Bloody Wrestling Online
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Bloody Wrestling Online

The Number One Cyber Wrestling Online
 
บ้านPortalLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 Cataclysm: The Endless Hellfire XXXVIII

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Neferpitou
Moderators
Moderators
Neferpitou


จำนวนข้อความ : 552
Join date : 05/12/2012
Age : 27
ที่อยู่ : The Facility of Banned Organizer

Cataclysm: The Endless Hellfire XXXVIII Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: Cataclysm: The Endless Hellfire XXXVIII   Cataclysm: The Endless Hellfire XXXVIII EmptySat Mar 04, 2017 11:47 pm

Cataclysm: Endless Hellfire
Act XXXVIII

------------

  ภายใต้ผืนสมุทรดำดิ่งลงไปหลายร้อยเมตรจนแสงแห่งตะวันมิอาจจะส่องทั่วถึงบริเวณเหล่านั้นได้ มันมีเกาะแห่งหนึ่งที่ดูดั่งว่ามันได้จมลงไปใต้ผิวน้ำกว่าศตวรรษ เบื้องบนของตัวเกาะแห่งนั้นมีสิ่งก่อสร้างมากมายดูหรูหราดั่งว่ามันเคยเป็นนครขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อดวงดาวแห่งนี้เมื่อกาลก่อน เมืองขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งไปด้วยอาคารเรือนปูนแกะสลักสวยงาม บ้างก็ถูกตกแต่งด้วยทองแท้ที่ไม่มีวันสลายตัว มันคือกรุงแห่งวาชินที่เคยรุ่งเรืองเมื่อหลายร้อยปีก่อน เมืองใต้บาดาลที่ว่ากันว่าเป็นนตรที่สวยเสียยิ่งกว่าบนฝั่งเสียอีก อดีตมันก็เคยลอยอยู่บนฝั่งดั่งเช่นเมืองอื่นๆ เช่นกัน เป็นที่ท่องเที่ยวหลักในทวีปแห่งเอสซิโอนิคที่ผู้คนต่างแวะเยี่ยมโดยมาก แต่เมื่อครั้นที่เหล่ากองทัพแห่งวอยด์จากนอกดวงดาว จากจักรวาลทมิฬได้บุกรุกเข้ามาเพื่อจะยึดครองดาว เกาะแห่งนี้ได้ถูกกดลงไปใต้ผิวน้ำ จมลงไปโดยเกิดจากแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนในยามที่แม่ทัพแห่งกองทัพวอยด์ได้ฝังตัวลงที่แกนโลก แม้นว่าแม่ทัพแห่งวอยด์ตนนั้นจะถูกผนึกลง ไม่อาจจะรุกรานอันใดได้อีกจากพลังแห่งผู้พิทักษ์ทั้งสี่แห่งโพรโตเนี่ยน แม้นว่ามันจะตกอยู่ภายใต้พันธนาการก็ตามที แต่ร่างที่ยังฝังอยู่นั้นมิอาจทำให้เปลือกโลกเคลื่อนได้ในบางส่วน จึงทำให้เกาะแห่งนี้อยู่ภายใต้ผืนน้ำชั่วกาลนาน

  สถานที่แห่งนี้มันถูกเรียกว่าเกาะแห่งวาร์ชิน มันมีมาตั้งแต่ก่อนยุคมนุษย์จะเกิดขึ้นเสียอีก โดยชาวเมืองที่อาศัยในดินแดนนี้ทั้งหมดถูกเรียกว่าเงือก ผู้ที่สามารถอยู่ภายใต้วารีแห่งโลกาได้โดยไม่เป็นอันตราย แต่ก็สามารถอยู่บนบกได้เช่นกันในยามที่ต้องการ เหล่าเงือกพวกนี้อาศัยอยู่ในยุคเดียวกับที่แวมไพร์ปกครอง พวกเขามีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ ไม่ต่างจากแวมไพร์นัก แต่สามารถสร้างครีบ เกล็ด หรือหางเงือกได้และผิวพรรณที่ขาวซีดกว่าคนธรรมดา อยู่อาศัยอย่างสงบสุขกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นรวมไปถึงแวมไพร์ ภายใต้อาณาเขตแห่งมหาสมุทรแห่งวาร์ชิน ที่แห่งนี้เป็นเมืองแห่งเดียวที่ถูกตัดขาดจากการปกครองของทวีปแห่งนี้ และเป็นที่ๆ ถูกปกครองโดยตระกูลแห่งวาร์ชินที่ว่ากันว่าเกิดอยู่ภายในดินแดนแห่งนี้และมีลูกหลานหลายชั่วรุ่น อย่างที่ทราบว่าอนีม่อน วาร์ชิน วาร์ชินรุ่นที่แปดของตระกูล หนึ่งในผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยนทที่ได้ถูกรับเลือกจากปรปักษ์แห่งวอยด์ ผู้สร้าง เทพารักษ์แห่งสวรรค์คือชื่อเรียกของพวกเขาของคนยุครุ่นหลัง โดยตัวของอนีม่อนนั้นมีความสามารถที่สามารถอยู่ภายใต้ผืนน้ำได้โดยไม่จำเป็นต้องหายใจ ก่อวารีสร้างเป็นมวลสาร สิ่งของ หรือคลื่นซัดสาดได้ แต่ตัวเขาหาได้มีปราณเลย เมื่อเหล่าเทพพิทักษ์ปรปักษ์แห่งวอยด์ได้จุติลงสู่โพรโตเนี่ยน พวกเขาได้มอบปราณแห่งวารี ทำให้อนีม่อนกลายเป็นผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยน ตัวแทนแห่งน้ำ ความสุขุมเยือกเย็น

  ชายผู้นี้ได้ต่อกรกับกองทัพปีศาจที่บุกโลกแห่งนี้ร่วมกับแวมไพร์และเหล่าผู้พิทักษ์อีกสามคนรวมไปถึงตัวของไซอาลอท ไฟร์วอร์คเกอร์เอง โชคร้ายที่ตัวเขาถูกสังหารลงด้วยน้้ำมือของเพลิงพิโรธเอง เป็นเพราะตัวของไซอาลอทที่อาลัยอาวรกับการจากไปของวีเลียร่า ไบร์ทวินด์ ผู้พิทักษ์แห่งลม หญิงผู้ที่เป็นผู้สร้างพลังที่มาเดียร่ามีอยู่ในกายได้จากไป โทษต่อแวมไพร์และผู้ทักษ์คนอื่นจนความโกรธได้เข้าครอบงำจิตใจ ด้วยความรักที่มีให้เธอได้เปลี่ยนเป็นความแค้น พลังนั้นได้สังหารตัวของอนีม่อน นั่นคือเหตุผลที่ทำไมไซอาลอทและโคลริมถึงได้ต่อสู้กันเป็นเวลายาวนานในศึกเพลิงนิรันดรโดยที่ผลออกมาเป็นไซอาลอทที่ถูกจองจำในดินแดนแห่งทับทิม ด้วยความที่ผู้นำแห่งดินแดนได้สิ้นใจลง เมืองแห่งนี้จึงหาได้รุ่งเรืองเฉกเช่นเมื่อกาลก่อน กลายเป็นนครที่ปิดตัวเงียบไปจากโลกภายนอก เหล่าเงือกอาศัยอยู่โดยที่ไม่รู้วันคืนที่ผ่านไป ไม่ได้รับแสงตะวันหรือจันทราเข้ามาอย่างเต็มที่ มองเห็นเพียงแต่ความมืดมิดที่ลึก โดยที่มือของพวกเขามิอาจจะเอื้อมไปถึง และไม่มีใครที่จะสามารถยกเกาะแห่งนี้ขึ้นเพื่อให้พวกเขาสามารถรับแสงแดดได้อีกต่อไป ในจิตใจลึกๆ.. เขายังคงคิดว่าเทพวารีแห่งวาร์ชินจะสามารถช่วยพวกเขาได้ แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดเพ้อฝัน...

ของพวกที่มองโลกแห่งความจริงไม่เจอ...

  บัดนี้เพลิงพิโรธ.. ไซอาลอทได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของดินแดนใต้บาดาลนี้ วารีใต้น้ำลึกนั้นมิอาจจะทำให้ไฟแห่งอสูรตนนี้ดับลงได้เลย มันแทบจะไม่ต่างอะไรกับการที่ไซอาลอทได้ยืนอยู่บนฝั่งสักนิด มันเป็นแสงไฟเพียงหนึ่งเดียวที่สาดส่องใต้ผืนน้ำดินแดนลึกแห่งนี้ เมื่อนั้นมารเพลิงจึงย่างกรายฝีเท้าของตนไปเบื้องหน้า เข้าใกล้ตัวเมืองนั้นช้าๆ พอรู้สึกตัวอีกทีไซอาลอทก็ได้อยู่ภายในตัวเมือง บนทางเดินใหญ่ของกรุงแห่งนี้แล้ว เขามองไปรอบๆ ไม่พบกับสิ่งมีชีวิตอันใดเลยแม้แต่น้อย ราวกับเป็นเมืองร้างที่ถูกทิ้งไว้เป็นเวลานาน แต่หากใช้พลังปราณตรวจจับชีพดูดีๆ แล้วก็จะสามารถรู้สึกถึงพลังชีวิตที่มีอยู่มากมายในขนาดของกลุ่มชาวเมืองแห่งหนึ่งได้เลย เบื้องหน้าของไซอาลอทปรากฏเป็นเด็กสาวนางเงือกอยู่นอกบ้าน กำลังว่ายน้ำเล่นด้วยความสนุกสนาน ทันทีที่เธอสามารถสัมผัสปราณแห่งความตายได้ สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไป มองเห็นไซอาลอทที่อยู่ต่อหน้า กำลังเดินเข้ามาใกล้ตัวเธอเรื่อยๆ เธอหวาดกลัวต่อสิ่งที่เข้าใกล้จนทำอะไรไม่ถูก แทบจะขยับกายาตนเองหนีไปไม่ได้ คงเพราะสายตาของมารเพลิงที่จ้องตรงมาหาเธอโดยที่ไม่กระพริบสร้างแรงอาฆาตในความคิดของเด็กผู้นั้น

  ในระหว่างที่เพลิงพิโรธเดินตรงไปเรื่อย จู่ๆ ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง แหวกว่ายอย่างเร่งรีบไปหาเด็กคนนั้น เธอพยายามที่จะเข้าไปช่วยเด็กผู้นั้น เพราะหากยังคงอยู่ในบริเวณนั้นแบบนี้อาจจะถูกเพลิงพิโรธสังหารเอาก็ได้ เมื่อนั้นเธอจึงเข้าไปกอดร่างของเด็กสาว ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นลูกสาวของเธอ เมื่อหล่อนรู้สึกตัวอีกทีไซอาลอทก็ได้ยืนต่อหน้าแม่ลูกคู่นี้แล้ว ที่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมคือการที่มารผู้นี้หยุดฝีก้าวของตนเบื้องหน้า นิ่งไปโดยที่มีแม่ลูกคู่นี้ขวางทางอยู่ กอดรัดร่างกันและกันโดยที่คนเป็นแม่ทำท่าเหมือนพยายามจะปกป้องลูกสาวของตัวเอง

  คำกล่าววาจาของความเมตตาหาได้ถูกเปล่งออกไป และตัวของไซอาลอทก็ก้มลงมองแม่ลูกคู่นี้ด้วยสายตาที่ดูน่ากลัว ไม่กล่าวคำอันใดก่อนที่จะเดินผ่านแม่ลูกคู่นั้นไปโดยไม่สนใจใยดี มันดูค่อนข้างเป็นอะไรที่ประหลาด เพราะไซอาลอทมิเคยมีความปราณีต่อสิ่งมีชีวิตใดเลย แล้วยิ่งจะเริงรมย์หากเหยื่อกำลังแสดงความหวาดกลัวหรือขอความเมตตาจากความตาย แต่ไซอาลอทกลับเพิกเฉย เดินจากไปโดยไม่สนใจ ดูเหมือนว่าเขาจะมีอะไรที่สำคัญกว่าการที่จะมาสังหารเงือกเล่นแบบนี้ เพราะยังไงเสียโพรโตเนี่ยนก็ต้องล่มสลายด้วยน้ำมือของเพลิงแห่งความตายอยู่แล้ว

  ไม่นานนักเขาก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่อยู่สุดตัวเมืองแห่งนี้ มันดูใหญ่โตราวกับว่าเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูง อาจจะเป็นเจ้าเมืองแห่งนี้ก็ได้แต่เขากลับไม่สามารถสัมผัสพลังชีวิตของใครที่อยู่ภายในตัวอาคารนั้นได้เลย เมื่อนั้นเขาจึงผลักประตูตัวอาคารนั้นเข้าไป มันเปิดออกโดยที่ไม่ได้ลงแรงอะไรมากราวกับว่ามันไม่ได้ถูกล๊อค ภายในนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคน มืดสนิท ไซอาลอทค่อยๆ เดินเข้าไปข้างในนั้นก่อนที่เปล่งพลังออกมาที่มือขวาของตน ยกมันขึ้นเป็นดั่งการใช้คบเพลิง ก่อนจะย่างกรายไปตามทางภายในตัวอาคาร โดยรอบนั้นมีชั้นวางหนังสืออยู่เต็มไปหมด เป็นห้องโถงขนาดใหญ่โดยที่ตรงกลางบ้านมีบันไดใหญ่ก่อนที่มันจะแยกเป็นทางแยกเมื่อเดินไปถึงทาง ดั่งเช่นที่สามารถเห็นได้ตามคฤหาสน์ทั่วไป เมื่อเดินไปได้สักพักมันจึงเกิดเสียงประหลาดขึ้น ราวกับว่ามีใครสักคนอยู่เบื้องหลังของเหล่าชั้นหนังสือทั้งหลาย ไซอาลอทกวาดสายตาวนรอบไปดูว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร แต่เขาก็มิอาจจะพบอะไรนอกเสียจากสัตว์น้ำขนาดเล็กที่แหวกว่ายเท่านั้น

  แต่แล้วเบื้องหน้าของเพลิงพิโรธที่เกิดวารีหมุนวนราวกับว่ามีพลังปราณอะไรสักอย่างรวบรวมเข้ามาอยู่ที่จุดๆ นั้น มันเริ่มก่อตัวเป็นฟองน้ำหลายร้อยก้อน รวมตัวเป็นรูปร่างคล้ายดั่งมนุษย์ก่อนที่จะปรากฏเป็นร่างของบุคคลๆ หนึ่ง ร่างของชายผู้ดูมากความรู้ สวมเครื่องแต่งกายคล้ายนักเวท มือข้างหนึ่งที่ถูกสามง่ามด้ามจับยาวสีทองล้วน ผมหงอกที่บ่งบอกถึงอายุที่ดูมากโขแต่ทรงผมยังจับรูปอย่างสวยงามโดยปัดมันไปข้างหลัง ร่างกายที่ดูกำยำแข็งแรง แต่หาได้มีกล้ามเนื้อมากมายดั่งเช่นเพลิงพิโรธ ดวงตาของชายผู้นั้นเปล่งแสงสีน้ำเงินดั่งอัญมณีแห่งวารี เขาจ้องมองตาแห่งเพลิงของไซอาลอทโดยที่ไม่กระพริบจาเลยแม้แต่น้อย แสดงสีหน้า ท่าทางราวกับว่าผู้มาเยือนนี้เป็นคนรู้จักของเขา เช่นเดียวกับมารเพลิง... ที่แสดงท่าทางดั่งว่าคุ้นเคยกับชายผู้นี้เป็นเวลานานแสนนาน

“เจ้ามาด้วยจุดประสงค์อันใด... ไซอาลอท” ชายผู้นั้นกล่าว

เมื่อวาจานั้นถูกขับออกไป มันหาได้ทำให้ไซอาลอทตอบกลับในทันที เพลิงพิโรธยืนนิ่งเฉย จ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงิน

“เจ้ารู้ว่าข้ามาเพื่ออะไร... วาร์ชิน” เพลิงพิโรธกล่าวตอบ

  ในระหว่างที่ไซอาลอทได้กล่าววาจาของตน เขาเดินเข้าไปใกล้ร่างของชายร่างวารีผู้นั้น เขารู้สึกได้ถึงกายาที่อยู่เบื้องหน้าของตน มันหาใช่ร่างกายหยาบอันแท้จริงแต่เป็นเพียงแค่ปราณเท่านั้น ดูเหมือนว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาในจุดประสงค์ยามที่มีใครบุกรุกเข้าตัวคฤหาสน์แห่งนี้ เป็นเหมือนกลการป้องกันตัวอาคารจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นตัวของเพลิงพิโรธเอง ดูเหมือนว่าอนีม่อนผู้นี้จะได้สร้างมันไว้ตั้งแต่ก่อนที่ตนจะถูกสังหาร คงคาดการณ์ไว้แต่แรกเริ่มแล้วหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันถึงขั้นที่ชีวิตของตนถูกแลกไป ซึ่งจะพูดว่านี่คือร่างอวตารก็คงไม่ผิดเพี้ยนนัก ถึงกระนั้นเปลวเพลิงของไซอาลอทก็มิอาจจะอะไรกับปราณนี้ให้สลายไปได้ แต่จากข้อความที่ไซอาลอทเพิ่งกล่าวไปเบื้องต้น พร้อมทั้งท่าทีที่ดูหาได้แสดงการต่อต้านอันใดต่ออวตารวารีแห่งวาร์ชิน ดูเหมือนว่าเขาจะมิจำเป็นที่จะต้องทลายร่างอวตารในตอนนี้ เขามาที่นี่ด้วยความจำเป็นดั่งว่าต้องการจะสนทนากับชายผู้นี้เป็นกาลส่วนตัว

“เจ้าก็รู้ว่าวาจาครั้งสุดท้ายที่ข้ากล่าวแก่เจ้ามันคืออะไร?” เพลิงพิโรธกล่าว
“ในครั้นที่ข้าได้ทิ้งร่างของผู้ครอบครองพลังแห่งซินโดร่าลงมหาสมุทร”
“หวังให้เจ้ารับฝากเด็กหนุ่มผู้นั้นไว้ จนเมื่อถึงเวลา... ในตอนนี้ข้าต้องการเด็กคนนั้นคืน!”

นั่นคือสิ่งที่เขาเคยพูดไว้กับวาร์ชินในครั้นที่ได้โยนร่างของหนุ่มเนลเรี่ยนลงไปใต้บาดาล วาจาที่พูดออกมาในเชิงบ่นเพื่อให้เทพวารีที่น่าจะตายไปแล้วช่วยเหลือเขา

“เจ้าหวังจะให้ข้าช่วยเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้สูบพลังแห่งซินโดร่า...”
“และใช้มันเพื่อทำลายล้างโพรโตเนี่ยนงั้นรึ?!” ชายร่างน้ำผู้นั้นกล่าวออกมา
“แบบนั้นข้าที่เป็นผู้พิทักษ์แห่งดาวดวงนี้คงรับไม่ได้หรอก!” เขากล่าวต่อ
“และอีกอย่าง.. เจ้ามีอะไรที่จะทำให้ข้าต้องทำตามด้วย”

“โอ้.. อาจจะเป็นสิ่งนี้ละมั้ง” มารเพลิงกล่าวขึ้นโดยที่เอานิ้วชี้เข้าที่กายาของตนเอง

  เมื่อนั้นปีศาจอัคคีจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้น จับที่หมวกเหล็กที่สวมอยู่บนศีรษะ มันเป็นหมวกขนาดใหญ่ที่แทบจะปกปิดใบหน้าทั่วทั้งหมดจนแทบจะมองไม่เห็นใบหน้าภายในหมวกนั้นยกเว้นเพียงแค่แสงเพลิงของดวงตาเท่านั้น เมื่อนั้นเขาจึงใช้มือทั้งสองข้างยกหมวกเหล็กไหลนั้นออกช้าๆ ก่อนที่จะวางมันลงไปกับพื้นห้องแห่งนั้น มันปรากฏเป็นใบหน้าของบุรุษผู้แลดูมีอายุ ใบหน้าข้างขวาเต็มไปด้วยบาดแผลไหม้และรอยขวดขนาดใหญ่ดั่งเช่นกงเล็บของสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่าง คล้ายดั่งมังกร มันข่วนที่ดวงตาของชายผู้นั้น และช่วงบริเวณริมฝีปาก ชายผู้นี้หาได้มีผมอยู่บนหัวสักเส้น หัวโล้นและมีหินผลึกอะไรสักอย่างผุดออกมาจากหัวข้างขวาเล็กน้อย และสัญลักษณ์บางอย่างคล้ายกับอักขระโบราณสักไว้บนหัว แต่ลักษณะโครงหน้านั้น... มันคล้ายคลึงกันกับชายที่อยู่เบื้องหน้าเพลิงพิโรธไม่มีผิด ใช่แล้ว... มันดูเหมือนกับวาร์ชินมิมีผิดเพียง แต่ทำไมกันละ?

“ร่างกายของเจ้า... ที่กักเก็บปราณ จิตใจแห่งข้าไว้ภายในตัว”
“มันน่าจะเป็นเครื่องต่อรองชั้นดีเลยจริงไหม?” ไซอาลอทกล่าวขึ้น

ชายเฒ่านามอนีม่อนหาได้กล่าววาจาอันใดตอบกลับ เขาเงียบกริบไปทันทีที่ไซอาลอทได้เปิดเผยตัวตนอันแท้จริงของเขา ที่แท้กายาที่เป็นร่างหยาบนั่นก็คือตัวของเทพแห่งวารีเอง เป็นดั่งที่วิลเฮล์มกล่าวไว้มิมีผิดเพี้ยน มันหาใช่ร่างจริงของตัวไซอาลอทแต่เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สามารถทนต่อพลังแห่งเพลิงบาป และสามารถกักเก็บมันได้โดยไม่มีปัญหาอันใด

“น่าเสียดายที่กายานี้มันค่อนข้างต่อต้านตัวข้าพอควร” ไซอาลอทกล่าวโดยที่จนค่อยๆ มองไปรอบๆ สรีระกายาของตน
“แม้นว่าวิญญาณของเจ้าจะตายไปแล้ว.. แต่กายายังอยู่ที่ตัวข้า”
“หากมันสลายไป คงไม่ใช่เรื่องดีกับตัวเจ้าและโลกาแห่งนี้เป็นแน่แท้”
“อย่าลืมสิวาร์ชินว่าเทพพิทักษ์ที่สร้างพวกเรามาได้ทำอะไรไว้กับกายของเจ้า”
“ฝังปราณแห่งวารีไว้หมดแทบทุกส่วนที่มีอยู่ในโลกา”
“หากร่างของเจ้าแตกสลายพลังทั้งหมดจะแตกออกและเกิดเป็นคลื่นยักษ์ทลายทวีปนี้ให้แหลกเป็นจุล!”

“โอ้เดี๋ยวก่อน? หรือว่ามันจะทำให้ครอบครัวของเจ้า... ลูกสายของเจ้าเสียพลังปราณแห่งเธอไปละ?” เทพอัคคีกล่าวต่อ
“ยังไงเสียเจ้าและตัวเธอก็มีโครงสร้างเชื่อมต่อกันอยู่แล้ว”
“และเจ้าคงไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นสินะ”

“เพราะงั้น.. เอาสิ่งที่ข้าได้ฝากเจ้าไป... กลับคืนมา!”

  เมื่อไซอาลอทกล่าววาจาแห่งตนที่ต้องการตัวของเนลเรี่ยนจนจบโดยที่ตัวเองหาได้รู้เลยว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นหาได้ตกอยู่ภายใต้พันธนาการแห่งวารีของวาร์ชินเลย กลับกันหนุ่มผู้ครองปราณแห่งซินโดร่านั้นมีอิสระที่กำลังเตรียมพร้อมตัวเองในการต่อกรกับเพลิงพิโรธอีกด้วย สีหน้าที่ดูหวาดระแวงในคำกล่าวของวาร์ชินเริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นสีหน้าที่ดูพึงพอใจซะงั้น เขายิ้มออกมาสร้างความตกใจให้กับเพลิงพิโรธ มันเป็นไม่กี่ครั้งที่ไซอาลอทจะรู้สึกเช่นนี้ เขารู้ดีว่าวาร์ชินเป็นชายที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มของเหล่าผู้พิทักษ์แห่งโพรโตเนี่ยน เมื่อใดก็ตามที่รอยยิ้มถูกฉีกออกจากปากของบุคคลๆ นั้นมันย่อมหมายถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นได้เป็นไปตามที่ตัวของเทพวารีคาดการณ์ไว้ทั้งสิ้น แต่ทำไมเขาถึงยิ้มล่ะ? ในเมื่อหากสิ่งที่ไซอาลอทกล่าวมานั้นเป็นความจริง นั่นย่อมหมายถึงผู้กุมความได้เปรียบทั้งปวลย่อมเป็นมารเพลิงอยู่แล้ว เขาถือครองร่างกายหยาบของวาร์ชินที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ เพราะหากมันถูกทำลาย... นั่นย่อมหมายถึงทวีปแห่งเอสซิโอนิคจะได้พบประสบคลื่นยักษ์ทลายปฐพี กลืนเกาะใหญ่ให้จมดั่งเกาะแห่งวาร์ชินนี้ก็เป็นได้

“เจ้าพยายามที่จะข่มขู่ข้าแต่กลับลืมความเป็นจริงที่ว่าเจ้ามิอาจจะทำเช่นนั้นได้” วาร์ชินกล่าวอย่างสุขุม
“และเจ้าก็ยังเป็นผู้ที่เขลาเบาปัญญาที่สุดในกลุ่มของผู้พิทักษ์..”
“คิดว่าอีลูกไม้ตื้นๆ เช่นนั้นจักสามารถทำให้ข้าเกรงกลัวต่อเจ้าได้งั้นหรือ?”
“อย่าลืมสิว่าหากร่างข้าสูญสลายตัวเจ้าก็จะหาได้มีภาชนะที่ใช้บรรจุปราณแห่งเจ้า”
“เพราะงั้นถึงต่อให้เจ้ามิอาจจะตายได้ เป็นปราณคงกระพันก็ตามที... แต่เจ้าก็จะกลายเป็นได้แค่ปราณที่ไหลเอ่อล้นไปทั่วดินแดน”
“มิอาจจะทำอะไรได้นอกเสียจากควบคุมจิตใจผู้คน.. และพยายามหาทางที่จะหาภาชนะใหม่”
“ซึ่งแน่นอนว่าในโลกนี้มันยังเหลือคนแกร่งแบบข้าแน่... แต่สู้ด้วยปราณและจิตเพื่อที่จะคุมร่างนั้นได้”
“มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเจ้าล่ะนะ... เพราะผู้แกร่งกล้าทางกายา ย่อมแกร่งกล้าด้านปัญญาเช่นกัน” เฒ่าปราณวารีกล่าว

“เพราะงั้นข้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรับฝากร่างเด็กคนนั้น..”
“กลับกันข้าบอกให้เฟร์ย่าและเอลิซ่า... สองแฝดแห่งอาร์ชเดลได้รับรู้และช่วยเหลือเนลเรี่ยนผู้นั้น”
“และบัดนี้! เด็กผู้นั้นกำลังฝึกฝนไซอาลอท... ฝึกพลังแห่งซินโดร่า..”
“เพื่อที่จะกำจัดเจ้า!” วาร์ชินพูดต่อ

  วาจาที่เปล่งออก... สร้างความโกรธาให้แก่อสูรแห่งไฟ แต่ที่วาร์ชินกล่าวมามันก็ถูกต้องแล้ว หากไซอาลอททลายร่างนั้นเขาก็จะไม่มีภาชนะไว้ใส่ปราณของตนอีกต่อไป ต่อให้ตัวเองมีชีวิตผ่านทางปราณแห่งเพลิงที่ล่องลอยไปทั่วผืนภพ มันก็มิอาจจะเข้าสู่ภาชนะอื่นที่สามารถเป็นร่างใหม่ของเขาได้เป็นแน่แท้ และการที่จะหาร่างใหม่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันต้องได้รับการเลือกเฟ้นอย่างดี ต้องใช้ร่างที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น อาจจะในระดับนักสู้ขั้นเทพของโลกาอย่างเช่นชารอนหรือตัวของผู้พิทักษ์คนอื่น ซึ่งนั่นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย จริงอยู่ที่ไซอาลอทจะสามารถควบคุมศพอย่างที่กำลังทำกับร่างของวาร์ชินได้ แต่ศพของวิเลียร่าเทพแห่งลม และโคลริมเทพแห่งภูผานั้นมิอาจจะค้นพบได้ จึงถือว่ามิใช่เรื่องดีนักที่ไซอาลอทจะทำในสิ่งที่เขากล่าวออกไป

“มันก็จริงของเจ้า...” เทพอัคคีกล่าวตอบ
“เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเจ้าน่ะฉลาดที่สุด และมันจะเป็นแบบนั้นอยู่ตลอดไป”
“แต่ยังไงเสีย.. เจ้าก็เป็นได้แค่ปราณอันน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น”
“ส่วนข้า! คือปราณนิรันดร์..”

แต่แล้วจู่ๆ ไซอาลอทก็เงียบปากไป จ้องเข้าไปในดวงตาของวาร์ชิน บัดนี้มันเป็นฝ่ายของไซอาลอทที่ฉีกรอยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ จนแทบจะดูเหมือนเขากำลังสะใจที่กล่าววาจากระแทกใจของวาร์ชิน

“แต่ช่างเถอะ..” ไซอาลอทกล่าวต่อ “ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องทลายร่างของเจ้าเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ”
“ข้าจะปล่อยให้ทั้งปราณและกายของเจ้าได้เห็นเมื่อข้าบรรลุผลทุกอย่าง”
“ในเมื่อเด็กคนนั้นไม่ได้อยู่กับตัวเจ้า... เจ้าก็หาได้มีประโยชน์อันใดต่อข้า”

เช่นนั้นแล้วไซอาลอทจึงได้รวบรวมพลังขนาดใหญ่ที่แรงกล้าพอที่จะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าของตนให้ไหม้เป็นธุลีได้ และความร้อนนั้น มันสามารถแหวกวารีให้ระเหยจนแยกสมุทรเป็นสองเสี่ยงได้หากไซอาลอทต้องการ เขารวบรวมพลังทั้งหมดเข้าที่มือข้างขวา มองดูพลังทั้งหมดที่อยู่ในหัตถ์ที่เตรียมจะยิงออกไป แต่มิได้ทำการโจมตีไปในทันที... เขาหันกลับไปจ้องมองใบหน้าของวาร์ชิน ที่หาได้มีความพึงพอใจระบายบนหน้านั้น

“เจ้ารู้ไหม?” เขากล่าวต่อ “ว่าข้าจะทำอะไรต่อไป?”

ปราณอวตารแห่งน้ำมิตอบวาจาอันใดต่อเพลิงพิโรธ

“ข้าจะตามหาเด็กคนนั้น... ถึงแม้ว่าข้าจะมิอาจสูบพลังแห่งซินโดร่าที่ติดตัวเด็กคนนั้นออกมาได้ก็ตาม..”
“แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจำเป็น เมื่อใดก็ตามที่เวลานั้นได้มาถึง!”
“ข้าจะฝังปราณทั้งหมดลงไปในร่างของเด็กผู้นั้น! กลายเป็นหนึ่งเดียวนิรันดร์ที่มีทุกอย่างอยู่ในกำมือ”
“และเมื่อถึงตอนนั้น.. โพรโตเนี่ยนจะล่มสลาย... ต่อกายาไร้เทียมทานแห่งข้า!”

ระหว่างที่วาจาถูกกล่าวออกไป พลังที่อยู่ในมือก็เริ่มมากยิ่งขึ้น เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และความอาฆาต

“จริงสิ!” ไซอาลอทอุทานขึ้น “จำไม่ผิดเขาเรียกเจ้าว่าน้ำตาแห่งโพรโตเนี่ยนมิใช่หรือ?”
“หวังว่าวันนั้นมาถึง... เจ้าคงจะร้องห่มร้องไห้นะ”
“ที่ข้าจะทำลายทุกอย่างไปจากเจ้า!”

  ทันทีที่วาจานั้นถูกกล่าวออกไปจนจบพลังปราณทั้งหมดที่รวบรวมอยู่ที่หัตถ์ข้างขวานั้นก็ถูกยิงออกไป พลังทำลายล้างนั้นซัดร่างอวตารแห่งวารีจนระเหยไป แหวกสมุทรออกไปสองเสี่ยง โชคดีที่ทิศทางในการเล็งพลังนั้นของไซอาลอทหาได้ยิงเข้าไปในตัวเมือง และคฤหาสน์นั้นก็ตั้งอยู่ที่มุมนอกสุดของเมืองเช่นกัน มันจึงถูกยิงออกไปในด้านตรงข้ามของนครแห่งวารี หาได้สังหารชาวเงือกที่ใช้ชีวิตอยู่แต่อย่างใด กระนั้นเหล่าภูผาใต้น้ำหรือสัตว์น้ำที่แหวกว่ายที่อยู่ในทิศทางพลังนั้นได้สลายหายไปทันทีที่คลื่นปราณแห่งเพลิงเข้าถึงตัว ไซอาลอทได้ยิงมันออกไปจนพลังที่ชาร์จอยู่ในมือหาได้เหลืออยู่ เช่นนั้นเขาจึงก้มลงหยิบหมวกเหล็กไหล ก่อนที่จะสวมมันกลับเข้าไปที่ศีรษะของตน หันหลังให้กับตัวคฤหาสน์ก่อนที่จะเดินออกไปช้าๆ ย่างกรายกลับไปยังถิ่นฐานของตนเมื่อได้เสร็จธุระจากสถานที่แห่งนี้... กลับไปสู่หอคอยแห่งบาป ที่ตั้งอยู่ยังดินแดนอ่าวแคบร้อยสาย เชตเตอร์เร็ต ฟิยอร์ด

.
.
.
.
.



“ท่านครับ..”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าขอรับ?”

  เสียงของผู้ทรยศนามราธกล่าวต่อนายท่านเทพอัคคีแห่งตน โดยที่เขาเห็นท่าทีของไซอาลอทที่ดูแปลกไปจากปกติ นั่งอยู่บนบัลลังก์หินใจกลางหอคอยแห่งบาปเป็นเวลานาน หาได้ขยับร่างกายไปแห่งหนใดเลย ดวงตาที่ดูไม่กระพริบซึ่งท่าทางดูดั่งว่าเขากำลังคิดถึงอะไรสักอย่างอยู่ แต่การที่จะนั่งเป็นเวลากว่าหลายชั่วโมงหลังจากที่ได้กลับมายังถิ่นฐานของตนแบบนี้มันย่อมไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่แท้ และราธเองก็รู้สึกเช่นนั้นเลยกล่าวถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ผู้เป็นนายของชายผู้นั้นหาได้ตอบอะไรกลับ แถมยังไม่แสดงปฏิกริยาอันใดตอบกลับวาจานั้นอีกด้วย เช่นนั้นแล้วผู้ใช้พลังแห่งวอยด์จึงถอยฉากออกไปราวกับว่าตัวเองรู้ตัวดีว่าหากยังดื้อด้านอยู่แบบนั้นคงไม่ส่งผลดีอันใดกับเขาแน่นอน และที่สำคัญแม้นว่าเขาจะอยู่รับใช้ปีศาจเพลิงตนนี้ไม่นานนัก แต่กลับไม่เคยเห็นไซอาลอทแสดงท่าทางแบบนี้ออกมาเลยสักครั้ง ท่าทางคงจะกำลังคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง หรือกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไซอาลอทได้ประสบพบเจอเมื่อช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็มิอาจทราบได้

“ราธ...” ไซอาลอทกล่าวเรียกข้ารับใช้ของตน
“ขอรับนายท่าน..” ชายผู้นั้นกล่าวตอบ
“เจ้าพอที่จะสร้างประตูมิติโดยที่อาศัยแรงปราณของบุคคลเพื่อจับสถานที่ได้หรือเปล่า?”
“ท่านจะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือขอรับ?”
“ทำได้หรือเปล่า?” เพลิงพิโรธกล่าวถามซ้ำ
“ถ้าท่านหมายถึงเป็นการตามหาตัวบุคคลและเปิดประตูมิติไปหาบุคคลนั้นๆ.. ผมทำได้ขอรับ”
“งั้นรีบทำซะ..”

  เช่นนั้นแล้วไซอาลอทจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้หินตัวนั้น เดินเข้าไปหาราธที่ยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าของนายแห่งตนก่อนที่มารเพลิงจะยกมือข้างหนึ่งของตนขึ้น มันมีละอองของพลังแห่งบาปปะปนอยู่ ไซอาลอทยื่นมือข้างนั้นไปหาชายผู้ใช้พลังวอยด์ ดูเหมือนว่าพลังนั้นจะเป็นปราณที่จะใช้ในตามหาตัวของเจ้าของพลัง เช่นนั้นแล้วหนุ่มผู้ทรยศจึงรับพลังปราณนั้นมา วางไว้บนมือของตนก่อนที่จะเปล่งพลังปราณสีม่วงแห่งวอยด์ลงไป เขากระทำแบบนี้ไปสักพักก่อนที่จะยื่นมือข้างนั้นของตนออกไปข้างหน้า เมื่อนั้นประตูมิติจึงถูกสร้างขึ้น เกิดความบิดเบือนเบื้องหน้าจนฉีกออกเป็นรูหนอนที่จะส่งไปยังจุดหมายที่ต้องการ หลังจากที่ประตูได้ถูกสร้างขึ้นทางด้านของปีศาจแห่งไฟจึงได้ย่างกรายเข้าไปภายในประตูนั้นก่อน ก่อนที่จะตามด้วยผู้สร้างประตู

  ทั้งสองได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง สภาพอากาศดูไม่เป็นใจให้ผู้คนเดินออกมาข้างนอกเสียเท่าไหร่ ด้วยลมที่ค่อนข้างกรรโชก ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับฝนกำลังจะตก เสียงฟ้าร้องดั่งขึ้นเป็นจังหวะๆ อย่างกับว่าสถานที่แห่งนี้หาได้เป็นที่ต้อนรับจากคนภายนอกเลย พวกเขาได้ยืนอยู่แถวชายหาดริมฝั่งของดินแดนอัสคาทัส... สถานที่ทางตอนใต้ของทวีปแห่งเอสซิโอนิค ใกล้กับเขตแดนมหาสมุทรแห่งวาร์ชิน ที่น่าแปลกคือเบื้องหน้าของพวกเขาหาได้มีแค่ชายหาดธรรมดา แต่กลับมีการตั้งถิ่นฐานของสถานที่แห่งหนึ่ง แลดูคล้ายกับสวนสนุกแต่ก็หาได้เป็นสวนสนุกซะทีเดียว ใหญ่พอที่จะถูกเรียกได้ว่าเป็นเมืองขนาดเล็กตามเขตแดนรอบนอก เมื่อนั้นไซอาลอทและราธผู้มาเยือนทั้งสองจึงได้เริ่มเดินเข้าไปในดินแดนแห่งนั้น มันดูเหมือนสถานที่รกร้างเป็นเวลานาน ซากสิ่งก่อสร้างที่ผุพังไปตามกาลเวลาอีกทั้งยังแลดูสกปรก แต่ทุกครั้งที่ย่างกรายเข้าไป พวกเขารู้สึกได้ถึงจิตสังหารของใครจำนวนหลายคนอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะไม่มากพอที่จะทำให้ทั้งสองหวาดกลัวได้ก็ตามที

  ในระหว่างที่ทั้งสองยังคงเดินไปเรื่อย ผ่านเครื่องม้าหมุนรุ่นเก่าที่ไม่ได้ถูกเปิดเป็นการใช้งานเป็นเวลานาน ได้มีสิ่งมีชีวิตคล้ายดั่งมนุษย์ แต่งตัวดูเหมือนพวกตัวตลกที่ดูอ้วนบ้าง กำยำบ้างประมาณสามคนเห็นจะได้ ยืนขวางทางของเพลิงพิโรธเอาไว้ แถมยังแสดงความต่อต้านมิยินยอมให้ไซอาลอทได้ย่างกรายต่อไปอีกด้วย ท่าทางที่พยายามจะขู่ให้ความตายเกรงกลัว มันกลับกลายเป็นเรื่องตลกไปสำหรับเทพอัคคีตนนี้ เพราะไม่มีอะไรทั้งสิ้นที่จะสามารถทำให้ความตายกลัวได้ยกเว้นเสียแต่ความตายเอง เช่นนั้นแล้วไซอาลอทจึงยักไหล่ขึ้น มันทำให้เหล่าตัวตลกกร้าวเหล่านั้นรู้สึกเหมือนตัวเองคือความตลกอย่างแท้จริง ทันใดนั้นพวกเขาจึงพุ่งตัวกระโจนเข้าไปหามารเพลิงในทันที

“หยุดก่อน!”

  เสียงของสตรีถูกเปล่งออกมา เสียงเธอค่อนข้างแหลมแลดูเหมือนเป็นหญิงที่อายุยังไม่มากนัก ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้นมา ทุกคนต่างหันไปจดจ้องยังม้าหมุนเครื่องนั้นที่ไม่น่าจะสามารถใช้งานได้ แต่มันกลับหมุนไปตามทิศทางเครื่องจักรที่ถูกออกแบบ ปรากฏเป็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งพิงอยู่บนม้าตัวหนึ่ง ใช้หลังพิงไปที่ส่วนคอของม้าตัวนั้น ท่าทางคล้ายดั่งว่าเธอพยายามจะเอนหลังนอนลงอย่างสบาย แต่แล้วหล่อนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากม้าตัวนั้น เดินเข้าไปหากลุ่มชายเหล่านั้นที่มองเธออยู่ เธอเดินส่ายสะโพกไปเรื่อยอย่างกับว่าตัวเองอารมณ์ดี มือข้างหนึ่งที่จับด้ามลูกกวาดขนาดเล็ก ดูดอมลูกกวาดก้อมกลมสีแดงในปาก สวมเสื้อผ้าที่ดูค่อนข้างโชว์สัดส่วนของร่างกายพร้อมทาสีหน้าด้วยแป้งบางๆ ลิปสติกที่ปากเป็นสีแดงดูเปรี้ยว ทาขอบตาตัวเองด้วยเครื่องสำอางหลากสี แลดูคล้ายตัวตลกสาวรูปงามมิผิดเพี้ยน ไม่มากนักหล่อนจึงได้ก้มลงต่อหน้าของไซอาลอท สร้างความตกใจให้กับเหล่าตัวตลกที่แสดงความเป็นศัตรูแก่มารเพลิง ก่อนที่พวกเขาจะก้มลงตามเธอ

“ขออภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะนายท่านไซอาลอทพวกข้าหาได้คิดที่จะแสดงกริยาร้ายต่อท่านแต่อย่างใด..” เธอกล่าวขึ้น
“ลัคนี่ย์.. เจ้าดู... เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน..” ไซอาลอทกล่าวตอบ
“ข้านึกว่าท่าน... จะลืมข้าแล้วเสียอีก” เธอกล่าวแทรกขึ้น “แล้วเบลล์ละคะ?”
“ตาย” เพลิงพิโรธกล่าวออกไปราวกับบุรุษไร้จิตใจ “อีกหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยข้า ข้าเลยจำเป็นต้องหวังพึ่งเจ้า”
“หวังพึ่ง? ด้วยกาลอันใดหรือคะ?”

“ตามหา...” ไซอาลอทกล่าว “เด็กหนุ่มผู้มีปราณแห่งซินโดร่าในครอบครอง”
“ที่ปราสาทแห่งอาร์ชเดลพร้อมกับราธ..”

ทันทีที่เธอได้ยินคำสั่งนั้น จู่ๆ หล่อนก็ลุกขึ้นมา

“แหม่.. ข้าล่ะดีใจสุดๆ เลยที่ได้ทำงานร่วมกับท่านอีกครั้ง” จู่ๆ หล่อนก็เปล่งวาจาออกอย่างเริงร่า ก่อนที่จะกระโจนตัวเข้าโอบกอดเพลิงแห่งความตายแต่กลับถูกหัตถ์เพลิงนั้นบีบรัดเข้าไปกลางลำคอ ทำให้เธอหายใจไม่ออก รู้สึกทรมาณ... โดยที่ไซอาลอทได้บีบมันเข้าไปอย่างแรงอย่างกับกะจะสังหารเธอให้ตายคามือ แต่แล้วเขาก็ปล่อยร่างของเธอลงสู่ผืนดิน ปล่อยให้เธอสำลักโลหิตออกมาโดยมิสนใจใยดี

“อย่าได้ทำมาเป็นสนิทสนมกับข้าลัคนี่ย์...”
“ถ้าเจ้าแตะต้องข้าอีกครั้งละก็... เจ้าตาย!”
ขึ้นไปข้างบน Go down
https://www.facebook.com/BillAlfenolf
 
Cataclysm: The Endless Hellfire XXXVIII
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Bloody Wrestling Online :: BWO : Special Event :: BWO Novel-
ไปที่: