Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire XIX

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 28
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XIX Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire XIX   Cataclysm: The Endless Hellfire XIX EmptyWed Nov 02, 2016 9:55 pm

Cataclysm: Endless Hellfire
Act XIX

------------

  มันเป็นเวลายามวิกาลแห่งดินแดนโพรโตเนี่ยน เบื้องหน้าของนักเดินทางทั้งสองที่หวังจะเข้าสู่ดินแดนแห่งทับทิมคือสถานที่ๆ พวกเขาต้องการที่จะไปให้ถึง ผืนดินซึ่งเป็นสถานที่ๆ จองจำมารแห่งความตายเอาไว้ไม่ให้ออกมาสู่โลกภายนอก วัตถุประสงค์ของเนลเรี่ยนและชารอนก็ยังคงตามเดิมอยู่ ไปเฝ้าการณ์ที่นั่นเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้พลังบาปจะไม่สามารถทำการคืนชีพมารเพลิงได้ในกรณีที่สตอร์มโฮล์มล้มเหลวในการปกป้องหญิงสาวมาเดียร่าผู้ซึ่งมีพลังแห่งชีวิต อย่างที่ทราบกันว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ๆ จะเข้าไปได้โดยง่าย หากผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวอาจจะลมปราณแตกซ่านจนขั้นร้ายแรงก็ถึงตายได้ ทั้งสองคนยืนอยู่ภายนอกของดินแดนนั้นจึงไม่เป็นอันตรายใดๆ แต่หากย่างกรายไปในทันทีก็จะได้รับรู้ถึงพลังแห่งความตายที่เอ่อล้นทั่วดินแดน มีศูนย์กลางพลังคือแหลมหินที่ใหญ่ที่สุดใจกลางผืนดินสีทับทิมแห่งนั้น ตามชื่อของดินแดนแห่งนี้ทั่วทั้งผืนดินนั้นเป็นสีแดงฉานราวกับเลือด ว่ากันว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะพลังปราณแห่งไซอาลอทเอ่อล้นไปทั่วดินแดน จากแหลมหินลงสู่ผืนดิน แรงกล้าเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้นจะต้านทานได้ สัตว์หลากหลายพันธุ์ต่างล้มตาย โลหิตไหลรินอาบแผ่นดินจนเปลี่ยนสีไป

  มันไม่ใช่ผืนดินที่ใครจะมาเดินเล่นได้ตามใจชอบและชายหญิงทั้งสองก็รู้ตัวดี แต่เขามีหน้าที่ๆ ต้องทำ มันเป็นเรื่องความเป็นความตายต่อดาวดวงนี้ ตัวชารอนเองคงไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ นักเนื่องเพราะทุกคนก็ต่างเห็นว่าหล่อนคือผู้มีพลังปราณมากที่สุดในหมู่ หรือในอีกแง่หนึ่งคือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและถูกเลือกเฟ้นโดยโคลริม ผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยนเองเลย แต่กลับกันผู้ที่เดินทางตามเธอมาหาได้เป็นเช่นนั้น แม้เขาจะเป็นชายที่แลดูเป็นผู้มีพลังพิเศษก็จริง แต่ด้วยระดับปราณของเขาคงจะไม่ไหว หากคำนวณดูแล้วคนที่มีปราณอย่างเนลเรี่ยนคงเดินอยู่ในปฐพีสีแดงนั้นได้ไม่เกินชั่วโมงเป็นแน่แท้ กระนั้นเขาก็จะมัวกังวลใจเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้แล้ว เขามายังสถานที่แห่งนี้แล้ว และตั้งเป้าหมายแล้ว ก็คงต้องทำมันให้สำเร็จ

  หญิงสาวผมสีแดงที่เดินทางมาพร้อมกับเนลเรี่ยนเห็นอาการของชายผู้นั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก เธอรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่ กระนั้นเองเธอก็มิอาจจะทำอะไรได้ หล่อนรู้ตัวว่าหากพูดอะไรออกไปในเวลาแบบนี้ แถมยังมีคนนอกอยู่ด้วยมันย่อมเป็นอะไรที่ไม่ดีแก่ตัวเนลเรี่ยนเอง ก็อย่างว่าการที่จะให้หญิงสาวมาพูดให้กำลังใจต่อหน้าของนักรบกล้า แถมผู้ที่ถูกให้กำลังใจกลับเป็นนักสู้อีก มันย่อมไม่ใช่ภาพที่ดีและเป็นสิ่งที่เนลเรี่ยนต้องการแน่ เธอสังเกตเห็นเขากำลังสูดหายใจลึกและถอนหายใจออก แสดงอาการเกร็งออกมา คล้ายกับว่าเขายังไม่พร้อมที่จะทำอะไรแบบนี้ ไม่ทันไรชายผู้นั้นก็ส่ายหน้า พลางพูดเบาๆ ซึ่งเธอพอจะได้ยินและจับประโยคมันได้ “ฉันต้องทำได้!” ซ้ำไปซ้ำมา ไม่นานนักหล่อนจึงเดินเข้าไปหาชายผู้นั้นก่อนจะเอามือแตะไหล่ของเขา เธอหาได้กล่าววาจาอันใด เขาพยักหน้าตอบกลับพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ ให้แก่เธอ เธอรู้สึกได้ว่าถึงแม้ว่าเขาจะยิ้มให้ก็จริง แต่เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรแบบนี้อยู่ดี

  ชายหนุ่มร่างยักษ์ยืนกอดอกอยู่ตามเดิม ดูเหมือนว่าเขาจะรออะไรสักอย่าง ไม่นานนักทั่วผืนฟ้า และแผ่นดินก็เกิดเสียงอะไรสักอย่างขึ้น ดูคล้ายกับเมื่อคืนก่อนที่พวกเขาต่อกรกับปีศาจร้าย เสียงย่างกรายของปีศาจ เสียงคำราม ดังมาจากที่ไหนสักแห่งไม่ไกลนัก พวกเขาทั้งสามที่อยู่ในบริเวณก็ตั้งท่าเตรียมตัวเอาไว้ รอศึกหนักที่กำลังจะถาโถมเข้ามาหาพวกเขา ทันใดนั้นชายผู้ใช้ดาบใหญ่ก็ชักดาบของตน ยกมันมาขวางคู่ชายหนุ่มและหญิงสาวเอาไว้ ก่อนที่เขาจะหันหลังมามองสองคนนั้น

“ไปซะ” ชายผู้นั้นกล่าว “เดี๋ยวข้าจัดการพวกมันเอง!”
“แต่ว่า...” ชารอนกล่าวท้วงขึ้นมา
“พวกเจ้ามีหน้าที่ๆ จะต้องทำไม่ใช่หรือยังไง?”
“ไปได้แล้ว!” นักดาบผู้นั้นกล่าว

“จะว่าไป.. ท่านมีนามว่าอะไรกันหรือ?” หญิงสาวผมแดงถามชายผู้นั้น “เผื่อว่าข้าจะไม่มีโอกาสได้ถามอีกน่ะ”

เขาหันกลับมาถามเธอทันทีที่ได้ยินวาจานั้น ก่อนจะยิ้มให้แก่หล่อน

“คาร์เอล...” เขาตอบ “คาร์เอล เรอุล”
“รีบไปเถอะ ข้าจัดการตรงนี้เอง”
“อีกอย่าง ข้าชอบลุยเดี่ยวเสียมากกว่า”

  สิ้นวาจานั้นหญิงสาวผมแดงจึงพยักหน้าให้กับชายผู้นั้นเป็นการส่งสัญญาณรับทราบก่อนที่จะเริ่มวิ่งไป เมื่อนั้นชายร่างใหญ่ผู้นั้นก็หันกลับไปที่เบื้องหน้าของเขา มันเป็นกลุ่มของสัตว์ร้ายแห่งความตายอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังพุ่งตรงมาหาเขา ชายผู้นั้นชี้ดาบของตนไปข้างหน้าแสดงความตั้งใจที่ตนต้องการจะทำในตอนนี้ นั่นคือการป้องกันมิให้ปีศาจตนใดตามชารอนและเนลเรี่ยนไปได้ ไม่สิ.. หากจะพูดให้ถูกสำหรับคนแบบเขาคือการสังหารปีศาจทุกตัวให้สิ้นซากเสียต่างหาก ด้านหญิงสาวผู้นั้นรีบวิ่งตรงไปหาชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะยังไม่พร้อม เขาเริ่มสูดอากาศเข้าเป็นครั้งสุดท้ายและบ่นพลางกับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ เมื่อชารอนเข้ามาหาเนลเรี่ยน พวกเขาจึงตัดสินใจเริ่มวิ่งตามผืนหญ้าสีเขียว เข้าผืนดินสีแดงที่รออยู่เบื้องหน้า ทั้งสองวิ่งไปโดยที่ไม่เหลียวกลับไปข้างหลังแม้แต่น้อย สิ่งที่คิดมีเพียงแค่มุ่งตรงไปข้างหน้าเท่านั้น

  ผ่านไปได้สักระยะก็ผุดขึ้นมาซึ่งเสียงแห่งการต่อสู้ห่างจากตัวของชายหญิงคู่นั้นไปไม่ไกลนัก มันเป็นเสียงของคาร์เอลที่กำลังต่อสู้กับมารร้ายจำนวนมากกว่าเขาหลายเท่าตัว เสียงร้อง เสียงคำราม และเสียงโอดโอยของปีศาจดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของเหล็กไหลอันแหลมคมที่ฟาดฟันใส่ร่างกายของพวกมันไม่ขาดสาย ถึงตอนนี้ทั้งเนลเรี่ยนและชารอนคงกลับไปช่วยชายผู้นั้นไม่ทันแล้ว และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่นักดาบล่าปีศาจผู้นั้นต้องการแน่ พวกเขาจึงวิ่งต่อไป จนกระทั่งถึงที่เบื้องหน้าของดินแดนนั้น พวกเขาค่อยๆ หยุดตัวลงก่อนที่จะมองไปรอบๆ มันมีแหลมหินเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตามที แต่หาได้มีแหลมหินแท่นไหนที่จะสูงและใหญ่พอเท่ากับตัวที่อยู่ตรงใจกลางของดินแดนแห่งนั้นเลย และในตอนนี้พวกเขาก็เห็นมันอย่างชัดเจน นั่นคือเป้าหมายที่ชายหญิงทั้งสองกำลังจะตรงไป

  ที่ผืนดินแห่งนั้นสร้างเสียงแปลกๆ ขึ้นมาตามด้วยสภาพอากาศภายในนั้นที่ร้อนระอุพอที่จะแผดเผาร่างคนธรรมดาที่ไร้บาเรียปราณคลุมกายได้ เสียงที่มันผุดขึ้นเป็นเหมือนกับเสียงกระซิบของภูติผีหรืออะไรก็ตามที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า มันดังขึ้นมาเบาๆ แต่น้ำเสียงกลับแหบแห้งดูน่ากลัวพิลึก ตัวของผู้เดินทางทั้งสองไม่รอช้าที่จะสร้างบาเรียแห่งปราณคลุมกายของตนเอาไว้ ก่อนที่จะเป็นหญิงสาวชารอนที่เดินนำไปก่อน ด้านชายหนุ่มเนลเรี่ยนเองก็ยังยืนอยู่ภายนอกของดินแดนแห่งนั้น แลดูเหมือนกับว่ากำลังจะเตรียมความกล้าอีกครั้ง

“เร็วสิคะท่านเนลเรี่ยน!” ชารอนตะโกนขึ้นมา
“แกทำได้สิเนลเรี่ยน.. แกทำได้... แกคือความเย็น... แกทำได้อยู่แล้ว!” ชายหนุ่มผู้นั้นพูดบ่นกับตัวเองเรียกแรงฮึด

  เมื่อนั้นเนลเรี่ยนจึงย่างกรายลงไปบนผืนดินแห่งนั้น ทันทีที่ฝ่าเท้าของเขาสัมผัสกับดินแดนสีแดงฉาน มันก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน ราวกับว่าเขาไปอยู่อีกโลกหนึ่งจากเมื่อครู่อย่างสมบูรณ์ ในโลกที่เป็นดั่งความตาย โลกที่แสนสิ้นหวัง นั่นคือความรู้สึกที่ชายผู้นั้นได้พบใจในช่วงเวลานี้ ในหัวของเขารู้สึกถึงความตาย วิญญาณของเหล่าผู้ไร้ร่างได้พุ่งเข้าไปภายในจิตใจของชายหนุ่มผู้นี้ เขาไม่อาจแม้กระทั่งจะขยับเท้าเดินก้าวต่อไปได้ กระนั้นเองเขาก็พยายามที่จะสู้กับมันอย่างสุดความสามารถ หญิงสาวนามชารอนเห็นชายหนุ่มนักปราชญ์ผู้นั้นกำลังทรมาณจึงรีบรุดตัวเข้าไปหาชายคนนั้นในทันที เธอพยุงตัวเขาเอาไว้ แต่ชายผู้นั้นก็ผลักเธอออกเบาๆ หญิงสาวผู้นั้นหันไปหาชายหนุ่มด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะตอบรับด้วยการส่ายหน้า ในตอนนี้สิ่งที่เขากำลังทำอยู่หาใช่เป็นการสู้กับสภาพแวดล้อมอันแสนน่ากลัวนี้ แต่เป็นการต่อสู้กับตัวเอง เธอเข้าใจในสิ่งที่เนลเรี่ยนต้องการจึงถอยฉากออกไป

  ทันใดนั้นชายหนุ่มก็สามารถก้าวขาเดินต่อไปได้ และก้าวต่อมา ต่อมาและต่อมาของเขาเริ่มเร็วขึ้นจนดูเป็นปกติอย่างที่เขาเดินอยู่ในผืนดินธรรมดา ต่างจากชารอนที่เหมือนจะไม่สะทบสะท้านอันใดเลยกับสภาพแวดล้อมนั้น เป็นเพราะตัวเธอมีปราณมากกว่าตัวของเนลเรี่ยนเองเป็นเท่าตัวจึงทำให้หล่อนได้รับการป้องกันจากปราณที่ตนมีและไม่ได้รับอันตรายอันใด แต่จะมามัวชักช้าก็ไม่ได้แล้ว เธอจำเป็นที่จะต้องเร่งเนลเรี่ยน ทางด้านชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขากำลังเป็นตัวถ่วงแก่เธออยู่จึงพยายามสุดความสามารถ เขาเริ่มออกวิ่งเป็นสัญญาณบอกชารอนว่าตัวเขาพร้อมแล้ว เมื่อเธอเห็นแบบนั้นจึงเป็นฝ่ายวิ่งนำเนลเรี่ยนไปก่อนโดยมีเป้าหมายเป็นแหลมหินที่อยู่ไม่ไกลมากนัก หากใช้แรงเท้าในการวิ่งคงจะใช้เวลาประมาณไม่ถึงชั่วโมงก็น่าจะถึง

  ด้วยความที่เริ่มเข้าใกล้แหลมหินซึ่งเป็นศูนย์กลางในการปล่อยพลังแห่งความตายออกมา แรงกดดันทางปราณจึงสูงขึ้นอย่างชัดเจน สภาพอากาศที่ร้อนระอุขึ้นเป็นเท่าตัวจากปราณเพลิงของมารร้ายที่หลับไหล แรงกดดันที่ก่อขึ้นจากปราณแห่งความตายนั้นเริ่มทำการปะทะกับบาเรียของทั้งสองอย่างหนักจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ นั่นก็เพราะพวกเขาจำเป็นที่้จะต้องสร้างสมาธิให้มั่นคง การวิ่งจะทำให้สมาธิลดลงเป็นเท่าตัว และหากไม่มีสมาธิในการรักษาสมดุลของบาเรียปราณล่ะก็ย่อมหมายถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ที่เดินทางในดินแดนแห่งนี้โดยตรง แถมยังอยู่ในอาณาเขตที่ปราณแรงกล้าขึ้นเป็นเท่าตัว หากเผลอทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดในตอนนี้ก็เท่ากับความตาย ทั้งสองที่เดินทางรู้สึกได้ถึงความแปลกไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้วจึงเลือกหนทางที่ดีกว่านั่นคือการเดินแทน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินท่องไป

  ในหัวของพวกเขาได้ยินเสียงกระซิบดังขึ้นเรื่อยๆ มันกล่าววาจาของตนไปเรื่อยคล้ายกับกำลังพยายามที่จะก่อกวน หลอกล่อ ด้วยวาจาที่สื่อให้พวกเขายอมแพ้ คำพูดของเหล่าพวกภูติผีที่หวังจะสร้างสหายใหม่ให้ร่วมโลกเดียวกับพวกเขา แต่ทั้งสองหาได้ยอมไม่ พวกเขายังคงเดินไปเรื่อยตามทาง ทั้งคู่ใกล้จะถึงแหลมหินนั่นขึ้นทุกที่ๆ มันคงจะไม่ดีแน่หากพวกเขาคิดจะมาหยุดและยอมแพ้ในตอนนี้ มิทันไรเนลเรี่ยนก็สะดุดล้มลงไปกับพื้น ดูเหมือนว่าเท้าของเขาจะเกี่ยวเข้ากับอะไรสักอย่างที่อยู่ตามทาง ทันใดที่ชายผู้นั้นล้มลงไป แรงกระแทกนั้นทำให้บาเรียอ่อนๆ ที่เขาใช้คลุมปราณเริ่มเสียความเสถียรลง เขาหันไปมองยังวัตถุที่เขาสะดุดลงไป มันเป็นโครงกระดูกของมนุษย์ เขาเริ่มรู้สึกผิดปกติทางร่างกายทันทีที่ล้มลงไปสู่พื้น ในตอนนี้ปราณที่เขาใช้คลุมกายสลายลงไปแล้ว เนลเรี่ยนเริ่มรู้สึกถึงปราณแห่งความตายที่ค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในร่างของเขา ความร้อนจากปราณนั้นทำให้ชายผู้นั้นร้องด้วยความทรมาณ เขารู้สึกราวกับถูกเผาทั้งเป็น เหมือนร่างจะระเบิดออกในทันใด

  ชารอนที่นำทางชายหนุ่มผู้นั้นเห็นท่าไม่ดีและได้ยินเสียงกรีดร้องราวกับจะตายของเนลเรี่ยนจึงรีบเข้าไปดูอาการของชายผู้นั้น เธอเห็นว่าเขากำลังสูญเสียสติอย่างชัดเจนจากสภาพแวดล้อมที่คร่าชีวิตผู้คนมานักต่อนัก เขาเริ่มหายใจถี่เป็นจังหวะรัวๆ ราวกับว่าหายใจไม่ออก เร็วพอๆ กับหัวใจของเขาที่เต้นรัวอย่างทุกข์ทรมาณ หญิงสาวผมแดงเริ่มทำการถ่ายพลังปราณของหล่อนให้แก่ชายผู้นั้น เป็นการสร้างบาเรียเพื่อที่จะคลุมกายเนลเรี่ยน

“เนลเรี่ยน... แข็งใจไว้นะคะ” เธอกล่าวไปพลางช่วยเหลือเขาเท่าที่ตัวเองทำได้

ดวงตาของเนลเรี่ยนเริ่มเบิกโพลน ราวกับกำลังมองเห็นยมทูตที่ล่องลอยรอรับวิญญาณของเขา เขาได้แค่มองมันโดยมิอาจจะทำอะไรได้

“อ่า... ใช่แล้ว รับรู้ถึงมันสิ! ความรู้สึกของเจ้าที่กำลังจะตายลง...”
“ความทรมาณและความสิ้นหวัง... มันอยู่เบื้องหน้าของเขา”

มันเป็นเสียงแหบแห้งที่กระซิบภายในหัวของเนลเรี่ยน แน่นอนว่ามีแต่เขาที่ได้ยินมัน มันเป็นเสียงที่ต่างออกไปจากเสียงอื่นๆ ที่เขาได้ยินในบริเวณนี้ เสียงของใครสักคนที่แหบแห้ง ดูน่ากลัวน่าเกรงขาม มันเป็นเสียงของมารแห่งความตายที่ถูกขังในพันธนาการของสถานที่แห่งนี้ เจ้าของเสียงนั้นคือไซอาลอทเอง

“หึหึหึ! นามของเจ้า.. เนลเรี่ยน ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะยิ่งนัก” เสียงแห่งมารนั้นกล่าวขึ้นภายในจิตใจของนักปราชญ์
“เจ้า... เจ้ามีสิ่งที่แตกต่างไปจากผู้อื่น...”
“ปราณแห่งความเย็น... แต่ผลึกของเจ้าหาได้สะท้อนต่อแสง มันดูดกลืน.. เฉกเช่นความมืด”
“พลังมันมีความจำเป็นแก่ข้ามาก.. ข้ามองเห็นหนทางที่จะใช้ปราณของเจ้าอย่างถูกต้องเลยล่ะ”
“ช่างพิเศษเหนือใครอื่นจริงๆ ข้าชักจะต้องการปราณแห่งเจ้าและวิญญาณมาเป็นของข้าเองแล้ว”

ชายหนุ่มที่กำลังทรมาณโดยปราณแห่งไซอาลอทเริ่มขยับตัวไปมา เหมือนกับเป็นอาการชักแต่หากมองดูดีๆ แล้วเหมือนกับว่าเขากำลังต่อต้านพลังปราณที่พยายามจะคุมร่างของเขาอยู่ ชายหนุ่มใช้มือของเขาควานหาอะไรสักอย่างที่กระเป๋าเสื้อ กางเกง รอบตัวของตัวเอง

“เจ้าคิดจะขัดขืนไปใย...” มารเพลิงกล่าวต่อ
“ในเมื่อท้ายที่สุดพวกเจ้าก็จะล้มเหลว!”
“มันสายเกินที่จะแก้แล้วเนลเรี่ยน... สวามิภักดิ์แก่ข้า และเจ้าจะได้ตายอย่างสงบ!”

  ชารอนรู้สึกได้ว่าปราณที่เธอพยายามจะถ่ายโอนให้กับเนลเรี่ยนนั้นหาได้เข้าสู่ในร่างของชายหนุ่มเลยสักนิด มันคล้ายกับว่าถูกต่อต้านโดยปราณที่อยู่ตามสภาพแวดล้อมรอบข้าง สลายไปท่ามกลางไอร้อนระอุ สิ่งที่เธอพยายามจะช่วยเขามันไม่ได้ผลเลยสักนิด ราวกับว่าเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าถึงเธอจะมีปราณระดับสูงเพียงใดแต่ก็มิอาจจะเอาชนะพลังของมารเพลิงได้ เธอเริ่มสังเกตเห็นในสิ่งที่เนลเรี่ยนกำลังทำ จึงเกิดความสงสัยว่าเขากำลังหาสิ่งใดอยู่ ทั้งที่เขาดูทรมาณน่าดูแต่กลับยังสามารถขยับตัวและต่อต้านพลังแห่งความตายได้ หากเป็นคนปกติล่ะก็คงตายไปนานแล้ว แต่ถึงเขาจะสู้เพียงใดก็ตามแต่ผลที่ออกมาก็ย่อมรู้ๆ กันอยู่... เขาไม่สามารถต้านทานพลังปราณของไซอาลอทได้นานกว่านี้แน่

“แฮ่ก... มัน.. อยู่ไหน?” เนลเรี่ยนบ่นไปในขณะที่กำลังหาอะไรสักอย่าง

“หึหึหึ.. ฮ่าฮ่าฮ่า! น่าขัน”
“เจ้ายังจะสู้ไปเพื่ออะไรกันในเมื่อเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีวันที่จะเอาชนะพลังแห่งข้าได้!”
“ต่อให้ทั้งโลกรวมพลังกัน ก็มิอาจโค่นข้าลงได้อย่างเด็ดขาด!” คำกระซิบของไซอาลอทยังคงวนเวียนในหัวของเนลเรี่ยนอย่างไม่ขาดสาย

“กระเป๋า... ชารอน.... เอากระเป๋ามาให้ข้า..”

  ทันใดที่สาวผู้นั้นได้ยินคำขอของชายผู้กำลังตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ เธอจึงลุกขึ้นยืน หยุดถ่ายโอนพลังปราณก่อนที่จะมองไปรอบๆ เพื่อหากระเป๋าผ้าของชายหนุ่มผู้นั้น หล่อนเห็นมันอยู่ไม่ไกลจากจุดๆ นั้นนัก เธอจึงรีบวิ่งไปหยิบมันมา เหตุที่กระเป๋าใบนั้นอยู่ห่างจากเนลเรี่ยนคงจะเป็นเมื่อตอนที่เขาสะดุดล้มลงไปกับพื้นและทำกระเป๋าหลุดออกจากมือของตัวเอง ไถลไปตามทางจนไม่อาจใช้มือเอื้อมไปถึง หญิงสาวผมแดงรีบเอากระเป๋านั้นไปให้เนลเรี่ยนในทันที ก่อนที่เขาจะหยิบอะไรสักอย่างออกมา มันเป็นผลึกคล้ายดั่งเพชรขนาดเล็กที่ลูเซียสเคยให้กับเขามา ชายผู้นั้นนึกถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มบรรณารักษ์เคยกล่าวไว้กับเขาถึงสรรพคุณของสิ่งๆ นั้น หากกลืนลงไปแล้วจะทำให้ปราณกลับมาเสถียรอีกครั้ง เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ควบคุมปราณ เขาพอจะจับใจความในสิ่งที่ลูเซียสเคยบอกเอาไว้ประมาณนี้ แต่เขาจะต้องกลืนมันลงไป ด้วยความที่มันหาใช่เครื่องยาหรือสิ่งของที่ใช้รับประทาน มันจึงทำให้เนลเรี่ยนลังเลอยู่พอควร

เขากำมันไว้แน่น แต่ในตอนนี้ตัวเขาก็หาได้มีตัวเลือกอันใดนอกจากไว้ใจในสิ่งๆ นี้ หากมันเป็นอย่างที่ลูเซียสบอกเอาไว้ มันก็เท่ากับว่าเขาจะสามารถสร้างบาเรียคลุมกายเอาไว้ได้อีก และไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายจากปราณแห่งความตายที่กำลังกัดกินจิตใจและร่างกายเขาอยู่

“ยังคิดจะสํู้งั้นหรือ?”
“ก็ได้.. ในเมื่อข้าเลือกหนทางที่จะให้เจ้าพ้นทุกข์จากดาวดวงนี้โดยง่ายแล้วเจ้าไม่ยอมรับมันล่ะก็..”
“มันก็คงต้องเป็นตัวเลือกที่ยากหน่อยล่ะนะ” เสียงกระซิบนั้นยังคงพร่ำบ่นไปเรื่อย

“หุบปาก... และออกไปจากหัวของข้า!”

  สิ้นวาจาของชายหนุ่มผู้นั้น เขาไม่รอช้าที่จะกลืนผลึกขนาดเล็กนั้นลงไป หลังจากที่ชายผู้นั้นกลืนมันลงคอของเขา ตัวเขาก็หยุดขยับร่างไปในทันที ไม่แม้แต่ที่จะหายใจออกมา ดวงตาของเขาเบิกโพลนแต่กลับนิ่งไปซะทั้งแบบนั้น หญิงสาวที่เห็นเนลเรี่ยนแบบนั้นจึงคาดว่าตัวเขาคงจะสิ้นใจไปแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขากลับสะดุ้งตัวขึ้นมาในทันที พร้อมกับเสียงไอรัวๆ คล้ายกับมีอะไรติดที่คอของเขาเอง ไม่นานนักอาการเหล่านั้นก็หายไป รอบตัวเขาก่อขึ้นซึ่งปราณแห่งน้ำแข็งคลุมกาย ในครั้งนี้มันต่างออกไปจากครั้งก่อนอย่างชัดเจน ประการแรก.. ปราณดูแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัวและสอง มันหาได้เป็นบาเรียคลุมตัวเขาอย่างเช่นที่ทำไปเมื่อครู่ แต่มันเป็นดั่งชุดเกราะปราณน้ำแข็งคลุมทั่วกายาของชายหนุ่มผู้นี้ เขาไม่รู้สึกถึงความทรมาณใดๆ แล้วซ้ำยังรู้สึกดีกว่าเดิมราวกับว่าเกิดใหม่ หญิงสาวที่เห็นแบบนั้นจึงโล่งอกและสลัดความคิดบ้าๆ เมื่อครู่นี้ออกไป

“ให้ตายสิ... ท่านทำให้ข้าใจหายเลยนะ” หญิงสาวผมแดงกล่าวขึ้น
“ข้าขอโทษด้วย” เขากล่าว “แต่ใจของข้าเกือบหยุดเต้นเชียวนะ”
“เวลาแบบนี้ท่านยังจะมีอารมณ์ขันอีกนะ” เธอพูดตอบพลางหัวเราะ
“มันก็ต้องมีบ้างล่ะ..”

“เราต้องไปกันแล้ว” เนลเรี่ยนกล่าวขึ้นมาต่อหลังจากที่เขาหันหน้าไปมองชารอน
“มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นล่ะคะ”
“ไม่.. เจ้าไม่เข้าใจ” ชายผู้นั้นกล่าวแทรก “เมื่อครู่นี้... หลังจากที่ข้ารู้สึกถึงปราณแห่งความตาย ข้ารับรู้อะไรบางอย่าง”
“ท่านหมายความว่าอะไร?”
“ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่วาจาของมารแห่งความตายน่ะ มันพร่ำบ่นถึงอะไรสักอย่าง”
“เท่าที่ข้าจับใจความได้ มันบอกว่าสิ่งที่เราทำมันสายเกินไปแล้ว”

เหมือนชารอนจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เนลเรี่ยนกำลังบอกเธอ แต่ไม่ทันไรหล่อนเปลี่ยนสีหน้าไปในทันที แสดงสีหน้าตกใจราวกับกำลังรับรู้อะไรบางอย่าง

“หรือว่า..”
“ข้าก็กลัวจะเป็นเช่นนั้น”
“คิดว่าท่านพอจะวิ่งไหวไหม?” จู่ๆ ชารอนก็ถามเนลเรี่ยนขึ้น
“ข้าคิดว่าน่าจะได้ พลังของข้าดูแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัวเลยล่ะ”
“แต่ตัวเจ้าล่ะ.. เจ้าจะสามารถวิ่งไปพลางควบคุมปราณบาเรียได้เช่นไรกัน?”

เธอยิ้มให้กับเนลเรี่ยนในทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น ชายหนุ่มสงสัยว่าเหตุใดเธอจึงแสดงสีหน้าเช่นนั้น

“เรื่องแค่นี้ข้าทำได้อยู่แล้วล่ะ”

  เขายิ้มกลับก่อนจะพยักหน้าตอบโดยไร้วาจาอันใด เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาตัดสินใจที่จะเร่งรีบไปยังศูนย์กลางของดินแดนแห่งนี้ หากวิ่งไปคงใช้เวลาไม่นานก็ถึงยังที่หมาย ถึงกระนั้นก็ย่อมหมายถึงแรงกดดันของพลังปราณที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือพวกเขาต้องไปถึงให้เร็วที่สุด แต่พวกเขาก็ต้องสู้กับพลังที่สามารถฆ่าพวกเขาตายได้ทุกเมื่อ ทันใดที่ตกลงกับเสร็จสิ้นจึงไม่รอช้าที่จะออกตัวไปยังแหลมหินขนาดใหญ่นั้น แม้ลึกเข้าไปเรื่อยๆ จะไม่มีอะไรผิดปกติไปจากเดิมก็ตามที แถมแรงกดดันจากปราณแห่งความตายก็หาได้เพิ่มระดับขึ้นเลยแม้แต่น้อย แลดูเหมือนว่ามันจะอยู่ในระดับสูงสุดที่จะสามารถทำได้แล้ว มันจึงไม่เป็นปัญหาอันใดต่อชายหญิงทั้งสองคน ทั้งนี้พวกเขาก็ต้องไม่ประมาทเป็นอันขาด หากเป็นเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำขึ้นได้ นั่นย่อมไม่ส่งผลดีแก่ใครและเสียเวลามากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

  ฝีเท้าของพวกเขาเหยียบย่ำลงไปสู่ผืนดินสีแดงดังลั่นรอบอาณาเขต เสียงมันดังเสียยิ่งกว่าเสียงกระซิบของภูติผีเสียอีก อีกไม่กี่อึดใจทั้งสองคนก็ไปถึงยังจุดหมายแล้ว แต่ในระแวกนั้นมีแหลมหินเล็กใหญ่อยู่มากมายทำให้ยากต่อการเข้าถึงยังศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น ทั้งสองพยายามหาทางอื่นที่จะให้ไปยังจุดหมายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผ่านไปได้สักระยะทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ มันแลดูคล้ายกับเสียงของการถ่ายโอนพลังปราณ ไหนจะวาจาจากใครสักคนที่ร่ายคาถาเวทหรืออะไรสักอย่าง โดยเบื้องหน้าของพวกเขาก็มองเห็นแสงสีเขียวคล้ายนีออนส่องสว่างขึ้นสะท้อนผืนฟ้า ปฐพีทั่วแดนสีทับทิม ทันใดนั้นทั้งชารอนและเนลเรี่ยนก็ไปถึงยังจุดหมายที่พวกเขาต้องการ และสิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าก็เป็นชายคนหนึ่งผู้มีร่างกายกำยำ ปราณสีเขียวแตกเป็นสายทั่วทั้งร่างกาย แถมยังมีเขาอยู่บนหัวแสดงถึงความเป็นปีศาจ มารตนนั้นได้ยินฝีเท้าของชายหญิงทั้งสองจึงหันไปยังจุดนั้น มองแขกมาเยือนอย่างไม่เป็นทางการของตนเอง มารร้ายตนนั้นมีปราณสีเขียวแห่งความตายส่องสว่างที่ดวงตาของเขา มันใช้ดวงตานั้นมองทั้งสองคนด้วยความไม่พอใจ

“เบลล์..” ชารอนกล่าวขึ้น
“ไม่ได้เจอซะตั้งนานตัวท่านยังคงดูโทรมเหมือนเดิมเลยนะ”
“ถือว่าเป็นคำชมเสียก็แล้วกันชารอน... ตัวเจ้าก็หาได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย”
“ข้ารู้ว่าเจ้ามาที่แห่งนี้เพื่อกาลอันใดแม่สาว”
“แต่มันก็สายเกินแก้ที่จะหยุดข้าได้แล้ว!”

  เนลเรี่ยนแสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักกับสิ่งที่เขาเห็นบวกกับประหลาดใจระหว่างชารอนและมารร้ายตนนั้นที่มีบทสนทนาราวกับว่าพวกเขารู้จักกันมาเป็นเวลานาน แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มและหญิงสาวเป็นอะไรที่น่าตกตะลึงเสียมากกว่า นั่นเพราะเบื้องหลังของมารแห่งบาปตนนั้นมีร่างของหญิงสาวผมสีน้ำตาลลอยอยู่กลางอากาศ หญิงสาวผู้นั้นมีปราณแห่งชีวิต มาเดียร่าคือหญิงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาในตอนนี้ เธอหมดสติไปและปราณของหล่อนไหลรินเข้าสู่หินแหลมใจกลางแผ่นดินนั้น แถมหินแหลมนั้นยังส่องแสงสีแดงประหลาดเป็นจังหวะอีก มันไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับใครอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากคือสตอร์มโฮล์มล้มเหลวในการปกป้องตัวเธอ แต่ก็จะโทษใครก็คงไม่ได้เพราะมันมีความเป็นไปได้ที่ผู้ใช้พลังแห่งบาปจะสามารถชิงตัวเธอมาได้สำเร็จ แน่นอนว่าสิ่งที่เบลล์กำลังทำต่อเธออยู่คือการถ่ายโอนปราณแห่งชีวิตสู่นายแห่งตน หวังจะให้เขาลืมตาดูโลกอีกครั้งจากการหลับไหลเป็นเวลานานแสนนาน

  ทันใดที่ชารอนและเนลเรี่ยนเห็นแบบนั้น พวกเขาก็มีวัตถุประสงค์ใหม่ขึ้นมาทันที นั่นคือการหยุดสิ่งที่เบลล์ต้องการจะทำให้สำเร็จ โดยที่ทั้งสองคนจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นดป็นอันขาด ชารอนดึงแส้ซึ่งเป็นอาวุธของหล่อนออกมา พร้อมทั้งเนลเรี่ยนที่หยิบมีดสั้นทั้งสองเตรียมต่อสู้ ทันใดนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็รีบมุ่งตรงไปยังเบลล์หวังจะสังหารมารตนนี้ก่อน แม้ทางชารอนและเนลเรี่ยนจะหาได้กล่าววาจาอันใดเป็นการตกลงกัน แต่การกระทำนั้นก็เป็นที่ชัดเจนสำหรับพวกเขาแล้วว่าต้องสังหารมารตนนั้นเสียก่อน ทันทีที่พวกเขาออกการโจมตีร่างกายของตนก็หยุดลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ หากพูดให้ถูกคือพวกเขาไม่สามารถขยับกายได้ต่างหาก ทางด้านเบลล์ยื่นมือของตัวเองในจังหวะก่อนหน้านั้น ดูท่าแล้วคงจะเป็นพลังของมารตนนี้ที่ทำให้พวกเขามิอาจจะเคลื่อนไหวได้ ว่าแล้วเบลล์จึงดันฝ่ามือข้างนั้นออกไปก่อนที่ร่างของหญิงสาวและชายหนุ่มจะปลิวไปกระแทกใส่กับหินผาที่อยู่บริเวณนั้น ทั้งสองยังไม่ได้ที่จะได้ขยับตัวออกจากหินผานั้นก็มีหินอะไรสักอย่างที่ผุดขึ้นมาโดยปราณของเบลล์ มันล็อคแขนขาของปรปักษ์แห่งปีศาจทั้งสอง ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถขยับได้เลย

  เมื่อเบลล์เห็นว่าปรปักษ์ของพวกเขาไม่อาจจะที่จะขยับกายได้ เขาจึงลดมือลงก่อนที่จะหันหลังกลับไปยังแหลมหินนั้น เขากางมือของตนเองออก เงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าและเปล่งวาจาคล้ายกับคาถา สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเนลเรี่ยนและชารอนดูคล้ายกับพิธีบูชายัญ สิ่งที่พวกเขาเห็นคือหญิงสาวมาเดียร่าที่ลืมตาขึ้นแต่หาได้เห็นนัยน์ตาจากดวงตาทั้งสองเลย ผ่านไปได้สักพักพิธีนั้นถูกหยุดลง แสงแห่งปราณทั้งหมดหายไป ก่อนที่ร่างของหญิงสาวไร้สติจะร่วงลงสู่ผืนดิน สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความโมโหให้แก่ชายหญิงทั้งสองที่พยายามจะช่วยเธอมาก

“เอาล่ะ... และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว”
“จงก้มกราบใต้แทบเท้านายแห่งความตาย! สวามิภักดิ์ต่ออัคคีอันแรงกล้า! เพลิงแห่งโพรโตเนี่ยนได้คืนชีพแล้ว...”
“จงดู! เทพแห่งอัคคี! ไซอาลอท ไฟร์วอร์คเกอร์!”

  สิ้นวาจาของเบลล์ แหลมหินใจกลางของดินแดนก็ส่องแสงสีแดงภายในคล้ายกับปราณแห่งมารเพลิง มิทันไรก็เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างแรงที่ผืนดิน แรงลมก่อเกิดพร้อมกับแผ่นดินไหวเมื่อครู่ ก่อนที่ปลายแหลมหินจะเริ่มแตกและเหล่าหินพวกนั้นก็ร่วงลงสู่พื้นสร้างกลุ่มควันหนาขึ้นมา หินนั้นที่ใช้จองจำมารเพลิงเป็นเวลากว่าศตวรรษแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อนั้นจึงก่อเกิดขึ้นเป็นเสียงของอะไรสักอย่างที่กระทบลงสู่พื้นอย่างแรงหลักจากที่แหลมหินนั้นพังลง ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเสียงของฝ่าเท้าของใครสักคนที่เหยียบย่ำลงอย่างแรง ภายในควันนั้นมีแสงสีแดงเปล่งออกเป็นจุดเล็กๆ สองจุด มันเป็นแสงของดวงตาแห่งเพลิงที่ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล ทันใดที่ชารอนและเนลเรี่ยนเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขารับรู้ถึงความสิ้นหวังที่กำลังจะมาสู่โพรโตเนี่ยน ความตายที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่หมอกควันหายไปก็ปรากฏเป็นมารเพลิงที่ยืนผงาดอยู่เบื้องหน้าผู้กล้า และเบลล์คุกเข่าลงแสดงความเคารพต่อนายแห่งตน

  มารเพลิงได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลแล้วและมันก็ใช้ดวงตาของตัวเองหันไปมองรอบข้าง มันดูสภาพแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัว เหล่าแผ่นดินทัมทิมที่ปราณของไซอาลอทเคยแผ่กว้างออกไปก็กลับเข้ามารวมในร่างของปีศาจที่เป็นเจ้าของพลังจนหมด ผืนดินหาได้มีความร้อนอย่างเช่นเมื่อครู่นี้ และแผ่นดินสีแดงทั้งหมดเหล่านั้นก็ไร้ซึ่งปราณแห่งความตายอีก เมื่อนั้นมารเพลิงก็ใช้มือทั้งสองของตนลูบใบหน้าของตน รู้สึกถึงสัมผัสทั้งห้าที่ตนไม่เคยได้รับรู้มาเป็นเวลานาน ก่อนที่ปราณแห่งเพลิงจะเอ่อล้นทั่วกายาบ่งบอกถึงสุดยอดแห่งปราณที่เหนือกว่าผู้ใดบนดาวดวงนี้

“ข้า... ได้ตื่นขึ้นแล้ว”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire XIX
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1
 Similar topics
-
» Cataclysm: The Endless Hellfire XVI
» Cataclysm: The Endless Hellfire I
» Cataclysm: The Endless Hellfire II
» Cataclysm: The Endless Hellfire III
» Cataclysm: The Endless Hellfire XX

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: