Cataclysm: Endless Hellfire
Act XX
------------
ในช่วงเวลาก่อนหน้าเหตุการณ์ทั้งหมดจะเกิดขึ้น...
ณ ใจกลางปราสาทของดินแดนสตอร์มโฮล์มในช่วงเวลากลางคืน เหล่าขุนนางและพวกผู้คนในปราสาทต่างพากันแยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ยกเว้นเพียงเหล่าบุคคลกลุ่มหนึ่ง พวกเขาอยู่ในห้องโถงแห่งหนึ่งที่ใช้ในการประชุมเป็นการส่วนตัว ภายในห้องนั้นจุดไฟไว้แล้วมีกลุ่มคนจำนวนน้อยอยู่ในห้องนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคุยเรื่องอะไรกันสักอย่างอยู่ สีหน้าของแต่ละคนก็ดูจริงจังเอามากๆ ทำให้ภายในห้องนั้นตกอยู่ในบรรยากาศที่ตึงเครียดน่าดูราวกับมีเมฆหมอกสีดำปลกคลุมอยู่ ผู้ที่ดูเหมือนจะจริงจังมากที่สุดคงจะเป็นชายสวมผ้าคลุมพร้อมกับยศถาบรรดาศักดิ์มากมีติดอยู่ทั่วทั้งเครื่องแบบของเขา ชายผู้นั้นคือกษัตริย์แห่งดินแดนแห่งเอสซิโอนิค โครนอสกุมหัวของตัวเอง โดยชายอีกคนที่อยู่ข้างเขาเดินไปมารอบห้อง สีหน้าของเขาต่างจากราชาอยู่ในบางอารมณ์ นั่นคือเขาดูโมโหเสียยิ่งกว่าตัวโครนอสเอง ชายผู้นั้นคือแม่ทัพใหญ่ โบล์ท... แล้วยังมีชายอีกสองคนที่อยู่ด้วย เขาคือชายหนุ่มบรรณารักษ์และมือขวาขององค์ราชาเอง
มันดูคล้ายว่าทั้งโบล์ทและโครนอสจะไม่ค่อยพอใจในตัวของลูเซียสและเซรดริกในตอนนี้ คงเป็นเพราะพวกเขารู้เรื่องราวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงกลางวัน มันเป็นเรื่องเด่นหนาหูน่าดู จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่เหล่าประชาชนต่างพากันพูดถึงเป็นอย่างมากในขณะนี้ แม้ตัวพวกเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ กันแน่ แต่ความกลัวที่มาเห็นการต่อสู้กลางเมืองแบบนี้ก็ย่อมมีต่อพวกเขาอยู่แล้ว หากแต่ว่าพวกเขาหาได้รู้ถึงความจริงว่ามันไม่ใช่แค่การต่อสู้ ลักพาตัวเด็กสาวไปแบบธรรมดาๆ อย่างอาชญากรที่ก่อเรื่องในเมือง มันหาได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด และผู้ที่รู้ถึงเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นที่แท้จริงก็เป็นเหล่าชายที่อยู่ในห้องๆ นี้ เหล่าชายทั้งสองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดต่างพากันนั่งบนเก้าอี้ต่างหากโครนอสและโบล์ทที่โมโหกับสิ่งที่เกิดขึ้นเอามากๆ ทั้งสองที่นั่งอยู่ต่างพากันรู้สึกผิด โดยเฉพาะชายหนุ่มสวมแว่น เขาคือต้นเหตุทั้งหมด เพราะถ้าหากเขาไม่คิดเรื่องบ้าๆ แบบนั้นล่ะก็มันก็คงไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นและมาเดียร่ายังคงจะอยู่ที่นี่
หนุ่มผู้นี้รู้ตัวดีว่าเขาผิดและเขาไม่คิดจะโทษใครหรืออะไรเลยนอกจากตัวเขาเอง ลูเซียสหันไปมองหัตถ์ของตนที่พยายามจะเอื้อมไปหาหญิงสาวผมสีน้ำตาล มือข้างที่ล้มเหลวในการช่วยเหลือเธอจากภัยที่หล่อนเผชิญ เขากำมือข้างนั้นแน่นสื่อถึงอารมณ์ที่โมโห โกรธตัวเองที่ล้มเหลว แต่ในตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาไม่สามารถหยุดในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ สิ่งเดียวในหัวของลูเซียสที่พอจะคิดได้คือตัวเขาที่ยอมรับความผิด เขารู้ว่าพ่อของเขาคงไม่พอใจในตัวเขาเอามากๆ แน่ เขาไม่กล้าที่แม้แต่จะพูดอะไรออกไปสักคำ คงเป็นเพราะเขาคิดว่าในตอนนี้แม้ตนจะพยายามกล่าววาจาอันใด มันก็หาได้มีน้ำหนักพอที่จะเป็นเหตุผลหรือข้ออ้างที่เหมาะสมที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากความผิดได้ มันผิดมาตั้งแต่เขาคิดความคิดบ้าๆ นั่นแล้ว
โบล์ทที่ดูหงุดหงิดเอามากๆ และตัวเขาคงทนไม่ไหวที่จะบ่นวาจา ตะคอกใส่ทั้งสองราวกับเป็นการสั่งสอนแน่ ด้วยความที่เขายังคงเกรงใจตัวขององค์ราชาอยู่จึงไม่คิดที่จะพูดอะไรออกไปในตอนนี้ ในอีกแง่หนึ่งเองเขาก็คิดในใจว่าหากเขาไม่พูดมันออกไป มันก็เหมือนเป็นการตามใจกับลูกชายบุญธรรมของโครนอสเกินไป แต่มันก็ถูกของเขาอยู่เหมือนกัน โบล์ทรู้ตัวดีว่าโครนอสเป็นคนที่ตามใจลูกชายของตนเองมาก แต่ตัวของโบล์ทกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีจะตามใจลูกชายของตัวเองมากจนเกินไป
“ให้ตายสิ..” โครนอสพูดบ่นขึ้นมา ราวกับว่ากำลังคุยคนเดียว
ทุกคนต่างรู้ว่าหากโครนอสกล่าววาจาอะไรแบบนี้ออกมา มันย่อมหมายความว่าเขากำลังรู้สึกโมโหจริงๆ
“แล้วเราจะทำยังไงต่อดีหรอครับองค์ราชา?” โบล์ทกล่าวถามทันที
“ข้าก็ไม่รู้..” เขาตอบกลับ
“มันก็จำเป็นที่เราจะต้องหวังพึ่งเนลเรี่ยนและชารอนแล้วล่ะ”
“ท่านกำลังจะบอกว่าพวกเราต้องรอโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยยังงั้นหรือ? แบบนั้นข้าทนไม่ได้หรอก...”
“เราไม่มีตัวเลือกโบล์ท ในตอนนี้เราทุกคนคงทำอะไรไม่ได้แล้ว”
ด้วยความโบล์ทเป็นชายผู้ที่ไม่ชอบที่จะรอและเกลียดมากเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกตัวว่ามิอาจจะทำอะไรได้ดังเช่นเหตุการณ์ในตอนนี้ มันจึงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเอามากๆ กระนั้นเองก็หาได้แสดงอาการใดๆ ออกมา สิ้นวาจาเหล่านั้นก็หาได้มีผู้ใดกล่าววาจาอันใดออกมาเลยแม้แต่น้อย เมื่อนั้นทั้งสี่คนที่อยู่ในห้องแห่งนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง ที่ภายนอกของปราสาทห่างไกลไปจนถึงดินแดนแห่งทับทิม หินแหลมขนาดยักษ์ที่สามารถมองเห็นได้จากสตอร์มโฮล์มหรือจากแดนไกลได้เกิดรอยร้าวเป็นเสียงดั่งทั่วปฐพี ไม่นานนักหินนั้นจึงถล่มลงสู่พื้นก่อเกิดเป็นเสียงดังเสียยิ่งกว่าเสียงแตกเมื่อครู่นี้ แน่นอนว่ามันทำให้เกิดแรงสะเทือนจนมาถึงยังผืนดินที่ชายทั้งสี่ประทับอยู่ เหล่าชาวเมืองที่ได้ยินเสียงและสัมผัสถึงแผ่นดินไหวเมื่อครู่ต่างแตกฮือลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะออกจากบ้านของตนไปเห็นถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้าของพวกเขาทั้งหลาย
สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าของพวกเขามันไม่ใช่เรื่องที่ดีแม้แต่น้อย ซ้ำยังดูเป็นลางร้ายที่กำลังจะสร้างสิ่งที่เลวร้ายที่สุดให้เกิดขึ้นบนทวีปเอสซิโอนิคเสียอีกต่างหาก มนุษย์ทุกคนต่างรู้ว่าแหลมหินนั้นคืออะไรและเมื่อมันพังทลายลงย่อมหมายถึงกาลอันใด ฝูงนกในระแวกนั้นที่กำลังพักผ่อนในยามค่ำคืนต่างพากันแตกรังและบินหนีออกจากบริเวณอันใกล้ ทั้งสี่คนที่อยู่ในห้องต่างมองถึงสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น เมื่อประชาชนเห็นแบบนั้นก็ต่างพากันกรีดร้องด้วยความตกใจ ความกลัวได้ครอบงำพวกเขา องค์ราชาหันลงไปมองเสียงเหล่านั้นพร้อมกับความคิดที่ตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขารู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นราชาที่ล้มเหลวต่อประชาชนของพวกเขา
ทั่วทั้งผืนฟ้าในยามวิกาลเปลี่ยนสีไปเมื่อจู่ๆ ที่บริเวณนั้นเกิดมีปราณอันแรงกล้า มันเป็นปราณสีแดงแห่งความตายพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า เปลี่ยนสีเมฆาจากดำกลายเป็นแดงฉานดูน่ากลัวราวกับโลหิตที่ไหลรินทั่วทั้งท้องฟ้า สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความตื่นกลัวและวิตกกังวลให้กับทุกคนที่เห็น แม้แต่ดวงจันทร์ที่นวลผ่องส่องแสงแห่งธรรมออกมายังเปลี่ยนสีไปตามพลังนั้นราวกับกำลังสวามิภักดิ์กับความตาย และแล้วสิ่งที่มวลมนุษยชาติไม่อยากจะให้เกิดขึ้นมากที่สุดก็ได้กลายเป็นความจริงแล้วแม้พวกเขาจะอยากให้มันเป็นแค่ฝันร้ายในคืนๆ หนึ่งเท่านั้น แม้นพวกเขาจะทำเช่นไรก็หาได้ตื่นจากฝันร้ายที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้เพราะมันคือความจริงเสียยิ่งกว่าจริง
ในขณะเดียวกันนั้นเองชายหนุ่มผมดำก็ทรุดลงไปกับพื้น เก้าอี้ที่เขานั่งกระแทกลงสู่ผืนดินตามร่างของชายผู้นั้น ทุกคนต่างหันไปจดจ้องที่ลูเซียสพร้อมกับสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น หนุ่มบรรณารักษ์ผู้นั้นกุมหัวของตัวเองพร้อมกับร้องขึ้นมาเสียงดังราวกับกำลังทรมาณจากอะไรสักอย่าง ทุกคนต่างไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรยกเว้นโครนอสผู้ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของชายผู้นั้น ทันใดนั้นราชาจึงหันลงไปมองที่ดาบของตน แน่นอนว่ามันก็ส่องแสงเหมือนกับในครั้นที่เขานำดาบมันไปให้ลูเซียสเช็คสภาพ ซ้ำมันยังร้องเสียงดังเรียกร้องหาผู้เป็นเจ้าของพลังที่แท้จริง มันกำลังเรียกหามารแห่งความตายอยู่ เมื่อนั้นโครนอสจึงคุกเข่าลง ดูอาการของลูกชายของตนในทันที เขาพยายามที่จะสัมผัสร่างของลูเซียสเพื่อให้แน่ใจว่าหนุ่มบรรณารักษ์ผู้นั้นยังรู้สึกตัวอยู่และไม่หลุดไปในมิติแห่งความตายเฉกเช่นที่เขาเคยฝันและเจอกับมารเพลิงภายในโลกแห่งนั้น
“เขากลับมาแล้ว....” ลูเซียสกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นๆ ราวกับกำลังกลัว
“อะไร? ใครกันที่กลับมา” โบล์ทกล่าวขึ้นถาม
“ความตาย... มารเพลิง! มันได้เหยียบลงสู่ผืนดินแห่งโพรโตเนี่ยนแล้ว!”
เมื่อนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง มันดูคล้ายกับเสียงพลังปราณที่ถูกระเบิดออก พลังมหาศาลหนึ่งเดียวที่จะสามารถทำแบบนั้นได้ ไซอาลอท... บัดนี้ทุกคนต่างรู้แล้วว่ามันได้กลับมายังดวงดาวแห่งโพรโตเนี่ยน โบล์ทและเซรดริกที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าของตนก็หาได้กล่าววาจาอันใดออกมา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะช็อคกับสิ่งที่เห็นพอควร คงจะเป็นเพราะทั้งสองอ่อนวัยอยู่และไม่เคยได้สัมผัสหรือพบเห็นพลังที่แท้จริงของมารแห่งความตายเลยสักครั้งเดียว เมื่อพวกเขาได้เห็นมันจริงๆ ต่อหน้าพวกเขาแล้ว ก็คงกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าพวกเขาหาได้เคยเจอกับพลังที่มากมายขนาดนี้มาก่อน ต่างจากตัวของโครนอสที่เคยสัมผัสมันมาด้วยตัวเองเมื่อครั้งสงครามหลายปีก่อน และตัวของลูเซียสที่รู้สึกถึงพลังอยู่ตลอดเนื่องเพราะเขาและเบลล์ต่างมีจิตที่เชื่อมถึงกัน มันจึงทำให้เขาเห็น รู้สึก ในสิ่งที่เบลล์รู้สึกได้
ในใจของทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นรู้สึกเหมือนตนไร้ค่า นั่นเพราะพวกเขาล้มเหลว พวกเขาทำไม่สำเร็จ และสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าก็เป็นที่แน่ชัดว่าเนลเรี่ยนและชารอนเองก็หาได้ทำมันสำเร็จเช่นกัน สิ่งที่โครนอสพอจะทำได้มันมีเพียงอย่างเดียว.... นั่นคือเชื่อใจในตัวของทั้งสองคนที่เสี่ยงชีวิตไปยังที่แห่งนั้น เขาต้องเชื่อใจหญิงสาวที่ถูกรับเลือกจากตัวของโคลริม ผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยนเอง นั่นเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาพอจะทำได้ หวังว่าชารอนคงจะสามารถหยุดเรื่องราวนี้ทั้งหมดได้ มิเช่นนั้นมันจะเท่ากับกาลอวสานของดวงดาวแห่งนี้
------------
“อ่า... ช่างรู้สึกดีจริงๆ เลย”
มารแห่งความตายกล่าวขึ้นมาหลังจากดูดกลืนพลังที่ฝังอยู่บนผืนดินทับทิมกลับมาเป็นของตนเอง เขายืนอยู่ประจำจุดของตนก่อนจะสูดอากาศเป็นครั้งที่ร้อย มันเป็นอากาศที่สดใหม่สำหรับมารร้ายตนนี้ นั่นเป็นเพราะมันถูกจองจำเป็นเวลานาน ในขณะที่ไซอาลอทกำลังดื่มดำกับรสชาติของอากาศอันปรอดโปร่งนั้น เขาก็หลับตาตนเพื่อเพิ่มแรงอรรถรสของตน สร้างความพึงพอใจให้แก่ตนเองก่อนจะลืมตาขึ้นมา สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเขาคือปรปักษ์ทั้งสองที่ถูกพันธนาการหินของเบลล์รัดแขนและขาไว้จนมิสามารถขยับได้ แน่นอนว่าชายหญิงคู่นั้นพยายามให้ความพิโรธ พลังที่ตนมีเพื่อที่จะขยับตัวให้หลุดออกจากพันธนาการนั้น แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำเท่าไร มันก็มิอาจจะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากมันได้ ไซอาลอทมองดูสิ่งที่สองคนนั้นกำลังกระทำด้วยความพึงพอใจ ราวกับว่ากำลังมองดูมดปลวกที่พยายามจะดิ้นสู้ชีวิตของตนในยามวิกฤต ภาพที่มารเพลิงเห็นนั้นสร้างความเริงรมย์ให้กับเขามาก ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ย่างกรายไปยังเบื้องหน้า
เมื่อชารอนและเนลเรี่ยนเห็นแบบนั้น ดูท่าทางมันจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาที่จอมมารกำลังเดินมาหาพวกเขาเป็นแน่ ทั้งชายผู้นั้นมีนามว่าความตายอยู่ มันจึงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลยที่จะประจัญหน้ากับไซอาลอทผู้นี้ ทั้งคู่ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะดิ้นให้หลุดจากการคุมขัง หวังจะเป็นอิสระและทำอะไรสักอย่างต่อไปเพื่อให้รอดชีวิตจากที่แห่งนี้ แม้แต่ปราณของทั้งสองก็มิอาจจะทลายหินผาที่รัดร่างของพวกเขา เมื่อนั้นทั้งสองก็หยุดลงทันทีที่มารเพลิงอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา เนลเรี่ยนเริ่มแสดงสีหน้าหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้าของตน เขาหายใจถี่ มีความรู้สึกแปลกๆ ในใจตัวเอง เหมือนกับว่าเขาพยายามที่จะแสดงความไม่เกรงกลัวต่อมารเพลิงออกมา แต่ในใจลึกๆ ของเขาเองเน้นไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย เขากำลังเกรงกลัวต่อไซอาลอทอย่างชัดเจน
ครั้นที่มารเพลิงหยุดอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสอง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความกลัวจากชายผู้หนึ่ง แต่กลับหญิงสาวอีกคน เธอกลับมองเขาด้วยความแค้น ด้วยสายตาอาฆาตหวังจะสังหารอสูรแห่งเพลิงให้จงได้ สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขาทำให้ไซอาลอทแสยะยิ้มออกมา มันเป็นยิ้มที่ดูน่ากลัวที่สุดเท่าที่เนลเรี่ยนจะเคยเห็นมา ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยเพลิงลาวา ปากที่เรืองแสงออกดูประหลาด มันเป็นรอยยิ้มในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
“ว่าไงชารอน.... มิได้พบกันนานเลยนะ” มารร้ายตนนั้นกล่าวขึ้นมา
ทันทีที่เธอได้ยินวาจานั้นของอสูร หล่อนก็ดิ้นกายาของตนอย่างแรงพร้อมกับกำหมัดของตนคิดที่จะอัดใบหน้าของอสูรตนนั้นด้วยมือเปล่าของเธอ
“ยังเหมือนเดิม เกลียดข้าเข้าไส้ดั่งเช่นคราวก่อน”
“แต่เอาเถอะ... ในครั้งนี้เจ้าหาได้อยู่ข้างกายโคลริมแล้ว เหตุใดที่ข้าจำเป็นที่จะต้องเกรงต่อเจ้าอีก”
“ไม่.. เจ้าตะหากที่จะเกรงต่อข้า!”
มารเพลิงเปล่งวาจานั้นแก่หญิงสาวผมสีแดง เธอหาได้ตอบกลับด้วยวาจาอันใด หล่อนเพียงแค่มองมารตนนั้นด้วยนัยน์ตาแห่งความโกรธเท่านั้น แต่ไซอาลอทาหาได้สนใจดวงตานั้นเลยสักนิด เขากลับมองว่ามันเป็นดั่งเรื่องสนุกสนาน ก่อนที่มารตนนั้นจะหันไปมองยังเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่บนเนินเขา เขามองเห็นนครขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้าของตน ใช่แล้ว... สายตานั้นกำลังจดจ้องไปยังสตอร์มโฮล์ม เขาแสดงความแปลกใจออกมาไม่น้อยที่เห็นเมืองนั้นดูเจริญรุ่งเรือง อย่างน้อยมันก็มากกว่าที่เขาจะจินตนาการด้วยตัวเองเสียอีก มารตนนั้นค่อยๆ ย่างกรายเพื่อที่จะหามุมรับชมทิวทัศน์ให้ชัดๆ ทั้งเนลเรี่ยนและชารอนเห็นว่าท่าไม่ดีแน่ พวกเขารู้สึกได้ว่ามารตนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจของเขา โดยเฉพาะชารอน เธอเคยต่อสู้กับมารตนนี้มาแล้ว หล่อนย่อมรู้ว่าอสูรเพลิงกำลังคิดอะไรอยู่ ทุกครั้งที่สายตาผลึกอัคคีนั้นจดจ้องไปที่อะไรสักอย่างและสร้างความสนใจให้มัน สิ่งนั้นที่ถูกมองจะถูกทำลายลง เหลือเพียงแค่ขี้เถ้าและเศษซากความทรงจำเท่านั้น
แม้แต่ตัวเบลล์เองก็รู้ว่าไซอาลอทกำลังคิดอะไร แต่เขาก็มิได้กล่าววาจาอันใดเลย มารสีมรกตผู้นั้นเหมือนจะทั้งเคารพและเกรงกลัวนายแห่งตนในเวลาเดียวกัน หากเขาพูดอะไรที่ไม่เป็นที่พอใจต่อนายท่าน เขาอาจจะได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวงแน่
“สตอร์มโฮล์ม... ช่างดูเจริญเสียจริงๆ มากเสียยิ่งกว่ายามที่ข้าเป็นใหญ่เสียอีก”
“พวกมนุษย์นี่ช่างสร้างสรรค์เสียจริง ข้าชักเริ่มรู้สึก...”
“อยากที่จะทำลายมันนัก!”
“แต่ว่านายท่าน! ตัวท่านเพิ่งจะตื่นจากการหลับไหลเป็นเวลานาน...”
“กระผมเกรงว่ามันจะไม่เป็นกาลอันดีแน่หากท่านไปยังที่นั่นโดยที่พลังของท่านยังไม่ฟื้นคืนอย่างเต็มเปี่ยม” เบลล์กล่าวท้วงขึ้น
มารเพลิงหันไปมองข้ารับใช้ของตนด้วยสายตาที่แสดงถึงความไม่พอใจ ดั่งเช่นว่าหากเบลล์กล่าววาจาอันใดขึ้นมาอีกครั้งล่ะก็เขาก็จะฆ่าชายผู้นั้นซะ ทันทีที่ลูกน้องผู้นั้นเห็นดวงตาคู่นั้นที่มองมาหาเขา เขาจึงเงียบไปในทันที ก้มหัวลงราวกับกำลังเกรงตัวต่อพลัง สวามิภักดิ์อย่างไร้การขัดขืน
“ต่อให้พลังของข้ายังฟื้นกลับมาไม่เต็มร้อย... ตัวข้าเพียงคนเดียวก็สามารถขยี้เมืองนั่นให้เละเป็นผงได้อยู่แล้ว”
“ฉึกกกกก!” เสียงของวัตถุมีคมอะไรสักอย่างแทงเข้าที่ร่างของมารแห่งความตาย มันเป็นดั่งกระสุนน้ำแข็งอันแหลมคมที่พยายามจะเจาะไปในใจกลางของอกไซอาลอท หวังจะให้มันทะลุหัวใจแห่งอัคคีไป แต่กระสุนลูกนั้นหาได้ฝังลึกลงไปที่ร่างของมารเพลิงเลย กลับกันมันกลับทำได้แค่สร้างรอยขีดข่วนให้กับผู้ถูกโจมตีเท่านั้น เมื่อนั้นอสูรร้ายจึงดึงกระสุนที่ปักอยู่กลางอกของตนออก ด้วยหัตถ์แห่งอัคคีที่ร้อนระอุราวกับพระอาทิตย์เองทำให้กระสุนเยือกแข็งนั้นละลายกลายเป็นน้ำ ระเหยกลายเป็นไอในพริบตา ผู้ถูกโจมตีหันไปมองยังทิศทางของกระสุนนั้นโดยผู้ยิงกระสุนนั้นก็เป็นนักปราชญ์ผู้ใช้ปราณน้ำแข็ง ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจมากที่ได้ยินวาจาของไซอาลอทเมื่อครู่จนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้และออกแรงโจมตีไป แม้นว่าชายผมทองผู้นั้นจะถูกล็อคโดยพันธนาการแห่งเบลล์อยู่ แต่มือของเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขยับอันใดเลยหากต้องการที่จะยิงกระสุนน้ำแข็งออกจากร่างของตน เขาเพียงแค่ใช้หลักการเหมือนกับผิวหนังที่ขับเหงื่อไคลออกเท่านั้น แต่จะผสานปราณลงไปเพื่อเป็นแรงถีบกระสุนไปข้างหน้า
มารตนนั้นหาได้โจมตีกลับไปแต่อย่างใด เขามองไปหาเนลเรี่ยนด้วยความแปลกใจเสียมากกว่า แปลกใจในความกล้าหรือความโง่ที่คิดจะสังหารมารเพลิงด้วยพลังอันน้อยนิดที่ตนเองมี ดั่งเช่นมดปลวกที่พยายามจะกัดกายาของมันเพื่อสร้างความเจ็บปวดให้ แต่สิ่งที่พวกนั้นได้รับหลังจากที่ต่อยร่างของบุคคลนั้นๆ คือความตาย พวกมันถูกตบตีจนถึงแก่ชีวิต แต่นั่นหาใช่สิ่งที่ไซอาลอทประสงค์ที่จะทำต่อเนลเรี่ยน เขาเพียงแค่มองชายผู้นั้น สังเกตไปที่แขนขวาของผู้ใช้พลังเยือกเย็น และพบเห็นปราณน้ำแข็งผลึกสีทมิฬที่ดูดกลืนแสงแทนที่จะเป็นสะท้อนแสงเฉกเช่นกับผลึกปกติ
“พลังของเจ้า... มันจะแสดงขึ้นก็ต่อเมื่อเจ้าโมโห และใช้มันไปโดยไม่รู้ตัว” มารเพลิงกล่าว
“น่าสนใจๆ” เขาพูดต่อ “ข้ามีประสงค์ที่จะใช้พลังเจ้าแน่ในยามที่ข้าจะทำลายล้างโลก”
“เพราะฉะนั้นข้าจะไว้ชีวิตเจ้าจนกว่าจะถึงตอนนั้น”
“ส่วนแม่สาวที่อยู่ข้างกายเจ้าและทุกคนบนแผ่นดินเอสซิโอนิค จะต้องตาย!”
ในระหว่างที่มารเพลิงแห่งความตายกล่าววาจาของตนแก่เนลเรี่ยน เขาก็พลางเดินไปหาชายผู้นั้นด้วย ราวกับว่าสนใจกับพลังปราณของชายหนุ่มผู้นี้มากและอยากจะเห็นมันอย่างใกล้ๆ และชัดๆ แต่ลมปากทั้งหลายเหล่านั้นของมารเพลิงสร้างความไม่พอใจแก่เนลเรี่ยนเอามากๆ จนชายผู้นั้นใช้อารมณ์ในการกระทำ เขาถุยน้ำลายใส่หน้าของปีศาจที่อยู่เบื้องหน้าของเขา นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้แม้ว่าตัวเขาอยากจะอัดมารตนนี้ขนาดไหนก็ตาม แต่หินที่ยังผนึกร่างเขาไว้อยู่มิอาจจะทำให้เขาทำเช่นนั้นได้ กระนั้นของเหลวที่เขาเปล่งออกไปก็หาได้ทำอันตรายอันใดกับมารเพลิงได้เลยสักนิด ความตั้งใจของเนลเรี่ยนหวังจะใช้น้ำลายนั้นให้กลายเป็นอาวุธ ผ่านทางปราณของเขาที่แช่แข็งจนกลายเป็นของแข็งและยิ่งไปสู่ใบหน้าของมารเพลิง แต่ด้วยความร้อนจึงทำให้มันไม่สามารถก่อตัวได้ และระเหยไปเมื่อน้ำลายนั้นสัมผัสที่ใบหน้าของมารเพลิง
แน่นอนว่าการกระทำของเนลเรี่ยนนั้นสร้างความไม่พอใจแก่อสูรร้ายตนนี้มาก มันไม่รอช้าจึงบีบคอชายผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของตนที่เหยียดหยามตัวเขาในทันที หัตถ์แห่งเพลิงของไซอาลอททำให้คอของเนลเรี่ยนที่ถูกสัมผัสนั้นร้อนไปหมดจนแทบจะไหม้กลายเป็นธุลี การกระทำของชายหนุ่มสร้างความไม่พอใจแก่มารเพลิงมาก ไม่นานนักเขาก็ดึงร่างของชายผู้นั้นจนหินที่ล็อคร่างของหนุ่มผมทองแตกออกจนเนลเรี่ยนหลุดจากพันธนาการ แต่เขาก็หาสู้กำลังที่มากกว่าตัวหลายเท่าของมารเพลิงได้ ไซอาลอทยกตัวของเนลเรี่ยนด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วทุบร่างของชายผู้นั้นลงกับพื้น ชายผู้ถูกกระแทกลงสู่ผืนดินร้องด้วยความเจ็บปวด ซ้ำมารร้ายตนนั้นยังบีบคอของเนลเรี่ยนแรงเสียยิ่งกว่าเดิม ทำให้เขารู้สึกทรมาณกว่าเมื่อครู่ หญิงสาวที่ยังถูกพันธนาการคุลมกายอยู่เริ่มทนไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอดิ้นพล่านเพื่อที่จะให้หลุดและไปช่วยชายผู้นั้น
“รู้สึกรักษามารยาทเวลาที่มีคนพยายามที่จะพูดกับเจ้าหน่อยสิ!” มารเพลิงกล่าว
“เพราะถ้าไม่... เจ้าจะได้รู้สึกถึงความทรมาณดั่งตายทั้งเป็นแน่”
“พอได้แล้ว!” จู่ๆ หญิงสาวก็ตะโกนแทรกขึ้นมา “หยุดซะที!”
เมื่อมารเพลิงได้ยินเสียงตะโกนของหญิงสาวที่ขอร้องให้หยุด เขาลุกขึ้นมองเธอด้วยความแปลกใจ
“เจ้าขอให้ข้าหยุด?” ไซอาลอทกล่าว
“หึหึหึ.... ฮ่าฮ่าฮ่า!” จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “ชารอนผู้กล้า นักฆ่าปีศาจเนี่ยนะขอร้องให้ข้าหยุด?”
“เพราะเหตุใดกันหรือที่เจ้าร้องขอให้ข้าหยุด?”
“มันเป็นเพราะเจ้าทนดูไม่ได้..”
“หรือว่าเจ้ากำลังหลงไปทางที่เจ้าไม่ควรจะไป?”
“หลงใหล คลั่งไคล้ พิศวาส... รัก?”
ทันทีที่คำพูดสุดท้ายของมารเพลิงถูกกล่าวออกไป หญิงสาวดูท่าจะโมโหเอามากๆ เธอใช้กำลังดิ้นด้วยพลังที่เหลือกว่าเมื่อครู่มาก หินที่ใช้ล็อคตัวของเธอดูเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่มันก็ยังสามารถต้านทานเธอได้อยู่
“โอ้วนี่ข้าจี้จุดใจดำเจ้าหรือ?” มารเพลิงกล่าวขึ้นมาราวกับเป็นการเยาะเย้ย
“แต่มันก็น่าแปลกจริงๆ นะ... ที่แวมไพร์... จะมีความรักกับมนุษย์”
“แวม... ไพร์?” เนลเรี่ยนพยายามจะกล่าวขึ้นมา เสียงเขาดูสั่นเพราะถูกมารเพลิงเล่นงานไปเมื่อครู่
ไซอาลอทหันไปมองเด็กหนุ่มผู้นั้นหลังจากที่คำถามนั้นถูกกล่าวขึ้นมา
“เดี๋ยวนะ” มารเพลิงกล่าวขึ้น “นี่เธอไม่เคยบอกเจ้าหรือ?”
“ก็ไม่แปลกหรอก เจ้าก็รู้ว่าในโลกนี้มันยังเหลือแวมไพร์อยู่ซะที่ไหนล่ะ”
“ยกเว้นเพียงแค่บุคคลเดียว...”
แวมไพร์... สิ่งมีชีวิตคล้ายดั่งมนุษย์ พวกเขาน่าจะสูญพันธุ์ไปได้เป็นเวลานานแล้วนี่ ทำไมไซอาลอทถึงได้อ้างว่าเธอคือหนึ่งในแวมไพร์ล่ะ อดีตพวกเขาเคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโพรโตเนี่ยน มีพลังปราณที่เหนือกว่าสิ่งใด ซึ่งเพียงอีกระดับเล็กๆ เท่านั้นพวกเขาก็จะอยู่ในระดับเดียวกันกับเหล่าผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยนแล้ว ตามปกติแล้วแวมไพร์จะแพ้แสงแดดก็จริง แต่ด้วยที่พวกเขามีปราณที่แกร่งจึงสร้างบาเรียคุ้มกันกายได้ตลอดเวลา ทนทานสิ่งเร้า สภาพแวดร้อมได้ทุกอย่าง ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างพวกเขาจึงหายไปและเป็นที่แน่ชัดในภายหลังว่าพวกเขาได้สูญพันธ์ไปจากโลกราวนับศตวรรษแล้ว แล้วเหตุไฉนมันจึงจะมีเหตุผลที่สมเหตุสมผลพอที่หล่อนจะเป็นแวมไพร์ได้ล่ะ
“เนลเรี่ยน... ท่านอย่าได้ไปฟังลมปากของจอมมารเด็ดขาด ท่านผู้นั้นกำลังโกหกท่านอยู่”
“อ๋อเหรอ?” ไซอาลอทกล่าว “ข้าเนี่ยนะกำลังโกหกชายผู้นี้อยู่?”
“ใครๆ ก็รู้ว่าท่านมีคำพูดเป็นดั่งอาวุธชิ้นที่สอง แล้วใครจะเชื่อลมปากท่านล่ะ?” ชารอนกล่าวสวนขึ้นมา
“อืม... ก็ชายผู้นี้ไง” มารเพลิงตอบ
“ข้าขอเดานะว่าเจ้านี่คงเคยจะสู้กับเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง” มารเพลิงพูดต่อ
“สำหรับการต่อสู้ในครั้งนั้นเจ้าคงจะมองว่าเธอลมปราณแตกซ่านใช่หรือเปล่า?”
เนลเรี่ยนเงียบไป และนั่นก็คือสิ่งที่เขาคิดในใจมาโดยตลอด
“หากแต่ว่าถ้านั่นไม่ใช่ลมปราณแตกซ่านล่ะ?”
“ข้าจะบอกอะไรให้เนลเรี่ยน... นั่นคือตัวตนต่างหาก”
“ตัวตนที่แท้จริงของกุลสตรีผู้คิดจะปกป้องโพรโตเนี่ยน... มันก็ไม่ได้ต่างไปจากข้าเสียเท่าไหร่หรอก!”
“กระหายเลือด! ซาดิส! อยากที่จะฆ่า... ต้องการโลหิตเพื่อดับความอยาก”
“นั่นล่ะคือสิ่งที่หล่อนเป็น..”
“แล้วทีนี้.. เจ้าจะยังเชื่อใจหล่อนไปใย เพราะท้ายที่สุด... ตัวหล่อนเองนั่นล่ะที่จะฆ่าเจ้า และดื่มเลือดพิเศษของเจ้าจนสิ้น”
“อย่าไปฟังเด็ดขาดท่านเนลเรี่ยน! มันกำลังหลอกท่านอยู่!” หญิงสาวตะโกนขึ้นและใช้นามเรียกไซอาลอทเป็นมัน ต่างจากทุกครั้งที่เธอจะพูดว่าท่านเสมอ แม้จะเป็นศัตรูก็ตามที
“สวามิภักดิ์ต่อข้าเนลเรี่ยน... พลังเจ้าจำเป็นต่อข้า”
“แล้วเจ้าจะอยู่รอดไปถึงวันสุดท้ายของดวงดาวแห่งนี้”
มิทันไรเมื่อสิ้นวาจาของมารร้ายตนนั้น เนลเรี่ยนจึงจับขาของมารเพลิง เปล่งปราณน้ำแข็งอันแรงกล้าใส่ขาข้างนั้นของมารเพลิงจนมันขยับไม่ได้ แม้นไฟนรกของไซอาลอทก็มิอาจจะทลายผลึกน้ำแข็งสีทมิฬได้ในทันที ว่าแล้วเนลเรี่ยนจึงลุกขึ้นยืน ออกหมัดไปกระแทกใส่หน้าของอสูรร้ายตัวนั้นอย่างจังจนมารเพลิงปลิวออกไป ไถลกับพื้นดินก่อนที่มันจะค่อยๆ ลุกขึ้นมา ในเวลาเดียวกันนั้นเองชารอนก็หลุดจากพันธนาการได้จากความช่วยเหลือของเนลเรี่ยน เขารวมปราณของตนเองให้กลายเป็นดาบน้ำแข็งที่หนาแน่นเสียยิ่งกว่าหินแล้วฟันหินที่รัดแขนขาของหญิงสาวผู้นั้นจนแตก มารเพลิงดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อนั้นเบลล์ก็พยายามจะโจมตีใส่ทั้งชารอนและเนลเรี่ยนพร้อมกันด้วยพลังปราณสีเขียวที่ถูกยิงเป็นลูกเพลิงแห่งความตาย ทันใดนั้นเองผู้ใช้ปราณน้ำแข็งจึงสร้างกำแพงเยือกแข็งรับการโจมตีนั้น มันสามารถปกป้องพวกเขาจากอันตรายได้ ก่อนที่มันจะแตกสลายไป
สีหน้าของไซอาลอทแลดูจะไม่สบอารมณ์เสียทีเดียว นั่นคงเป็นเพราะว่าการกระทำของเนลเรี่ยนเมื่อครู่นี้เป็นแน่แท้
“เจ้าเลือกข้างผิด” มารเพลิงกล่าว
“หากนั่นหมายถึงว่าข้าต้องมองดูดาวดวงนี้แหลกสลาย และยังไงข้าก็ตายอยู่ดี”
“ในตอนนี้จะช้าหรือเร็วมันก็ไม่เกี่ยงแล้ว! หากข้าจะตาย... ข้าขอตายในแบบที่ข้าต้องการดีกว่า!” ชายหนุ่มผมทองผู้นั้นกล่าว
“ก็ได้...” มารเพลิงกล่าว
“ถึงข้าจะฆ่าเจ้าในตอนนี้ไม่ได้เลย แต่คงต้องใช้ไม้แข็งกันหน่อยแล้ว”
เมื่อนั้นชายหญิงทั้งสองก็ตั้งท่าเตรียมรอการโจมตีของมารเพลิง ส่วนไซอาลอทก็เริ่มรวบรวมพลังปราณของเขาไปไว้ที่หัตถ์ทั้งสอง ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตามทีแต่ร่างกายแทบทุกส่วนของเขาเริ่มมีปราณที่เพิ่มพูลขึ้นมา กายาของนายแห่งความตายส่องแสงเป็นสีเพลิงพิโรธ สื่อที่จะสังหารทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าของมัน ผู้เป็นข้ารับใช้เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็รู้ว่าตนต้องทำอะไร เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมาอยู่เบื้องหลังของไซอาลอทและเตรียมตัวที่จะต่อสู้ร่วมกับนายท่านของตน ทุกคนต่างพร้อมที่จะต่อสู้ แต่ทั้งชารอนและเนลเรี่ยนจะสามารถหยุดทั้งสองได้ไหม จริงอยู่ที่ว่าที่ทั้งสองมีอะไรที่พิเศษเหนือกว่าคนอื่น แต่เบื้องหน้าที่พวกเขากำลังเจอคือมารแห่งความตาย หนึ่งในผู้ที่มีปราณสูงที่สุดในดวงดาวแห่งนี้และในตอนนี้ก็เหมือนว่าจะเป็นผู้ที่มีพลังสูงสุดเสียด้วยซ้ำ
“เบลล์... ฆ่ายัยแวมไพร์นั่น”
“ส่วนข้าจะจัดการกับเด็กคนนั้นเอง... ข้าต้องการพลังของมันเพื่อบรรลุสิ่งที่ข้าปรารถนา”
ทันใดนั้นที่ดวงตาของหญิงสาวผมแดงทั้งสองข้างก็มีน้ำตาไหลออกมา แต่มันหาใช้น้ำตาธรรมดาหากแต่เป็นน้ำตาโลหิต มันไหลรินอาบหน้าของเธอก่อนที่ปราณจะเอ่อล้นทั่วทั้งร่าง มันเป็นสภาพที่เนลเรี่ยนไม่เคยเจอมาก่อน ไม่นานนักดวงตาของหล่อนก็กลายเป็นสีแดงฉานคล้ายกับเลือด ปราณของเธอกลายเป็นสีแดงเช่นกันและสามารถมองเห็นมันด้วยตาเปล่า จู่ๆ ฟันเขี้ยวของหล่อนก็ยาวออกมาผิดปกติ แลดูคล้ายกับแวมไพร์ไม่ผิดเพี้ยน เนลเรี่ยนมองไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธออย่างพิศวง มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนเลยสักครั้ง หรือว่านั่นจะเป็นพลังที่แท้จริงของเธอตามที่ไซอาลอทพูดไว้ พลังแห่งแวมไพร์.. พลัง... ปราณมันต่างออกไปอย่างชัดเจน... ออร่าแบบนั้น... ลักษณะแบบนั้น มันเหมือนกับที่เนลเรี่ยนเคยอ่านในหนังสือโบราณเล่มนั้น
“นั่นมัน...”
“คุณสมบัติของธาตุเลือด!”