Cataclysm: Endless Hellfire
Act XXXII
------------
“คือว่า...”
“องค์กษัตริย์โครนอสได้สิ้นพระชนม์ลงแล้วครับ..”
วาจานั้นเปล่งออกมาจากปากของชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นบรรณารักษ์แห่งหอสมุดสตอร์มโฮล์ม ลูเซียสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยจะยินดีเสียเท่าไหร่ บวกกับเนื้อหาเพียงแค่ประโยคเดียวที่เขาพูดไปนั้นมันยิ่งทำให้น้ำหนักคำพูดดูจริงจังมากขึ้น และทำให้สภาพแวดล้อมภายในห้อง ทุกคนที่ฟังเขาเครียดไปในทันที เกิดความวิตกกังวลโดยเฉพาะตัวของชารอนเอง ด้วยความที่เธอเป็นสหายขององค์ราชาผู้นั้นเป็นเวลานานมันจึงไม่แปลกเลยที่หล่อนจะรู้สึกตกใจยิ่งกว่าใครๆ หล่อนนั่งลงไปกับเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวนัก พูดอะไรไม่ออก แต่หล่อนก็พอจะเดาได้ว่ามันได้เกิดขึ้นและเกิดขึ้นยังไง เธอพอจะเดาได้ว่ามารเพลิงต้องตั้งเป้าหมายที่จะทำลายล้างสตอร์มโฮล์มเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว เหมือนดั่งการแก้แค้นต่อโคลริมที่ปกป้องมนุษย์เหล่านั้นมาเป็นเวลานาน หักหน้าผู้พิทักษ์ที่ตายลงไป สร้างความสะใจ พึงพอใจให้แก่ตนเอง
“ข้าไม่ค่อยจะตกใจล่ะนะ พอดีข้ารู้แล้ว...” อัลทานิสกล่าวสวนขึ้นมาภายใต้ความเงียบงัน
มันดูเหมือนเป็นการกวนโอ๊ยของชายผู้นี้ตามนิสัยของเขา ทั้งน้ำเสียงที่พูดออกมาและท่าทางที่สื่อออกมา ดั่งว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็จริงของเขา สำหรับชายผู้นี้เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอันใดต่อโครนอสเลยแม้แต่น้อย มิน่าล่ะที่ทำไมประชาชนในเมืองซันดาซัสแห่งนี้จึงแทบจะไม่ทำการค้าขายอันใด และตกอยู่ในความเงียบงัน เศร้าสร้อยแบบนี้ แสดงว่าทางเมืองนี้เองก็คงรู้ข่าวถึงการจากไปของผู้ปกครองทวีปแห่งนี้แล้ว ถึงกระนั้นก็ตามที การที่ชายผู้นี้มาพูดอะไรแบบนี้ในสถานการณ์แบบนี้มันดูไม่ค่อยเหมาะสมนัก หากมิใช่เพราะเขาคือกุญแจที่นำไปสู่ชัยชนะต่อมารเพลิงแล้วชารอนก็คงจะลุกขึ้นไป ออกหมัดของตนเข้าไปกลางใบหน้านั้น กระแทกจมูกให้แหลก ให้กระดูกแต่ละส่วนร้าวไปตามความแรงของมือตนที่มันจะสามารถไปได้ตามอารมณ์โทสะ
แม้นคำพูดนั้นจะถูกกล่าวออกไปในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมก็ตามที แต่มันก็หาได้ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันอย่างสมบูรณ์ พูดอะไรไม่ออก มิทันไรชายหนุ่มผู้ที่พูดวาจาของตนจึงขยับตัว เดินไปอย่างกับว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลย เขาเดินไปที่ครัวของห้อง เปิดตู้เก็บของไม้สลักอันงดงามออก หยิบขวดเหล้าในตู้ที่เก็บไว้เป็นอย่างดี เปิดจุกมัน ก่อนจะรินมันลงใส่แก้วใบหนึ่ง มันมีสีแดงดูน่าเอร็ดอร่อย เขาถือแก้วนั้น เริ่มเดินไปยังห้องพักของตนที่มีหญิงสาวมาเดียร่านอนหมดสติอยู่ ทุกคนต่างสงสัยว่าสิ่งที่เขากำลังทำนั้นสื่อถึงอะไรอยู่ และกระทำแบบนั้นออกมาทำไม แน่นอนว่าอัลทานิสสามารถรับรู้ได้ว่าทั้งชารอนและลูเซียสผู้ซึ่งเป็นแขกมาเยือนของเขา จ้องมองพฤติกรรมที่ตัวชายหนุ่มผมสีน้ำตาลสั้นกำลังกระทำอยู่ เขาจ้องมองกลับไปหาแขกของเขาทั้งสองด้วยสายตาที่ต่างจากคนพวกนั้น มันเป็นสายตาดั่งกำลังสร้างคำถามขึ้นแก่ชารอนและลูเซียส พยายามจะให้พวกเขารู้สึกตัวว่าสิ่งที่ควรจะทำในตอนนี้มันคืออะไร
“พวกเจ้ามองข้าเหมือนดั่งไม่พอใจกับสิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่” เขาพูดมันออกมาตรงๆ
“แต่ข้าจะมิจมปรักกับความเศร้าโศกนั้น” เขาพูด “ข้ารู้จักโครนอสดี.. และข้ารู้ว่าเขาเป็นคนยังไง”
“เจ้าเองก็มิใช่หรือชารอน?”
เขาตั้งคำถามนั้นแก่หญิงสาวผมแดง เธอหาได้ตอบวาจาอันใดกลับไป
“และเจ้าก็เหมือนกันไอ้หนู.. ครั้งแรกที่ข้าจับมือกับเจ้า ข้ารู้ว่าตัวโครนอสมีความสำคัญกับเจ้าขนาดไหน” อัลทานิสพูดต่อ
“แต่พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ตามที่ฟ้าลิขิตได้กำหนด ตามที่โครนอสต้องการให้เป็น..”
“อย่าเอาความเศร้าโศกมาทำให้ทุกอย่างพินาศลง วันนี้มีคนจากไป พรุ่งนี้มันก็จะมีอีก”
“และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนที่ตายไปแล้วต้องการหรอก..”
ทันใดที่อัลทานิสกล่าวมันจนจบ เขาหันหลังให้แก่บุคคลทั้งสองนั้น หยุดวาจาของตนไป
“ข้าจะรักษาเด็กสาวคนนั้น และข้าอยากจะให้พวกเจ้าทำอย่าง..” เขากล่าวขึ้นมาต่อทั้งที่ไม่ได้สบตากับคนเหล่านั้น
“ข้าเชื่อว่าเนลเรี่ยนยังไม่ตาย เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากให้พวกเจ้าตามหาเขา”
“แล้วพวกเราจะตามหาเขาได้ที่ไหนกันล่ะคะ?” ชารอนเริ่มคิดคล้อยตามอัลทานิส เปลี่ยนความเศร้าให้เป็นพลัง และกล่าวถามชายผู้นั้น
“ข้าเชื่อว่าเขาคงอยู่ในดินแดนแห่งหิมะ สโนว์เพลค” อัลทานิสตอบกลับ
“เป็นไปได้ว่าเขากำลังจะฝึกอยู่..”
“กับใครกัน?” เธอถามขึ้น
“คนที่เจ้าคุ้นเคยน่ะ ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง”
------------
ณ ดินแดนเชตเตอร์เร็ด ฟิยอร์ด ดินแดนซึ่งเป็นดั่งฐานทัพของกลุ่มผู้ใช้พลังแห่งบาป ภายในหอคอยทรงประหลาดที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความตายสีมรกตเอ่อล้น ตั้งอยู่ใจกลางของผืนดินแห่งนั้น มีห้องโถงอันแสนมืดมิดของตัวหอคอยซึ่งเป็นที่ตั้งของบัลลังก์ราชาปีศาจ บนเก้าอี้นั้นที่เบลล์แห่งบาปเคยประทับอยู่มีชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งกำลังนั่งมัน เป็นชายที่มีร่างเรืองแสงออกตามรอยแตกที่เกิดขึ้นเป็นเพลิงลาวา แสงแห่งความจตายสีส้มดั่งเช่นเพลิงพิโรธสาดส่องจนทำให้สามารถมองเห็นกายานั้นได้ นั่นคือไซอาลอทที่กำลังนั่งแทนที่ของมือขวาของเขาอยู่ และมีเหล่าผู้ใช้พลังบาปทั้งหลายที่ทำงานให้แก่เบลล์และมารเพลิงผู้นี้นั่งคำนับมารร้ายด้วยความเคารพ แต่มันหาได้เป็นแค่การเคารพอย่างแท้จริงซะทีเดียว บางคนก็มีอาการหวาดกลัวไซอาลอทผู้นี้ พยายามที่จะเลี่ยงไม่ยอมสบตาแห่งความตายนั้น สายตาที่เรืองแสงดั่งเช่นว่ามันสามารถคร่าชีวิตของใครก็ตามที่สบตามันได้ นั่นล่ะคือความกลัวที่มารเพลิงนั้นมีอยู่
เบื้องหน้าของเก้าอี้บัลลังก์หินที่หัวหน้ากองกำลังแห่งบาปนั่งประทับอยู่ชายผู้หนึ่งที่แต่งตัวต่างออกไปจากผู้ใช้พลังบาปทุกคนโค้งคำนับตัวมารเพลิงเช่นกัน แต่คนผู้นี้กลับหาได้มีความกลัวดั่งเช่นใครอื่น เขาคือผู้ใช้พลังปราณธาตุพิเศษ ผู้ทรยศต่อสตอร์มโฮล์มและสวามิภักดิ์ให้แก่ความตาย เซรดริก.. ไม่สิราธ แสดงความเคารพต่อผู้ที่ขึ้นชื่อว่าความตายเบื้องหน้าตน กระนั้นเองไซอาลอทก็หาได้พึงพอใจนักกับผู้ที่กำลังโค้งคำนับเขา สายตาของมารเพลิงดูไม่ค่อยพอใจในตัวราธเท่าไหร่
“เจ้าทำให้ข้าผิดหวังราธ” มารเพลิงกล่าวขึ้นมา
“ต้องขออภัยท่านด้วยจริงๆ ขอรับ” ชายผู้นั้นกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่สงบเสงี่ยม ดูไม่มีความเกรงใจอันใด ปกติแล้วถ้าเป็นคนอื่นที่ถูกกล่าวมาเช่นนี้ คนผู้นั้นต้องกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแน่
“ข้าทำให้ท่านผิดหวังที่ไม่อยากพาตัวของลูกท่านมาได้... แต่อะไรหลายๆ อย่างในตอนนี้มันผิดแผนไปหน่อยน่ะขอรับ” เขากล่าวขึ้น
“เพราะเจ้ามดปลวกแม่ทัพของโครนอสนั่นทำให้แผนต้องล้มเหลว”
“หุบปาก!” เขากล่าวขึ้นมา “แค่งานในรอบแรกที่ข้าให้มันกับเจ้าหลังจากที่ข้าต้องทนหลับไหลเป็นเวลานานยังล้มเหลว”
“แบบนี้เจ้ายังจักสมควรก้มต่อหน้าข้า กล่าววาจาโดยที่ไม่รู้สึกอันใดอีกหรือ?”
“ข้ารู้สึกผิดด้วยใจจริงขอรับนายท่าน” ราธกล่าวตอบ “ท่านจะลงโทษอันใดต่อข้าก็น้อยรับแต่โดยดี”
“แต่ครั้งหน้าข้าจะไม่ทำให้ตัวท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอนขอรับ”
“งั้นก็ดี” มารเพลิงกล่าวขึ้น
ทันใดที่มารร้ายแห่งความตายกล่าววาจาของตนขึ้นมา เขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวเดินบาทาอัคคีที่สร้างความร้อนระอุทุกครั้งที่มันย่างกรายไปยังพื้นดินแห่งใดก็ตาม ไซอาลอทก้าวขาของตนทั้งสองข้าไปช้าๆ หยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของราธที่ยังคงก้มลงเคารพอยู่ เขารู้สึกได้ถึงเพลิงร้อนที่อยู่ใกล้ผิวหนังของตน มันร้อนจนแทบจะรู้สึกว่ามันสามารถละลายผิวหนัง กายหยาบนี้ได้ในเวลาไม่กี่อึดใจ ผู้น้อยนักใช้ปราณแห่งวอยด์หาได้กล่าววาจาอันใดตอบกลับ แถมยังเริ่มแสดงท่าทีที่มีอาการกลัวเล็กน้อย แม้นว่ามันจะไม่ชัดเจนก็ตามแต่มารเพลิงสามารถรู้สึกถึงมันได้ ดวงตาแห่งไฟจ้องมองหัวของราธราวกับว่ามองมันทะลุลงไปสู่กะโหลก ดั่งว่ามองเข้าถึงสมอง อ่านความคิดของชายผู้นั้นทั้งที่ตนไม่สามารถทำได้ เป็นการทำให้มั่นใจว่าผู้น้อยที่เคารพตนเบื้องหน้านี้ถวายชีวิตและทำตามในสิ่งที่ตนบัญชาทุกอย่างหรือไม่
“ลุกขึ้น” เพลิงแห่งความตายกล่าวต่อชายผู้นั้น
เมื่อมารเพลิงกล่าวในเชิงเป็นคำสั่งให้แก่ราธ ชายผู้นั้นก็มิลังเลที่จะลุกขึ้นมาตามคำบัญชาในทันที นักดาบผู้ใช้ปราณพิเศษผู้นั้นจ้องมองเข้าไปในดวงตาของมารเพลิงอย่างไม่เกรงกลัว แต่มันเป็นสายตาแห่งความภักดี สายตาที่บ่งบอกถึงความไว้ใจต่อความตายนั้น ถึงกระนั้นดวงตาคู่นั้นที่สบตามองต่อความตายก็ยังคงมีความสงสัยปะปนอยู่ ความสงสัยที่ว่าเหตุอันใดเขาจึงต้องลุกขึ้นมาตามคำบัญชา ไซอาลอทกำลังคิดอะไรภายในใจและกำลังจะกระทำต่อเขา
“มีอะไรหรือครับนายท่าน?” เขากล่าวถามโดยที่พยายามจะไม่แสดงความกลัวอันใดออกมา
“ข้าต้องการให้เจ้าไปกับข้า.. ยังสถานที่แห่งหนึ่ง” มารร้ายกล่าวตอบ
“ที่แห่งใดกันหรือขอรับ?”
“สำนักดาบทมิฬ.. สถานที่ซึ่งข้าจะไปนำพลังแห่งข้าคืน!”
เขากล่าวมันออกมาก่อนที่จะเดินนำข้ารับใช้ของเขาไป เสียงฝีเท้าดังกึกก้องทั่วห้องโถงสร้างเสียงดังและความกลัวให้แก่ทุกคนที่อยู่ภายในห้องนั้น เมื่อไซอาลอทเดินไปถึงประตูของหอคอยแล้ว มันจึงเปิดออกอย่างอัตโนมัติอย่างทันทีทันใดราวกับว่ารู้ถึงพลังแห่งเพลิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของมัน เมื่อนั้นราธจึงเดินตามนายท่านแห่งเพลิงของตนไปแม้นตนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เพลิงพิโรธกล่าวขึ้นมาก็ตามที สิ่งที่ไซอาลอทพูดถึงอยู่นั้นคือพลังแห่งเบลล์ที่เจ้าแห่งสำนักดาบทมิฬเก็บมันมาในยามที่เบลล์ได้ทำการเปิดระบบการใช้งานของอาวุธชีวภาพแห่งวอยด์ มารเพลิงเคยบอกแก่เจ้าสำนักผู้นั้นว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาตื่นขึ้นมาจากผนึก เขาจะมาเอาพลังที่มันเป็นของเขากลับคืนหากชายผู้นั้นหาได้คืนมันแก่เบลล์แต่ทีแรก แต่ในยามนี้เบลล์ผู้เป็นเจ้าของพลังนั้นได้ตายไปแล้วจากน้ำมือของหญิงสาวแวมไพร์มันจึงทำให้ชายผู้นั้นมิอาจจะคืนพลังได้แม้นว่าเขาประสงค์ที่จะคืนมันกลับก็ตามที ทันทีที่ชายทั้งสองเดินออกไปนอกหอคอยนั้น พวกเขาหยุดฝีเท้าของตนลง
“เปิดประตูมิติ..” ไซอาลอทกล่าวขึ้นมาอีก
“ไปยังเมืองแห่งทิโอริน... เบื้องหน้าแห่งสำนักดาบทมิฬ”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
เมื่อนั้นผู้ใช้พลังแห่งวอยด์ ชายที่สามารถเปิดประตูมิติแห่งกาลเวลาได้จึงทำตามในสิ่งที่ไซอาลอทบัญชา เขาเดินนำหน้ามารเพลิงไปไม่กี่ก้าว เมื่อชายผู้นี้อยู่เบื้องหน้าของมารเพลิงแล้วเขาจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้น เปล่งพลังปราณสีม่วงเข้มของตนออกมาจากหัตถ์ทั้งสอง เบื้องหน้าของชายทั้งสองจึงเริ่มเกิดความบิดเบือนของมิติ เป็นการสร้างประตูมิติดั่งรูหนอนที่ใช้ในการเดินทางในช่วงเวลาอันสั้น แต่การที่จะสร้างประตูมิติที่เดินทางระยะข้ามดินแดนแบบนั้นมันหาใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เนื่องเพราะต้องใช้ปราณจำนวนมหาศาลและต้องใช้สมาธิอย่างมาก จากจิตเกิดการแปรปรวนแม้แต่น้อยอาจทำให้มิติเกิดความผิดเพี้ยนและไม่สามารถไปยังสถานที่ๆ ผู้สร้างประตูหวังที่ให้มันเป็นได้ แถมยิ่งเป็นการเดินทางจากดินแดนแห่งนี้ไปยังมาทาลิอัส ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองทิโอรินอีกมันยิ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่าเดิม เพราะสถานที่ทั้งสองอยู่ที่ขั้วแดนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ณ ดินแดนที่ไซอาลอทกำลังอยู่ในตอนนี้อยู่ทางตอนใต้ของทวีปเอสซิโอนิค และมาทาลิอัสมันอยู่ทางด้านตอนเหนือจนแทบจะบนสุดของทวีป จึงมีแต่ผู้ใช้พลังปราณระดับสูงเท่านั้นที่พอจะสร้างประตูมิติและเดินทางไปได้อย่างปลอดภัย และราธเองก็เป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งพอที่จะสร้างประตูมิตินี้ได้
ความบิดเบือนของมิติเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นประตูที่ถูกสร้างขึ้น มันเป็นประตูมิติโดยสมบูรณ์แบบ เชื่อมต่อยังดินแดนมาทาลิอัสซึ่งเป็นเป้าหมายการเดินทางของมารเพลิง ภายในของมิตินั้นสามารถมองเห็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นดั่งกระจกส่องทะลุไปยังดินแดนแห่งนั้น ทันใดนั้นผู้ออกคำสั่ง มารแห่งความตายจึงย่างกรายเข้าไปในมิตินั้นก่อน ทันทีที่ชายผู้นั้นเหยียบเท้าลงไปใส่ผืนดินแห่งนั้น เขารู้สึกได้ถึงความต่างของแผ่นดินอย่างชัดเจน ดินแดนเดิมก่อนเขาเดินทางนั้นเต็มไปด้วยหญ้าแห้งไร้ชีวิตที่กำลังถูกผืนดินกลืนลงและสลายตัว กลับกัน ณ ดินแดนซึ่งเป็นเป้าหมายในการเดินทางนี้กลับเป็นดินที่รู้สึกราวกับว่ามันมีชีวิต ไซอาลอทรู้สึกถึงมันทันทีที่เหยียบเท้าลงที่ผืนดินนั้น เมื่อนั้นมารเพลิงจึงรุดตัวไป สู่ดินแดนมาทาลิอัสที่เป็นเป้าหมาย เขาอยู่บนเทือกเขาแห่งหนึ่งของผืนดินนั้น ใกล้กับสถานที่ๆ เป็นที่ตั้งของสำนักนักฆ่านั้น เขาสามารถมองเห็นมันได้ในระยะที่ไม่ค่อยไกลนัก หากเดินด้วยเท้าแล้วคงใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ถึงที่หมาย เช่นนั้นแล้วราธจึงตามมารเพลิงเข้าไปในมิติ และปิดมันลงเมื่อตัวเองมาถึงยังจุดหมาย
“ที่นั่นเองหรือครับ?” ราธกล่าวพลางมองไปยังสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นที่ตั้งของสำนักดาบทมิฬ
“ใช่” นายท่านของราธกล่าวตอบ “ข้ารู้สึกได้ถึงพลังแห่งเบลล์อยู่ในที่แห่งนั้น”
“พลังของเบลล์? ไม่ใช่เขาตายไปแล้วหรือขอรับ?”
“มันก็ใช่.. แต่พลังของเจ้านั่นไม่มีวันสลายไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่” ไซอาลอทตอบ
“ข้าต้องการมันเพื่อที่จะทำสิ่งที่ข้าต้องการ”
“สิ่งที่ท่านต้องการ?”
“รู้แค่ว่าข้าต้องการมันเป็นพอ..”
เมื่อบทสนทนาของทั้งคู่จบลง เพลิงแห่งความตายจึงก้าวเดินนำชายผู้ใช้พลังแห่งวอยด์ไป ข้ารับใช้เดินตามไปติดๆ ทั้งคู่เดินไปไม่นานนักจนถึงเบื้องหน้าของสำนักซึ่งมีผู้คนอยู่เต็มไปหมด คนทั้งหลายเหล่านั้นต่างใส่ชุดเครื่องแบบที่คล้ายคลึงกัน เป็นเหมือนกับชุดออกรบสีดำที่ดูมีฐานะ ทั้งยังดูแข็งแกร่ง สามารถกันการโจมตีได้อีก มันเป็นช่วงเวลาฝึกของสำนักแห่งนั้นอยู่จึงทำให้มีคนในสำนักมากมายที่ยืนฝึกกันโดยที่เจ้าแห่งสำนัก คาสเตอร์ การ์เว็ทท์ยืนมองดูลูกศิษย์ของตนกำลังฝึกอยู่ เมื่อมารร้ายแห่งโพรโตเนี่ยนมาเยือนที่เบื้องหน้าของสำนักแห่งนี้ สายตาทุกดวงต่างจดจ้องไปยังไซอาลอทด้วยท่าทีที่ดูไม่ต้อนรับ ดาบที่กำไว้แน่น ศาสตราวุธทุกชนิดที่ใช้ในการฝึกฝนของนักสู้เหล่านั้นเตรียมพร้อมที่จะต่อกรกับมารเพลิงในทันที ท่าทางที่แสดงการต่อต้านต่อไซอาลอทโดยที่มารเพลิงยังมิได้ทำอันใดเลยหาได้เป็นการทำให้มารตนนี้รู้สึกกลัวเลยสักนิด กลับกันเขารู้สึกว่ามันก็ควรที่จะเป็นอยู่แล้ว
ทั้งคาสเตอร์เองก็เช่นกัน เขาจ้องมองผู้มาเยือนด้วยความไม่พอใจ ดั่งรู้ว่าเหตุใดที่มารเพลิงมายังที่แห่งนี้ ตั้งแต่ในฝันครั้งนั้นที่มารเพลิงเข้ามาบุกรุกยังโลกส่วนตัวของชายผู้นี้ บอกถึงจุดประสงค์และบอกใบ้ว่าสักวันเขาจะต้องมาหาคาสเตอร์ผู้นี้เป็นแน่แท้ ชายผู้ที่ถูกเข้าฝันหาได้ที่จะลืมมัน และหวังว่าสักวันคงจะไม่มีวันนี้ขึ้นมา แต่ในตอนนี้วันนี้ได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขา มารร้ายได้มาอยู่ต่อหน้าและมีจุดประสงค์หนึ่งเดียวคือการนำพลังที่ควรจะเป็นของตนกลับคืนไป
“จะไม่มีการต้อนรับอันใดแก่ข้าหน่อยหรือคาสเตอร์?” มารเพลิงกล่าวถามขึ้นอย่างกับว่าตนเองรู้จักกับชายผู้นั้นเป็นอย่างดี
“ต้อนรับเจ้า?” เขากล่าวตอบกลับ “แล้วด้วยเหตุอันใดล่ะที่เจ้าถึงมาที่นี่?”
“พวกเราไม่มีธุระอะไรกับเพลิงแห่งความตายหรอกนะ...”
“แหม่ อย่าเย็นชาใส่ข้างั้นสิ!” เพลิงพิโรธกล่าวตอบ “เจ้าก็รู้ว่าข้ามาที่นี่ทำไม?”
“ข้าแค่ต้องการของๆ ข้าคืนก็เท่านั้น”
“มันไม่เคยมีอะไรเป็นของเจ้า..” คาสเตอร์ตอบด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร ราวกับกัดฟันพูดขึ้น
“ไม่เคยงั้นหรือ?” มารเพลิงกล่าวขึ้นในเชิงถาม ด้วยน้ำเสียงที่ลากขึ้นสูง แสดงสีหน้าสงสัยในอารมณ์ประมาณกำลังป่วนประสาท
“ถ้าเจ้าไม่อยากจะให้ข้าดีๆ” เสียงแห่งอสูรกล่าวขึ้นมาต่อ “ข้าก็จำเป็นที่จะต้องเอามันมาด้วยตัวเองล่ะนะ”
ทันใดที่เพลิงแห่งความตายเปล่งวาจาแห่งตนออก เขาเดินไปข้างหน้าโดยไร้ความกลัวต่อเหล่านักสู้แห่งสำนักนักฆ่านี้ เมื่อคาสเตอร์เห็นเช่นนั้นแล้วเขาก็ยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีอันใดตอบกลับ แต่สายตานั้นกลับมองไซอาลอทดั่งว่าตนคิดจะสังหารมารเพลิงตนนี้เสีย เพียงชั่วพริบตามีเหล่านักฆ่าในชุดรบสองคนพุ่งเข้าโจมตีใส่มารเพลิงอย่างรวดเร็ว มากเสียยิ่งกว่ากระสุนปืนที่ถูกยิงออกจากลำกล้อง ชายทั้งสองใช้กระบี่ของตนโจมตีใส่มารเพลิง หวังจะแทงเข้าจุดตายของสิ่งที่ไม่สามารถฆ่าตายได้ มารเพลิงหาได้ตอบรับอันใดนอกจากยืนนิ่งเฉย ปล่อยให้ดาบทั้งสองเล่มทิ่มแทงเข้าไปสู่กายาที่ร้อนระอุดั่งเช่นสุริยัน นักฆ่าทั้งสองในชุดรบเริ่มแสดงสีหน้าตกใจออกมาอย่างชัดเจนเมื่อตนได้ประจักษ์ว่าการโจมตีนั้นหาได้สามารถหยุดลมหายใจ ลมปราณของเพลิงพิโรธลงได้ อาวุธแหลมคมทั้งสองปักลงไปที่ร่างของเพลิงแต่มิสามารถดึงมันออกมาได้ ดั่งว่ามีอะไรสักอย่างภายในผิวหนังนั้นดึงดาบเอาไว้อย่างแรง ด้วยความร้อนของกายาแห่งเพลิงที่ไซอาลอทมี มันจึงทำให้อาวุธเหล็กไหลเหล่านั้นละลายลง จากของมีคมอันแกร่งกล้ากลายเป็นของเหลวไร้น้ำหนัก
ผู้กล้า นักสู้ นักฆ่าแม้กระทั่งตัวของคาสเตอร์เองต่างตกตะลึงในสิ่งที่เห็น ส่วนตัวแล้วเจ้าของสำนักผู้นี้ไม่เคยคาดถึงว่าพลังของไซอาลอทจะมหาศาลเช่นนี้ เมื่อได้เจอต่อหน้าแล้วมันจึงทำให้ตัวเขารู้ว่าเจาคิดผิดมหันต์ เหล่าชายทั้งสองที่เพิ่งโจมตีมารเพลิงไปตั้งตัวจะถอยฉากออกจากอันตรายในทันที กระนั้นพวกเขาก็มิอาจจะไปจากมันได้ หัตถ์แห่งความตายได้ยื่นไปหาพวกเขาทั้งสอง กำลงบนใบหน้าแห่งศักดิ์ศรีของนักฆ่าเหล่านั้น ทันทีที่ผิวของมารเพลิงสัมผัสกับใบหน้าของนักฆ่า พวกเขาก็กรีดร้องออกมาอย่างทรมาณราวกับถูกเพลิงลาวาสาดเข้าใส่ใบหน้า แสบร้อนจนเกิดเป็นแผลตามแรงจับของมารเพลิง แม้นพวกเขาทั้งสองจะพยายามดิ้นให้หลุดออก แต่ก็มิสามารถพ้นจากพันธนาการนั้นได้ ร่างกายพวกเขาเริ่มซูบผอมลง ผิวพรรณเริ่มซีดเผือดไปเรื่อย แต่นั่นหาใช่เพราะอาการบาดเจ็บจากเพลิงพิโรธแห่งมาร แต่เป็นมารร้ายที่ใช้มือทั้งสองในการสูบพลังชีวิตของบุคคลนั้นๆ มาเป็นของตัวเอง มันเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของพลังปราณแห่งบาป เป็นธาตุเดียวที่สามารถสกัดปราณธาตุอื่นๆ มาเป็นของตนได้ เอามาเป็นพลังงานเพื่อใช้ในกาลต่างๆ ตามที่ตนต้องการ
เมื่อพลังชีวิตของทั้งสองคนนั้นหมดไป กายาร่างหยาบจึงแห้งสนิท สลายกลายเป็นธุลีดินพร้อมกับสะเก็ดไฟที่แผดเผาร่างเหล่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวให้แก่มนุษย์ทุกคนที่เห็นมันกับตาตัวเอง กลัวที่จะกลายเป็นแบบนั้นดั่งเช่นสองคนนั้น กลัวว่าจะได้รับความทรมาณดั่งนรกที่ผุดขึ้นมาจากดินเพื่อชำระบาปด้วยตัวเอง มารเพลิงแสยะยิ้มของตนขึ้น อ้าแขนทั้งสองข้างออก เย้ยหยั่นคาสเตอร์ที่กำลังต่อต้านเขาอยู่
“จะเอายังไงดีล่ะคาสเตอร์?” เพลิงแห่งความตายกล่าวขึ้น
“พลังนั้นสำคัญกับเจ้าขนาดนั้นเชียวหรือ? ถึงขนาดที่ว่าจะยอมเสียสละสมาคมนักฆ่าแห่งนี้ได้”
“เพราะถ้าเจ้ามิยอมให้มันแต่ข้าโดยดี..”
“พรุ่งนี้จะไม่มีคำว่าดาบทมิฬให้พูดถึงอีกต่อไป!”
แน่นอนว่าไซอาลอทกล่าวไปคงไม่ใช่การพูดเล่นๆ เป็นแน่แท้ มันบ่งบอกอย่างแท้จริงว่าชายผู้นี้เอาจริงอย่างแน่นอนถ้าหากคาสเตอร์ไม่ยอมทำตามที่เขาบอก เพราะไม่ว่าเขาจะต้องการอะไรก็ตามเขาก็จะต้องได้สิ่งนั้น นั่นคือสิ่งที่ไซอาลอทเป็น หากต่อต้านเท่ากับตาย หากสวามิภักดิ์ก็จะคงอยู่ต่อไป คาสเตอร์เริ่มแสดงอาการหวาดกลัวอย่างชัดเจน วิ่งที่เขาควรจะทำในตอนนี้คือการมอบสิ่งที่ควรจะเป็นของไซอาลอทกลับคืนไป ยังไงเขาก็ไม่เสียหายอันใดอยู่แล้ว ถึงจะว่าอย่างงั้นก็ตามแต่ แต่เหล่านักสู้ที่อยู่รอบข้างก็หาได้ฟังวาจาแห่งเพลิงเลยสักนิด หากเป็นผู้กล้ามีศักดิ์ นักฆ่าที่หยิ่งยโส มันก็ต้องรู้สึกหวั่นไหวอยู่แล้วกับวาจาในการดูถูกเช่นนี้ และเมื่อมันถูกกล่าวออกมา พวกเขาก็จะต่อต้านมัน และสู้จนสามารถถวายชีวิตเพื่อเกียรติของตนได้ ไซอาลอทรู้ซึ้งถึงข้อนี้ดีแต่ตนหาได้สนใจ เพราะไม่มีใครอาจเทียบทัดกับความตายได้อยู่แล้ว
“พวกเจ้า.. หยุดก่อน” คาสเตอร์ยกมือของขึ้น กล่าวขึ้นบอกแก่เหล่านักสู้ของตนให้ลดดาบลง
“ข้าเข้าใจแล้วไซอาลอท” เขากล่าวขึ้นมา “ข้าจะให้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ..”
“งั้นก็ตามข้ามาข้างในก่อนสิ”
เช่นนั้นแล้วคาสเตอร์จึงเดินเข้าไปในโรงฝึกของสำนักนั้น โดยที่ไซอาลอทและราธเริ่มเดินตามเข้าไปตามคำกล่าวของชายหนุ่มผู้นี้ ไม่นานนักคาสเตอร์ก็นั่งคุกเข่าลงหน้าโต๊ะแห่งหนึ่งในตัวของโรงฝึก เป็นเหมือนดั่งโต๊ะรับแขกผู้มาเยือน ผู้มาเยือนทั้งสองนั่งลงตามคาสเตอร์ ทันใดนั้นจึงมีชายคนหนึ่งถือถาดพร้อมกับกาน้ำชา และถ้วยน้ำชาตามจำนวนของบุคคลที่นั่งอยู่บนโต๊ะ มันเป็นเหมือนการรับเชิญบุคคลเหล่านั้น ทันใดนั้นฝ่ายคาสเตอร์จึงเริ่มรินน้ำชาลงใส่ถ้วย
“ข้าไม่ต้องการการต้อนรับอันใด” เพลิงพิโรธกล่าว “อย่ามาถ่วงเวลาข้า!”
“แค่น้ำชาเอง” คาสเตอร์กล่าว
“มันก็มิได้ทำให้เจ้าเสียเวลาอันใดมิใช่หรือ?”
เช่นนั้นแล้วคาสเตอร์จึงรินน้ำชาที่ถ้วยอื่น ซึ่งเป็นของแขกทั้งสองท่านที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่กระนั้นที่ถือของคาสเตอร์ที่ใช้ในการรินน้ำชานั้นมีปราณที่ไม่สามารถจับได้ด้วยตาเปล่าเอ่อล้นอยู่เต็มไปหมด ปราณเหล่านั้นไหลลงไปตามน้ำชาสีอำพัน รวมตัวกับน้ำชาจนกลายเป็นหนึ่งเดียว ด้วยความที่ชายผู้นี้มีพลังเป็นธาตุพิษ มันจึงดูไม่ต่างกับว่าเขากำลังแอบวางยาพิษเพื่อที่จะฆ่าชายทั้งสองคนนั้น สำหรับชายผู้นี้ที่เคยเห็นเขาใช้ปราณแห่งพิษมาก่อน เขาคือคนที่สามารถทำให้ปราณพิษจับตัวได้และทำให้ใครก็ตามที่สัมผัสมันตายได้ในไม่ช้า มันจึงมีความเป็นไปได้ที่ปราณพิษนี้จะสามารถฆ่าผู้ใช้พลังปราณระดับสูงได้ และเป็นไปได้สูงว่าหากไซอาลอทดื่มมันไปก็อาจจะสิ้นใจตายได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้วคาสเตอร์จึงจะทั้งมีพลังแห่งเบลล์และอาจจะมีพลังแห่งไซอาลอทด้วยก็เป็นไปได้ เท่ากับว่านี่คือแผนการของผู้เจ้าเล่ห์ผู้นี้
เมื่อชายผู้นั้นรินเครื่องดื่มจนเสร็จแล้ว เขาจึงยื่นมันให้แก่ไซอาลอท อสูรร่างเพลิงรับมันมา ถือไว้โดยที่ไม่ดื่มมันเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วคาสเตอร์จึงส่งถ้วยอีกใบให้กับราธ แต่จู่ๆ มารเพลิงกลับยกมือขึ้นมาขวางเอาไว้ เป็นการบ่งบอกว่าไม่จำเป็นต้องให้มันแก่ผู้ติดตามของเขา ตัวของคาสเตอร์เองดูเริ่มสั่นแปลกๆ กลัวว่าไซอาลอทจะรู้ตัวแล้วว่าเขาทำอะไรลงไป ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นที่แน่ชัดก็เถอะ แต่มารผู้นี้หาใช่ผู้โง่เขลา หากเขารู้ตัวขึ้นมามันจะไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่แท้
“ดื่มมันสิ” มารเพลิงกล่าวขึ้นมาทั้งที่ยังถือถ้วยชาของตนอยู่ต่อคาสเตอร์
“เจ้ากลัวว่าข้าคิดจะสังหารท่านรึไงกัน?” เขาตอบไปโดยไม่แสดงอาการพิรุธอันใด
“ข้าบอกให้ดื่มมัน..”
เช่นนั้นแล้วคาสเตอร์จึงทำในสิ่งที่มารร้ายกล่าว เขายกถ้วยชาของตน ดื่มด่ำรสชาติของชาถ้วยนั้น วางถ้วยใบนั้นลงหลังจากที่กลืนเครื่องดื่มนั้นจนหมด สร้างรอยยิ้มจอมปลอมขึ้นเสแสร้งแก่มารเพลิงว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้นที่ควรจะกังวล
“พอใจรึยัง?” เจ้าของสำนักกล่าว
“นี่ด้วย..” ไซอาลอทกล่าวต่อ วานให้ชายผู้ที่อยู่ต่อหน้าเขาดื่มน้ำชาที่เต็มไปด้วยปราณพิษ
“โอ้ไม่สิ..” เพลิงพิโรธกล่าวขึ้นมาต่อ “ให้คนรับใช้ของเจ้าเมื่อครู่ดื่มมัน”
คาสเตอร์ถึงกับทำอะไรไม่ถูกทันทีที่ได้ยินการร้องขอจากมารแห่งความตาย แม้นว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนดื่มมันก็ตามที แต่หากใครก็ตามที่กลืนเครื่องดื่มนี้ลงไปย่อมหมายถึงความตายแก่คนๆ นั้นในทันที เช่นนั้นแล้วทุกอย่างก็จะเป็นอันล้มเหลว และไซอาลอทก็จะรู้ตัวในทันทีว่าเขากำลังถูกหมายหัวให้ตายอยู่ ทันใดนั้นเองถ้วยที่มารเพลิงถืออยู่ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เกิดเป็นเสียงดั่งลั่นอาคารเรือนของสำนัก ของเหลวที่อยู่ในถ้วยสาดลงใส่พื้นห้อง สร้างความสกปรกเลอะเทอะเต็มไปหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหาใช่แค่นั้น น้ำชาเหล่านั้นที่ซึมลงไปสู่พื้นเริ่มทำปฏิกริยาบางอย่าง เกิดเป็นเสียงเหมือนกับการกัดกร่อนของสารเคมีแรงกล้า มันกัดพื้นจนเป็นรอยใหญ่ตามที่น้ำซึม สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือหนึ่งในคุณสมบัติของพลังปราณธาตุพิษ... การกัดกร่อน ทันใดที่มารเพลิงเห็นเช่นนั้น สายตาที่จ้องมองคาสเตอร์ก็เริ่มเปลี่ยนไป แสดงความอาฆาตออกมา ดั่งเป็นปรปักษ์คนหนึ่ง เมื่อนั้นหัตถ์แห่งความตายจึงพุ่งเข้าไปกลางใบหน้าของชายผู้นั้น บีบมันแน่น และกดร่างของคาสเตอร์ลงไปสู่ผืนดิน
“อย่าได้คิดมาแหกตาข้าด้วยรอยยิ้มปัญญาอ่อนนั่น..” มารเพลิงกล่าว
“คิดว่าเจ้าจะฆ่ามารเช่นข้าได้งั้นหรือ?”
“ในเมื่อข้าขอให้เจ้าคืนพลังแก่ข้าโดยดีไม่ได้แล้ว สิ่งที่ข้าจะทำต่อเจ้าก็เหลือเพียงสิ่งเดียวล่ะนะ..”
“ข้าจะสูบพลังนั้นที่อยู่ในตัวเจ้าออกมา และพลังชีวิตของเจ้าด้วย”
“ถ้าพูดตามหลักวาจาของนักฆ่าล่ะก็..”
“ข้าก็จะสังหารเจ้าล่ะนะ!”