อาสึนะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ริมฝีปาก
มันเป็นความรู้สึกอุ่น อ่อนนุ่ม และชุ่มชื้น
ความรู้สึกที่เกิดจากริมฝีปากของนักเรียนหญิงไม่ทราบชื่อที่ประกบเข้ามายังริมฝีปากของตน
หรือจะจำกัดความได้ง่ายๆคือ เธอจูบเขา
แม้หญิงสาวจะถอนริมฝีปากออกไปแล้ว แต่ความรู้สึกทุกอย่างยังคงติดตรึงอยู่จนทำให้อาสึนะหยุดนิ่งเป็นรูปปั้น
คนอีกคนที่อยู่ด้วยกันกับอาสึนะตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่พักหนึ่ง และอ้าปากพะงาบๆเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่พูดไม่ออก
คนๆนั้นคือ มิอุระ ทามิโกะ
“ทะทะ ทำบ้าอะไรของนายยะ!?”
ในที่สุดเธอก็ตะโกนขึ้นในขณะที่ใบหน้าของตัวเองแดงก่ำเหมือนถูกต้ม
“ฉะ ฉันต่างหากต้องถามมากกว่าไม่ใช่หรือไง?”
อาสึนะที่เหมือนหลุดจากคำสาปแห่งรูปปั้นเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของทามิโกะพูดตอบ
จอมโจรสาวที่เพิ่งขโมยจูบอาสึนะไปเห็นสถานการณ์ที่เหมือนจะสุ่มเสี่ยงจะวุ่นวาย จึงรีบพูดแทรกขึ้นเพื่อหวังที่จะแก้ไขสถานการณ์
“อ๊ะ ขอโทษเด้อ”
เธอพูดด้วยสำเนียงคันไซ
1“ข้อย... ไม่สิ ฉันชื่อคาชิวากิ อาราชิ ฉันชอบคุณค่ะคุณคันซากิ กรุณาคบกับฉันด้วยนะคะ”
“เอ่อ...”
อาสึนะไม่รู้สึกตกใจอะไรนักที่ถูกสารภาพรัก คงเพราะที่โดนจูบเมื่อสักครู่มันยังจะน่าช็อกมากกว่า
แต่ว่าการจูบก่อนสารภาพรักนี่... เขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ตอนนี้นี่แหละ
“ได้ไหมคะ?”
หญิงสาวปริศนาหรืออาราชิถามย้ำอีกครั้งพร้อมจ้องหน้าอาสึนะราวกับจะรอคำตอบ รวมทั้งเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้
สายตาขัดเขินของอาสึนะจึงต้องหลุบตาลงเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตา แต่นั่นก็กลับกลายเป็นการลวนลามฝ่ายตรงข้ามทางสายตาอย่างไม่ได้ตั้งใจไปซะอีก เพราะด้วยสภาพวาบหวิวของอาราชิ ที่ผลไม้สองลูกซึ่งถูกอาภรณ์ปิดบังไว้เพียงครึ่งขยับไปตามท่วงท่าการเดินจนแทบจะทะลักออกมาประจักษ์แก่สายตา
“ดะดะดะ เดี๋ยวก่อนสิยะ!”
ทามิโกะที่ทนมองอยู่นานสองนานรีบขยับตัวเข้ามาขวางระหว่างอาสึนะกับอาราชิไว้ก่อนที่ทั้งคู่จะใกล้กันไปมากกว่านี้
“เธอคิดจะทำอะไรน่ะ?”
“ก็สารภาพรักกับคุณคันซากิน่ะสิ”
“เรื่องนั้นฉันรู้ย่ะ!”
อาราชิเริ่มหันไปคุยกับทามิโกะแทน ทำให้อาสึนะได้โอกาสพักหายใจเล็กน้อย
“จู่ๆมาจูบกับอาสึนะแบบนี้ ขนาดฉันยังไม่เคย... ไม่ใช่สิ! ฉันไม่ยอมให้เธอสารภาพรักกับเขาเด็ดขาด!”
“แล้วเธอเป็นใครล่ะถึงมีสิทธิ์มาห้ามไม่ให้ฉันสารภาพรักกับเขา เป็นแฟนเขาหรือไง?”
“มะมะมะ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกย่ะ!”
“งั้นก็อย่ามายุ่ง”
“อึก...”
ทามิโกะเถียงต่อไม่ออก
อาราชิจึงโบกมือเหมือนกับสั่งให้ทามิโกะหลีกทางออกไป ตอนแรกเธอก็ทำท่าจะถอยไปอย่างว่าง่าย แต่สุดท้ายก็กลับมายืนจังก้าขวางไว้อีกครั้ง
“ต้องยุ่งสิ ก็เพราะฉันน่ะเป็น...”
“เป็น?”
“เป็น... เป็น... เอ่อ...”
“เป็นอะไรก็รีบบอกมาสิ!”
“เป็น... เป็นเพื่อนไงเล่า!”
เมื่อโดนคาดคั้นมากๆ ทามิโกะจึงตะโกนตอบกลับไป แต่เหมือนคำตอบนั้นจะไม่ใช่คำตอบที่ออกมาจากใจจริงเท่าไหร่
“เป็นแค่เพื่อนแล้วยังไงกันล่ะ? ยังไงเธอก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ดี”
“ทำไมจะไม่มี? เพื่อนก็ต้องคอยชี้นำในเส้นทางที่ถูกต้องให้กับเพื่อนสิ!”
“แล้วที่ฉันทำมันไม่ถูกต้องตรงไหน?”
“เธอไม่ได้จริงใจกับอาสึนะไงล่ะ!”
“ความรักที่ฉันมีให้คุณคันซากิเป็นความรักบริสุทธิ์นะ”
“งั้นก็บอกมาสิว่าทำไมเธอถึงชอบเขา”
“เพราะถูกชะตาไงล่ะ”
“หา?”
ทั้งทามิโกะทั้งอาสึนะต่างก็หน้ามึนไปตามๆกัน
“พอฉันเห็นคุณคันซากิครั้งแรก มันทำให้ฉันรู้สึกเลยว่าคนๆนี้แหละที่เกิดมาเพื่อฉัน เพราะฉะนั้นความรักที่ฉันมีให้เขาจึงเป็นความรักที่บริสุทธิ์”
“ดะ เดี๋ยวนะ ที่เธอพูดมามันไม่ได้ตรงกับหลักเหตุและผลเลยสักนิด...”
“ความรักน่ะมันไม่ต้องการเหตุผลหรอก! ขอแค่รู้ว่ารักก็เพียงพอแล้ว!”
ทามิโกะและอาสึนะถึงกับหมดคำพูดไปเลยทีเดียว
“เพราะฉะนั้น ช่วยหลีกทางไปซะทีเถอะ”
“ไม่เด็ดขาด!!”
แต่ถึงกระนั้น ทามิโกะก็ยังคงไม่ยอมแพ้
“ฉันบอกไปแล้วว่า ในฐานะเพื่อนก็ต้องชี้นำทางที่ถูกต้องให้กับเพื่อน ดังนั้น เพราะฉันเห็นว่าความรักที่เธอมีให้เขาไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ฉันจึงไม่ยินยอมให้เธอทำอะไรตามใจชอบเป็นอันขาด!”
“จะไม่ยอมง่ายๆเลยใช่ไหม... งั้นก็ได้ เพราะบางที ความรักก็ต้องมีอุปสรรคกันบ้าง ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ทำไมเราไม่หาวิธีตัดสินที่สมเป็นนักเรียนของโรงเรียนมิไรเคียวกันล่ะ”
“เธอหมายความว่าไง?”
“แค่นี้ก็ไม่รู้อีก ก็ตัดสินกันด้วยเกมยังไงล่ะ”
อาราชิขยับเสื้อของตัวเองเข้ามานิดหน่อย ทำให้เห็นเข็มกลัดที่ติดอยู่บนเสื้อว่าเป็นตำแหน่งของ ‘รุค’
“กฎก็ง่ายๆเลย ใครชนะคนนั้นได้คุณคันซากิไป”
“เดี๋ยวสิ! ทำไมฉันต้องทำแบบนั้น-”
“อะไรกัน? พูดแบบนี้แสดงว่ากลัวแพ้สินะ โอ๊ะ นี่เธอเป็นไนท์ซะด้วยสิ ขี้ขลาดแบบนี้ไม่สมกับเป็นอัศวินเลย แต่ถ้าไม่สู้ก็ไม่เป็นไร ดีซะอีก เพราะฉันจะได้ขอคุณคันซากิไปเลยแล้วกัน”
ทามิโกะเริ่มมีเสียงดัง ปึด ที่ขมับ ส่วนอาสึนะที่กลายเป็นของรางวัลเดิมพันโดยไม่ได้สมัครใจก็รีบเข้ามาปรามก่อนจะบานปลายไปมากกว่านี้
“ชะ ใช่แล้วล่ะ ทามิโกะพูดถูก มาแข่งเกมกันแบบมีผมเป็นเดิมพันแบบนี้มัน-”
“ก็ได้ย่ะ! ฉันรับคำท้าเธอ ยัยบ้านนอก!”
“เดี๋ยวทามิโกะ เธอจะทำ-”
“นายน่ะหุบปากไปเลย!”
“ครับเจ๊...”
อาสึนะแทบจะตัวหดเล็กลงแล้วถอยกลับไปยืนที่เดิม ตอนนี้ในแววตาของทามิโกะและอาราชิ ก็ต่างสะท้อนภาพเพียงแค่ศัตรูหัวใจของตนที่อยู่ตรงข้ามเท่านั้น
“บ้านนอก... ว่าข้อยบ้านนอกงั้นหรอ? เดี๋ยวสิได้เห็นดีกัน อีปอบ”
“ยัยรุคร่าน”
“ยัยไนท์หน้าปลวก”
“ยัยนมหนัก”
“ยัยกระดาน”
เปรี๊ยะ รู้สึกได้ถึงไฟสปาร์คระหว่างสาวสวยทั้งสอง เผลอๆคงจะตบกันตรงนี้แทนที่จะเป็นในเกมเป็นแน่แท้ อาสึนะในฐานะคนกลาง (และรางวัลของการเดิมพัน) จึงต้องรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยไว้ก่อน
“อะ เอาล่ะๆ ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว ถ้างั้นรีบไปที่สนามกันเถอะนะ”
สุดท้ายแล้วแม้อาสึนะจะไม่เต็มใจที่ตัวเองถูกเดิมพันเหมือนสิ่งของสักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ก็คงช่วยไม่ได้แล้ว
----------------------------------------------------
สนามฝึกซ้อมที่หนึ่งแห่งโรงเรียนมิไรเคียว
ซึ่งสนามแห่งนี้ก็มีไว้สำหรับฝึกซ้อมตามชื่อเรียกของสถานที่ โดยภายในห้องประกอบไปด้วยโต๊ะสำหรับเล่นเกมเรียงรายเต็มไปหมดลักษณะคล้ายกับร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ จึงค่อนข้างคับแคบไปเสียหน่อย
แต่องค์ประกอบของสนามโดยรวมจริงๆแล้วก็ไม่ต่างกับสนามแข่งขันเสียเท่าไหร่ เพียงแต่ไม่มีอัฒจันทร์สำหรับผู้ชม ไม่มีการฉายภาพโฮโลแกรมภายในเกมให้ผู้ชมเห็นเหมือนกับสนามแข่งขัน และไม่จำเป็นต้องขออนุญาต สามารถเข้ามาใช้เมื่อไหร่ก็ได้
เพราะเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ที่สนามฝึกซ้อมจึงเงียบและไม่มีคน มีเพียงอาสึนะ และสองสาวทามิโกะกับอาราชิที่เขม่นมาตลอดทางตั้งแต่หน้าโรงเรียนจนถึงที่นี่เท่านั้น
ทามิโกะเลือกที่จะเป็นฝ่ายเข้าไปหาที่นั่งก่อน อาสึนะเองก็ตามไปนั่งโดยเลือกโต๊ะตรงข้ามเธอ เพราะไม่มีภาพโฮโลแกรมฉายเหมือนสนามแข่งขัน ผู้ที่อยากจะรับชมจึงต้องใช้วิธีเข้าไปอยู่ในเกมและเลือกเป็นผู้รับชมแทน
อาราชิตามเข้ามานั่งทีหลัง และทำให้ทามิโกะต้องหงุดหงิดอีกครั้ง เมื่อเธอเลือกไปนั่งข้างๆอาสึนะ แถมยังพยายามขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้อีกต่างหาก
“ฉันมิสิทธิ์ที่จะเลือกนั่งตรงไหนก็ได้”
เหมือนอาราชิรู้ว่าทามิโกะจะพูดอะไร จึงชิงพูดเสียก่อน แถมยังเกาะแขนอาสึนะเอาไว้อีกต่างหาก
“แต่เธอนั่งกับอาสึนะไม่ได้!”
เปรี๊ยะ ได้ยินเสียงไฟสปาร์คระหว่างสองสาวอีกครั้ง แน่นอนว่าคนที่มาห้ามไว้อีกครั้งก็หนีไม่พ้นอาสึนะนั่นเอง
“นมโดนแขนแล้ว... ไม่สิ จะ ใจเย็นๆก่อนดีกว่านะ รีบๆเข้าไปเล่นกันดีกว่า”
อาสึนะส่งอุปกรณ์ VR ให้กับอาราชิที่นั่งกอดแขนอยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะเป็นการช่วยให้สงบศึกลงได้ แม้ทามิโกะจะดูไม่พอใจนิดๆ แต่ทั้งสองสาวก็เริ่มสวมอุปกรณ์แล้วเข้าไปอยู่ในเกมจนได้
จากนั้นอาสึนะเองก็เริ่มสวมอุปกรณ์เช่นกัน ระหว่างนั้นก็ค่อยๆขยับที่นั่งออกห่างจากอาราชิเล็กน้อยหลังจากที่เธอปล่อยแขนไปแล้ว
อาสึนะเข้าไปในเกมในฐานะผู้รับชม และได้เห็นอาราชิกับทามิโกะยืนเผชิญหน้ากันในโลกมืดๆสำหรับเตรียมตัว เมื่อดูจากบรรยากาศรอบๆตัวสองสาวแล้ว ท่าทางไฟสปาร์คระหว่างทั้งสองจะตามเข้ามาอยู่ภายในเกมด้วย
“เพื่อให้แฟร์ๆกับทั้งสองฝ่าย สมรภูมิรบควรจะเป็นการสุ่ม”
“แปลกใจเหมือนกันนะ ที่ฉันเห็นด้วยกับเธอ”
คนที่เสนอมาแบบนั้นคืออาราชิ ซึ่งทางทามิโกะเองก็เห็นพ้องด้วย อาราชิจึงใช้มือสัมผัสเลือกสมรภูมิเป็นสุ่มซึ่งเป็นรูปเครื่องหมายคำถาม
จากนั้นไม่นานโลกมืดๆสำหรับให้ผู้เล่นเตรียมตัวนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นสมรภูมิสำหรับการต่อสู้ของทั้งสอง ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าสมรภูมิรบดังกล่าวจะสุ่มได้เป็นอะไร
จนกระทั่งโลกมืดๆนั้นแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ มองเห็นแต่เพียงพื้นทรายที่แห้งแล้งและมีต้นไม้แห้งตายไร้ใบตั้งอยู่บ้างเป็นบางจุด เป็นสถานที่ที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ จึงดูจะเป็นสมรภูมิที่ไม่น่าจะมีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบแต่อย่างใด
“จงแผดเผา
คริมสัน (ดาบเพลิงสีชาด)”
“จงพัดกรรโชก
คามิคาเซะ (ลมเทวะ)”
เมื่อโลกมืดๆนั้นกลายเป็นสมรภูมิอย่างสมบูรณ์แล้ว ต่างฝ่ายก็ต่างเรียกอาวุธของตัวเองออกมา
ด้านหน้าของทามิโกะได้เกิดเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นมา เธอยื่นมือเข้าไปในเพลิงนั้นโดยไม่เกรงกลัวว่ามันจะทำให้ผิวกายของตัวเองเผาไหม้ ก่อนที่จะทำท่าทางเหมือนดึงอะไรสักอย่างออกมาจากกลุ่มไฟนั้น
สิ่งที่ถูกดึงออกมาเป็นดาบที่มีด้ามจับสีแดงดั่งเพลิง ส่วนตัวดาบนั้นถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มันจะมอดดับลง แล้วกลายเป็นคมดาบสีเงินแวววาวจนสะท้อนใบหน้าของผู้ที่ถือมันได้ ส่วนมือของทามิโกะที่เพิ่งสัมผัสความร้อนของอัคคีมาหมาดๆกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเหมือนกับว่าร่างกายของเธอเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
ส่วนทางอาราชินั้นเริ่มก้าวสลับขาไปมาอย่างอารมณ์ดี เหมือนกำลังออกสเต็ปเต้นไปกับเพลงที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากตัวเธอ ก่อนที่เธอจะย่อตัวเอาฝ่ามือยันพื้น แล้วเหวี่ยงขาไปมาตามอากาศในลักษณะของการเต้นเบรคแดนซ์
เรียวขาทั้งสองข้างของอาราชิเหวี่ยงไปตามอากาศอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นแรงลมกรรโชกขึ้น ลมเหล่านั้นได้สร้างสนับขาโลหะสีดำสลับทอง ซึ่งที่ปลายเท้ามีลักษณะคมกริบราวกับใบมีดให้กับขาทั้งสองข้างของเธอ
ก่อนที่อาราชิจะหยุดเต้นแล้วพลิกตัวขึ้นมายืน พร้อมเหวี่ยงขาทั้งสองข้างไปมาอีกครั้ง แล้วฉีกขาขึ้นมาข้างหนึ่งจนเกือบตั้งฉากกับพื้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความชำนาญในการใช้ขาของเธอ
“ใช้ขาเก่งนี่”
“พอดีเคยฝึกเต้นเบรกแดนซ์กับเทควันโด้มาน่ะ”
ทามิโกะแสดงท่าทีชื่นชมออกมาจากใจจริง อาราชิจึงรับคำชมนั้นไว้อย่างภาคภูมิ
“งั้นหรอ? แต่แค่ใช้ขาน่ะ มันสู้ดาบของฉันไม่ได้หรอก”
“มันอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้นะ”
เมื่อพูดจาข่มกันไปมาพอหอมปากหอมคอแล้ว เสียงระบบของเกมก็เริ่มดังขึ้น
‘ก้าวสู่สมรภูมิใน สาม สอง หนึ่ง พร้อม... เริ่มได้!’
หลังจากที่สิ้นเสียงนั้น ก็ยังไม่มีใครที่เริ่มเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน จนกระทั่งทามิโกะชี้ปลายดาบของตนไปทางอาราชิ พร้อมพูดจาเย้ยหยัน
“อีกอย่างรุคอย่างเธอน่ะ ไม่มีทางเร็วไปกว่าไนท์อย่างฉันหรอก!”
“งั้นหรอ?”
“หือ?”
ทามิโกะส่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจ
เมื่อจู่ๆ อาราชิที่ควรจะอยู่ตรงหน้านั้นกลับหายไปจากทัศนวิสัยอย่างกะทันหัน
กะทันหันราวกับหายตัวไป แต่เพราะยังคงได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงของลมเมื่อมีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ทำให้รู้ว่าตัวอาราชินั้นไม่ได้หายไปไหน
เพียงแต่ทามิโกะมองไม่เห็นตัวอาราชิ เธอเห็นแต่เศษทรายที่ฟุ้งกระจายไปทั่วยามที่ฝีเท้าเหยียบย่ำลงไปบนพื้นทรายเท่านั้น
เสียงและเศษทรายที่ฟุ้งกระจายเริ่มเข้าใกล้ทามิโกะมาเรื่อยๆ จนตัวเธอที่พยายามจะมองหาคู่ต่อสู้ของตนมาตลอดจนถึงตอนนี้ ก็ได้เห็นอาราชิอีกครั้งจนได้... แต่เป็นในระยะเผาขน
และเธอก็ได้ตะหนักขึ้นมาได้ในตอนนั้นเองว่า
“ระ เร็ว!!”
ทามิโกะไม่อาจจะปฏิเสธให้กับสิ่งที่ตาตัวเองเห็นได้
แม้ในใจจะรู้ดีว่า ตำแหน่งรุคไม่มีทางทำความเร็วได้ขนาดนี้
แต่ความเร็วของอาราชินั้นสูงมาก สูงแทบจะเทียบเท่ากับผู้เล่นในตำแหน่งไนท์โดยทั่วไปด้วยซ้ำ มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
“นอกจากจะใช้ขาไปกับการเต้นเบรคแดนซ์แล้วก็เทควันโด้ ฉันก็เคยใช้ขากับการเป็นนักกรีฑาโรงเรียนมาก่อนด้วย”
อาราชิคลายความสงสัยให้กับทามิโกะ
ความเร็วของเธอนั้นเกิดจากการฝึกฝนร่างกายซึ่งเป็นสมรรถภาพทางร่างกายส่วนบุคคล
ซึ่งปกติตำแหน่งรุคจะมีความเร็วต่ำที่สุดในเกม แต่เพราะอาราชิฝึกฝนร่างกายมาเธอจึงมีความเร็วมากขึ้น ถึงแม้จะไม่เท่าไนท์ที่มีความเร็วสูงที่สุดในเกม แต่อย่างน้อยๆก็เร็วกว่ารุคทั่วๆไป
เพราะมีพลังโจมตีและพลังป้องกันที่สูง รวมทั้งยังมีความเร็วอีกด้วย อาราชิจึงมีความสามารถแทบจะเทียบเท่ากับตำแหน่งควีนเลยทีเดียว ขาดแค่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เท่านั้น
“ถ้าแค่ความเร็วระดับฉันเธอยังจับไม่ได้ ถ้าเธอได้เจอเพื่อนของฉันล่ะก็เธอคงไม่รอดหรอก ยังต้องฝึกอีกเยอะนะยัยไนท์!”
แม้จะเป็นคำพูดเสียดสีที่เจ็บแสบแต่ทามิโกะก็ต้องยอมรับ
แม้จะไม่รู้ว่าเพื่อนที่อาราชิพูดถึงเป็นใคร หรือมีความเร็วเหนือกว่านี้เท่าใด แต่ถ้าแค่ความเร็วระดับนี้เธอยังรับมือไม่ได้ เธอก็ควรจะต้องฝึกฝนอีกเยอะอย่างที่คู่ต่อสู้ของตัวเองกล่าวไว้
ตอนนี้ทามิโกะยังทำได้แต่มองอาราชิที่วิ่งไปทั่วสมรภูมิรบเท่านั้น
แต่ว่ามีสิ่งที่น่าแปลกอย่างหนึ่ง เพราะทามิโกะรู้สึกเหมือนกับว่าอาราชิแค่ใช้ความเร็ววิ่งผ่านตัวเธอซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่ได้ทำอะไรราวกับกำลังปั่นประสาทเธออยู่
ทั้งๆที่อาราชิควรที่จะจู่โจมเมื่อมีโอกาสแท้ๆ หรือเธอกำลังเล่นสงครามจิตวิทยากับทามิโกะอยู่กันแน่?
หลังจากที่ปล่อยให้อาราชิวิ่งไปทั่วสมภูมิรบราวกับเป็นสนามเด็กเล่นอยู่สักพัก ความเร็วของเธอก็ลดลงจนเหลือศูนย์ และทามิโกะก็กลับมาเห็นเธอยืนอยู่ตรงจุดๆเดิมอีกครั้ง เหมือนตอนที่การต่อสู้เพิ่งเริ่มขึ้น
“นี่เธอ กำลังกวนประสาทฉันอยู่หรือไง?”
ซึ่งนั่นสร้างความหงุดหงิดให้แก่ทามิโกะเป็นอย่างมาก
วิ่งไปมารอบๆโดยไม่ทำอะไร ทั้งๆที่มีโอกาสให้ทำอะไรตั้งมากมาย ถ้าไม่รู้สึกว่าโดนดูถูกแล้วจะเป็นอะไร
เธอจึงชี้นิ้วไปที่อาราชิด้วยความรู้สึกเดือดดาล พร้อมมีเส้นเลือดปูดที่ขมับ
“กำลังดูถูกฉันอยู่งั้นหรอ!?”
“ลองดูตัวเองให้ดีๆก่อนสิ”
พออาราชิพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ความรู้สึกโกรธเคืองของทามิโกะก็แทบจะหายไปในพริบตา เมื่อเธอเพิ่งจะมาสังเกตเห็นว่า แขนที่ตัวเองยื่นออกไปข้างหน้านั้นมีบาดแผลอยู่
เป็นบาดแผลฉกรรจ์เหมือนถูกของมีคมเฉือน เลือดค่อยๆซึมออกมาจากปากแผลนั้น
เมื่อสำรวจดูรอบๆร่างกายของตัวเอง ก็พบว่ามีบาดแผลในลักษณะนั้นอยู่เต็มไปหมด เห็นได้จากเลือดสีแดงที่เลอะตามเสื้อผ้าที่มีรอยขาดเป็นแห่งๆ นั่นยังไม่รวมบางจุดที่ทามิโกะไม่สามารถมองเห็นด้วยตัวเองได้
แต่ว่า... มันกลับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆเลยสักนิด
บาดแผลในลักษณะนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึกอะไร ราวกับว่าเธอกำลังถูกฉีดยาชาเอาไว้
“อะไร...กันเนี่ย?”
เธอทำได้แค่ตั้งคำถามไปแบบนั้น
แล้วอาราชิ ก็ให้คำตอบด้วยการดีดนิ้วของตัวเองเสียงดังเป๊าะ
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสของทามิโกะที่ดังขึ้นมา
“อ๊าาาาาาาาาาา!!”
บาดแผลที่ไม่รู้สึกเจ็บในตอนแรกของทามิโกะได้มีเลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก
ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งแผล
ไม่ว่าจะบาดแผลที่แขน ขา ลำตัว หรือแผ่นหลัง บาดแผลเหล่านั้นต่างเพิ่มความสาหัสด้วยตัวของมันเอง จนร่างกายของทามิโกะโชกไปด้วยเลือด
เธอรับความเจ็บปวดเหล่านั้นในทีเดียวไม่ไหว จึงได้ทรุดกายลงไปทันที
แต่ทามิโกะ ก็ยังเหลือสติสัมปชัญญะอยู่เสี้ยวหนึ่ง เธอจึงใช้
คริมสันปักพื้นทรายเอาไว้เพื่อยันร่างกายตัวเองไม่ให้ล้ม
คมดาบนั้นทะลุพื้นทรายลงไปจนเกือบครึ่งเล่ม แสดงให้เห็นว่าเธอทรงตัวแทบจะไม่ไหวแล้ว
ถ้าล้มไปตอนนี้ล่ะก็ เธอก็ไม่มั่นใจนักว่าจะลุกขึ้นมาได้อีกครั้งหรือเปล่า
“ท่าทางไม่โดนจุดสำคัญสินะ?”
อาราชิกล่าวออกมาเบาๆ
“แต่ปกติบางคนพอโดนขนาดนี้ก็ถอดใจยอมแพ้กันทั้งนั้น ขอชื่นชมเธอนะที่ยังยืนหยัดอยู่ได้”
อัศวินโชกเลือดไม่รู้สึกดีใจเท่าไหร่เมื่อได้รับคำชม เพราะร่างกายของตนนั้นสาหัสและเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ถึงกระนั้นทามิโกะก็ยังกล่าวขอบคุณตอบ
“ขอบใจนะ... แล้วเธอจะบอกได้ไหม ว่าเธอทำอะไรกับฉัน!?”
“ได้สิ...
คามิคาเซะของฉันมีความสามารถในการ ‘สร้างบาดแผลโดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด’ น่ะ”
อาราชิยิ้มมุมปาก
“ในระหว่างที่วิ่งไปมาเมื่อสักครู่จริงๆฉันสร้างบาดแผลให้กับเธอโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อได้โอกาสฉันก็จะเพิ่มความสาหัสของบาดแผลพวกนั้น และปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมาทั้งหมดในทีเดียว... เรียกว่า
‘คาเซะคิริ’ (ลมสะบั้น) แต่ดูเหมือนว่า ฉันจะพลาดไปนิดเลยไม่ได้สร้างบาดแผลให้กับจุดสำคัญสินะ เธอถึงยังยืนอยู่ตรงนั้นได้”
“แบบนี้นี่เองสินะ เจ็บพอตัวเลย”
ทามิโกะก้มหน้ายอมรับ
นับว่าเป็นโชคดีของเธอที่อาราชิไม่สามารถสร้างบาดแผลเหล่านั้นที่จุดสำคัญของเธอได้
หากอาราชิสามารถสร้างบาดแผลให้กับจุดสำคัญของเธอได้ล่ะก็ ทุกอย่างก็คือจบ
บาดแผลที่ไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยความรู้สึก... ทามิโกะไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ในกำมือเลย
ณ ตอนนี้ ทามิโกะจึงได้รับรู้แล้วว่า ความน่ากลัวของรุคนามว่า คาชิวากิ อาราชิ ไม่ได้อยู่ที่ความเร็วเพียงอย่างเดียว
“ฉันขอแนะนำตัวอีกครั้ง... ฉันชื่อคาชิวากิ อาราชิ ฉายาของฉันคือ
‘คามะอิตาจิ2’”
อาราชิย่อตัวลง เพื่อตั้งท่าเตรียมพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วดั่งลม เป้าหมายคือศัตรูโชกเลือดที่อยู่ตรงหน้า
“และข้อยสิขอรับชัยชนะนี้ไปละ!”
ฟุ่บ! อาราชิหายไปจากทัศนวิสัยของทามิโกะอีกครั้ง
และไม่นานนักอาราชิก็ปรากฏตัวมาอยู่ตรงหน้าทามิโกะ ที่เพิ่งจะยันตัวเองขึ้นมายืนด้วยสองขาโดยไม่ต้องใช้อาวุธของตัวเองค้ำเอาไว้
ดูยังไงทามิโกะก็ไม่สามารถป้องกันหรือหลบหลีกอาราชิที่โจมตีเข้ามาได้แน่
แต่เธอทำได้
แม้ร่างกายจะสาหัสแต่ประสาทสัมผัสนั้นยังอยู่ดี อีกทั้งทามิโกะก็เหมือนจะเริ่มตั้งตัวได้แล้วแม้มันจะดูสายไปสักหน่อย เธอจึงใช้ขาที่อ่อนแรงทั้งสองข้างถีบตัวเองเพื่อหลบให้พ้นรัศมีการโจมตีของอาราชิ
พ้นแล้ว... อาราชิฟาดขาใส่อากาศอันว่างเปล่า เธอรอดแล้ว
ทั้งๆที่มันควรเป็นอย่างนั้น
“อ๊าาาาาาาา!!”
แผ่นหลังของทามิโกะมีบาดแผลขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งบาดแผล พร้อมละอองเลือดที่พุ่งออกมา
ตอนแรกทามิโกะคิดว่าเธอถูกอาราชิปลดปล่อยความเจ็บปวดของบาดแผลอีกครั้ง แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่ได้รับครั้งนี้มันคนละอย่างกัน
เธอรู้สึกเหมือนถูกคมดาบล่องหนที่อยู่บนอากาศฟันเข้าใส่ซะมากกว่า
ร่างของทามิโกะเอนไปทางด้านหน้าเพราะถูกฟันจากด้านหลัง และตอนนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบาดเข้าที่แก้ม
เวลานั้นเธอก็ได้เห็นอย่างชัดเจน ว่าคมดาบปริศนาที่เล่นงานเธอเมื่อสักครู่คืออะไร
“แหมๆ อีกนิดเดียวเองแฮะ”
อาราชิกล่าวขึ้นด้วยความเสียดาย
ทามิโกะที่ได้รับแผลเพิ่มเติมที่กลางหลัง อยู่ในสภาพคลานเข่าพร้อมเอามือทั้งสองข้างยันพื้นทรายไว้
เมื่อสักครู่เธอได้เห็นอย่างชัดเจน คมดาบปริศนาที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าและเฉียดแก้มเธอไปนิดเดียว
เหมือนกับมีอะไรสักอย่างแหวกอากาศและกลายเป็นคมดาบแห่งอากาศขึ้น
แม้จะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เธอก็พอคาดเดาได้บางส่วน และเก็บสมมติฐานนั้นไว้ในใจ
“
คาเซะคิริน่ะ ใช้กับอากาศก็ได้นะ”
อาราชิพูดขึ้น
“สร้างบาดแผลไว้บนอากาศ พอถึงเวลาก็ปลดปล่อยบาดแผลนั้น เลยกลายเป็นคมดาบแห่งอากาศอย่างที่เธอโดนไปน่ะ”
ไม่น่าเชื่อเลยว่า... สมมติฐานของทามิโกะนั้นดันถูกต้องทั้งหมด
สำหรับคนที่ถึงกับได้รับการขนานนามว่าเป็นปีศาจแห่งลมนั้น คงไม่ได้มีที่มาจากแค่การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วดั่งลมเพียงอย่างเดียวแน่ๆ
การที่อาราชิวิ่งเล่นไปทั่วสมรภูมิเมื่อตอนเริ่มต่อสู้ นอกจากจะฝากรอยแผลไว้กับตัวทามิโกะแล้ว แน่นอนว่าก็ฝากรอยแผลล่องหนไว้บนอากาศด้วยเช่นกัน
น่ากลัวว่า... รอยแผลบนอากาศนั้นคงไม่ได้มีแค่หนึ่งแผลที่เธอโดนไปกลางหลัง และอีกหนึ่งแผลที่เฉียดแก้มเธอไป
บางทีบนพื้นที่ทุกๆตารางเมตรที่อาราชิวิ่งไปรอบๆเมื่อตอนนั้น คงจะมีกับดักคมดาบอยู่ทุกฝีก้าวเลยก็เป็นได้
ทามิโกะนึกโกรธตัวเองที่ตอนแรกคิดว่าอาราชิวิ่งไปวิ่งมาเพื่อโชว์พาวหรือกวนประสาท ซึ่งจริงๆแล้วเธอกำลังยึดสมรภูมิแห่งนี้ให้กลายเป็นป้อมปราการของเธอต่างหาก
ไม่มีที่ให้หนี ไม่มีที่ให้ซ่อน
อาราชิคุมเกมได้อย่างสมบูรณ์แล้ว...
----------------------------------------------------
1สำเนียงคันไซ (関西弁) : สำเนียงท้องถิ่นของชาวญี่ปุ่นในเขตภูมิภาคคันไซ ซึ่งจะออกคล้ายๆสำเนียงเหน่อบ้านเรา ในที่นี้เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจึงจะใช้ภาษาไทยอีสานแทน
2คามะอิตาจิ (鎌鼬) : คือชื่อของโยวไค (ภูติ) ตามตำนานความเชื่อของญี่ปุ่น เป็นภูติลมที่มีความรวดเร็วดั่งสายลม มีเคียวเป็นอาวุธ โดยคามะอิตาจิ จะมีลักษณะเป็นลมหมุน ที่จะพัดผ่านเหยื่อ หลังจากนั้นเหยื่อจะพบว่าตัวเองมีบาดแผลแต่ไม่รู้สึกเจ็บ เพราะคามะอิตาจิ จะฟันเหยื่อด้วยเคียว แล้วทายาให้เพื่อระงับอาการเจ็บปวด ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมคามะอิตาจิจึงมีพฤติกรรมเช่นนี้ แต่บางครั้ง คามะอิตาจิก็เป็นอันตรายเช่นกัน เพราะบางครั้งมันจะฟันเหยื่อแล้วทายาให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า