูเซียสก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องช้าๆ เหมือนกับว่าเกรงใจผู้เป็นเจ้าของห้องอยู่ แม้ว่าจะเป็นบิดาตนก็ตามทีแต่มันก็ต้องมีมารยาทกับบ้างล่ะ
“อรุณสวัสดิ์บุตรแห่งข้า...” โครนอสกล่าว
“อรุณสวัสดิ์ขอรับองค์ราชา” ลูเซียสคุกเข่าลงก่อนจะตอบกลับ
“เจ้ามีเหตุอันใดที่มายังสถานที่แห่งข้าในยามเช้าตรู่เช่นนี้หรือลูเซียส?”
“ข้าได้รับข้อความขอรับ..” ลูเซียสตอบ “มันเพิ่งส่งมายังหน่วยข่าวกรองเมื่อเช้านี้เอง ข้าเลยนำมันมาให้ท่านโดยตรงขอรับ”
“จากใครงั้นรึ?”
“เนลเรี่ยน เพรสตันขอรับ”
สีหน้าขององค์ราชาแลดูจริงจังกับนามที่ได้ยิน ในใจเขาคงคิดว่าทั้งเนลเรี่ยนและชารอนกำลังมีเรื่องใหญ่อะไรหรือเปล่าถึงได้ส่งเอกสารมา เมื่อนั้นชายหนุ่มผมดำก็ยื่นเอกสารฉบับนั้นให้แก่ผู้เป็นใหญ่ เขารับมันมาก่อนจะดูหน้าซองจดหมาย ดูเหมือนว่ามันจะถูกประทับหน้าและมีลักษณะบ่งบอกว่ามันคือเรื่องเร่งด่วนอย่างชัดเจน องค์ราชาค่อยๆ เปิดหน้าซองมันออก วางเอกสารลงบนโต๊ะ ทางด้านของลูเซียสก็เกิดความสงสัยในใจว่าภายในตัวเอกสารมันมีข้อมูลอะไรจึงค่อยๆ ย่างกรายไปดูเอกสารฉบับนั้น ภายในกระดาษสีน้ำตาลนั้นถูกเขียนด้วยข้อความจำนวนที่ไม่มากเท่าไหร่ เหมือนกับมันจะถูกเขียนอย่างเร่งด่วนและพยายามที่จะให้กระชับที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทางโครนอสกำลังอ่านมันอย่างบรรจงทุกบรรทัด สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดน่าดู ไม่นานนักองค์ราชาก็ถอนหายใจ ลูบศีรษะของตนก่อนจะหายใจเสียงดังออกมา
“มีเรื่องอะไรหรอครับองค์ราชา?”
“พวกมันกำลังมา...” โครนอสตอบ “เนลเรี่ยนเพิ่งเผชิญกับพวกกองทัพแห่งพลังบาป”
“มารร้ายเหล่านั้นได้เหยียบย่ำสู่ผืนดินไวล์ดฟิลด์แล้ว...”
“เอ่อ... ขออภัยนะขอรับ” จู่ๆ ลูเซียสก็ขัดขึ้นมา “ข้าไม่ค่อยเข้าใจ... คือพวกนั้นมีเป้าหมายอันใดที่จะมาที่แห่งนี้หรือขอรับ?”
ด้านราชาหันไปมองลูเซียสด้วยสีหน้าที่งุนงง เหมือนกับจะสงสัยว่าเหตุใดบุตรของเขาถึงไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ด้านบรรณารักษ์ก็แลดูจะงุนงงและกลัวว่าเป้าหมายของผู้ใช้พลังบาปอาจจะเป็นตัวเขาเองที่มีพลังที่เป็นไปได้ว่าจะเทียบเท่ากับเบลล์แห่งบาป แน่นอนว่าลูเซียสนั้นทั้งเกลียดและกลัวพวกนั้นอยู่แล้ว เขาจึงแสดงอาการแบบนั้นออกมา โครนอสที่เพิ่งหลุดปากตอบลูเซียสไปก็กำลังครุ่นคิดว่าบุตรของเขาอาจจะคิดมากไปก็เป็นได้ แต่การที่จะบอกความจริงถึงจุดประสงค์ของพวกนั้นไปมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ ถึงกระนั้นการที่จะปกปิดมันไว้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเช่นกัน องค์กษัติรย์ที่กำลังติดสินใจที่จะตอบคำถามที่ตนได้รับมานั่งลงไปกับเก้าอี้ที่ิอยู่ใกล้ๆ เขามองหน้าชายผมดำก่อนที่จะกล่าววาจาแห่งตน
“เมื่อสามวันก่อน... อย่างที่เจ้าเพิ่งทราบว่าหญิงสาวคนหนึ่งได้เดินทางมาพร้อมกับโบล์ท”
“หญิงสาวนามมาเดียร่านั่นหรือขอรับ?”
“ใช่... แต่หลายคนยังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดหล่อนจึงมายังเมืองหลวงแห่งนี้พร้อมกับแม่ทัพแห่งเมืองหลวง” ราชากล่าว
“เหตุผลนั่นไม่ใช่เพราะหล่อนไร้ที่อยู่อย่างที่ผู้คนพูดกัน” เขาพูดต่อ “แต่เป็นเพราะหล่อนจำเป็นที่จะต้องมาที่นี่”
“หมายความว่ายังไงหรอครับ?” ลูเซียสกล่าวถามด้วยความงุนงง
เมื่อนั้นโครนอสก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปยังประตูห้อง เปิดประตูออกด้วยมือข้างเดียว หันกลับไปมองลูเซียสและกล่าวคำพูดออกไป
“ตามข้ามาสิ” โครนอสกล่าว
สิ้นวาจานั้นลูเซียสก็เดินตามหลังของบิดาของตนไป พวกเขาเดินออกจากห้องก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของสถานที่จะปิดประตูบานนั้น โครนอสเริ่มเดินไปตามทางเดินปราสาทหินโดยมีชายหนุ่มผมสีดำเดินตามติดเขาไป ชายหนุ่มร่างบางนั้นไม่รู้เลยว่าผู้นำทางของตนจะพาเขาไปยังที่แห่งใดกัน สิ่งที่เขาทำในตอนนี้ก็มีเพียงแค่ตามหลังไปเท่านั้น ระหว่างทางนั้นหาได้มีการสนทนาระหว่างชายทั้งสองเลยสักนิด เมื่อเดินไปได้สักพัก ผู้ที่เดินตามเริ่มจะรู้ว่าเขาจะไปยังที่แห่งใด ด้วยความที่เขาคุ้นเคยกับเส้นทางของปราสาทแห่งนี้เลยทำให้ตนพอจะเดาออกได้ พวกเขาเดินไปยังส่วนหลังของปราสาทซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีหนังสือมากมายเรียงรายสำหรับคนในวัง แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่เท่ากับหอสมุดแห่งสตอร์มโฮล์มที่ลูเซียสทำงาน มันก็พอจะมีหนังสือหายากเพื่อจะค้นคว้าความลับต่างๆ แห่งโพรโตเนี่ยนอยู่พอควร ถ้าพูดให้ถูกคือที่นี่น่าจะเป็นที่ๆ เหมาะกว่าในการหาหนังสือหายาก เพราะการที่จะเอาหนังสืออะไรแบบนั้นไปไว้ที่หอสมุดสาธารณะย่อมเป็นผลเสี่ยงอยู่แล้ว
เมื่อนั้นพวกเขาทั้งสองก็ย่างกรายไปยังห้องความรู้แห่งนั้น มันต่างจากในหอสมุดกลางเมืองพอควรอยู่เหมือนกันเพราะไม่มีบรรณารักษ์คุมสถานการณ์เลยสักคน ดูเหมือนจะเป็นห้องสมุดส่วนตัวเสียมากกว่า แต่มันก็รู้สึกแปลกๆ เนื่องเพราะห้องสมุดนี้มันก็ใหญ่ ในห้องโถงแห่งนั้นก็มีผู้คน เหล่าขุนนางระดับสูงหลายท่านที่แสะหาความจริง ความรู้ หรือมาอ่านหนังสือเพื่อพักผ่อนแล้วแต่ตัวบุคคล องค์ราชาเดินนำลูเซียสไปยังหมวดความรู้ประวัติศาสตร์และปราณลึกลับก่อนที่จะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมา ตัวปกดูเก่าพอควร สภาพของมันมีฝุ่นเขรอะเต็มไปหมด แถมมันยังถูกเขียนที่หน้าปกด้วยตัวหนังสือสีแดงเป็นคำว่า “ห้ามแตะต้อง” ด้วยความที่เป็นองค์กษัตริย์ ผู้บัญชาสูงสุดแห่งดินแดนจึงทำให้เขามีสิทธิ์ที่จะละเมิดคำสั่งได้หากต้องการ เมื่อโครนอสได้หนังสือที่ต้องการแล้วเขาก็เดินไปหาที่นั่งที่เหมาะๆ ในการพูดคุย ก่อนที่จะเจอที่นั่งริมห้อง เหมาะแก่การพูดคุยแบบส่วนตัว
พวกเขาทั้งสองเดินไปยังจุดๆ นั้นก่อนที่ฝ่ายองค์ราชาจะนั่งลงไปเสียก่อน ตามด้วยบุตรบุญธรรมของเขาที่นั่งตามลงไป ด้วยความสงสัยที่ตนมีจึงกล่าวถามทันที
“ท่านพอจะบอกข้าได้หรือยังขอรับว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“เจ้าพอจะเคยได้ยินพลังในตำนานของผู้พิทักษ์ทั้งสี่แห่งโพรโตเนี่ยนหรือเปล่า?” โครนอสกล่าวถามพลางเปิดหนังสือไป
“กะ... ก็พอจะเคยได้ยินบ้างล่ะขอรับ.. ทำไมกันหรือ?” ลูเซียสถามขึ้น “หรือว่า?”
“ใช่...” องค์กษัตริย์แทรกขึ้น “หญิงสาวผู้นั้นคือผู้มีปราณแห่งผู้พิทักษ์”
“แล้วพวกผู้ใช้พลังแห่งบาปจะต้องการตัวหล่อนไปเพื่อเหตุอันใดกัน?”
“หญิงสาวผู้นั้นมีปราณแห่งวิเลียร่า ไบร์ทวินด์สถิตอยู่ในร่าง...”
“เธอคือผู้ถูกเลือก?” ลูเซียสกล่าวถาม
“ถูกต้อง... เพื่อควบคุมสมดุลของดวงดาว” โครนอสตอบกลับ
สิ้นวาจาขององค์กษัตริย์ เขาก็ยื่นหนังสือที่กางออก ปรากฏเป็นแผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรหมึกสีดำที่เริ่มจางจากการที่ถูกเขียนมาเป็นเวลานานหลายปี แม้มันจะเป็นตัวหนังสืออ่อนๆ แต่ก็พออ่านออก บ้างก็มีตัวอักขระโบราณเขียนไว้ภายในข้อความเหล่านั้น ซึ่งหากไม่ใช่นักประวัติศาสตร์แบบเนลเรี่ยนหรือผู้ใฝ่หาความรู้อย่างเชี่ยวชาญก็มิอาจที่จะทำความเข้าใจกับตัวอักษรพวกนั้นได้เลย ลูเซียสอ่านมันอย่างตั้งใจโดยที่ราชาไม่ขัดเขาเลยสักนิด พออ่านไปได้สักพักเขาก็เริ่มแสดงสีหน้าที่ตกใจพอควร ก่อนที่จะหันไปมองหน้าผู้เป็นพ่อเลี้ยงของตน สีหน้าที่แสดงถึงความตกใจ ความเครียดจนชัดเจน ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เหตุผลที่ว่านั้นแล้ว และตัวของโครนอสเองก็รับทราบได้จากปฏิกริยาเมื่อครู่
“พวกนั้นต้องการพลังชีวิตของหล่อน... เพื่อที่จะปลุกมารเพลิงแห่งความตาย”
“ถูกต้องแล้วลูเซียส” โครนอสตอบ “ด้วยเหตุนั้นเราจึงจำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อให้หล่อนปลอดภัย”
“แบบนี้กระผมอยู่เฉยไม่ได้หรอก!” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ตะโกนขึ้นและรุกขึ้นมา ใช้มือทั้งสองข้างฟาดโต๊ะอย่างดัง
เสียงนั้นทำให้ใครหลายๆ คนที่กำลังอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินมองไปหาต้นเสียงนั้นกันหมด มันทำให้ลูเซียสรู้สึกเขินอายกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งกระทำลงไป เขาค่อยๆ นั่งลงไปกับเก้าอี้ตัวเดิม แน่นอนว่าการทำอะไรแบบนั้นในห้องสมุดแบบนี้ย่อมเป็นการเสียมารยาทอยู่แล้ว และตัวของชายผู้นั้นก็รู้ตัวเองดีเพราะเขาทำงานเกี่ยวกับอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ทางด้านของชายหนุ่มพยายามที่จะสงบสติตัวเองลงหลังจากที่เพิ่งกระโชกโฮกฮากไป การกระทำเมื่อครู่นั้นมันทำให้องค์ราชารู้สึกตกใจอยู่พอควร เหมือนกับสงสัยว่าทำไมเขาถึงแสดงอาการแบบนั้นออกมาทั้งๆ ที่หญิงสาวผู้นั้นก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้นั้นอยู่แล้ว แต่เมื่อราชาได้มองดูเด็กผู้นั้นแสดงอาการลุกลี้ลุกลนตั้งแต่เมื่อครู่แล้วมันก็พอทำให้องค์ราชาเดาได้ว่าเหตุผลมันเป็นเพราะอะไร โครนอสค่อยๆ ดึงหนังสือกลับ ปิดหนังสือก่อนที่จะวางมันลงบนโต๊ะ
“เจ้าชอบเธอหรอ?” โครนอสกล่าวถาม
“ปะ... เปล่านะขอรับ... ”
“อืม... ข้าก็ยินดีนะที่จะมีลูกสะใภ้สักคน”
“ทะ... ท่านนี่ก็!”
มันตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เงียบงันหลังจากที่ลูเซียสกล่าววาจาของตนจบไป ผู้เป็นพ่อเลี้ยงของเขาก็หาได้มีคำตอบอันใดที่จะตอบกลับลูกของเขาไป เขาเพียงแค่ยิ้มหวานให้กับลูกตัวเอง เหมือนกับว่าเขาไม่ได้เห็นลูกชายของตนรู้สึกแบบนี้มานานมากแล้ว ไอ้ความรู้สึกที่ไม่คิดถึงความตาย หรือคิดพะว้าพะวงถึงพลังของตนที่จงเกลียดจงชัง นี่คงจะเป็นไม่กี่ครั้งที่เขาได้เห็นความสุขเล็กๆ ของลูกตน เมื่อนั้นโครนอสก็ลุกขึ้นพร้อมกับหนังสือเล่มนั้นที่อยู่บนมือ ก่อนจะเดินไปใกล้ลูเซียสพร้อมกับยื่นหนังสือเล่มนั้นให้
“เจ้าจะทำหรือคิดอะไรต่อหล่อนข้าไม่ใส่ใจหรอก... ขอแค่ว่านั่นคือความสุขของเจ้าก็พอ” โครนอสกล่าวพร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยื่นหนังสือให้กับลูกชายตน
“เจ้าอาจจะเป็นคนที่ดีที่สุดที่จะอยู่ข้างหล่อนในสถานการณ์แบบนี้”
“แต่ข้าขอร้องเจ้าไว้อย่างนึง... อย่าได้บอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเด็ดขาด”
“ข้าไม่อยากให้หล่อนต้องกังวลใจที่จะตกเป็นเหยื่อของความตาย”
“หวังว่าเจ้าคงเข้าใจ...” องค์ราชากล่าวต่อลูเซียสผู้เป็นบุตรของตน
“เข้าใจแล้วขอรับ” เขาตอบพร้อมกับรับหนังสือเล่มนั้นมา
หลังจากนั้นองค์ราชาก็เริ่มเดินจากไป.. แต่มิทันไรเขาก็หยุดตัวลงเหมือนกับว่าคิดอะไรสักอย่างออก ก่อนที่จะหันกลับไปหาบุตรของตน
“จะว่าไปเจ้าพอจะรู้ไหมว่าเซรดริกไปอยู่ที่ไหน?”
“เอ่อ.. ข้าไม่เห็นเขาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วขอรับ”
“งั้นหรือ...”
คำตอบที่โครนอสได้รับมามันไม่ค่อยทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเสียเท่าไหร่ ก็ไม่ถือว่าแปลกนัก เพราะในสถานการณ์แบบนี้มันเป็นช่วงที่ผู้นำต้องการมือขวามากที่สุด แต่ผู้ช่วยคนสำคัญของเขากลับหายหน้าหายตาไปแบบนี้มันย่อมสร้างความโมโหและกดดันให้กับโครนอสอยู่แล้ว เมื่อนั้นเขาก็เดินจากบุตรบุญธรรมของตนไปอย่างไม่พอใจนัก เขาเดินไปอย่างเร่งรีบ ออกไปจากห้องสมุดแห่งนั้นโดยทันที ด้านลูเซียสเองก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ตัวนั้นพร้อมกับหนังสือที่อยู่ที่มือขวาของเขา ดูเหมือนว่าตนกำลังครุ่นคิดว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์อันใดต่อตัวเอง หรืออาจจะคิดถึงหญิงสาวที่ตนกำลังแอบชอบอยู่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ ผ่านไปได้สักพักเขาก็เดินไปพร้อมกับหนังสือเล่มนั้น แต่หาได้ไปในทางเดียวกันกับทิศทางที่โครนอสเดินทางไป ลูเซียสเดินไปยังด้านตรงข้ามก่อน เลี้ยวผ่านไปยังทางเดินแยกด้านซ้ายที่ตรงไปยังสวนวังของปราสาท
ทางเดินที่เขากำลังมุ่งตรงไปมันตกอยู่ในความเงียบงัน หาได้มีเสียงอันใดที่สื่อถึงความสุข ความเริงรมย์เลย มันมีเพียงแค่เสียงย่างเท้าของชุดเกราะเหล็กทรงใหญ่ที่เดินไปมา พวกเขาเหล่านั้นคือทหารที่ทำหน้าที่ปกป้องปราสาทโดยตรง ในทางเดินโล่งนั้นยังพบทหารอีกหลายนายที่ยืนเรียงรายเป็นแถวอยู่เตรียมรับการโจมตีจากผู้ใช้พลังบาปทุกเมื่อ เหล่าผู้ปกป้องทุกคนที่อยู่ในระแวกนั้นต่างจดจ้องไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้นหมด คงจะเป็นเพราะเหตุการณ์ในครั้งก่อนที่เขาก่อนั้นทำให้ทหารหลายนายต้องเสียชีวิตซึ่งก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้สึกไม่ชอบลูเซียส ชายหนุ่มรู้ตัวดีแต่เขาก็พยายามจะทำเป็นไม่สนใจก่อนที่จะเดินต่อไปยังจุดหมาย ทันใดที่เขาย่างกรายไปยังสวนหลวงแห่งนั้น เขาก็รู้สึกถึงพื้นทางเดินสวนที่ถูกก่อสร้างด้วยหินต่างชนิด มันทำให้เกิดเสียงที่แตกต่างกันจากเมื่อครู่
ระหว่างที่เขาเดินไปท่ามกลางแสงอรุณอุ่นๆ ในยามเช้า พร้อมกับกลิ่นละอองบุฝผาที่โชยมาแต่ไกล ลมพัดอ่อนๆ ทำให้กิ่งก้านใบไม้พริ้วไหว บ้างใบที่ไม่สามารถต้านแรงลมไม่ไหวก็ปลิวไปท่ามกลางสายลม ที่สวนวังมันดูเงียบงันราวกับป่าช้าจนสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของลูเซียสอย่างชัดเจน สักพักเขาก็เห็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลนั่งอยู่ใจกลางของสวน บนม้านั่งยาวซึ่งเป็นที่ๆ เธอประทับอยู่ หัวใจของลูเซียสเริ่มสั่นรัวแปลกๆ เฉกเช่นเดียวกับสายลมที่พัดเป็นจังหวะ เขายืนอยู่ข้างหลังของเธอโดยที่มาเดียร่าไม่รู้ตัว ส่วนเธอมองไปยังเบื้องหน้าของตนอย่างไร้จุดหมาย เปรียบดั่งผู้ชมความงามของสวนแห่งธรรมชาตินี้
“ข้าขอนั่งด้วยคนได้ไหม?”
คำถามของหนุ่มผู้นั้นทำให้หญิงสาวที่กำลังชมพฤกษาอยู่สะดุ้งตัวขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปหาต้นเสียงที่เป็นชายหนุ่มผมสีดำยืนอยู่เบื้องหลังไม่ห่างจากเธอนัก
“ขะ... ข้าขอโทษที... ไม่ได้พยายามทำให้เจ้าตกใจน่ะ”
“ถ้าเจ้าต้องการความเป็นส่วนตัว... ข้าก็ไม่รบกวนเจ้าหรอกนะ” หนุ่มผู้นั้นกล่าวต่อ
“ได้สิ”
หญิงสาวผู้นั้นตอบกลับเขาด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความอ่อนโยน รอยยิ้มหลังวาจาที่งดงามเช่นดอกไม้ในสวนวัง มันสะกดใจของชายหนุ่มผู้นั้นจนเขาถึงกับนิ่งไปราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน ผ่านไปได้สักพักลูเซียสก็หลุดจากภวังค์ก่อนที่จะค่อยๆ เดินไปยังม้านั่งตัวนั้น นั่งลงไป ก่อนจะมองไปยังทิศทางที่เธอกำลังรับชมอยู่ มันเป็นพุ่มไม้ ดอกหญ้า มีดอกไม้หลายชนิดเบ่งบานอยู่ในบริเวณนั้น บวกกับแสงอาทิตย์ที่สะท้อนกับเหล่าหยาดน้ำที่ติดอยู่กับพืชพรรณที่เพิ่งถูกรดน้ำจากชาวสวนไปเมื่อตอนเช้า มันเป็นเหมือนดั่งเพชรงามขนาดเล็กที่ประดับไม้สีเขียวเหล่านั้นอย่างสวยงาม ชายหนุ่มพอจะเข้าใจเหตุผลที่ทำไมเธอจึงมองมันโดยที่ไม่ละสายตาเลยสักนิด มันเป็นทิวทัศน์ที่เรียกได้ว่าสวยงามที่สุดเท่าที่เขาจะเคยเห็นในพระราชวังแห่งนี้เลย
“นี่เจ้ามานั่งที่สวนวังแห่งนี้ทุกวันเลยงั้นหรือ?” หนุ่มผมดำกล่าวถาม
“ประมาณนั้นล่ะคะ” เธอตอบ “นั่นคงเป็นเพราะข้าออกไปจากวังแห่งนี้ไม่ได้”
คำพูดนั้นทำให้ลูเซียสมองไปหาเธอ สีหน้าของหล่อนดูไม่ค่อยมีความสุขเสียเท่าไหร่ มันคงจะเป็นเพราะหล่อนรู้สึกเหมือนถูกกักขังในที่แห่งนี้ล่ะมั้ง
“ข้าไม่เข้าใจเลย เพราะเหตุใดข้าจึงมิสามารถออกไปยังภายนอก รับชมความงามของเมืองหลวงแห่งนี้ได้เลยล่ะ” เธอพูดขึ้น
“สิ่งที่ข้าทำได้ก็แค่มายังสถานที่แห่งนี้ หรือมองออกไปจากนอกกระจกเพื่อรับชมทิวทัศน์เท่านั้นเอง”
“ฟังดูเหมือนเจ้าจะชอบธรรมชาติน่าดูเลยนะ...” ลูเซียสกล่าวต่อหลังเธอพูดจบ
“ข้าแค่คิดถึงดินแดนที่ข้าจากมาน่ะคะ” เธอกล่าวตอบ “ดินแดนแห่งมรกต... สถานที่ๆ ข้าเกิด... แต่แล้ว..”
จู่ๆ หล่อนก็หยุดพูดไป แถมยังพยายามเกร็งปากของตนราวกับไม่ยอมที่จะเปล่งเสียงร่ำไห้ออกมาให้คนข้างกายเธอได้เห็น ลูเซียสเอามือของเขาสัมผัสที่ไหล่ของเธอ หัตถ์ที่อบอุ่นของเขาทำให้เธอรู้สึกตัว หล่อนมองไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นที่กำลังยิ้มหวานให้แก่เธอ มาเดียร่ายิ้มตอบเขาทันทีเมื่อได้รับความอบอุ่นจากชายผู้นั้น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อแล้วล่ะ” ชายสวมแว่นกล่าว
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าไม่สามารถออกไปยัังปราสาทนี้ได้... นั่นเป็นเพราะเหล่าทหารมิยินยอมใช่ไหมล่ะ?”
“ท่านรู้ได้ยังไงหรอคะ?”
“ข้าพอจะรู้เหตุผลน่ะว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมให้เจ้าไป”
ทันทีที่ลูเซียสกล่าววาจานั้น เหมือนกับเป็นการสร้างจุดสนใจให้แก่หญิงสาว ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเธอ ปฏิกริยาของมาเดียร่าจึงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เธอทำท่าตั้งใจที่จะฟังเหตุผลนั้น กลับกันทางลูเซียสกลับเงียบไปในทันที ในหัวของเขาคิดถึงคำพูดที่บิดาของเขาเพิ่งพูดออกไปกับตัวเขาเมื่อครู่เกี่ยวกับตัวเธอ วาจาที่บอกว่าอย่าได้บอกเธอถึงเรื่องนั้นเด็ดขาดได้ไหลเข้ามาในหัวของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชายหนุ่มสวมแว่นจึงหยุดกล่าววาจาของตนในทันที เขาคงหลุดปากกล่าวอะไรบ้าๆ ออกไปเมื่อครู่ก่อนที่จะคิดได้ว่ามันไม่เหมาะที่จะบอกความจริงให้หล่อนได้รับทราบ แต่ในอีกแง่หนึ่งใจของเขาก็รู้สึกอึดอัดหากไม่บอกมันแก่เธอไป เหมือนกับการหลอกลวง แกล้งทำให้หล่อนสบายใจโดยที่ไม่รู้ว่าอันตรายอันใดกำลังมาหาหล่อน หญิงสาวเริ่มสงสัยกับลูเซียสที่ดูเงียบไปเลยหลังวาจาที่เขาเพิ่งกล่าวออกไป
“มันเป็นเพราะอะไรหรือคะ?” เธอกล่าวขึ้นมาต่อด้วยความอยากรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง
“คะ... คือว่า....” ลูเซียสเสียงสั่นๆ แสดงท่าทีที่แปลกไปจนหล่อนสงสัย
“มันเป็นเพราะ.. ตะ... ตอนนี้เมืองนี้กำลังอยู่ในวิกฤตอยู่น่ะ”
“เจ้าก็รู้... เมื่อช่วงสามวันก่อนเมืองนี้บางส่วนถูกทำลายโดยปีศาจปราณน่ะ”
“บางทีมันอาจจะเป็นอันตรายกับเจ้าก็ได้หากออกไปเดินเล่นในช่วงบ้านเมืองกำลังซ่อมแซมแบบนี้น่ะ”
แน่นอนว่าลูเซียสกำลังโกหกเธออยู่ แถมตัวเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถนัดในการแสแสร้งอะไรแบบนี้ด้วย ในใจเขาคิดลึกๆ ว่าเธอคงไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดแหง แล้วถ้าเกิดเธอรู้ว่าเขากำลังหลอกเธออยู่มันก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย เมื่อนั้นหล่อนก็หลบหน้าหนีลูเซียส ไม่รู้ว่าเธอเชื่อในสิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่หรือเปล่า กระนั้นมาเดียร่าก็หาได้แสดงสีหน้าอะไรที่บ่งบอกถึงความเศร้าใจเลย
“งั้นหรอกหรือ?” เธอกล่าวขึ้นมา
เหมือนว่าหล่อนจะเชื่อในสิ่งที่หนุ่มผู้นี้บอกเธอไป ไม่นานนักเธอก็หันมาหาเขาอีกครั้งก่อนจะกล่าววาจาของตน
“ปีศาจปราณนั่น... คือท่านสินะ” เธอพูดขึ้น
มันทำให้ลูเซียสเงียบไปเลยหลังจากที่วาจานั้นถูกกล่าวออกมาจากปากของเธอ ซึ่งนั่นก็คือความจริงที่ใครหลายๆ คนก็รู้อยู่แล้วด้วย แต่ชายหนุ่มเหมือนจะช็อคกับสิ่งที่ตนได้ยินอยู่เหมือนกัน คงจะเพราะไม่คิดว่าเธอจะรู้ได้เร็วขนาดนี้ หล่อนเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่กี่วันแต่กลับรู้ว่าตัวเขาคือปีศาจที่เพิ่งทำลายเมืองไปเมื่อหลายวันก่อน หากพูดแก้ขัดอะไรไปในตอนนี้มันก็ดูจะเป็นอะไรที่ไม่ดีแน่ หากยิ่งเธอไปทราบมาจากเหล่าขุนนางที่เชื่อถือในข้อมูลได้นั่นก็ยิ่งแล้วใหญ่ เขาคงจะซ่อนอะไรกับเธอไม่ได้แล้วในตอนนี้ ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้็คงเป็นการบอกเธอไป
“ใช่...” เขาตอบไปโดยที่ไม่เต็มใจนัก
“เจ้าไปรู้มาได้ยังไงหรอ?” ลูเซียสกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยอยากที่จะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่
“ข้าแค่ได้ยินมาน่ะ คงจะเป็นข่าวลือเสียมากกว่า” เธอตอบ
“ทีแรกข้าก็ไม่เชื่อหรอกนะ จนเมื่อท่านตอบมันแก่ข้าด้วยตัวเอง”
“คนพวกนั้นกลัวข้า... กลัวในพลังของข้า กลัวสิ่งที่ข้าเป็น พวกเขาไม่ยอมรับในตัวของข้าสักคน” ลูเซียสกล่าวต่อเธอ
เธอหาได้พูดอะไรกลับไป ในตอนนี้มันตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ไม่มีเสียงใดนอกจากลมที่ยังคงพริ้วไหวไปตามอากาศ มิทันไรเธอก็ยื่นมือทั้งสองข้างของตนไปกุมมือข้างขวาของลูเซียส มือทั้งสองที่อบอุ่นราวกับแสงแดดในยามเช้าทำให้จิตใจที่หมองหม่น สีหน้าที่แสดงถึงความเครียดของลูเซียสลดหายไปในทันที หน้าที่ดูจริงจังไปเมื่อครู่กลายเป็นหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูเขินอายที่ถูกฝ่ายหญิงสัมผัสตัวเอง แล้วยิ่งเป็นหญิงที่เขารู้สึกชอบอีกตะหากก็ยิ่งแล้วใหญ่ เธอยิ้มให้แก่เขา แต่ในครั้งนี้รอยยิ้มนั้นมันแตกต่างไปจากเมื่อครู่อย่างชัดเจน ราวกับอาทิตย์สองแสง ปล่อยความอบอุ่นให้ซึมซับเข้าสู่ร่างของลูเซียส ความสุขและความยินดีที่อยู่ต่อหน้าชายผู้นั้น แน่นอนว่ามันทำให้ชายสวมแว่นพูดอะไรหรือแสดงอาการอะไรไม่ถูกเลย เขาดูเกร็งสุดๆ แต่ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ที่เธอสัมผัสมือของเขา สำหรับลูเซียสแล้วเขาไม่ค่อยถูกใครจับมือเป็นเวลามานาน นอกจากพ่อของเขาที่เคยจูงมือเมื่อครั้นยังเป็นเด็ก ก็แทบจะไม่มีใครที่จะทำแบบนั้นกับเขาเลย มันคงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการมาโดยตลอด การที่ได้รับความอบอุ่นจากใครสักคน และในตอนนี้หญิงผู้นี้ก็มอบมันให้กับเขาแล้ว
“เจ้าไม่เกลียดข้าหรอ?” จู่ๆ ลูเซียสก็ถามออกไป
เธอส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบว่าไม่ในทันที มันทำให้ลูเซียสช็อคไปกับสิ่งที่เธอแสดงออกมาต่อเขา เพราะมันไม่เคยมีคนแปลกหน้าที่ไหนเลยที่เมื่อรู้ว่าเขาคือปีศาจแห่งความตายอันแสนน่ารังเกียจแล้วจะยังยอมรับในตัวของเขาอยู่ แต่เธอคนนี้กลับแตกต่างออกไป เป็นหญิงที่แทบจะไม่รู้จักหรือมีความสัมพันธ์อันใดกับเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ยังคงมอบความอบอุ่นให้กับชายที่ต้องการมันมากที่สุดในเวลาที่เหมาะที่สุดแบบนี้อีกตะหาก เมื่อนั้นเธอก็ปล่อยมือของเขา ก่อนจะหันไปยังทิวทัศน์อันสง่านั้นอีกครั้ง
“ข้าก็เหมือนกับท่านนั่นล่ะ” เธอกล่าวขึ้น “ถูกขนานนามว่าเป็นตัวประหลาด...”
“มีแค่พ่อและแม่ของข้าเท่านั้นที่มองข้าเป็นอย่างอื่น เป็นมนุษย์... เป็นธิดาของพวกเขา”
ในช่วงเวลาเดียวที่เธอกล่าววาจาของตน เธอยื่นมือออกไปสู่แสงแดด แบมือมันออกก่อนที่จะมีดอกไม้ผุดขึ้นมาจากมือของเธอ มันเป็นดอกไม้ขนาดเล็กที่ดูสวยงามยิ่งกว่าดอกไม้อื่นที่อยู่ในสวนวังนี้ อย่างน้อยก็ภายในสายตาของลูเซียสที่คิดแบบนั้น ดูท่ามันจะเป็นดอกกุหลาบสีแดงที่เบ่งบานเพื่อรับแสงแดด แต่พอผ่านไปได้สักพัก กลีบไม้ เกสรก็หลุดออกจากกัน พัดไหวไปตามลม สู่เมฆาที่ไร้สิ้นสุด ลูเซียสรู้สึกได้ว่ามันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเธอที่จะให้ดอกไม้นั้นมีสภาพเป็นเช่นไร หากมีความสุข มันจะบานชั่วนิรันดร์ ดูเป็นอมตะ แต่หากเธอเศร้าหมองดอกไม้นั้นก็จะแห้งเหี่ยวก่อนที่จะตายไปในที่สุด มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เขาเคยมีมาโดยตลอด ความโดดเดี่ยว เดียวดาย ไร้ผู้เห็นใจนอกจากผู้เป็นบิดา มารดา ลูเซียสเข้าใจถึงความรู้สึกนั้นอย่างแน่แท้ เขารู้ว่าเธอเป็นอะไร เธอแตกต่างเหมือนกับเขา เป็นผู้พิเศษ... แต่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเคยอยากที่จะเป็น
เขาไม่กล้าแม้ที่จะบอกเธอถึงความจริง แม้นว่าเขาจะเข้าใจถึงความรู้สึกของเธอแล้วก็ตามที มันคงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็ได้ที่เขาจะไม่บอกมันไป อย่างที่องค์ราชาพูดกับเขาไปเมื่อครู่ เขาคือชายที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดที่จะอยู่ข้างกายเธอในสถานการณ์แบบนี้ ลูเซียสเพิ่งจะเข้าใจถึงประโยคนั้น มันหาใช่เพราะว่าเขาชอบเธอ แต่นั่นเป็นเพราะโครนอสรู้ว่าลูเซียสจะเข้าใจถึงเธอ นั่นเพราะพวกเขาผ่านอะไรมาเหมือนกัน เขาคือชายคนเดียวที่สามารถเข้าถึงตัวเธอได้อย่างสมบูรณ์โดยที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ แม้แต่ตัวของราชาเอง หรือจะเป็นโบล์ทผู้ช่วยชีวิตเธอเองก็ตามทีก็มิอาจจะทำได้
พวกเขาคือความเหมือนในความแตกต่าง ซึ่งความแตกต่างของพวกเขาทั้งสองอยู่ที่พลัง ปราณ หากมาเดียร่าคือพลังแห่งชีวิต ตัวเขาก็คือพลังแห่งความตาย หากจะสมดุลนั่นคือพวกเขาต้องรวมกันเป็นหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่โครนอสพยายามจะสื่อต่อบุตรบุญธรรมของตน พวกเขาต้องช่วยกันฝ่าอุปสรรคนี้ไป
“บางครั้ง.. การที่เป็นคนที่พิเศษก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่เสมอไปหรอกนะ” ลูเซียสกล่าว
“อย่างน้อยมันก็ทำให้เราเป็นที่น่าจดจำ”
เธอหันไปหาลูเซียสทันที แสดงสีหน้าที่งุนงงกับความหมายของประโยคเหล่านั้น
“พ่อข้า... ข้าหมายถึงองค์ราชาเคยกล่าวต่อข้าไว้น่ะ”
“นั่นสินะ” เธอพูดขึ้น
“นี่!” จู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมา
“ข้าคิดว่าข้าพาเจ้าออกไปชมเมืองภายนอกได้นะ” ลูเซียสทักขึ้นมา
“จะ... จริงหรอ?” เธอถามกลับด้วยสายตาเป็นประกาย ราวกับว่าดีใจเป็นอย่างมาก
“แต่อย่าเอาไปบอกใครล่ะ ไม่งั้นองค์ราชาฆ่าข้าตายแน่”
“อื๊มมมมมมมม~” เธอตอบกลับ เปล่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น ดีใจสุดๆ
สิ้นวาจานั้นชายหนุ่มสวมแว่นก็ลุกขึ้นจากม้านั่งตัวนั้น ยื่นมือไปหาเธอก่อนที่หญิงสาวผู้นั้นจะจับมือของเขา ลูเซียสดึงตัวเธอขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะเดินจูงมือกันไปท่ามกลางสวนวังและก็เดินจากจุดนั้นไปในที่สุด
“แล้วเราจะออกไปยังไงหรอ?”
“ข้ารู้จักคนๆ นึงน่ะ... แค่หาเขาเจอเราก็ออกไปได้แล้วล่ะ”
“เขาคือใครหรอคะ?”
“ข้ารับใช้ส่วนตัวขององค์ราชาน่ะ...”
“ผู้มีพลังแห่งวอยด์... เขาจะสร้างประตูให้เราไปยังที่ๆ เราต้องการได้!”