Cataclysm: Endless Hellfire
Act VII
------------
สายตาของหญิงสาวผมแดงที่แสดงถึงความงุนงงหลังจากที่หล่อนถูกเอ่ยถามโดยวาจาขององค์กษัตริย์ สีหน้าที่ตกใจกับสิ่งที่ประจักษ์เบื้องหน้าตนไม่แพ้กับเนลเรี่ยนที่ตกใจกับปฏิกริยาของทั้งสองเมื่อพบหน้ากัน การที่คนแปลกหน้าต่างดินแดนถูกราชาเรียกด้วยคำพูดที่ดูจะแสนธรรมดาแบบนั้นมันย่อมเป็นอะไรที่แปลกอยู่แล้ว แต่กับหญิงสาวคนนี้เธอเหมือนกับว่าเป็นสาวที่ไม่มีที่มามันสร้างความงุนงงให้กับชายหนุ่มผมทองเสียมากกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะร่วมเดินทางมากับเขาจนถึงที่แห่งนี้ แต่สิ่งที่เขารับรู้ก็มีเพียงนามและพลังธาตุแห่งปราณเธอเท่านั้น แถมตัวเนลเรี่ยนเองก็ยังมิได้แนะนำตัวเธอเลยสักนิด แต่โครนอสกับเอ่ยปากออกมาด้วยนามที่ตรงกับที่เขารู้ ไม่นานนักหญิงสาวก็อุทานขึ้นด้วยเสียงดังราวกับว่านึกอะไรออก ดวงตาของเธอเบิกกว้างดั่งคนที่ตื่นถึงสิ่งที่ประจักษ์
“อย่าบอกนะ... ว่าท่านคือ?” เธอพูดด้วยเสียงสั่น
“ข้าโครนอสไง” องค์ราชากล่าว “ที่ร่วมสู้รบจากสงครามแห่งอสูรกายในครั้งนั้นน่ะ”
“แต่ทำไมเจ้าถึงไม่เปลี่ยนไปเลยล่ะ?” โครนอสถามต่อ “เธอดูไม่ต่างจากเมื่อครั้งนั้นเลย”
ราวกับว่าทั้งสองเคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อนจากวาจาของตัวองค์ราชาเองที่เพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่ ซึ่งจากการวิเคราะห์ของชายผมทอง ดูเหมือนว่าหญิงผู้นี้จะไม่ใช่คนจากยุคปัจจุบันแน่นอน นั่นเป็นเพราะว่าสงครามอสูรกายเมื่อครั้งก่อนมันยาวนานพอควร น่าจะราวๆ ช่วงที่เขาเพิ่งเกิดหรือยังไม่คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดาเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ปรากฏต่อเขาเป็นอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อน งุนงงและไม่สมเหตุผลเอาซะเลย เท่าที่ดูๆ แล้วชารอนน่าจะอายุไม่ต่างจากเขาเสียเท่าไหร่ เป็นวัยรุ่นช่วงก่อนเข้าวัยกลางคน ทั้งผิวพรรณที่ดูเต่งตึง สีหน้าที่ไร้รอยเหี่ยวย่นและสรีระเหมือนกับสาวในวัยเดียวกับเขา มันจะเป็นไปได้ยังไงถ้าเกิดเธอเคยร่วมรบสงครามและยังดูไม่แก่เลยสักนิด ต่างกับองค์ราชาที่อยู่ในช่วงวัยทอง ผิวหนังที่เริ่มเสื่อมไปตามอายุ เขาแลดูมีอายุมากกว่าเธอเกือบสองเท่าเสียด้วยซ้ำ ถ้าจะมองว่าเธอร่วมสงครามตั้งแต่ยังเด็กมันยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเธอน่าจะดูแก่กว่านี้สักหน่อย ถ้าพูดกันตรงๆ เนลเรี่ยนมองว่าเธอเกิดในช่วงเดียวกับเขาเสียด้วยซ้ำ แล้วเหตุอันใดที่ทั้งสองถึงได้รู้จักกันได้ล่ะ แถมคำพูดของราชาที่กล่าวออกมาอีก ว่าเธอนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ราวกับว่าเธอยังสง่าเหมือนครั้งคราก่อนไม่มีผิด แต่มันก็เป็นไปได้เยี่ยงไรล่ะ ในดวงดาวนี้หาได้มีพลังใดที่สามารถบำรุงร่างกายให้อยู่นานเช่นนี้มาก่อนเลยนิ
ยิ่งคิดไปเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่เข้าใจไปเท่านั้น ดูเหมือนในตอนนี้ความคิดของเขาหรือความรู้ที่มีทั้งหมดจะไม่สามารถทำให้เขาหยั่งรู้ถึงคำตอบที่ตนต้องการ จริงอยู่ที่ดวงดาวนี้มีอะไรที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าถึงได้แต่ว่านี่มันก็ดูเกินไปหน่อย ชายหนุ่มสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัว ในตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองจะดูเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าถ้าหากอยากจะเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการ ณ ตอนนี้ชารอนกำลังครุ่นคิดถึงองค์ราชาที่อยู่เบื้องหน้าเธออยู่ ตัวเธอดูนิ่งไปราวกับกำลังใช้ความคิดค่อนข้างมาก ไม่นานนักร่างที่นิ่งไปราวกับหินแข็งกล้าก็ขยับ แสดงท่าทางที่ต่างออกไปจากเมื่อครู่
“ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม” ชารอนกล่าวตอบโครนอส
“ดูเหมือนว่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่ท่านโคลริมให้ข้าทำก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพน่ะ” เธอพูดต่อ
“ว่าแต่ว่า... ตัวท่านตะหาก ท่านดูต่างไปจากเมื่อครั้งนั้นมากเลยนะโครนอส”
“ก็แหงสิ!” เขาลากเสียงประโยคท้ายขึ้นดัง “นี่มันผ่านไปยี่สิบเอ็ดปีแล้วนะ”
ณ ตอนนี้เนลเรี่ยนเหมือนกับไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ ราวกับว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไรที่เข้าใจกันเองอยู่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มผมทองกำลังคำนึงถึงอยู่ ไอ้เหล่าวาจาที่ทั้งสองกล่าวอยู่ตะหากที่เป็นตัวชนวนให้ชายหนุ่มผมทองใช้สมองในการวิเคราะห์สิ่งที่ทั้งสองคนกำลังกล่าว สงครามอสูรเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ไหนจะโคลริมที่ถูกเล่าขานกันว่าเป็นตำนาน เทพแห่งสงครามครั้งนั้นอีก มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างเกินความคาดหมายของเนลเรี่ยนไปเลยที่ได้มาพบกับสองผู้รอดจากสงครามในครั้งนั้น ถึงกระนั้นก็เถอะ นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดอะไรแบบนี้หรอกนะ เพราะสิ่งที่เขาต้องการที่จะรับรู้คือสิ่งอื่นตะหาก ความเสียหายของเมืองที่เกิดขึ้นจากลูเซียสมันเกิดขึ้นได้ยังไงตะหาก ในหัวของเขาตอนนี้อยากจะได้คำตอบนี้มากที่สุดในบรรดาความคิดในสมองแล้ว เมื่อครู่ที่เขาเอ่ยถามไปก็ถูกขัดโดยราชาจากการที่พบเจอกับชารอนอีก เมื่อนั้นแล้วเนลเรี่ยนก็พูดขัดขึ้นมาทันที
“โว้วๆ เดี๋ยวก่อนนะ..” เนลเรี่ยนขัดขึ้น “ข้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่พวกท่านทั้งสองกำลังคุยกันหรอกนะ”
“แต่กระผมเกรงว่ามันมีอะไรที่สำคัญกว่าในตอนนี้มากกว่าจะมาพบปะกันข้างนอกนะ”
“อันที่จริง.. ถ้าหากองค์ราชาประสงค์ที่จะสนทนากับหญิงสาวผู้นี้ ข้ามองว่าในปราสาทเป็นสถานที่เหมาะเสียมากกว่า”
“และอีกอย่างตอนนี้ประเด็นหลักของเราน่าจะเป็นลูเซียสนะ”
เมื่อเนลเรี่ยนกล่าวไปแบบนั้น มันก็ทำให้องค์ราชาคิดได้
“จริงด้วยสิ..” ราชากล่าว “ข้าขออภัยด้วยที่เสียมารยาท”
“เพราะฉะนั้นขอเชิญทั้งสองเข้าไปยังคฤหาสน์ของข้าก่อน” โครนอสกล่าวเป็นการรับเชิญทั้งสอง
เมื่อนั้นแขกที่มาเยือนและตัวขององค์ราชาเองก็ค่อยๆ พากันเดินไปยังปราสาทของเมือง พวกเขาเดินผ่านประตูใหญ่ที่มีผู้คอยเฝ้าสังเกตความสงบจำนวนหนึ่งยืนรอบอยู่ พวกเขาสวมเกราะสีทองพร้อมกับเครื่องแต่งกาย ยศ และผ้าคลุมที่บ่งบอกว่าเป็นทหารศึกแห่งสตอร์มโฮล์ม เบื้องหลังของประตูใหญ่ของปราสาทปรากฏเป็นห้องโถงกว้างซึ่งสามารถมองเห็นแท่นบัลลังก์ของโครนอส เมื่อนั้นทั้งสามคนก็เลี้ยวไปทางด้านขวา ภายในปราสาทถูกสร้างและตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งสำหรับแขกรับเชิญที่ไม่เคยได้เห็นก็คงจะแสดงความตื่นเต้นและตกตะลึง ถึงกระนั้นภายในปราสาทก็เหมือนกับจะวุ่นวายพอควร เหล่าขุนนางระดับสูงที่รับใช้องค์ราชาต่างพากันรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ซุบซิบนินทาอะไรสักอย่างโดยที่ส่งสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรไปหาแขกเท่าไหร่ อันที่จริงสายตาเหล่านั้นมันออกจะเพ่งตรงไปยังกษัตริย์แห่งทวีปทางตะวันออกเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามโครนอสก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเท่าไหร่
พวกเขามุ่งตรงไปยังปราสาทส่วนที่ใช้ในการรับแขกจากต่างถิ่น ดูเหมือนมันจะเป็นจุดที่ไม่ค่อยมีผู้คนนัก มันจึงดูเงียบไปเลยหากเทียบกับเมื่อครู่ ที่เบื้องหน้าของพวกเขามีห้องๆ หนึ่งซึ่งมีประตูขนาดใหญ่ปิดกั้นไว้อยู่ราวกับไม่รับอนุญาตให้ใครก็ตามที่อยู่ในปราสาทเข้าไปทั้งนั้น เมื่อนั้นองค์ราชาก็หยุดตัวลงซึ่งเป็นสัญญาณให้ทั้งเนลเรี่ยนและชารอนหยุดเดินตาม เมื่อนั้นโครนอสจึงหันสายตาของเขาไปชายผมทอง
“ลูเซียสอยู่ในห้องนี้..” องค์ราชากล่าว “ข้าพยายามทุกอย่างแล้ว... แต่เหมือนว่าเขาจะไม่อยากพบใครเลย”
“ในตอนนี้เจ้าคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดหากเจ้าต้องการจะพบกับเขา” โครนอสพูดต่อ
เนลเรี่ยนหาได้ตอบอะไรกลับไปด้วยวาจา เขาเพียงแค่มองหน้าของโครนอสและพยักหน้าแทนการตอบ เมื่อนั้นชายผมทองก็เคาะประตูใหญ่บานนั้นตามมารยาท เพราะถ้าเกิดเขาเข้าไปโดยพลการถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ล๊อคก็ตามที มันก็เป็นอะไรที่ดูไม่ดีแน่สำหรับผู้ที่เป็นแขก หลังจากเสียงเคาะประตูดังไปได้สักพักแล้ว มันหาได้มีการตอบกลับใดๆ จากผู้อาศัยในห้องนั้นเลย ราวกับว่าเนลเรี่ยนกำลังเคาะกระจกที่ไม่การตอบกลับใดๆ แน่นอนว่าส่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ชายผู้ที่เป็นแขกรู้สึกไม่ค่อยดีนัก คงมีความคิดในหัวว่าลูเซียสคงไม่อยากที่จะต้อนรับใครตอนนี้หรอก ทางด้านของโครนอสเองก็ไม่ได้มีปฏิกริยาใดๆ แต่ไม่นานนักเขาก็แตะไหล่ของเนลเรี่ยนก่อนที่จะเปล่งวาจา
“ตอนที่ข้าพยายามจะเข้าไป.. มันก็เป็นยังงี้ล่ะนะ” โครนอสกล่าว
“แต่ข้าเชื่อว่าหากเจ้าอาจจะทำได้ดีกว่าข้าก็ได้” เขากล่าวต่อ “งั้นเอาเป็นว่าข้าปล่อยให้เจ้าจัดการล่ะกัน”
“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับแขกที่มากับเจ้า”
เมื่อราชากล่าวจบก็หันไปมองชารอน เหมือนกับว่าพวกเขามีเรื่องที่ต้องคุยกันสักอย่าง ดูเหมือนว่าจะคุยกันเรื่องความหลังและเรื่องที่ค้างคาใจที่ยังไม่ได้คำตอบ คำถามที่ว่าเหตุไฉนหญิงสาวผมแดงจึงมีสภาพเฉกเช่นเดียวกับเมื่อครั้งคราก่อนและไม่มีการเสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเลยสักนิด เมื่อนั้นทางด้านตัวของราชาและชารอนก็พากันเดินจากไป ดูเหมือนว่าเขาต้องการที่จะสนทนาโดยที่ไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะเช่นเมื่อครู่นั้น ทางด้านของชายผมทองก็ยังคงยืนอยู่หน้าห้องตามลำพัง เมื่อนั้นเขาก็เคาะประตูบานนั้นอีกครั้งหนึ่ง กล่าววาจาที่จะทำให้ตัวเองสามารถเข้าไปหาสหายของเขาได้
“ไม่เอาน่าลูเซียส..” เนลเรี่ยนกล่าว “รอบนี้ข้าพาสาวมาให้เจ้าด้วยนะ!”
“ข้าได้ยินนะคะ!” ชารอนตะโกนขึ้นถึงแม้ว่าหล่อนจะอยู่ในระยะที่ค่อนข้างไกล
วาจาของหญิงสาวผมแดงนั้นทำให้เนลเรี่ยนตื่นตกใจ หันไปมองแผ่นหลังของหญิงผู้นั้นด้วยความสงสัยว่าเธอได้ยินได้เยี่ยงไร
“ฟังนะลูเซียส..” ชายผมทองกล่าวขึ้นมา
“การที่นายทำแบบนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ ทั้งองค์ราชาและตัวฉันไม่ได้กล่าวว่าๆ มันเป็นความผิดของนายหรอกนะ”
“ความคิดที่นายกำลังมีในหัวน่ะ...”
ชายผมทองยังไม่ทันได้กล่าววาจาของตนจนจบ เมื่อนั้นชายผมดำที่อยู่ในห้องก็เปิดประตูนั้นออก ภายในห้องนั้นมืดสนิท มีเพียงแสงแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถเล็ดลอดจากผ้าม่านเข้ามายังห้องได้ สภาพของลูเซียสดูไม่ค่อยดีนัก ร่างกายของเขาดูเหมือนคนอ่อนแอไป สีผิวที่ซีดราวกับคนตาย สีหน้าของเขาราวกับกลายเป็นคนไร้จิตใจ เนลเรี่ยนเห็นสภาพของเพื่อนของตนก็แสดงถึงความตกใจออกมาอย่างชัดเจน ปราณอ่อนสีดำไหลรินออกมาจากร่างของชายหนุ่มผมดำอยู่ตลอด ทั่วห้องนั้นก็เต็มไปด้วยคราบเมือกปราณดำที่่แสดงถึงความตายติดอยู่เต็มไปทั่วแผ่นกำแพง พื้นหรือแม้กระทั่งเพดาน หนุ่มผมทองแทบจะพูดอะไรไม่ออกถึงสิ่งที่ตนประจักษ์ ราวกับว่าสิ่งที่เเขาเห็นอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่สหายของเขาแต่เป็นร่างทรงของปีศาจร้ายที่รอวันตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลเท่านั้น ลูเซียสใช้สายตาที่ไร้ถึงอารมณ์มองดวงตาของเนลเรี่ยน ราวกับจะมองทะลุเข้าไปในวิญญาณบริสุทธิ์ของหนุ่มผู้นี้ยังไงยังงั้น
“มะ... มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันเนี่ย?”